คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
สายลมที่ผ่านไป
ตอนที่สอง
ผมเดาเอาเองว่าพ่อแม่ผมเป็นคนประหยัด เพราะบ้านที่ผมอยู่มันช่างเล็กไม่สมศักดิ์ศรีมหาเศรษฐีเลยแม้ซักนิด ทาวน์เฮ้าส์ซอมซ่อที่ดูเหมือนปราศจากการทำความสะอาดของผมตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านหลังใหญ่หลังอื่น ๆ ลูกเด็กเล็กแดงของหลาย ๆ คนออกมาวิ่งเล่น บ้างก็วิ่งตัดหน้าผมไปเมื่อผมเดินผ่าน เหล่าลุงป้าทั้งหลายกำลังตะโกนปรามไม่ให้ไปที่โน่นที่นี่พลางหวดไม้เรียวไปมา – ผมยิ้มให้กับเด็กคนหนึ่งที่บังเอิญหันมาสบตาผม ก่อนจะเปิดประตูรั้วเข้าไป
ด้านในนั้นเป็นพื้นปูนขรุขระที่ผ่านการใช้มาไม่ต่ำกว่าสิบปี ผมถอนหายใจเล็กน้อยขณะเลื่อนประตูรั้วปิด บ้านหลังนี้ ถึงจะเพิ่งย้ายมาอยู่ แต่บ้านหลังเก่าที่มีความทรงจำมากมายนั้น – ผมละทิ้งความหลังอันน่าจดจำของมันไปหมดแล้ว – ตั้งแต่วันที่ผมพบว่าพ่อแม่ของผม...
ใบหน้าของผมรู้สึกอุ่น ๆ เล็กน้อย
ผมกระชากประตูเก่า ๆ ที่สภาพเหมือนจะหลุดจากบานพับอยู่รอมร่อให้เปิดออก ก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่ได้ปิดประตูไม้ เหลือไว้เพียงมุ้งลวดโปร่ง ๆ เพื่อให้ลมผ่านเข้าออก ผมใช้ท่อนขาทั้งสองข้างถอดรองเท้าผ้าใบ เขี่ยมันไปข้าง ๆ ประตู โยนกระเป๋าไปยังโซฟามุมห้อง แล้วจึงเริ่มถอดเสื้อ
ชั้นล่างของบ้านผมแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือส่วนหน้ากับส่วนหลัง ถ้าเข้ามาทางหน้าบ้าน สิ่งแรกที่จะเห็นคือทีวีพลาสม่ายี่สิบห้านิ้วที่วางไว้ด้านตรงข้ามกับโซฟา – นาฬิกาถูกติดอยู่บนเพดานเพื่อให้ผมที่ชอบงีบหลับบนโซฟาตื่นขึ้นมาดูเวลา โต๊ะทำงานรกรุงรังที่ท้ายห้อง ผนังริมซ้ายเป็นชั้นหนังสือ – ที่เก็บอภิมหานิยายที่ผมชอบอ่านไว้เป็นตั้ง ๆ – ถ้าเดินเลยออกไปอีกหน่อย ก็จะพบกับบันไดขึ้นชั้นบนและห้องครัวที่อยู่ลึกเข้าไป เป็นครัวที่ค่อนข้างสะอาด เพราะผมทำอาหารทุกวัน และก็ทำความสะอาดมันทุกวันเช่นกัน – ชั้นบนเป็นห้องน้ำกับห้องนอน ซึ่งผมเองก็ต้องขัดถูทุก ๆ สัปดาห์
การอยู่คนเดียวเป็นเรื่องยากเหลือเกิน...
การยืนอยู่คนเดียวในบ้านที่ไร้ผู้คนทำให้จิตใจผมสั่นคลอน – ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความอ้างว้างไม่มีที่สิ้นสุด และความเงียบงันจนแทบจะร้องตะโกนด้วยความเหลืออด – ความเครียดที่สั่งสมมานานปีคงจะทำให้ผมเป็นคนเงียบ ๆ ชอบคิดมากกว่าพูดน่ะแหละ
โซฟาสีครีมสะท้อนแสงแดดยามเย็น
ผมล้มลงนอนตรงนี้บ่อยครั้ง ทุกครั้งนั้น - ผมจะคอยเฝ้ามองดูนาฬิกาที่ติดไว้บนเพดานเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ เฝ้ามองลึกเข้าไปในตัวเลข หายเข้าไปในความมืดดำ ลึกลงไปในความสงบนิ่งและเสียงดังติ๊กเป็นจังหวะของมัน...
ให้ตายสิ ผมเกือบจะหลับไปจริง ๆ ซะแล้ว
ผมกระเด้งตัวขึ้นจากเบาะหนานุ่ม บิดตัวสองสามทีไล่ความง่วงที่เข้ามาเยือนไวเหลือเกิน ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นทำกับข้าว ผมน่าจะสั่งให้วิเชียรเอาหมูมาส่ง – หรือคิดอีกที ค่อยไปซื้อเอาวันเสาร์ก็แล้วกัน...
ค้นตู้เย็นอีกครู่ใหญ่ ๆ และพบเพียงอาหารนิดหน่อยไม่พอจะมาประทังความหิวที่ตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับน้ำย่อยกำลังทะลักมาท่วมท้อง
สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่เอาอาหารแช่แข็งเข้าเตาไมโครเวฟเพื่ออุ่นมันกิน เหมือนชีวิตของคนทั่วไปที่ไม่คิดจะเสียเวลาไปกับของกิน
ผมเดินกลับมาที่โซฟา มองหารีโมตโทรทัศน์อยู่ครู่หนึ่งกว่าจะพบว่ามันไปอยู่ที่ใต้โต๊ะอย่างไม่มีสาเหตุ ผมกำลังหยิบมันขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่ใช่ลำโพงทีวี
"แง้ว..."
หูผมอาจจะแว่ว ใช่ น่าจะบ้า ซอยนี้มีแต่หมา แล้วไหงถึงมีคนอุตริเอาแมวมาเลี้ยงได้เล่า...
"แง้ว..."
ผมขยี้หัวไล่ความง่วง ดูท่าจะเป็นหนักแฮะเรา แถมเสียงยังอยู่ใกล้ ๆ อีก หน้าบ้านเราเลยนะ...
"แง้ว…"
ผมหันไปเจอะกับแมวที่ยืนอยู่หน้ามุ้งลวด มันยกขาหน้าสองข้างของมันมาด้านบน เหมือนจะตะกายลวดขึ้นไปกดตัวล็อก
"เฮ่ย"
ผมอุทานสั้น ๆ แต่ได้ใจความ พลางลุกขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ ๆ เจ้าแมวตัวนี้ – มันมีขนสีส้มสลับเหลืองดูสวยงาม ใบหน้าของมันจับจ้องมาที่ผมซึ่งกำลังมองมุ้งลวดเพราะกลัวมันจะขาดเพราะตีนหน้าของเจ้านี่ซะก่อน
"แมวที่ไหนเนี่ย"
มันส่งเสียงห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนจะได้ยินผมพูด ก่อนจะเพิ่มแรงกดลงบนลวดมากขึ้นจนเกิดเสียงแกรก ผมเริ่มกลัวมุ้งลวดขาดซะแล้วสิ
"เฮ้ย ออกไป" ผมร้อง พลางเตะขาไปด้านหน้าเหมือนจะทำให้มันกลัว
"แง้ว"
ไม่สะทกสะท้านเลย ซ้ำยังอ้าปากหาวเป็นเชิงเบื่ออีก ไอ้นี่นี่!!!
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ผมก็ได้รู้ถึงสาเหตุที่มันถ่อมาถึงหน้าประตูบ้านเขา หมาข้างบ้านผมได้กลิ่นแมวแล้ว และกำลังส่งเสียงร้องขู่กรรโชกข้ามรั้วมา และก็ไม่รู้ทำไมอีกนั่นแหละ ที่หมาตัวอื่น ๆ ในซอยก็เริ่มส่งเสียงร้องเห่าหอนกับเค้าไปด้วย จนเจ้าแมวซ่าหันไปมองรอบ ๆ อย่างตกใจ แวบแรกผมนึกสมน้ำหน้ามัน แต่ดูอีกที ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ...
"พ่อแม่ไปไหนล่ะหือ" ผมก้มตัวลงนั่งยอง ๆ ถามแมวที่อยู่อีกฝากของประตู มันหันมามองผมอยู่ครู่หนึ่ง พยายามสอดปากผ่านลูกกรงเข้ามา ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตู
เจ้าแมวส้มกระโดดแผล็วเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงร้องครางนิดหน่อย – ก่อนจะเริ่มนั่งลงบนพื้นกระเบื้องเพื่อเลียขน
"อย่าได้ใจไปนะ – ชั้นให้แกอยู่แค่คืนเดียวเท่านั้นแหละ" ผมว่าพลางรีบปิดประตูเพราะกลัวยุงเข้าบ้าน "คืนหน้าเตรียมตีตั๋วออกไปได้เลย...เฮ้ย"
ภาพตรงหน้าก็คือเจ้าแมวที่ผมพึ่งว่าไปเมื่อกี๊กระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวโปรดของผมเรียบร้อยแล้ว – ดูมันจะชอบซะด้วย เล่นหลับตาพริ้มซะขนาดนั้น
"ไอ้นี่ – ได้ทีเอาใหญ่เลยนะแก" ผมบ่นเสียงเบาพลางนั่งลงข้าง ๆ เจ้าแมว มันลอยขึ้นจากเบาะเล็กน้อยเพราะน้ำหนักของผม
จะว่าไปแมวนี่ก็น่ารักดีนะ ผมคิดอย่างสบายอารมณ์พลางยกมือขึ้นลูบหัวที่มีแต่ขนนิ่ม ๆ ของมัน – แต่ยังไม่ทันไร มันก็สะบัดมือผมทิ้งพร้อมกับข่วนเบา ๆ เข้าที่แขน ผมกระตุกด้วยความตกใจ เจ้าแมวนี่วอนโดนกระทืบซะแล้ว
"ลูบก็ไม่ได้ อะไรจะหรูขนาดนั้นวะ"
มันร้องเบา ๆ เหมือนกับจะตอบรับ ผมจ้องหน้าเฉย ๆ ของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาข้าวปลาในครัว ยังไงก็ปล่อยมันอดตายอยู่ในบ้านผมไม่ได้หรอก – ขี้เกียจเก็บไปทิ้ง
โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ผมชอบกินปลาทู เลยมีมันอยู่ในตู้เย็นนิดหน่อย – อย่างน้อยมื้อนี้แมวก็ได้กินปลา – แต่พรุ่งนี้ผมจะกินอะไรล่ะ...
ข้าวคลุกปลาทูใส่จานเล็ก ๆ ถูกวางลงตรงหน้าเจ้าแมวส้มที่กำลังเดินร่อนไปทั่วบ้านผม ("นี่บ้านชั้นไม่ใช่บ้านแกนะเว้ยเฮ้ย") มันหันมามองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งต้นก้มหน้าลงไปกิน ส่งเสียงครางขณะเคี้ยวไปด้วย ไม่มีมารยาทซะจริง ๆ
"จะว่าไป – เรียกแกว่าเจ้าแมวมันก็ไม่ดีอะนะ – แต่ชั้นไม่มีปัญญาคิดชื่อแล้วว่ะ" ผมนั่งลงข้างหน้าและคุยกับมัน ซึ่งยังคงตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่สนใจ "เอางี้ แกลองเสนอชื่อให้ชั้นหน่อยสิ"
"แง้ว"
"ชื่อแง้ว แกจะเอาหรอ"
"แง้ว"
"ถามว่าจะเอารึเปล่า..."
"แง้ว"
"เออ ช่างเหอะ"
"แง้ว"
"ไม่ต้องแง้วแล้วเว้ย"
"แง้ว"
"..."
หลังจากเจ้าแมวตัวยุ่งอิ่มแล้ว มันก็กระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาตามเดิม ผมไม่คิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตไหนในโลกจะมีนิสัยเกียจคร้านได้มากกว่านี้ มันส่งเสียงครางอย่างพออกพอใจ และแล้วผมก็โดนยึดที่นอนหลักไป
"ฝากไว้ก่อนเถอะแก" นี่ถ้าไม่ติดว่าผิดศีลนะ ผมจะสับมันเป็นชิ้น ๆ ไปให้เจ้าหมาสามสี่ตัวนั่นกิน ถ้ามันจะเลิกเห่าได้ซักที
--------------------
อีกแล้ว...
ความมืดนี่อีกแล้ว…
มองไม่เห็นอะไรเลย...
หันหลังกลับไปก็ไม่พบใคร...
จะมองไปทางไหนก็ไม่พบใคร…
เหงาจัง...
ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่อยู่แล้วล่ะ
เดี๋ยวสิครับ...
ทำไมถึงทิ้งผมไปล่ะ…
ทำไม...
เสียง...
เสียงเบา ๆ นั่น...
จะพูดอะไรกับชั้นหรอ...
...
ปวินทร์...
ปวินทร์......
"ปวินทร์ – ตื่นซะทีซี่" เสียงนุ่ม ๆ ดังใกล้ ๆ หู ผมลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เพราะแสงไฟสว่างจ้าบนเพดาน และพบว่ามีร่างหนึ่งกำลังชะโงกหน้ามาดูผม
ชนิดา!!!
ผมสะดุ้งถอยหลังจนหัวกระแทกฝาผนัง เบิกตากว้างอย่างตกใจ
"ดา!!! – เข้ามาได้ไง"
ดูเธอจะขำกับท่าทางผมนิดหน่อย ก่อนจะเปรยยิ้มให้
"ก็บ้านเธอไม่ได้ล็อกนี่"
ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะถอนใจเพราะตัวเองไม่ได้ล็อกจริง ๆ ก่อนจะเริ่มร้องโอยเพราะหัวไปโขกผนังเต็มแรง ชนิดาหัวเราะอีกครั้ง
ผมขยี้หัวอย่างงง ๆ ดูเหมือนว่าผมจะต้องปรับปรุงเกี่ยวกับระเบียบวินัยในตัวเองนิดหน่อยแล้ว – เพราะถ้าปล่อยละเลยบ้านแบบนี้ มีหวังบ้านคงโดนยกเค้าไม่ช้าก็เร็วสิน่า
"ว่าแต่ กินข้าวเช้ามารึยังล่ะ" ผมถามพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาพับ ชำเลืองมองชนิดา
เครื่องแบบยุวกาชาดสีน้ำเงินเข้มดูจะเข้ากับเธอดี ใบหน้านวลแดงเรื่อเล็กน้อย กระโปรงลายจีบสีน้ำเงินปลิวพลิ้วไหวไปกับลมที่พัดมาจากหน้าต่าง ผมเหลือบมองดูเสื้อนักเรียนซอมซ่อของตัวเอง ผมหลับไปทั้ง ๆ ชุดนี้เลยหรอเนี่ย...
"ไม่เป็นไรหรอก – ปกติเค้าไม่กินข้าวเช้า" เธอตอบ ยกมือขึ้นจับเรือนผมที่ปลิวน้อย ๆ ไปไว้หลังหู
"งั้นเดี๋ยวเราทำเอง" ผมว่าพลางหยิบหมอนขึ้นมาฟาดกับหน้าตักไล่ฝุ่น และพบว่ามีบางอย่างกำลังเดินผ่านขาขวาไป
ไอ้นี่อีกแล้ว...
ชนิดาวิ่งโร่เข้ามา ก่อนจะก้มลงมองอย่างตื่นเต้น มันเพียงแต่อ้าปากหาว ก่อนที่จะร้องแป๊วเพราะถูกเธอดึงขึ้นไปกอด
"น่ารักจังเลย – เธอเลี้ยงมันไว้หรอ" เธอกอดมันแน่น จนผมกลัวว่ามันจะตายคามือไปซะก่อน
"ทำนองนั้น" ผมตอบไม่เต็มเสียง
"มันชื่ออะไรหรอ"
"มัน – เอ่อ" ก็ผมยังไม่ได้ตั้งเลยนี่
"ท่านชาย"
เจ้าแมวส้มส่งเสียงร้องอย่างโกรธ ๆ – แต่ผมกลับยักไหล่ให้มัน – ก็นิสัยแกมันบอกอย่างนั้นเลยนี่
ชนิดาวางมันลงกับพื้น และท่านชายก็เผ่นแผล็วหายไปชั้นล่างทันที
"เธอก็รีบไปอาบน้ำเถอะ – จะหกโมงแล้ว"
"คร้าบท่านหญิง"
"ใครท่านหญิงกันคะคุณผู้ชาย"
--------------------
เครื่องแบบสีกากีของลูกเสือเสนาดูจะซีดลงไปอีกเมื่อผมเคยนำมันไปล้างคราบสกปรกที่ได้มาจากค่ายลูกเสือที่ออกจะสมบุกสมบันหลายต่อหลายครั้ง - แต่ยศพิเศษหลายต่อหลายอย่างที่ผมมีมากกว่าคนอื่นเค้าก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกชอบเสื้อตัวนี้มากขึ้นทุกที – ยกเว้นเวลาใส่ที่ทำให้ผมเสียเวลาไปโรงเรียนอีกมากมาย
ฝีมือทำครัวของผมไม่เคยลดลง – จนบัดนี้ความรู้ที่ถูกแม่สั่งสอนมากำลังส่งผลดี เพราะอาหารที่ผมทำ – ผมมักจะใส่อะไรพิเศษลงไปนิดหน่อยเช่นสมุนไพร – แต่คราวนี้ทุกอย่างเกลี้ยงตู้เย็น ที่ทำได้ก็แค่อาหารทั่ว ๆ ไปเท่านั่นแหละ
ผมยกจานข้าวสามจานมาอย่างทุลักทุเล จานหนึ่งส่งให้กับชนิดา อีกจานวางไว้บนโต๊ะ ส่วนอีกจานร่อนเบา ๆ ไปให้ท่านชายที่ไม่คิดจะขยับไปไหนเลยนอกจากโซฟา – ข้าวไข่ดาวของผมดูจะหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอีกสองที่เหลือ ซึ่งชนิดาก็ชำเลืองมาทางผมเกือบจะทุกครั้งที่ผมหันไปทางอื่น และหลบตาไปทานข้าวทุกครั้งที่ผมหันมามอง – ผมเพียงแต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้มให้เฉย ๆ
หกโมงสามสิบนาทีแล้วเมื่อผมออกจากบ้าน ดูชนิดาจะเขินนิดหน่อยเมื่อผมเสนอจะหิ้วกระเป๋าให้แบบเมื่อวาน – แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ถนนใหญ่ตอนนี้รถราเริ่มบางตาลงบ้างแล้วหลังจากติดมาทั้งวันทั้งคืน ชนิดากับผมเดินไปกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีใครคุยอะไรกัน หนทางที่ใกล้ ๆ กลับดูจะไกลขึ้นไปอีกเมื่อผมพยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อทำลายความเงียบของเราสองคน
"นี่ ปวินทร์"
ผมหันหน้าขึ้นมามองเธออย่างสงสัย ชนิดากำลังมองไปยังเสาไฟฟ้าด้านหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ที่แน่ ๆ เธอเรียกชื่อผมอยู่ล่ะ
"หือ"
"เธอมีเพื่อนเยอะมั้ย"
"ก็" ผมหยุดนิดหนึ่ง มองเสาไฟฟ้าที่ชนิดาจ้องไปอย่างสงสัยว่ามันมีอะไรอยู่บนนั้น "นิดหน่อย"
"แล้วเพื่อนเธอชอบรึเปล่าที่มาคุยกับเค้า"
ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ – คำว่าเพื่อนของเธอดูจะกำกวมเหลือเกินสำหรับผม
"ก็ไม่เป็นไรนี่ เธอก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร" ผมว่าพลางยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน "แล้วเธอล่ะ อยู่ที่โรงเรียนเก่ามีเพื่อนบ้างมั้ย"
ชนิดาชะงักไป ผมไม่ใช่คนโง่ และดูออกว่าเธอไม่อยากตอบ เธอคงจะมีเพื่อนน้อยมากเลยสินะ
"ก็..."
"ช่างเหอะ" ผมตัดบทเสียงนิ่มที่สุดเท่าที่นิสัยห้วน ๆ ของผมจะทำได้ ก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ "หกโมงสี่สิบแล้วนี่ เธอบอกจะไปตอนกี่โมงนะ"
"เจ็ดโมงจ้ะ"
"เริ่มเหนื่อยรึยังล่ะ"
"ถามยังงี้แสดงว่าเหนื่อยแล้วล่ะซี่" ชนิดาเปลี่ยนเสียงเป็นร่าเริงล้อผมอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะออกวิ่งนำไปด้านหน้าอย่างร่าเริง "วิ่งแข่งกันไปโรงเรียนเอาไหม"
"งี้เธอก็ขี้โกงนี่" ผมว่าพลางชูกระเป๋าของชนิดาขึ้นสูงอย่างประท้วง
แต่เธอเพียงแต่หัวเราะร่าพลางวิ่งกึ่งกระโดดนำหน้าผมไปอย่างรวดเร็ว
"เฮ้ – รอด้วยสิดา"
และด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ผมยิ้มโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำขณะกระหืดกระหอบวิ่งตามเธอไป
--------------------
ไอ้ภูมิรอผมอยู่ในห้อง – ซึ่งผมเองก็ไม่เคยแปลกใจ มันไม่เคยมาหลังเจ็ดโมงเลยซักครั้ง บางครั้งมันก็ไปคลุกอยู่กับห้องเครื่องเสียงเพื่อเตรียมเทปเคารพธงชาติ หรือบางทีมันก็ไปประชุมพี่เลี้ยงอะไรของมันเกือบจะทุกวัน ดูเหมือนวันนี้มันจะลางานทั้งหมด แล้วตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปอยู่บนห้องแทน
ผมหยุดดูภาพที่ไอ้ภูมิวาด หมอนี่วาดภาพเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ผิดกับผมที่ฝึกวาดจนแทบตายยังวาดได้แค่งู ๆ ปลา ๆ
"ภาพไรวะ" ผมเงยหน้าถามมันที่กำลังจ้องตอบอย่างเซ็ง ๆ
"โด่ – จินตนาการอะ มีป่าววะ" ภูมิว่าพลางดึงสมุดไปจากมือผม "แกนี่ไม่เคยจะเข้าใจ"
ผมลอบถอนหายใจ ขณะที่ชนิดาชะโงกหน้าข้ามไหล่ของผมไป – เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเธอไล่ไปตามไหล่ของผมจนรู้สึกนิ่มแปลก ๆ
"วาดรูปสวยจังเลย" เธอว่าพลางจ้องเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น "ปวินทร์ – เพื่อนเธอวาดรูปการ์ตูนญี่ปุ่นเหมือนมืออาชีพเลย"
"ขอบใจ – อันที่จริงชั้นเองก็วาดเล่น ๆ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรหรอก" ภูมิได้โอกาสเลยรีบคุยทันที – ผมเบือนหน้าหนีมันอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะโยนกระเป๋าของตัวเองไว้บนเก้าอี้และเดินพรวด ๆ ออกจากวงสนทนา
"ปวินทร์ จะไปไหนหรอ" ชนิดาตะโกนถาม ทำท่าจะลุกตามไป
"ปล่อยมันไปเหอะ – คนอย่างมันไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะไปไหน"
ผมลอบถอนหายใจเบา ๆ เมื่อได้ยินเพื่อนรักพูดแบบนั้น ก่อนจะตัดสินใจไปยืนรับลมที่ริมระเบียงห้อง
"เออใช่ – วิน ไอ้วิน"
ผมเกือบจะทำเป็นไม่หันไปมองแล้ว – เว้นแต่ถ้ามันเรียกผมแบบเอาเป็นเอาตายอย่างนี้ – ผมถึงจะเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องด่วน ไม่ใช่เรียกผมไปเผาแบบครั้งที่แล้ว
"อะไร" ผมหันไปถามภูมิที่ตอนนี้ลุกขึ้นทำหน้ายิ้ม ๆ
"จะว่าไป - นายน่าจะแก้ข่าวเรื่องที่นายไปแอบชอบสาวมอปลายได้แล้วนะ" ภูมิว่าพลางยิ้มกริ่ม
ผมเลิกคิ้วขึ้น – ใครกันที่ไปปั้นน้ำเป็นตัวขนาดนั้น
"ใครบอกแกว่างั้น"
"ไม่รู้สิ – รู้สึกว่ารุ่นพี่คนนั้นเค้าจะพยายามกระจายข่าวด้วยแหละ"
ผมสังเกตสีหน้าของชนิดาที่เริ่มหมองลงเรื่อย ๆ ตามคำพูดของไอ้ภูมิ – เป็นอะไรของเขากัน
"แล้วมันสำคัญอะไรนักหนา"
ผมถามกลับ ขณะที่เพื่อนเกลอทำหน้าเหมือนโลกจะแตกซะให้ได้ – บ้ารึเปล่าวะไอ้นี่
"สำคัญ – สำคัญมาก ๆ ด้วย"
มันกระโดดข้ามโต๊ะเรียนมาประชิดตัวผม ก่อนจะส่งเสียงกระซิบ
"ตกลงแกชอบพี่เค้าจริง ๆ หรอ"
"บ้าสิ" ผมว่าเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร
"งั้นทำไมไม่บอกความจริงไปล่ะ"
"ใครกันที่อยากฟัง"
"จริงหรอปวินทร์"
ผมมองข้ามไหล่ของภูมินทร์ไป และพบกับสายตารอคอยคำตอบของชนิดา – แววตาเย็นชาเผยให้เห็นครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหลบหน้าผมไป – แล้วนี่เธอเป็นอะไรอีกล่ะ
"บอกเค้าไปสิวะว่าไม่จริง"
ทำไมผมต้องทำอะไรให้มันเหนื่อยด้วย ก็ในเมื่อชนิดาไม่ใช่แฟนผม – แล้วเธอก็คงเห็นผมเป็นเพื่อน ไม่ใช่แฟน
แล้วมีประโยชน์อะไรที่ต้องไปพูดเรื่องนี้กับเพื่อน
แต่ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ที่มันกลับรู้สึกผิดโดยที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักนิด – อาจจะเป็นเพราะดาที่ส่งสายตาเคลือบแคลงมาให้ผมก็ได้ – แล้วทำไมผมต้องรู้สึกผิดกับสายตาของเธอล่ะ...
ผมอ้าปาก – แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็กระชากคอผมจนเซไปตามแรงแขน เสียงร้องหนัก ๆ ของผมตามมาด้วยดวงตาของภูมิที่มองเลยผ่านหัวผมไป ดูสีหน้าของมันซีเรียสเกินปกติ – นี่คงไม่ใช่เรื่องหยอกกันเล่น ๆ แล้ว
"ว่าไงไอ้น้องรัก"
เสียงหนัก ๆ ของรุ่นพี่คนหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เจ้าของเสียงดันผมไปติดประตูห้องที่ทาบสนิทไว้กับกำแพง – ผมรู้สึกถึงแรงแขนของเขา คงมากไม่ใช่น้อยที่จะฉุดคนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามให้ปลิวตามไปด้วยเหมือนเศษกระดาษแบบนี้
ผมเงยหน้าขึ้นมอง และพบใบหน้านิ่ง ๆ ที่แสร้งทำหน้าบิดเบี้ยวเหมือนนักเลงทั่ว ๆ ไปที่ดูแล้วน่าซัดเข้าซักเปรี้ยง ถ้าไม่ติดที่เพื่อนของหมอนี่ที่เดินตามกันมาสองคน – ใบหน้าที่มีพลาสเตอร์ประดับไว้ตรงหน้าผากคงจะเป็นสัญญาณอันตรายว่าคน ๆ นี้ไม่ได้เก่งแค่หาเรื่อง
"อ้าว – รุ่นพี่ชิดชัย" เสียงเย็น ๆ ของไอ้ภูมิเรียกดวงตาของคู่กรณีให้หันไปมองได้ครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดกลับมาจ้องตากับผมเหมือนเดิม "วันนี้มาหาเรื่องเพื่อนผมแต่เช้า มีธุระอะไร"
"อ้อ – ไม่มีอะไรหรอก" เห็นชัด ๆ ว่าพี่ชิดชัยโกหกเต็มประตู เพราะที่พี่เค้ามากระชากลากถูผมไปไหนมาไหนนี่คงไม่ใช่การทักทายกันธรรมดาแล้ว "ชั้นแค่มาทักทายเฉย ๆ"
"มีอะไรก็บอกมาตรง ๆ ดีกว่าพี่" ผมพูด พลางยกมือขึ้นจับแขนของพี่ชิดชัยไว้ พลางออกแรงดันเพื่อให้มันหลุดออกจากรอบคอผมซักที
พี่ชิดชัยหัวเราะเบา ๆ
"งั้นแกก็บอกมาสิ – ว่าเรื่องที่แกไปแบชอบนัทน่ะเป็นเรื่องจริงรึเปล่า"
ผมเกือบหัวเราะออกมาแล้วทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลา – ที่แท้พี่ชิดชัยก็หวงแฟน – ถ้าตอบไปว่าไม่ เรื่องก็คงจบโดยไม่มีใครเจ็บตัว แล้วยังแก้ข่าวกับชนิดาได้ด้วย – ผมแอบยิ้มในใจ พลางเงยหน้ามองรุ่นพี่เพื่อตอบคำถาม – แต่ภูมิดูเหมือนจะหายใจออกจากจมูกแรง ๆ เป็นเสียงแค่นหัวเราะ
"ถ้าใช่แล้วจะทำไมหรอพี่"
คำตอบของมันทำเอาผมเหลียวไปมองอย่างตกใจ ผมอยากจะต่อยหน้าไอ้ภูมิจริง ๆ แล้วสิ ตอบแทนผมซะเสร็จสรรพเลยนะ แถมยังตอบเป็นแบบที่ผมเลือกเป็นคำตอบท้ายสุดที่ผมอยากจะตอบซะด้วย
"งั้นหรอ"
มือซ้ายที่ไม่ได้บีบคอผมกำลังเงื้อสูงขึ้น ไอ้ภูมิยังคงยืนนิ่ง ๆ อยู่ในห้อง – นอกจากมันจะยุให้คนตีกันได้แล้ว - มันยังปล่อยให้ผมโดนอัดอีก – นี่มันไม่ห่วงผมรึไง!!!
"อึก..." ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มือขวาของพี่ชิดชัยบีบแน่นขึ้นจนผมรู้สึกเหมือนถูกอัดกระป๋อง – หมัดที่เงื้อถูกหยุดไว้หลังศีรษะของเจ้าตัว ใบหน้านั้นกลับดูกวนพระบาทายิ่งกว่าขามา ก่อนริมฝีปากจะเหยียดยิ้ม
"ให้ตอบอีกที"
ผมกำลังประมาณแรงหมัดของพี่ชิดชัยอยู่เงียบ ๆ ขณะจ้องไปยังใบหน้าของเขา – ไอ้ภูมิก้าวมายืนอยู่ข้าง ๆ ผมอย่างรวดเร็วแล้วฉีกยิ้ม
"ตอบยังไงก็เหมือนเดิม – จริงมั้ยเพื่อน – นาย ชอบ นัท"
และนั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของรุ่นพี่ชิดชัย และนั่นเป็นโอกาสของผม หมัดซ้ายที่หวดเข้ามาทำให้แรงในการบีบของมือขวาลดลง ผมจึงกระชากแขนขวาขึ้นปัดทั้งแขนขวาและก้มตัวหลบหมัดของรุ่นพี่ได้
แต่โชคดูจะไม่เข้าข้าง เพราะหมัดซ้ายของเขานั้น กระแทกเข้าเต็ม ๆ คิ้วผมจนหน้าสะบัดกระแทกประตูไม้เสียงดังลั่น
"โอ๊ย!!!"
ผมสกัดกั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า หมัดของรุ่นพี่ถึงแม้จะเฉี่ยวไปแต่ก็พอจะทำให้เลือดตกยางออกได้ ถ้าโดนเต็ม ๆ ดั้งไม่หักเลยรึไงเนี่ย – ผมฉากออกจากมุมอับเพื่อตั้งหลัก ไอ้ภูมิพุ่งเข้ากระแทกท่อนแขนใส่แฝดร่างผอมที่เดินมากับพี่ชิดชัยจนงายหลังไปทั้งคู่ ผมมองได้ถึงแค่นั้น เพราะพี่ชิดชัยดึงมือซ้ายออกมาแล้ว
ตอนนี้เพื่อนร่วมห้องของผมที่เหลือออกมาออกันที่ประตูห้องจนหมด – ผู้ชายก็ส่งเสียงเชียร์ดังลั่นอย่างสนุกสนาน – ส่วนพวกผู้หญิงก็อยู่เงียบ ๆ คอยลุ้นว่าเมื่อไหร่อาจารย์จะเดินผ่านมา – ส่วนชนิดา...
"หลบได้หรอแก"
รุ่นพี่ชิดชัยพุ่งตัวเข้ายันด้วยเท้าขวา – ซึ่งตรงตามความรู้ศิลปะการต่อสู้ของผม – และคราวนี้ผมหลบได้แบบไม่มีพลาด – ยังแถมด้วยการฟาดศอกเข้าไปที่ท้องแข็งเป๊กของพี่ชิด – แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นอะไรนักนอกจากชะงักงอตัว – ซึ่งนั่นทำให้ผมตั้งหลัก – และกระโดดหมุนตัวเตะก้านคอแบบวิชามวยใส่รุ่นพี่ชิดชัยจนเซล้มไป
นักเรียนชายส่งเสียงเฮดังลั่น – นักเรียนหญิงบางคนกรี๊ด – จะเพราะพี่ชิดชัยแพ้หรือเพราะผมชนะก็ไม่อาจรู้ – ที่แน่ ๆ ไอ้ภูมิกำลังเตะเข้าสีข้างของแฝดตัวเตี้ยสองคนที่นอนกองอยู่บนพื้นนั่นอย่างแรงจนกลิ้งไปคนละทาง ซ้ำยังทิ้งท้ายด้วยคำด่าสารพัด
ผมรู้สึกถึงบางอย่างอุ่น ๆ ไหลผ่านเปลือกตาที่ปิดเพราะสัญชาตญาณ – ผมคงจะคิ้วแตก ในขณะที่พี่ชิดชัยคงจะคอเคล็ดไปอีกนาน เพราะครูฝึกของผมก็เคยโดนอย่างนั้นไปครั้งนึงเหมือนกัน – แกยังบอกเองเลยว่ารุนแรงสมเป็นวัยรุ่น – คราวนี้หวังว่ารุ่นพี่คงหมดโอกาสทำซ่ากับผมแล้ว ความอับอายนี่คงจะอยู่ติดตัวไปอีกนาน
เพราะพวกพี่รวมสามคน แพ้เด็กมัธยมสามเพียงสองคน
จะนับว่าเพราะโชคช่วยก็ไม่ถูกนัก เพราะผมเองก็ถูกเสี้ยมสอนมาจากอาจารย์หลายแห่งหลายที่ ทั้งประสบการณ์ตรงในวัยเด็กและประสบการณ์โหดสดจากวัยรุ่น – หลอมให้ผมกลายเป็นคนที่วิวาทเก่ง – แต่ผมกับไอ้ภูมิก็ไม่เคยทำอะไรเกะกะเกเรคนอื่น เว้นแต่จะป้องกันตัวจริง ๆ – ซึ่งเวลาแบบนี้ไอ้ภูมิมักจะเปลี่ยนเป็นเด็กนักเลงเหมือนนิสัยเก่าของมันที่โรงเรียนประถม – ซึ่งทุกครั้งมันก็หยุดตัวเองได้ – ผมเองก็ทึ่งในตัวมันเหมือนกันนะ
ผมเดินช้า ๆ ฝ่ากลุ่มเพื่อนที่กำลังยื่นมือมาตบบ่าตบไหล่เขาราวกับเป็นซูเปอร์สตาร์เข้าไปในห้อง – ไอ้ภูมิไม่ได้เข้ามาหยิบกระเป๋าเหมือนผม มันกำลังหัวร่อลงลูกคอกับเพื่อนชายหลายคนที่รู้สึกสนุกสนานกับการต่อสู้เมื่อครู่
ผมเดินตรงไปยังกระเป๋า รูดซิปปิดพลางดึงมันขึ้นมาสะพายบนบ่าเหมือนเดิม – กุญแจบ้านยังอยู่ในกระเป๋าผม การจะทิ้งกระเป๋าไว้บนห้องขณะไปเข้าแถวดูจะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ผมยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ปลายคาง – บางทีการไปทำแผลอาจเป็นอีกอย่างที่ผมต้องทำ เพราะดูเหมือนเลือดจะไม่หยุดไหลง่าย ๆ – แถมอาจจะหกมาเปื้อนเสื้อจนเละไปหมดเหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เขาเคยมีเรื่องวิวาทก็ได้
"ปวินทร์"
ผมเงยหน้าขึ้น และเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยจากชนิดา – เธอจ้องผมอยู่นานโดยไม่หลบตาเหมือนอย่างเคย ผมกับเธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและบรรจงเช็ดเลือดบนแก้มและปลายคางของผมอย่างเบามือ – เธอเข้ามาใกล้ผมเหลือเกินจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจสั่น ๆ ของอีกฝ่าย
ใบหน้าของเธอ – แววตาของเธอ มันไม่ได้บอกสิ่งที่เธออยากจะถามผม – และเธอคงจะไม่พูดอะไรออกมาเป็นแน่ ถ้าผมไม่ถามเธอว่า ตกลงเธอเช็ดเลือดให้ผมทำไม
"เป็นอะไร" ผมถาม พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ
"ปะ...เปล่า" ชนิดาตอบพลางหลบสายตาผมอีกครั้ง "ชั้น...คิดว่าเธอควรไปห้องพยาบาลนะ"
"ไม่เป็นไรหรอก – แค่นี้เล็กน้อย" ผมว่า พลางยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน "เป็นห่วงเราด้วยหรอ"
ดูชนิดาจะชะงักไปนิดหน่อย เธอเอามือกุมไว้ที่หน้าอกขณะมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าผม "ห่วงสิ"
ผมยิ้มอีกครั้ง และคราวนี้ชนิดาสังเกตเห็น
"ปวินทร์ – เธอยิ้ม" ดูเธอจะตกใจเหลือเกิน – คงเพราะเธอไม่เคยเห็นผมทำหน้าสบาย ๆ เลยก็ได้มั้ง เธอจ้องเข้ามาที่ริมฝีปากผมจนผมต้องรีบหุบมันลงด้วยความตกใจ
"ทะ...ทำไม"
"เค้าจะบอกว่าเวลานายยิ้ม – นายดูหล่อมากไง" เสียงไอ้ภูมิดังขึ้น ก่อนที่สายตาและเสียงล้อเลียนจากทั้งห้องก็ดังขึ้นกึกก้อง
ทั้งสองผละออกจากกันเหมือนเดิม – ผมจ้องหน้าเหล่าผุ้ชายที่ทำหน้าทะเล้นและเป่าปากอย่างหงุดหงิด – อยากจะต่อยพวกมันซักหมัดสองหมัดจัง – แล้วทำไมผมต้องโกรธด้วยล่ะ – ไม่เข้าใจจริง ๆ
ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไร – ผมก็คว้าแขนของชนิดาและดึงเธอเดินออกมาจากห้อง – ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปมากกว่า
"เฮ้ย – วินกับเด็กใหม่จูงมือกันด้วยเว้ย!!!"
ระหว่างทางเดินลงบันไดนั้น ผมกับชนิดาไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่เธอกลับปล่อยให้ผมดึงไปอย่างว่าง่าย - กว่าจะเดินลงบันไดมาได้ก็ลำบากพอดู – เสียงเพลงโรงเรียนดังขึ้นแล้ว ผมจึงรู้สึกตัวว่าบีบแขนชนิดาแน่นไป
"ขอโทษ – เจ็บมากไหม" ผมหันไปถามขณะปล่อยมือ
และพบว่าตอนนี้เธออายหน้าแดงจนพูดอะไรไม่ออก ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมจูงมือเธอต่อหน้าคนทั้งห้อง – ละมั้ง
"ไม่หรอก – แต่เธอต้องไปห้องพยาบาลนะ"
ผมพยักหน้าพลางถอนหายใจ และออกเดินไปพร้อม ๆ กับชนิดาที่มองไปยังกลุ่มนักเรียนที่กำลังทยอยเดินไปเข้าแถว เลี้ยวเข้าห้องพยาบาลที่ตอนนี้ไร้ผู้คน
"ทำแผลเป็นหรอ"
"อะ อืม" ชนิดาตอบ หน้าแดงซ่าน
"เป็นอะไรของเธอเนี่ย" ผมว่า พลางก้มตัวลงนั่งยอง ๆ ดูใบหน้าเธอที่ถูกผมปกปิดไว้ "แค่ทำแผลเราเอง ไม่ต้องเศร้าขนาดนั้นก็ได้"
"ชั้นไม่ได้เศร้านะ" ชนิดาร้อง พลางเงยหน้าขึ้นเถียง
"งั้นเมื่อกี๊เธอเป็นอะไรล่ะ" ผมย้อนถาม รู้สึกสนุกที่ได้เห็นเธออึกอัก – นี่ผมเป็นบ้าไปแล้วสินะ
"ก็ ก็"
"ช่างเหอะ"
ผมว่าพลางยิ้มน้อย ๆ – เป็นยิ้มที่ทำให้ชนิดายิ้มตอบอย่างรวดเร็วเพราะดีใจ
"ปวินทร์ยิ้มอีกแล้ว" เธอว่าเสียงร่าเริง
"ก็เพราะเธอนั่นแหละ" ผมตอบกลับเสียงรื่นเริง
โลกหยุดนิ่งไปชั่วคณะนึง
ผมมองจ้องหน้านิ่งอยู่กับชนิดาที่แก้มแดงซ่านเพราะคำที่เพิ่งหลุดออกจากปากผมไป – เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้นี้ผมพูดว่าเธอทำให้ผมมีความสุขหรอ – ทำไมผมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกไปได้ล่ะ...
"ชั้น...ดีใจนะ" เธอพูดเสียงสั่น "ที่ทำให้เธอยิ้ม"
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ
ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเลือดยังคงไหลไม่หยุด จนตอนนี้ใบหน้าเริ่มแดงก่ำแล้ว
และชนิดาก็หันมามองพอดี
“ตายแล้ว – รีบไปเถอะ – เดี๋ยวเธอจะซีดตายซะก่อน” ชนิดาว่า พลางดึงมือผมไปยังห้องพยาบาล
ผมยิ้มให้เธออีกแล้วหรอเนี่ย...
--------------------
11 : 25 P.M.
08
/ 02 / 2006
ความคิดเห็น