ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลมที่ผ่านไป

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 49


    สายลมที่ผ่านไป
    ตอนที่สาม

              ผมยกมือขึ้นลูบแผลที่คิ้ว ซึ่งตอนนี้มีพลาสเตอร์ยาปิดสนิทด้วยฝีมือของชนิดา ก่อนจะหันไปมองคนทำแผลที่ตอนนี้เดินอยู่ข้าง ๆ ผมเพิ่งรู้ว่าเธอเองก็เก่งเหมือนกันนะ

              "ยังเจ็บอยู่หรอ" ชนิดาหันมาถาม เธอคงเห็นผมยกมือจับแผลบ่อยไปล่ะมั้ง

              "เปล่าหรอก" ผมตอบ พลางดึงมือลง

              ทำไงได้ ก็หลังจากที่พ่อแม่ผมตายไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ใช้อุปกรณ์พยาบาลเหล่านี้อีกเลย คงเป็นเพราะขี้เกียจจะทำ บวกกับความอดทนของผมที่มีมากกว่าคนทั่วไป ผมก็เลยปล่อยให้แผลหายเองซะมากกว่า

              "วันนี้เธอต้องกินเยอะ ๆ นะ" ชนิดาว่า พลางดันตัวผมเข้าไปในโรงอาหาร "จะได้มีแรงเรียนต่อคาบบ่าย"

              ชนิดาตาบอดหรือเป็นต้อกระจกกัน ก็ในเมื่อผมหลับตลอดทุกวัน คิดหรอว่าการกินเยอะจะทำให้ผมยอมเรียนหนังสือ...

              "จ้า แม่คุณ"

              ผมเกาหัวแกรก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับมัน ภูมิดูจะสบายดี ยกเว้นสีหน้าของมันที่ซีดไปนิดหน่อย

              "เป็นไรมากรึเปล่าวะ"

              ผมยักไหล่ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากิน ไอ้ภูมิยังไม่ได้คุยกับผมเลยนับจากเหตุการณ์เมื่อเช้า ทำไมหรอ ก็ผมหลับตลอดจนมันไม่อยากปลุกน่ะสิ

              "ทำไมวันนี้ไม่มากินกับแฟนล่ะ"

              ภูมิหันหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง

              "เลิกแล้ว"

              "ใครเป็นคนบอกเลิก" ผมถามต่อ พลางตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ รอคำตอบ

              ไอ้ภูมิก้มหน้ามองจานข้าวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า

              "เค้าไปมีกิ๊ก"

              ผมหัวเราะฝืด ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนรัก

              "เดี๋ยวนี้ชู้เค้าเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกิ๊กแล้วหรอ"

              ไอ้ภูมิหัวเราะ ก่อนจะก้มหน้าลงไปกินข้าวต่อโดยไม่ได้ตอบอะไร ชนิดาเดินฝ่าฝูงคนมานั่งได้ซักที เธอหันไปมองภูมิที่ไม่มีท่าจะทักเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองผมที่กำลังใช้นิ้วสาวหลอดออกมาดูด

              "คือ..." เธอเปรย ดวงหน้าสีนวลมีแววลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงถาม

              "ว่าไง"

              "คือ..."

              ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงกว่าเก่า ผมทำอะไรให้เธอไม่พอใจอีกงั้นหรอ

              "ถามมาเถอะน่าดา"

              "..."

              ผมหัวเราะหึ ก่อนจะดูดน้ำต่อไปจนมันหมดเกลี้ยง ยกมือขึ้นเท้าโต๊ะมองหน้าเธอราวกับจะคอยคำตอบ ชนิดาดูจะอาย ๆ เพราะตอนนี้เธอก้มหน้าลงไปบนจานข้าวอีกแล้ว

              "ตกลงว่า... เธอ"

              ชนิดายังคงอึกอัก ผมมองไปยังผมสีดำแซมน้ำตาลเข้มของเธอ ความรู้สึกแปลก ๆ ผุดขึ้นมาในหัวสมอง

              "เธอ...เป็นแฟนกับ"

              "อ้อ เรื่องนี้น่ะหรอ" ผมว่าพลางเลิกคิ้ว ชนิดาพยักหน้าให้เร็ว ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงนิ่งเหมือนเดิม "นึกว่าเครียดเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องพี่นัทนี่เอง"

              แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เท้าของไอ้ภูมิก็กระแทกเข้าใส่ต้นขาผม ความเจ็บพลุ่งพรวดจนคำพูดหลุดหายเข้าไปในคอ คนเตะส่งสายตาเชิงห้ามปรามมายังผมที่กำลังจ้องหน้ามันอย่างขุ่นเคือง

              "อะไรของแก"

              ภูมิยักไหล่อย่างเบื่อ ๆ ก่อนจะพยักเพยิดไปทางด้านข้างของผม ผมนึกสงสัยอยู่ในใจขณะที่เอี้ยวคอหันไปมอง กลุ่มรุ่นพี่ผู้หญิงไม่ต่ำกว่าสิบคนกำลังจดจ่ออยู่กับคำตอบของผม แม้จะไม่มีซักคนในนั้นที่หันมามองตรง ๆ

              กลุ่มของพี่นัท...

              ผมเป็นแฟนกับพี่นัท นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด เพราะไอ้ภูมิพยายามทำตัวเป็นพ่อสื่อให้ตลอดเวลา รวมถึงพี่นัทก็รักผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ท่าทางนิ่ง ๆ ของผมคงถูกคนอื่นตีความเป็นการเก้อเขิน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้รู้สึกพิเศษกับพี่เค้าเลยซักนิด และไอ้ภูมิเจ้าเก่าอีกนั่นแหละที่พยายามกระจายข่าวเรื่องปวินทร์ ธรรมทัศนะ เป็นแฟนกับพี่นัทแห่งคณะดนตรีวงโยธวาทิต...

              แต่ในเมื่อพี่นัทรักผมถึงขนาดนั้น ถ้าจะบอกว่าไม่ได้ชอบเธอเลยแม้แต่น้อย ถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูเธอ ผมคงมองหน้าเธอไม่ติดอีก...

              แล้วทำไมไม่บอกว่าชอบพี่นัทล่ะ กะอีแค่พูด...

              ทำไมถึงพูดต่อหน้าชนิดาไม่ได้ บางอย่างหยุดผมไว้ เพียงแค่นั้น...

    --------------------

              เวลาคาบบ่ายหมดไปอย่างรวดเร็ว จะไม่ให้เร็วได้ยังไง ก็ในเมื่อผมเล่นไปนั่งหลับหลังห้องทั้งสามคาบจนอาจารย์ที่หันมาเห็นคิ้วกระตุกกึก ๆ ยังดีที่ไอ้ภูมิยังพอมีสติสะกิดปลุกผมขึ้นมาก่อนจะโดนแปรงลบกระดานที่คุ้นเคยปาใส่กบาล อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเดินออกจาห้องไปก่อนเสียงกระดิ่งเลิกเรียนเพียงไม่กี่วินาที นักเรียนเกือบทั้งห้องลุกขึ้นเก็บกระเป๋า ภูมิสะกิดผมที่เอาหน้าแนบกับโต๊ะราวกับจะฟังเสียงกึงกังของรองเท้านักเรียนที่พากันทยอยเดินออกจากห้อง

              "เลิกแล้วหรอ"

              "ยัง นี่แกดูตารางสอนมารึเปล่าเนี่ย"

              ผมดึงกระเป๋าใส่หนังสือที่มีสมุดวาดรูปอยู่สองเล่มขึ้นให้ไอ้ภูมิดู มันหัวเราะเฝื่อน ๆ สองสามที ก่อนจะติดกระดุมคอของเสื้อลูกเสืออากาศสีน้ำเงินเข้มของตน

              "อย่าโดดนะเว้ยวิน คาบนี้เสนาเช็คชื่อ ข้าถามเพื่อนในห้องแล้ว เห็นบอกมีทดสอบอะไรซักอย่างนี่แหละ"

              "เช็คชื่อทุกคาบอยู่แล้ว"

              ไอ้ภูมิทำหน้าปั้นยากเมื่อได้ยิน ผมยกมือขยี้หัวมันทีหนึ่ง ก่อนจะสะพายกระเป๋าลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าไปไหน

              "ปวินทร์"

              เสียงเบา ๆ ดังขึ้น ผมหันกลับไปมอง และพบกับชนิดาที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างหน้าผม นี่เธอไม่คิดจะมองหน้าผมเลยรึไง...

              "อะไร"

              "เปล่า ไม่มีอะไรหรอก"

              พูดจบ เธอก็เดินพรวด ๆ ผ่านหน้าผมไปจนผ้าพันคอปลิวสะบัดโดนปลายจมูก ผมมองตามหลังเธอที่หายออกจากห้องไป แล้วจึงหันกลับมามองไอ้ภูมิที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะกระชากคอเสื้อของมันที่พยายามจะเดินหนีไปให้กระเด็นกลับมา

              "ดาเป็นอะไร"

              ไอ้ภูมิพยายามจะดิ้นให้หลุด แต่แรงแขนของผมไม่เคยเป็นรองใคร มันแกะมือผมออก ก่อนจะหันกลับมาอย่างสงสัย

              "แกสน ?"

              "เออ"

              ไอ้ภูมิทำสีหน้าไม่เชื่อ อันที่จริงก็ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องไปยุ่งกับเรื่องของชนิดา เธออาจจะมีปัญหาอะไรที่ไม่เกี่ยวกับผมก็ได้ แต่ทำไมผมถึงคิดว่ามันเป็นเพราะผม แล้วทำไมผมถึงได้กระวนกระวายอย่างนี้ด้วยล่ะ

              "อ๊ะอ๊ะ หรือว่า..." ภูมิลากเสียงราวกับจะล้อเลียน ผมพยายามกลบอารมณ์อยากชกหน้าใครซักคนไว้ แล้วก้มหน้ากลับลงไปปิดกระเป๋า "หรือว่า..."

              "ไปไหนก็ไปเหอะ" ผมตัดบทห้วน ๆ ก่อนจะผลักไอ้ภูมิออกจากห้องไป

              "เดี๋ยวดิ แล้วแกไม่อยากรู้หรอ"

              "อยาก แต่แกไม่บอกข้าก็ไม่รู้จะถามไปทำไม"

              ผมเดินลงบันไดทีละสองขั้นไปยังชั้นล่าง บันไดเล็ก ๆ นั้นเต็มไปด้วยขยะและฝุ่น ลมเย็น ๆ ปะทะเข้าที่ใบหน้าเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ตอนนี้นักเรียนมอสามส่วนมากกำลังเดินเกาะกลุ่มกันไปเรียนวิชาลูกเสือซึ่งเป็นคาบสุดท้ายของวัน ผมเร่งฝีเท้าเดินเพื่อให้ไปถึงที่หมายเร็ว ๆ เพราะแดดที่แผดแสงจ้า หยุดเล็กน้อยเมื่อรถเก๋งคันหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านถนน ก้มหัวหลบลูกฟุตบอลที่พวกมอปลายเตะกัน เดินแทรกตัวผ่านกลุ่มคนที่กำลังซื้อน้ำอัดลมอยู่ริมลานอเนกประสงค์ และเงยหน้าขึ้นมองหาห้องสิบสามที่ตอนนี้ยืนคุยกันอยู่ตรงม้านั่งร่ม ๆ บริเวณลาน

              "ไอ้วิน มานี่หน่อย"

              ผมหันไปตามเสียง ไอ้แบ็ก เพื่อนเด็กเรียนของผม แว่นสายตากลมแบนสะท้อนแสงเข้าตา หัวเกรียน ๆ ถูกระเบียบโรงเรียนทุกประการของมันกับผิวที่ขาวจนวอกดูจะสะดุดตาคนที่สุดในนั้น - ร่างที่หนานิดหน่อยไม่ถึงกับอ้วนกำลังโบกมือเรียกผมอยู่ตรงศาลานั่งเล่นข้าง ๆ ร้านน้ำ

              ถึงไอ้แบ็กจะเป็นเด็กเรียน แต่มันก็ชอบที่จะอยู่เป็นเพื่อนผมเวลาไอ้ภูมิไปทำธุระ ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่มีมันอยู่ข้าง ๆ ซ้ำแล้ว แบ็กยังเป็นคนดี มีน้ำใจต่อเพื่อนหลาย ๆ คน นิสัยดีอันนี้ของมันนี่แหละที่ทำให้มันมีเพื่อนฝูงอยู่เกือบทุกห้อง เรียกว่าถ้าเดินไปกับมันเกินห้านาทีแล้วไม่มีคนมาทักนี่คือผิดปกติแล้ว...

              "อะไร" ผมถาม พลางนั่งลงข้าง ๆ ไอ้แบ็ก

              "เย็นนี้เล่นบาสด้วยกันป่าววะ"

              เออ ผมลืมบอกไป ไอ้แบ็กเล่นกีฬาเก่งด้วยนะ ถึงรูปร่างของมันจะไม่ค่อยสมกับนักกีฬาเท่าไหร่ก็เถอะ

              "เกิดคึกอะไรขึ้นมา"

              "เปล่าหรอก พอดีชั้นไม่อยากไปเดินห้างกับเพื่อนน่ะ"

              "เดินห้าง ?"

              ไอ้แบ็กถอนหายใจ มันคงจะนึกได้แล้วว่าผมหลับทุกคาบแม้แต่พักกลางวัน สงสัยระหว่างนั้น เพื่อนในห้องผมคงกำลังประชุมไปเที่ยวกันอีกแน่ ๆ

              "เค้านัดไปเซ็นทรัลกัน เห็นว่าจะไปกินหมูกระทะ"

              ผมแค่นหัวเราะเสียงแห้ง ผมไม่ถูกโรคกับหมูกระทะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งการกินร่วมกันกับเพื่อนฝูงยิ่งทำให้เบื่อหนักเข้าไปอีก คงเพราะความเงียบ ๆ และรักสันโดษของผมล่ะมั้งที่ทำให้ผมไม่ค่อยชอบเข้าสังคม

              ผมส่งเสียงครางในลำคออย่างครุ่นคิด แบ็กหันไปตะโกนด่าเพื่อนที่เดินเตะฝุ่นไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จนผมเงยหน้าขึ้นมันถึงหันกลับมา

              แต่ก่อนที่ผมจะอ้าปากตอบว่าเล่นบาสนั้น บางอย่างสะกิดฉึกเข้าไปในใจจนทำให้ชะงัก ผมมองเห็นกลุ่มเด็กผู้หญิงห้องสิบสามกำลังเดินตรงไปยังหอประชุมที่อยู่ข้าง ๆ ลานอเนกประสงค์ และชนิดาเดินรั้งท้ายอย่างโดดเดี่ยว

              ความรู้สึกเจ็บแปลบพุ่งพล่านในหัวใจ...

              "เห็นทีจะไม่ได้" ผมว่า ยังไม่ละสายตาไปจากชนิดาที่ตอนนี้มีผู้หญิงคนสองคนเดินเข้ามาคุยด้วย

              แบ็กถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าเพื่อน

              "ไม่เป็นไร ชั้นเข้าใจ"

              ผมหันไปมองหน้ามันที่ตอนนี้ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ไอ้หมอนี่คงคิดว่าผมจีบชนิดาไปด้วยอีกคนล่ะสิ รู้สึกวันนี้ต้องมีคนตายซะแล้ว...

              "แล้วนี่แกไม่สนใจพี่นัทเค้าแล้วหรอวะ"

              ผมเลิกคิ้วขึ้น พลางมองหน้าแบ็กที่ทำสงสัยได้อย่างน่าต่อยที่สุด

              "เหอะ"

              ผมตัดบทสั้น ๆ ก่อนจะเดินไปเข้าแถวกับกลุ่มลูกเสือที่ยืนเรียงกันเพราะอาจารย์เป่านกหวีดเสียงแหลมก้องไปทั่วลาน

    --------------------

              ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลยซักนิดเมื่อผ่านการวิ่งรอบสนามฟุตบอลทำโทษห้ารอบก่อนจะปล่อยแถว เพราะไอ้แบ็กกับไอ้ทีคุยกันมากเกินไปจนผู้กำกับเกิดอาการฉุนกึก เลยพาห้องสิบสามมาทรมาณเดี่ยวอย่างอนาถใจ เพื่อนหลาย ๆ คนล้มตัวลงนั่งหอบหายใจขณะที่อีกมากพยายามหาของพิงเพื่อพักเหนื่อย ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าจากม้านั่ง ไอ้ภูมิเดินเข้ามาพอดีเมื่อผมกำลังจะเดินไปยังหอประชุม

              "จะไปไหน"

              "หอประชุม"

              "เรื่องนั้นรู้แล้ว" ไอ้ภูมิว่า

              ผมยืนพิงผนังขณะที่ขบวนยุวกาชาดจากด้านบนกำลังยกโขยงกันลงมา ภูมิยืนพิงอยู่ข้าง ๆ พลางสงสายตาสงสัยปนใคร่รู้มาให้ตลอดเวลา จนกระทั่งนักเรียนเริ่มบางตาลง ผมจึงเดินกลับขึ้นไป

              ชนิดาลงมาเป็นคนสุดท้ายตามที่ผมคิด ระเบียงของทางด้านหน้าหอประชุมทำให้ผมเห็นหน้าเธอไม่ชัด แต่เดาได้แน่ ๆ ว่าเธอกำลังแปลกใจ และผมก็เดาไม่ผิด

              "ปวินทร์มาหาชั้น ทำไมหรอ"

              แวบหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงนั่น...มันไม่เหมือนเดิม แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น

              "คือ ชั้น..."

              ผมเริ่มอึกอัก ประโยคสนทนาที่คิดไว้ในหัวตลอดระยะเวลาห้าสิบนาทีของคาบลูกเสือปลิวว่อนหายไปกับละอองน้ำรดต้นไม้หมดแล้ว (ปิดก๊อกสิโว้ย!!!) แต่ในวินาทีนั้น ใบหน้าปั้นยากของผมถูกเข้าแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของไอ้ภูมิที่พุ่งเข้ามาแทรกกลาง

              "วินมันจะขอโทษเธอเรื่องพี่นัทน่ะ"

              ผมอยากจะฆ่าไอ้ภูมิอีกแล้วล่ะสิ

              ทั้งผมและชนิดาเงียบเป็นเป่าสาก ภูมิที่ชะงักค้างอยู่ถูกผมกระชากจนปลิวหายไปอีกด้าน - เจ้าตัวบ่นพึมพำขณะที่เดินออกไปรอด้านนอกหอประชุม ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชนิดา ตอนนี้รอบข้างไม่มีใครอยู่เลย บอกไปก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง

              "คือความจริงแล้วชั้นไม่ได้ชอบพี่นัท แต่พี่เค้า..."

              "เอ้า หนึ่ง สอง สาม สี่ เคาะให้ดังอีกหน่อยนึงสิฟ้า!!!"

              ผมกับชนิดาสะดุ้งเฮือก และคนที่ผมอยากเจอน้อยที่สุดของวันนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมชุดลำลองและนักเรียนวงโย ฯ อีกกว่าสิบที่เดินซ้อมแปรขบวนมาจากทางด้านหลังของหอประชุม

              "บ้าชะมัด"

              ผมจะให้พี่นัทเจอกับชนิดาและผมอยู่กันสองต่อสองไม่ได้ เธอต้องคลั่งตายแน่ และถ้าปล่อยชนิดาไว้คนเดียวก็ไม่ได้อีก เพราะพี่แกถนัดเรื่องจิตวิทยา ถามเรื่องผมหน่อยเดียวดาก็คงจะหลุดปากบอกเรื่องเมื่อครู่ไปแน่ เวลาคิดหมดลงเมื่อเสียงย่ำเท้าดังขึ้นด้านข้าง ผมตัดสินใจดึงเธอให้หลบหลังเสาปูนไปในชั่วเสี้ยววินาทีนั้น

              "โอ๊ะ"

              ผมยกมือขึ้นปิดปากเธอ ตอนนี้เสียงกลองกับเสียงอื่น ๆ ค่อนข้างจะดัง ถ้าโชคดีนัทคงจะไม่เห็นผม

              แต่พอหันกลับมาแล้ว...

              ผมบ๊อบสีน้ำตาลเข้มจนกลายเป็นสีดำไล่ไปตามใบหน้าผมราวกับจงใจ ดวงตาและใบหน้าที่อยู่ชิดจนแทบจะชนกันทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ ความนุ่มเนียนของริมฝีปากที่ผมยกมือไปสัมผัสมันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ และร่างอุ่น ๆ ที่แนบชิดอยู่นั้นทำให้ทุกอย่างในตัวผมเกือบจะระเบิดอยู่ตรงนั้น ทั้งผมและเธอยังไม่กล้าขยับไปไหน จนกระทั่งเสียงกลองและเสียงเท้าเริ่มห่างออกไปทางด้านหลังของหอประชุมแล้ว ผมจึงคลายตัวเธอออก

              ชนิดาก้มหน้ามองพื้นโดยไม่ได้พูดอะไรเลยซักคำเดียว ผมพยายามเหลือบตาลงไปดู และพบว่าแก้มทั้งสองข้างนั้นแดงก่ำจนรู้สึกเหมือนเส้นเลือดฝอยจะแตกหมด - เธอก้มหน้านิ่งอยู่นานจนในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ติดจะอาย ๆ

              "พี่ผู้หญิงคนนั้น..."

              "นั่นแหละพี่นัท" ผมตอบ พลางชะเงื้อมองข้ามระเบียงไปยังกลุ่มวงดนตรี "ชั้นก็ไม่ได้เกลียดอะไรเค้าหรอก แต่ถ้ามาเห็นเราสองคนมันจะยุ่ง"

              "อืม..."

              ผมหันกลับไป พลางคิดหาคำพูดอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้เธอดีขึ้นจากเมื่อกี๊ ถูกผู้ชายฉวยโอกาสคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

              "คือ ชั้นขอโทษที่ดึงเธอไปเมื่อกี๊"

              ชนิดาชะงักกึก เธอนิ่งไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกเหมือนเธอกลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว เสียงหัวเราะใส ๆ ก็ดังขึ้น ?

              "ถ้างั้น เธอต้องทำดีไถ่โทษ"

              "หะ หา"

              "ใช่แล้ว ไถ่โทษ" ชนิดากระโดดเข้ามาอย่างร่าเริง เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ "คือการพาชั้นไปเที่ยวห้าง"

              "หะ..."

              "ไม่ต้องมาหาเลยพ่อคนมือไว"

              ผมถึงกับพูดไม่ออกถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเธอ ชนิดายกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มหน้าผากเขา

              "โอเค ทีนี้ก็ไปกันเถอะ อย่าลืมเลี้ยงไอติมชั้นด้วย"

              "ฮะ...เฮ้"

              "ไม่งั้นชั้นบอกพี่นัทเรื่องเรานะ"

              "เฮ้!!!"

              และแล้วผมก็ต้องไปเดินห้างกับเธอจนได้...

    --------------------

              แอร์เย็นภายในห้างทำให้ผมรู้สึกสบายขึ้นหลังจากนั่งเรียน (หรือนอน) อยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าวมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ด้านหน้าของผมคือไอ้ภูมิกับชนิดาที่กำลังเดินชี้ไม้ชี้มือคุยกันอย่างสนุกสนาน เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยในห้างสรรพสินค้าไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเลยซักนิด

              "ไอ้วิน รีบ ๆ เดินหน่อย เดี๋ยวห้างก็ปิดหรอก" ภูมิตะโกนล้อ เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะคิกจากชนิดา ผมเงยหน้าขึ้น และพบว่าตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเดินขึ้นบันไดเลื่อน

              "เฮ้ย รอด้วย"

              แต่จังหวะที่วิ่งตามไปนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดชั่ววูบก็พุ่งพล่านเข้าสู่สมองราวกับมีคนพยายามทุบกะโหลกด้วยไม้กระบองอย่างแรง ผมแทบจะล้มทั้งยืนด้วยความมึน ความเจ็บปวดพุ่งไปมาบนท้ายทอย แต่สองคนด้านหน้าดูจะไม่ได้สังเกตเห็น เหงื่อไคลมากมายไหลออกจากใบหน้า ทั้ง ๆ ที่แอร์เย็นเฉียบพัดโบกอยู่ทั้งบริเวณ ผมยกมือขึ้นนวดขมับ บางทีนี่อาจเป็นบทลงโทษการนอนกลางวันของผม

              บ้าชะมัด...

              อาการปวดแทบจะทำให้ผมมองทางไม่รู้เรื่อง แสงไฟสีเหลืองอ่อน ๆ นั้นดูจะหมุนวนและรวมไปกับไฟห้างจนเหมือนลูกไฟ ดวงตาเปรอะไปด้วยน้ำขณะที่เขาเดินก้มหน้าตามทั้งสองคนนั่นไป ตอนนี้หัวเริ่มปวดตุบ ๆ อีกแล้ว แต่ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อครู่ ผมพยายามรื้อฟื้นความจำเพื่อหาสาเหตุของการปวดหัวนั่น แต่ก็นึกอะไรไม่ออกเลย คิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่แขนเสื้อ

              "อ...อื๋อ"

              ดวงตาสองข้างของชนิดาจ้องตอบมาราวกับจะเค้นความลับ

              "ผิดปกติจริง ๆ ด้วย ตัวรุม ๆ นะเธอ"

              หลังมือของเธอทาบอยู่กับหน้าผากของผมโดยไม่ทันรู้ตัว มือขวายกมือขึ้นปัด ก่อนจะส่ายหน้าราวกับไม่มีอะไร

              "นี่ เห็นเธอหน้าไม่สู้ดีมาตั้งแต่เข้ามาแล้ว เป็นอะไรรึเปล่า"

              ผมส่ายหน้าซ้ำอีกครั้ง ชนิดามองผมอยู่นาน จนในที่สุด

              "งั้น...เธอเดินไปส่งชั้น...ที่บ้าน ได้มั้ย"

              "อือ"

              อาการปวดหัวทำให้เขาตอบได้ค่อนข้างจะช้า เด็กหนุ่มพยายามก้มลงไปปรับสายกระเป๋ากลบเกลื่อน ขณะที่ชนิดาหันไปลาภูมินทร์ที่กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน

              "แล้วเจอกันเว้ยวิน"

              "เออ"

              ความรู้สึกคลื่นเหียนเข้าครอบคลุมเกือบจะทุกอณูของร่างกายเมื่อผมเดินออกจากห้าง แต่ยังไม่ทันได้ขอตัวไปห้องน้ำ ชนิดาก็จับไหล่เขาให้หมุนตัวกลับมา ก่อนจะยกมือขึ้นทาบตรงแก้ม สัมผัสนุ่ม ๆ ของมันบวกกับอาการไมเกรนหนักหน่วงทำให้ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืนการกระทำของเธอ

              "ไข้ขึ้นจริง ๆ ด้วย" เธอว่าเหมือนกำลังจับโกหกผู้ต้องหา ผมจ้องมองสีหน้าเป็นห่วงของเธอ ก็แค่ไข้นี่หว่า

              "ไม่เป็นไร"

              "กลับไปซื้อยาในห้างก่อนมั้ย"

              "ก็บอกว่า ไม่เป็นไร" ผมเน้นเสียง ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเข้าท่าเลยกับการใส่ใจกับอาการป่วยเล็ก ๆ ของคนอย่างผม "เดี๋ยวก็หายแล้ว"

              "ไม่หรอก ถ้าเธอยังหักโหมเดินไปมาตวาดลั่นเป็นบ้านจะแตกอย่างนี้" ชนิดาโต้ แค่หวัดนี่ อาทิตย์เดียวไม่หายรึไง "มานี่เลย ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย"

              "ก็บอกว่าไม่ต้องมาเป็นห่วงไง!!!"

              ท่าทางอารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติจากการปวดหัวจะทำให้ผมตวาดเธอแรงไป เพราะชนิดาหยุดกึกเกือบจะในทันที ผมเริ่มรู้สึกสำนึกผิด แต่เธอก็ถอนมือออกจากหน้าผากผมเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร ชนิดาก็ก้มหัวแล้ววิ่งลงบันไดไป

              "ฮะ เฮ้"

              ความรู้สึกปวดจี๊ดทำให้ทำอะไรไม่ได้มากนัก ตอนนี้ผมคงวิ่งตามเธอไม่ทัน น่าเจ็บใจนักเชียว ผมโกรธตัวเองที่ตะโกนอะไรโง่ ๆ ออกไปแบบนั้น เซ็งชะมัด!

              ผมกระแทกไหล่เข้ากับรั้วบ้านอย่างไม่อายใคร ความทรมาณเริ่มจะทำให้ผมสติแตก ท้าวสองข้างที่อ่อนแรงเต็มทีนำผมเข้าบ้านด้วยแรงเฮือกสุดท้าย ผมหลับตาที่ปริ่มไปด้วยน้ำตาเมื่อกระแทกหน้าเข้ากับเบาะโซฟาอย่างแรง ความรู้สึกเย็น ๆ พุ่งเข้าหาแก้ม อันที่จริง อาการปวดหัวนี่เข้ามาคุกคามอยู่เรื่อย ๆ นับตั้งแต่พ่อแม่ที่เสียไปอย่างรวดเร็ว บางทีสมองของผมอาจจะพึ่งรับรู้ก็ได้มั้งว่าพวกเขาตายไปแล้ว

              "แง้ว"

              ผมเงยคอขึ้น และพบกับใบหน้าแมว ๆ ของท่านชาย ที่ตอนนี้ออกจะบิดเบี้ยวไปหน่อยเพราะฤทธิ์ปวด ผมยกมือขวาขึ้นลูบหัวมัน ท่านชายส่งเสียงร้องครางเบา ๆ - ก็แปลกดี วันนี้มันกลับให้ผมลูบหัวซะนี่

              "หิวมั้ย" ผมถาม เสียงแหบแห้งเนื่องจากความร้อนระอุที่ปะทุอยู่ในร่างกาย

              มันพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนเข้าใจความหมาย ผมก็เพิ่งถึงบางอ้อ ตกลงนี่มันประจบเพราะจะขอข้าวกินงั้นเถอะ

              แต่ยังไงผมก็ใจอ่อนง่ายอยู่แล้วนี่

              "งั้นรอเดี๋ยวนะ"

              ผมยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ความรู้สึกเหมือนถูกจับหัวเหวี่ยงไปมากำลังทวีมากขึ้น ดูเหมือนผมจะไม่ได้เป็นแค่หวัดเฉย ๆ นะเนี่ย

              "โอย"

              ความรู้สึกคลื่นเหียนเข้าเล่นงานอีกครั้ง คราวนี้ผมทรงตัวไม่อยู่แล้ว ร่างที่โงนเงนจนจะล้มก็หมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง ล้มพับลงบนพื้นตรงนั้นเอง

    --------------------
    25 / 03 / 49
    11 : 12 A.M.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×