ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลมที่ผ่านไป

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 49


    สายลมที่ผ่านไป
    ตอนที่สอง

              ผมเดาเอาเองว่าพ่อแม่ผมเป็นคนประหยัด เพราะบ้านที่ผมอยู่มันช่างเล็กไม่สมศักดิ์ศรีมหาเศรษฐีเลยแม้ซักนิด ทาวน์เฮ้าส์ซอมซ่อที่ดูเหมือนปราศจากการทำความสะอาดของผมตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านหลังใหญ่หลังอื่น ๆ ลูกเด็กเล็กแดงของหลาย ๆ คนออกมาวิ่งเล่น บ้างก็วิ่งตัดหน้าผมไปเมื่อผมเดินผ่าน เหล่าลุงป้าทั้งหลายกำลังตะโกนปรามไม่ให้ไปที่โน่นที่นี่พลางหวดไม้เรียวไปมา ผมยิ้มให้กับเด็กคนหนึ่งที่บังเอิญหันมาสบตาผม ก่อนจะเปิดประตูรั้วเข้าไป

              ด้านในนั้นเป็นพื้นปูนขรุขระที่ผ่านการใช้มาไม่ต่ำกว่าสิบปี ผมถอนหายใจเล็กน้อยขณะเลื่อนประตูรั้วปิด บ้านหลังนี้ ถึงจะเพิ่งย้ายมาอยู่ แต่บ้านหลังเก่าที่มีความทรงจำมากมายนั้น ผมละทิ้งความหลังอันน่าจดจำของมันไปหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมพบว่าพ่อแม่ของผม...

              ใบหน้าของผมรู้สึกอุ่น ๆ เล็กน้อย

              ผมกระชากประตูเก่า ๆ ที่สภาพเหมือนจะหลุดจากบานพับอยู่รอมร่อให้เปิดออก ก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่ได้ปิดประตูไม้ เหลือไว้เพียงมุ้งลวดโปร่ง ๆ เพื่อให้ลมผ่านเข้าออก ผมใช้ท่อนขาทั้งสองข้างถอดรองเท้าผ้าใบ เขี่ยมันไปข้าง ๆ ประตู โยนกระเป๋าไปยังโซฟามุมห้อง แล้วจึงเริ่มถอดเสื้อ

              ชั้นล่างของบ้านผมแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือส่วนหน้ากับส่วนหลัง ถ้าเข้ามาทางหน้าบ้าน สิ่งแรกที่จะเห็นคือทีวีพลาสม่ายี่สิบห้านิ้วที่วางไว้ด้านตรงข้ามกับโซฟา นาฬิกาถูกติดอยู่บนเพดานเพื่อให้ผมที่ชอบงีบหลับบนโซฟาตื่นขึ้นมาดูเวลา โต๊ะทำงานรกรุงรังที่ท้ายห้อง ผนังริมซ้ายเป็นชั้นหนังสือ ที่เก็บอภิมหานิยายที่ผมชอบอ่านไว้เป็นตั้ง ๆ ถ้าเดินเลยออกไปอีกหน่อย ก็จะพบกับบันไดขึ้นชั้นบนและห้องครัวที่อยู่ลึกเข้าไป เป็นครัวที่ค่อนข้างสะอาด เพราะผมทำอาหารทุกวัน และก็ทำความสะอาดมันทุกวันเช่นกัน ชั้นบนเป็นห้องน้ำกับห้องนอน ซึ่งผมเองก็ต้องขัดถูทุก ๆ สัปดาห์

              การอยู่คนเดียวเป็นเรื่องยากเหลือเกิน...

              การยืนอยู่คนเดียวในบ้านที่ไร้ผู้คนทำให้จิตใจผมสั่นคลอน ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความอ้างว้างไม่มีที่สิ้นสุด และความเงียบงันจนแทบจะร้องตะโกนด้วยความเหลืออด ความเครียดที่สั่งสมมานานปีคงจะทำให้ผมเป็นคนเงียบ ๆ ชอบคิดมากกว่าพูดน่ะแหละ

              โซฟาสีครีมสะท้อนแสงแดดยามเย็น

              ผมล้มลงนอนตรงนี้บ่อยครั้ง ทุกครั้งนั้น - ผมจะคอยเฝ้ามองดูนาฬิกาที่ติดไว้บนเพดานเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ เฝ้ามองลึกเข้าไปในตัวเลข หายเข้าไปในความมืดดำ ลึกลงไปในความสงบนิ่งและเสียงดังติ๊กเป็นจังหวะของมัน...

              ให้ตายสิ ผมเกือบจะหลับไปจริง ๆ ซะแล้ว

              ผมกระเด้งตัวขึ้นจากเบาะหนานุ่ม บิดตัวสองสามทีไล่ความง่วงที่เข้ามาเยือนไวเหลือเกิน ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นทำกับข้าว ผมน่าจะสั่งให้วิเชียรเอาหมูมาส่ง หรือคิดอีกที ค่อยไปซื้อเอาวันเสาร์ก็แล้วกัน...

              ค้นตู้เย็นอีกครู่ใหญ่ ๆ และพบเพียงอาหารนิดหน่อยไม่พอจะมาประทังความหิวที่ตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับน้ำย่อยกำลังทะลักมาท่วมท้อง

              สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่เอาอาหารแช่แข็งเข้าเตาไมโครเวฟเพื่ออุ่นมันกิน เหมือนชีวิตของคนทั่วไปที่ไม่คิดจะเสียเวลาไปกับของกิน

              ผมเดินกลับมาที่โซฟา มองหารีโมตโทรทัศน์อยู่ครู่หนึ่งกว่าจะพบว่ามันไปอยู่ที่ใต้โต๊ะอย่างไม่มีสาเหตุ ผมกำลังหยิบมันขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่ใช่ลำโพงทีวี

              "แง้ว..."

              หูผมอาจจะแว่ว ใช่ น่าจะบ้า ซอยนี้มีแต่หมา แล้วไหงถึงมีคนอุตริเอาแมวมาเลี้ยงได้เล่า...

              "แง้ว..."

              ผมขยี้หัวไล่ความง่วง ดูท่าจะเป็นหนักแฮะเรา แถมเสียงยังอยู่ใกล้ ๆ อีก หน้าบ้านเราเลยนะ...

              "แง้ว…"

              ผมหันไปเจอะกับแมวที่ยืนอยู่หน้ามุ้งลวด มันยกขาหน้าสองข้างของมันมาด้านบน เหมือนจะตะกายลวดขึ้นไปกดตัวล็อก

              "เฮ่ย"

              ผมอุทานสั้น ๆ แต่ได้ใจความ พลางลุกขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ ๆ เจ้าแมวตัวนี้ มันมีขนสีส้มสลับเหลืองดูสวยงาม ใบหน้าของมันจับจ้องมาที่ผมซึ่งกำลังมองมุ้งลวดเพราะกลัวมันจะขาดเพราะตีนหน้าของเจ้านี่ซะก่อน

              "แมวที่ไหนเนี่ย"

              มันส่งเสียงห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนจะได้ยินผมพูด ก่อนจะเพิ่มแรงกดลงบนลวดมากขึ้นจนเกิดเสียงแกรก ผมเริ่มกลัวมุ้งลวดขาดซะแล้วสิ

              "เฮ้ย ออกไป" ผมร้อง พลางเตะขาไปด้านหน้าเหมือนจะทำให้มันกลัว

              "แง้ว"

              ไม่สะทกสะท้านเลย ซ้ำยังอ้าปากหาวเป็นเชิงเบื่ออีก ไอ้นี่นี่!!!

              แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ผมก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่มันถ่อมาถึงหน้าประตูบ้านเขา หมาข้างบ้านผมได้กลิ่นแมวแล้ว และกำลังส่งเสียงร้องขู่กรรโชกข้ามรั้วมา และก็ไม่รู้ทำไมอีกนั่นแหละ ที่หมาตัวอื่น ๆ ในซอยก็เริ่มส่งเสียงร้องเห่าหอนกับเค้าไปด้วย จนเจ้าแมวซ่าหันไปมองรอบ ๆ อย่างตกใจ แวบแรกผมนึกสมน้ำหน้ามัน แต่ดูอีกที ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ...

              "พ่อแม่ไปไหนล่ะหือ" ผมก้มตัวลงนั่งยอง ๆ ถามแมวที่อยู่อีกฝากของประตู มันหันมามองผมอยู่ครู่หนึ่ง พยายามสอดปากผ่านลูกกรงเข้ามา ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตู

              เจ้าแมวส้มกระโดดแผล็วเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงร้องครางนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มนั่งลงบนพื้นกระเบื้องเพื่อเลียขน

              "อย่าได้ใจไปนะ ชั้นให้แกอยู่แค่คืนเดียวเท่านั้นแหละ" ผมว่าพลางรีบปิดประตูเพราะกลัวยุงเข้าบ้าน "คืนหน้าเตรียมตีตั๋วออกไปได้เลย...เฮ้ย"

              ภาพตรงหน้าก็คือเจ้าแมวที่ผมพึ่งว่าไปเมื่อกี๊กระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวโปรดของผมเรียบร้อยแล้ว ดูมันจะชอบซะด้วย เล่นหลับตาพริ้มซะขนาดนั้น

              "ไอ้นี่ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะแก" ผมบ่นเสียงเบาพลางนั่งลงข้าง ๆ เจ้าแมว มันลอยขึ้นจากเบาะเล็กน้อยเพราะน้ำหนักของผม

              จะว่าไปแมวนี่ก็น่ารักดีนะ ผมคิดอย่างสบายอารมณ์พลางยกมือขึ้นลูบหัวที่มีแต่ขนนิ่ม ๆ ของมัน แต่ยังไม่ทันไร มันก็สะบัดมือผมทิ้งพร้อมกับข่วนเบา ๆ เข้าที่แขน ผมกระตุกด้วยความตกใจ เจ้าแมวนี่วอนโดนกระทืบซะแล้ว

              "ลูบก็ไม่ได้ อะไรจะหรูขนาดนั้นวะ"

              มันร้องเบา ๆ เหมือนกับจะตอบรับ ผมจ้องหน้าเฉย ๆ ของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาข้าวปลาในครัว ยังไงก็ปล่อยมันอดตายอยู่ในบ้านผมไม่ได้หรอก ขี้เกียจเก็บไปทิ้ง

              โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ผมชอบกินปลาทู เลยมีมันอยู่ในตู้เย็นนิดหน่อย อย่างน้อยมื้อนี้แมวก็ได้กินปลา แต่พรุ่งนี้ผมจะกินอะไรล่ะ...

              ข้าวคลุกปลาทูใส่จานเล็ก ๆ ถูกวางลงตรงหน้าเจ้าแมวส้มที่กำลังเดินร่อนไปทั่วบ้านผม ("นี่บ้านชั้นไม่ใช่บ้านแกนะเว้ยเฮ้ย") มันหันมามองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งต้นก้มหน้าลงไปกิน ส่งเสียงครางขณะเคี้ยวไปด้วย ไม่มีมารยาทซะจริง ๆ

              "จะว่าไป เรียกแกว่าเจ้าแมวมันก็ไม่ดีอะนะ แต่ชั้นไม่มีปัญญาคิดชื่อแล้วว่ะ" ผมนั่งลงข้างหน้าและคุยกับมัน ซึ่งยังคงตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่สนใจ "เอางี้ แกลองเสนอชื่อให้ชั้นหน่อยสิ"

              "แง้ว"

              "ชื่อแง้ว แกจะเอาหรอ"

              "แง้ว"

              "ถามว่าจะเอารึเปล่า..."

              "แง้ว"

              "เออ ช่างเหอะ"

              "แง้ว"

              "ไม่ต้องแง้วแล้วเว้ย"

              "แง้ว"

              "..."

              หลังจากเจ้าแมวตัวยุ่งอิ่มแล้ว  มันก็กระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาตามเดิม ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตไหนในโลกจะมีนิสัยเกียจคร้านได้มากกว่านี้ มันส่งเสียงครางอย่างพออกพอใจ และแล้วผมก็โดนยึดที่นอนหลักไป

              "ฝากไว้ก่อนเถอะแก" นี่ถ้าไม่ติดว่าผิดศีลนะ ผมจะสับมันเป็นชิ้น ๆ ไปให้เจ้าหมาสามสี่ตัวนั่นกิน ถ้ามันจะเลิกเห่าได้ซักที

    --------------------

              อีกแล้ว...

              ความมืดนี่อีกแล้ว

              มองไม่เห็นอะไรเลย...

              หันหลังกลับไปก็ไม่พบใคร...

              จะมองไปทางไหนก็ไม่พบใคร

              เหงาจัง...

              ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่อยู่แล้วล่ะ

              เดี๋ยวสิครับ...

              ทำไมถึงทิ้งผมไปล่ะ

              ทำไม...

              เสียง...

              เสียงเบา ๆ นั่น...

              จะพูดอะไรกับชั้นหรอ...

              ...

              ปวินทร์...

              ปวินทร์......

              "ปวินทร์ตื่นซะทีซี่" เสียงนุ่ม ๆ ดังใกล้ ๆ หู ผมลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เพราะแสงไฟสว่างจ้าบนเพดาน และพบว่ามีร่างหนึ่งกำลังชะโงกหน้ามาดูผม

              ชนิดา!!!

              ผมสะดุ้งถอยหลังจนหัวกระแทกฝาผนัง เบิกตากว้างอย่างตกใจ

              "ดา!!! เข้ามาได้ไง"

              ดูเธอจะขำกับท่าทางผมนิดหน่อย ก่อนจะเปรยยิ้มให้

              "ก็บ้านเธอไม่ได้ล็อกนี่"

              ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะถอนใจเพราะตัวเองไม่ได้ล็อกจริง ๆ ก่อนจะเริ่มร้องโอยเพราะหัวไปโขกผนังเต็มแรง ชนิดาหัวเราะอีกครั้ง

              ผมขยี้หัวอย่างงง ๆ ดูเหมือนว่าผมจะต้องปรับปรุงเกี่ยวกับระเบียบวินัยในตัวเองนิดหน่อยแล้ว เพราะถ้าปล่อยละเลยบ้านแบบนี้ มีหวังบ้านคงโดนยกเค้าไม่ช้าก็เร็วสิน่า

              "ว่าแต่ กินข้าวเช้ามารึยังล่ะ" ผมถามพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาพับ ชำเลืองมองชนิดา

              เครื่องแบบยุวกาชาดสีน้ำเงินเข้มดูจะเข้ากับเธอดี ใบหน้านวลแดงเรื่อเล็กน้อย กระโปรงลายจีบสีน้ำเงินปลิวพลิ้วไหวไปกับลมที่พัดมาจากหน้าต่าง ผมเหลือบมองดูเสื้อนักเรียนซอมซ่อของตัวเอง ผมหลับไปทั้ง ๆ ชุดนี้เลยหรอเนี่ย...

              "ไม่เป็นไรหรอก ปกติเค้าไม่กินข้าวเช้า" เธอตอบ ยกมือขึ้นจับเรือนผมที่ปลิวน้อย ๆ ไปไว้หลังหู

              "งั้นเดี๋ยวเราทำเอง" ผมว่าพลางหยิบหมอนขึ้นมาฟาดกับหน้าตักไล่ฝุ่น และพบว่ามีบางอย่างกำลังเดินผ่านขาขวาไป

              ไอ้นี่อีกแล้ว...

              ชนิดาวิ่งโร่เข้ามา ก่อนจะก้มลงมองอย่างตื่นเต้น มันเพียงแต่อ้าปากหาว ก่อนที่จะร้องแป๊วเพราะถูกเธอดึงขึ้นไปกอด

              "น่ารักจังเลย เธอเลี้ยงมันไว้หรอ" เธอกอดมันแน่น จนผมกลัวว่ามันจะตายคามือไปซะก่อน

              "ทำนองนั้น" ผมตอบไม่เต็มเสียง

              "มันชื่ออะไรหรอ"

              "มัน เอ่อ" ก็ผมยังไม่ได้ตั้งเลยนี่

              "ท่านชาย"

              เจ้าแมวส้มส่งเสียงร้องอย่างโกรธ ๆ แต่ผมกลับยักไหล่ให้มัน ก็นิสัยแกมันบอกอย่างนั้นเลยนี่

              ชนิดาวางมันลงกับพื้น และท่านชายก็เผ่นแผล็วหายไปชั้นล่างทันที

              "เธอก็รีบไปอาบน้ำเถอะ จะหกโมงแล้ว"

              "คร้าบท่านหญิง"

              "ใครท่านหญิงกันคะคุณผู้ชาย"

    --------------------

              เครื่องแบบสีกากีของลูกเสือเสนาดูจะซีดลงไปอีกเมื่อผมเคยนำมันไปล้างคราบสกปรกที่ได้มาจากค่ายลูกเสือที่ออกจะสมบุกสมบันหลายต่อหลายครั้ง - แต่ยศพิเศษหลายต่อหลายอย่างที่ผมมีมากกว่าคนอื่นเค้าก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกชอบเสื้อตัวนี้มากขึ้นทุกที ยกเว้นเวลาใส่ที่ทำให้ผมเสียเวลาไปโรงเรียนอีกมากมาย

              ฝีมือทำครัวของผมไม่เคยลดลง จนบัดนี้ความรู้ที่ถูกแม่สั่งสอนมากำลังส่งผลดี เพราะอาหารที่ผมทำ ผมมักจะใส่อะไรพิเศษลงไปนิดหน่อยเช่นสมุนไพร แต่คราวนี้ทุกอย่างเกลี้ยงตู้เย็น ที่ทำได้ก็แค่อาหารทั่ว ๆ ไปเท่านั่นแหละ

              ผมยกจานข้าวสามจานมาอย่างทุลักทุเล จานหนึ่งส่งให้กับชนิดา อีกจานวางไว้บนโต๊ะ ส่วนอีกจานร่อนเบา ๆ ไปให้ท่านชายที่ไม่คิดจะขยับไปไหนเลยนอกจากโซฟา ข้าวไข่ดาวของผมดูจะหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอีกสองที่เหลือ ซึ่งชนิดาก็ชำเลืองมาทางผมเกือบจะทุกครั้งที่ผมหันไปทางอื่น และหลบตาไปทานข้าวทุกครั้งที่ผมหันมามอง ผมเพียงแต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้มให้เฉย ๆ

              หกโมงสามสิบนาทีแล้วเมื่อผมออกจากบ้าน ดูชนิดาจะเขินนิดหน่อยเมื่อผมเสนอจะหิ้วกระเป๋าให้แบบเมื่อวาน แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ถนนใหญ่ตอนนี้รถราเริ่มบางตาลงบ้างแล้วหลังจากติดมาทั้งวันทั้งคืน ชนิดากับผมเดินไปกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีใครคุยอะไรกัน หนทางที่ใกล้ ๆ กลับดูจะไกลขึ้นไปอีกเมื่อผมพยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อทำลายความเงียบของเราสองคน

              "นี่ ปวินทร์"

              ผมหันหน้าขึ้นมามองเธออย่างสงสัย ชนิดากำลังมองไปยังเสาไฟฟ้าด้านหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ที่แน่ ๆ เธอเรียกชื่อผมอยู่ล่ะ

              "หือ"

              "เธอมีเพื่อนเยอะมั้ย"

              "ก็" ผมหยุดนิดหนึ่ง มองเสาไฟฟ้าที่ชนิดาจ้องไปอย่างสงสัยว่ามันมีอะไรอยู่บนนั้น "นิดหน่อย"

              "แล้วเพื่อนเธอชอบรึเปล่าที่มาคุยกับเค้า"

              ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ คำว่าเพื่อนของเธอดูจะกำกวมเหลือเกินสำหรับผม

              "ก็ไม่เป็นไรนี่ เธอก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร" ผมว่าพลางยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน "แล้วเธอล่ะ อยู่ที่โรงเรียนเก่ามีเพื่อนบ้างมั้ย"

              ชนิดาชะงักไป ผมไม่ใช่คนโง่ และดูออกว่าเธอไม่อยากตอบ เธอคงจะมีเพื่อนน้อยมากเลยสินะ

              "ก็..."

              "ช่างเหอะ" ผมตัดบทเสียงนิ่มที่สุดเท่าที่นิสัยห้วน ๆ ของผมจะทำได้ ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ "หกโมงสี่สิบแล้วนี่ เธอบอกจะไปตอนกี่โมงนะ"

              "เจ็ดโมงจ้ะ"

              "เริ่มเหนื่อยรึยังล่ะ"

              "ถามยังงี้แสดงว่าเหนื่อยแล้วล่ะซี่" ชนิดาเปลี่ยนเสียงเป็นร่าเริงล้อผมอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะออกวิ่งนำไปด้านหน้าอย่างร่าเริง "วิ่งแข่งกันไปโรงเรียนเอาไหม"

              "งี้เธอก็ขี้โกงนี่" ผมว่าพลางชูกระเป๋าของชนิดาขึ้นสูงอย่างประท้วง

              แต่เธอเพียงแต่หัวเราะร่าพลางวิ่งกึ่งกระโดดนำหน้าผมไปอย่างรวดเร็ว

              "เฮ้ รอด้วยสิดา"

              และด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ผมยิ้มโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำขณะกระหืดกระหอบวิ่งตามเธอไป

    --------------------

              ไอ้ภูมิรอผมอยู่ในห้อง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยแปลกใจ มันไม่เคยมาหลังเจ็ดโมงเลยซักครั้ง บางครั้งมันก็ไปคลุกอยู่กับห้องเครื่องเสียงเพื่อเตรียมเทปเคารพธงชาติ หรือบางทีมันก็ไปประชุมพี่เลี้ยงอะไรของมันเกือบจะทุกวัน ดูเหมือนวันนี้มันจะลางานทั้งหมด แล้วตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปอยู่บนห้องแทน

              ผมหยุดดูภาพที่ไอ้ภูมิวาด หมอนี่วาดภาพเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ผิดกับผมที่ฝึกวาดจนแทบตายยังวาดได้แค่งู ๆ ปลา ๆ

              "ภาพไรวะ" ผมเงยหน้าถามมันที่กำลังจ้องตอบอย่างเซ็ง ๆ

              "โด่ จินตนาการอะ มีป่าววะ" ภูมิว่าพลางดึงสมุดไปจากมือผม "แกนี่ไม่เคยจะเข้าใจ"

              ผมลอบถอนหายใจ ขณะที่ชนิดาชะโงกหน้าข้ามไหล่ของผมไปเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอไล่ไปตามไหล่ของผมจนรู้สึกนิ่มแปลก ๆ

              "วาดรูปสวยจังเลย" เธอว่าพลางจ้องเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น "ปวินทร์ เพื่อนเธอวาดรูปการ์ตูนญี่ปุ่นเหมือนมืออาชีพเลย"

              "ขอบใจ อันที่จริงชั้นเองก็วาดเล่น ๆ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรหรอก" ภูมิได้โอกาสเลยรีบคุยทันที ผมเบือนหน้าหนีมันอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะโยนกระเป๋าของตัวเองไว้บนเก้าอี้และเดินพรวด ๆ ออกจากวงสนทนา

              "ปวินทร์ จะไปไหนหรอ" ชนิดาตะโกนถาม ทำท่าจะลุกตามไป

              "ปล่อยมันไปเหอะ คนอย่างมันไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะไปไหน"

              ผมลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อได้ยินเพื่อนรักพูดแบบนั้น ก่อนจะตัดสินใจไปยืนรับลมที่ริมระเบียงห้อง

              "เออใช่ วิน ไอ้วิน"

              ผมเกือบจะทำเป็นไม่หันไปมองแล้ว เว้นแต่ถ้ามันเรียกผมแบบเอาเป็นเอาตายอย่างนี้ ผมถึงจะเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องด่วน ไม่ใช่เรียกผมไปเผาแบบครั้งที่แล้ว

              "อะไร" ผมหันไปถามภูมิที่ตอนนี้ลุกขึ้นทำหน้ายิ้ม ๆ

              "จะว่าไป - นายน่าจะแก้ข่าวเรื่องที่นายไปแอบชอบสาวมอปลายได้แล้วนะ" ภูมิว่าพลางยิ้มกริ่ม

              ผมเลิกคิ้วขึ้น ใครกันที่ไปปั้นน้ำเป็นตัวขนาดนั้น

              "ใครบอกแกว่างั้น"

              "ไม่รู้สิ รู้สึกว่ารุ่นพี่คนนั้นเค้าจะพยายามกระจายข่าวด้วยแหละ"

              ผมสังเกตสีหน้าของชนิดาที่เริ่มหมองลงเรื่อย ๆ ตามคำพูดของไอ้ภูมิ เป็นอะไรของเขากัน

              "แล้วมันสำคัญอะไรนักหนา"

              ผมถามกลับ ขณะที่เพื่อนเกลอทำหน้าเหมือนโลกจะแตกซะให้ได้ บ้ารึเปล่าวะไอ้นี่

              "สำคัญ สำคัญมาก ๆ ด้วย"

              มันกระโดดข้ามโต๊ะเรียนมาประชิดตัวผม ก่อนจะส่งเสียงกระซิบ

              "ตกลงแกชอบพี่เค้าจริง ๆ หรอ"

              "บ้าสิ" ผมว่าเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร

              "งั้นทำไมไม่บอกความจริงไปล่ะ"

              "ใครกันที่อยากฟัง"

              "จริงหรอปวินทร์"

              ผมมองข้ามไหล่ของภูมินทร์ไป และพบกับสายตารอคอยคำตอบของชนิดา แววตาเย็นชาเผยให้เห็นครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหลบหน้าผมไป แล้วนี่เธอเป็นอะไรอีกล่ะ

              "บอกเค้าไปสิวะว่าไม่จริง"

              ทำไมผมต้องทำอะไรให้มันเหนื่อยด้วย ก็ในเมื่อชนิดาไม่ใช่แฟนผม แล้วเธอก็คงเห็นผมเป็นเพื่อน ไม่ใช่แฟน

              แล้วมีประโยชน์อะไรที่ต้องไปพูดเรื่องนี้กับเพื่อน

              แต่ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ที่มันกลับรู้สึกผิดโดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักนิดอาจจะเป็นเพราะดาที่ส่งสายตาเคลือบแคลงมาให้ผมก็ได้ แล้วทำไมผมต้องรู้สึกผิดกับสายตาของเธอล่ะ...

              ผมอ้าปาก แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็กระชากคอผมจนเซไปตามแรงแขน เสียงร้องหนัก ๆ ของผมตามมาด้วยดวงตาของภูมิที่มองเลยผ่านหัวผมไป ดูสีหน้าของมันซีเรียสเกินปกติ นี่คงไม่ใช่เรื่องหยอกกันเล่น ๆ แล้ว

              "ว่าไงไอ้น้องรัก"

              เสียงหนัก ๆ ของรุ่นพี่คนหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เจ้าของเสียงดันผมไปติดประตูห้องที่ทาบสนิทไว้กับกำแพง ผมรู้สึกถึงแรงแขนของเขา คงมากไม่ใช่น้อยที่จะฉุดคนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามให้ปลิวตามไปด้วยเหมือนเศษกระดาษแบบนี้

              ผมเงยหน้าขึ้นมอง และพบใบหน้านิ่ง ๆ ที่แสร้งทำหน้าบิดเบี้ยวเหมือนนักเลงทั่ว ๆ ไปที่ดูแล้วน่าซัดเข้าซักเปรี้ยง ถ้าไม่ติดที่เพื่อนของหมอนี่ที่เดินตามกันมาสองคน ใบหน้าที่มีพลาสเตอร์ประดับไว้ตรงหน้าผากคงจะเป็นสัญญาณอันตรายว่าคน ๆ นี้ไม่ได้เก่งแค่หาเรื่อง

              "อ้าว รุ่นพี่ชิดชัย" เสียงเย็น ๆ ของไอ้ภูมิเรียกดวงตาของคู่กรณีให้หันไปมองได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดกลับมาจ้องตากับผมเหมือนเดิม "วันนี้มาหาเรื่องเพื่อนผมแต่เช้า มีธุระอะไร"

              "อ้อ ไม่มีอะไรหรอก" เห็นชัด ๆ ว่าพี่ชิดชัยโกหกเต็มประตู เพราะที่พี่เค้ามากระชากลากถูผมไปไหนมาไหนนี่คงไม่ใช่การทักทายกันธรรมดาแล้ว "ชั้นแค่มาทักทายเฉย ๆ"

              "มีอะไรก็บอกมาตรง ๆ ดีกว่าพี่" ผมพูด พลางยกมือขึ้นจับแขนของพี่ชิดชัยไว้ พลางออกแรงดันเพื่อให้มันหลุดออกจากรอบคอผมซักที

              พี่ชิดชัยหัวเราะเบา ๆ

              "งั้นแกก็บอกมาสิ ว่าเรื่องที่แกไปแบชอบนัทน่ะเป็นเรื่องจริงรึเปล่า"

              ผมเกือบหัวเราะออกมาแล้วทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลา ที่แท้พี่ชิดชัยก็หวงแฟน ถ้าตอบไปว่าไม่ เรื่องก็คงจบโดยไม่มีใครเจ็บตัว แล้วยังแก้ข่าวกับชนิดาได้ด้วย ผมแอบยิ้มในใจ พลางเงยหน้ามองรุ่นพี่เพื่อตอบคำถาม แต่ภูมิดูเหมือนจะหายใจออกจากจมูกแรง ๆ เป็นเสียงแค่นหัวเราะ

              "ถ้าใช่แล้วจะทำไมหรอพี่"

              คำตอบของมันทำเอาผมเหลียวไปมองอย่างตกใจ ผมอยากจะต่อยหน้าไอ้ภูมิจริง ๆ แล้วสิ ตอบแทนผมซะเสร็จสรรพเลยนะ แถมยังตอบเป็นแบบที่ผมเลือกเป็นคำตอบท้ายสุดที่ผมอยากจะตอบซะด้วย

              "งั้นหรอ"

              มือซ้ายที่ไม่ได้บีบคอผมกำลังเงื้อสูงขึ้น ไอ้ภูมิยังคงยืนนิ่ง ๆ อยู่ในห้อง นอกจากมันจะยุให้คนตีกันได้แล้ว - มันยังปล่อยให้ผมโดนอัดอีก นี่มันไม่ห่วงผมรึไง!!!

              "อึก..." ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มือขวาของพี่ชิดชัยบีบแน่นขึ้นจนผมรู้สึกเหมือนถูกอัดกระป๋อง หมัดที่เงื้อถูกหยุดไว้หลังศีรษะของเจ้าตัว ใบหน้านั้นกลับดูกวนพระบาทายิ่งกว่าขามา ก่อนริมฝีปากจะเหยียดยิ้ม

              "ให้ตอบอีกที"

              ผมกำลังประมาณแรงหมัดของพี่ชิดชัยอยู่เงียบ ๆ ขณะจ้องไปยังใบหน้าของเขา ไอ้ภูมิก้าวมายืนอยู่ข้าง ๆ ผมอย่างรวดเร็วแล้วฉีกยิ้ม

              "ตอบยังไงก็เหมือนเดิม จริงมั้ยเพื่อน นาย ชอบ นัท"

              และนั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของรุ่นพี่ชิดชัย และนั่นเป็นโอกาสของผม หมัดซ้ายที่หวดเข้ามาทำให้แรงในการบีบของมือขวาลดลง ผมจึงกระชากแขนขวาขึ้นปัดทั้งแขนขวาและก้มตัวหลบหมัดของรุ่นพี่ได้

              แต่โชคดูจะไม่เข้าข้าง เพราะหมัดซ้ายของเขานั้น กระแทกเข้าเต็ม ๆ คิ้วผมจนหน้าสะบัดกระแทกประตูไม้เสียงดังลั่น

              "โอ๊ย!!!"

              ผมสกัดกั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า หมัดของรุ่นพี่ถึงแม้จะเฉี่ยวไปแต่ก็พอจะทำให้เลือดตกยางออกได้ ถ้าโดนเต็ม ๆ ดั้งไม่หักเลยรึไงเนี่ย ผมฉากออกจากมุมอับเพื่อตั้งหลัก ไอ้ภูมิพุ่งเข้ากระแทกท่อนแขนใส่แฝดร่างผอมที่เดินมากับพี่ชิดชัยจนงายหลังไปทั้งคู่ ผมมองได้ถึงแค่นั้น เพราะพี่ชิดชัยดึงมือซ้ายออกมาแล้ว

              ตอนนี้เพื่อนร่วมห้องของผมที่เหลือออกมาออกันที่ประตูห้องจนหมด ผู้ชายก็ส่งเสียงเชียร์ดังลั่นอย่างสนุกสนาน ส่วนพวกผู้หญิงก็อยู่เงียบ ๆ คอยลุ้นว่าเมื่อไหร่อาจารย์จะเดินผ่านมา ส่วนชนิดา...

              "หลบได้หรอแก"

              รุ่นพี่ชิดชัยพุ่งตัวเข้ายันด้วยเท้าขวา ซึ่งตรงตามความรู้ศิลปะการต่อสู้ของผม และคราวนี้ผมหลบได้แบบไม่มีพลาด ยังแถมด้วยการฟาดศอกเข้าไปที่ท้องแข็งเป๊กของพี่ชิด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นอะไรนักนอกจากชะงักงอตัว ซึ่งนั่นทำให้ผมตั้งหลัก และกระโดดหมุนตัวเตะก้านคอแบบวิชามวยใส่รุ่นพี่ชิดชัยจนเซล้มไป

              นักเรียนชายส่งเสียงเฮดังลั่น นักเรียนหญิงบางคนกรี๊ด จะเพราะพี่ชิดชัยแพ้หรือเพราะผมชนะก็ไม่อาจรู้ ที่แน่ ๆ ไอ้ภูมิกำลังเตะเข้าสีข้างของแฝดตัวเตี้ยสองคนที่นอนกองอยู่บนพื้นนั่นอย่างแรงจนกลิ้งไปคนละทาง ซ้ำยังทิ้งท้ายด้วยคำด่าสารพัด

              ผมรู้สึกถึงบางอย่างอุ่น ๆ ไหลผ่านเปลือกตาที่ปิดเพราะสัญชาตญาณ ผมคงจะคิ้วแตก ในขณะที่พี่ชิดชัยคงจะคอเคล็ดไปอีกนาน เพราะครูฝึกของผมก็เคยโดนอย่างนั้นไปครั้งนึงเหมือนกัน แกยังบอกเองเลยว่ารุนแรงสมเป็นวัยรุ่น คราวนี้หวังว่ารุ่นพี่คงหมดโอกาสทำซ่ากับผมแล้ว ความอับอายนี่คงจะอยู่ติดตัวไปอีกนาน

              เพราะพวกพี่รวมสามคน แพ้เด็กมัธยมสามเพียงสองคน

              จะนับว่าเพราะโชคช่วยก็ไม่ถูกนัก เพราะผมเองก็ถูกเสี้ยมสอนมาจากอาจารย์หลายแห่งหลายที่ ทั้งประสบการณ์ตรงในวัยเด็กและประสบการณ์โหดสดจากวัยรุ่น หลอมให้ผมกลายเป็นคนที่วิวาทเก่ง แต่ผมกับไอ้ภูมิก็ไม่เคยทำอะไรเกะกะเกเรคนอื่น เว้นแต่จะป้องกันตัวจริง ๆ ซึ่งเวลาแบบนี้ไอ้ภูมิมักจะเปลี่ยนเป็นเด็กนักเลงเหมือนนิสัยเก่าของมันที่โรงเรียนประถม ซึ่งทุกครั้งมันก็หยุดตัวเองได้ ผมเองก็ทึ่งในตัวมันเหมือนกันนะ

              ผมเดินช้า ๆ ฝ่ากลุ่มเพื่อนที่กำลังยื่นมือมาตบบ่าตบไหล่เขาราวกับเป็นซูเปอร์สตาร์เข้าไปในห้อง ไอ้ภูมิไม่ได้เข้ามาหยิบกระเป๋าเหมือนผม มันกำลังหัวร่อลงลูกคอกับเพื่อนชายหลายคนที่รู้สึกสนุกสนานกับการต่อสู้เมื่อครู่

              ผมเดินตรงไปยังกระเป๋า รูดซิปปิดพลางดึงมันขึ้นมาสะพายบนบ่าเหมือนเดิม กุญแจบ้านยังอยู่ในกระเป๋าผม การจะทิ้งกระเป๋าไว้บนห้องขณะไปเข้าแถวดูจะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ผมยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ปลายคาง บางทีการไปทำแผลอาจเป็นอีกอย่างที่ผมต้องทำ เพราะดูเหมือนเลือดจะไม่หยุดไหลง่าย ๆ แถมอาจจะหกมาเปื้อนเสื้อจนเละไปหมดเหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เขาเคยมีเรื่องวิวาทก็ได้

              "ปวินทร์"

              ผมเงยหน้าขึ้น และเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยจากชนิดา เธอจ้องผมอยู่นานโดยไม่หลบตาเหมือนอย่างเคย ผมกับเธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและบรรจงเช็ดเลือดบนแก้มและปลายคางของผมอย่างเบามือ เธอเข้ามาใกล้ผมเหลือเกินจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจสั่น ๆ ของอีกฝ่าย

              ใบหน้าของเธอ แววตาของเธอ มันไม่ได้บอกสิ่งที่เธออยากจะถามผม และเธอคงจะไม่พูดอะไรออกมาเป็นแน่ ถ้าผมไม่ถามเธอว่า ตกลงเธอเช็ดเลือดให้ผมทำไม

              "เป็นอะไร" ผมถาม พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ

              "ปะ...เปล่า" ชนิดาตอบพลางหลบสายตาผมอีกครั้ง "ชั้น...คิดว่าเธอควรไปห้องพยาบาลนะ"

              "ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เล็กน้อย" ผมว่า พลางยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน "เป็นห่วงเราด้วยหรอ"

              ดูชนิดาจะชะงักไปนิดหน่อย เธอเอามือกุมไว้ที่หน้าอกขณะมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าผม "ห่วงสิ"

              ผมยิ้มอีกครั้ง และคราวนี้ชนิดาสังเกตเห็น

              "ปวินทร์ เธอยิ้ม" ดูเธอจะตกใจเหลือเกิน คงเพราะเธอไม่เคยเห็นผมทำหน้าสบาย ๆ เลยก็ได้มั้ง เธอจ้องเข้ามาที่ริมฝีปากผมจนผมต้องรีบหุบมันลงด้วยความตกใจ

              "ทะ...ทำไม"

              "เค้าจะบอกว่าเวลานายยิ้ม นายดูหล่อมากไง" เสียงไอ้ภูมิดังขึ้น ก่อนที่สายตาและเสียงล้อเลียนจากทั้งห้องก็ดังขึ้นกึกก้อง

              ทั้งสองผละออกจากกันเหมือนเดิม ผมจ้องหน้าเหล่าผุ้ชายที่ทำหน้าทะเล้นและเป่าปากอย่างหงุดหงิด อยากจะต่อยพวกมันซักหมัดสองหมัดจัง แล้วทำไมผมต้องโกรธด้วยล่ะ ไม่เข้าใจจริง ๆ

              ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไร ผมก็คว้าแขนของชนิดาและดึงเธอเดินออกมาจากห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปมากกว่า

              "เฮ้ย วินกับเด็กใหม่จูงมือกันด้วยเว้ย!!!"

              ระหว่างทางเดินลงบันไดนั้น ผมกับชนิดาไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่เธอกลับปล่อยให้ผมดึงไปอย่างว่าง่าย - กว่าจะเดินลงบันไดมาได้ก็ลำบากพอดู เสียงเพลงโรงเรียนดังขึ้นแล้ว ผมจึงรู้สึกตัวว่าบีบแขนชนิดาแน่นไป

              "ขอโทษ เจ็บมากไหม" ผมหันไปถามขณะปล่อยมือ

              และพบว่าตอนนี้เธออายหน้าแดงจนพูดอะไรไม่ออก ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมจูงมือเธอต่อหน้าคนทั้งห้อง ละมั้ง

              "ไม่หรอก แต่เธอต้องไปห้องพยาบาลนะ"

              ผมพยักหน้าพลางถอนหายใจ และออกเดินไปพร้อม ๆ กับชนิดาที่มองไปยังกลุ่มนักเรียนที่กำลังทยอยเดินไปเข้าแถว เลี้ยวเข้าห้องพยาบาลที่ตอนนี้ไร้ผู้คน

              "ทำแผลเป็นหรอ"

              "อะ อืม" ชนิดาตอบ หน้าแดงซ่าน

              "เป็นอะไรของเธอเนี่ย" ผมว่า พลางก้มตัวลงนั่งยอง ๆ ดูใบหน้าเธอที่ถูกผมปกปิดไว้ "แค่ทำแผลเราเอง ไม่ต้องเศร้าขนาดนั้นก็ได้"

              "ชั้นไม่ได้เศร้านะ" ชนิดาร้อง พลางเงยหน้าขึ้นเถียง

              "งั้นเมื่อกี๊เธอเป็นอะไรล่ะ" ผมย้อนถาม รู้สึกสนุกที่ได้เห็นเธออึกอัก นี่ผมเป็นบ้าไปแล้วสินะ

              "ก็ ก็"

              "ช่างเหอะ"

              ผมว่าพลางยิ้มน้อย ๆ เป็นยิ้มที่ทำให้ชนิดายิ้มตอบอย่างรวดเร็วเพราะดีใจ

              "ปวินทร์ยิ้มอีกแล้ว" เธอว่าเสียงร่าเริง

              "ก็เพราะเธอนั่นแหละ" ผมตอบกลับเสียงรื่นเริง

              โลกหยุดนิ่งไปชั่วคณะนึง

              ผมมองจ้องหน้านิ่งอยู่กับชนิดาที่แก้มแดงซ่านเพราะคำที่เพิ่งหลุดออกจากปากผมไป เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้นี้ผมพูดว่าเธอทำให้ผมมีความสุขหรอ ทำไมผมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้ล่ะ...

              "ชั้น...ดีใจนะ" เธอพูดเสียงสั่น "ที่ทำให้เธอยิ้ม"

              ผมยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเลือดยังคงไหลไม่หยุด จนตอนนี้ใบหน้าเริ่มแดงก่ำแล้ว และชนิดาก็หันมามองพอดี

              ตายแล้ว รีบไปเถอะ เดี๋ยวเธอจะซีดตายซะก่อน ชนิดาว่า พลางดึงมือผมไปยังห้องพยาบาล

              ผมยิ้มให้เธออีกแล้วหรอเนี่ย...

     

    --------------------

     

              11 : 25 P.M.

    08 / 02 / 2006

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×