คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
สายลมที่ผ่านไป
ตอนที่หนึ่ง
ผมนั่งหาวหวอดอย่างเบื่อหน่าย
อาจารย์ในชุดสุภาพเบื้องหน้ากำลังเอ่ยเอื้อนถ้อยคำมากมายที่ไม่ดังเข้าหูผมเลยซักนิด
ทั้งยังเป็นเหมือนเพลงกล่อมที่ค่อย ๆ ทำลายสติสัมปชัญญะของนักเรียนในห้องลงทีละคน
ๆ จนตอนนี้กว่าครึ่งของผู้ชายฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียนเรียบร้อยแล้ว
ผมหมุนปากกาในมือเล่นอย่างเซ็ง ๆ พลางกวาดสายไปรอบ ๆ ห้อง –
ยัยอาภาภรณ์จ้องผมอีกแล้ว ทำไมต้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้นด้วยเนี่ย – ส่วนไอ้ภูมิเพื่อนรักก็กำลังจู๋จี๋กับแฟนอยู่หลังห้อง – เจ้าเพื่อนคนนี้ได้หน้าลืมหลังทุกทีสิน่า
ผมทอดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง
จนกระทั่งไปหยุดอยู่ยังทิวทัศน์นอกห้องเรียน ซึ่งมีเพียงตึกรามบ้านช่องขนาดใหญ่โตและเกะกะเสียเหลือเกิน
ไม่ว่าผมจะมองมันในวันใด ตึกใหญ่เบื้องหน้าก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยไปไหน – แล้วผมยังจะมองมันอยู่ทำไมล่ะเนี่ย
“ปวินทร์”
ผมได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ มาจากข้างขวา
คิดได้แล้วแต่ไม่ทันได้หันกลับ –
เพราะอะไรบางอย่างพุ่งกระแทกเข้ากับแก้มผมอย่างแรงจนแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้
“โอ๊ย”
กรามขวาปวดตุบ ๆ จนน้ำตาซึม
ผมหันหน้ากลับมาและพบว่าฝุ่นสีขาว ๆ กำลังฟุ้งกระจาย
สายตาเพื่อนที่มองมาบางคนส่อแววขบขัน ผมยกมือขวาขึ้นลูบ ๆ บริเวณหน้า
และพบว่าฝุ่นชอล์กสีขาวฟุ้งกระจายเต็มไปหมด
แปรงลบกระดานไม้ขนาดเท่าฝ่ามือแน่นิ่งสนิทอยู่บนตักผม
“ครูบอกเธอกี่ครั้งแล้ว
ว่าที่ข้างหน้าเป็นที่สำหรับเด็กเรียน เธอน่าจะเห็นใจเพื่อนที่ถูกเธอแย่งที่” อาจารย์พูดเสียงดัง พลางจ้องหน้าผมเขม็ง
“ผมแค่มองหน้าต่างหน่อยเดียวเองนะ”
ผมว่า ความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง หนังตากระตุกยิก ๆ เป็นลางไม่ดี
“ครูจะไม่ว่าอะไรหรอก
ถ้าเธอไม่มองหน้าต่างนั่นทุกคาบที่ครูสอน” ครูสวนกลับ
ใบหน้าแสดงความขุ่นเคืองที่ถูกย้อน “ออกไปยืนนอกห้อง
เดี๋ยวนี้”
ผมผุดตัวลุกขึ้น อันที่จริง
ผมดีใจด้วยซ้ำที่จะได้ออกไปให้พ้นจากห้องบ้า ๆ นี่ ผมเตะแปรงลบกระดานหายไป
ก่อนจะเดินก้าวสวบ ๆ ตัดหน้านักเรียนทั้งห้องออกไปข้างนอก
+++++++++++++++
ผมชื่อปวินทร์ ธรรมทัศนะ – พ่อแม่ผมเสียตั้งแต่ยังเล็ก
ทุกวันนี้ก็อยู่ด้วยมรดกมหาศาลของพวกท่านที่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย – และด้วยพินัยกรรมของพ่อ
ทำให้ผมต้องเข้าเรียนที่นี่ตามเนื้อความโดยไม่มีทางเลือก จนกระทั่งจบมหาลัย
ผมจึงจะมีอิสระกับกองมรดกเหล่านี้อย่างแท้จริง
ระหว่างนี้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
นอกจากเรียนไปเรื่อย ๆ ตามหลักสูตรปัจจุบันนั่นแหละ
+++++++++++++++
ลมเย็น ๆ พัดไปมาตามระเบียงทางเดินขณะที่ผมยืนเท้าคางมองทิวทัศน์เบื้องนอก
อากาศดีไม่น้อย –
การได้ออกมาข้างนอกดูจะไม่ค่อยเลวร้ายเท่าไหร่เลยสำหรับเด็กชุ่ย ๆ อย่างผม – ที่วัน ๆ เอาแต่นอนกับนอนจนโต๊ะจะขึ้นราเพราะน้ำลายอยู่แล้ว
แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ
เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
“นี่เธอ”
ผมหันไปอย่างเบื่อ ๆ
พลางเตรียมคำตอบของคำถามประเภท ‘ทำไมออกมาเพ่นพ่านแถวนี้’ ไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว แต่...
เส้นผมสีดำน้ำตาลสั้น ๆ ตามแบบฉบับของนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลของเธอปลิวน้อย
ๆ ตามแรงลม ใบหน้าไร้สิวเสี้ยนกำลังส่งยิ้มเกรงใจมายังผม สีของกระโปรงและชุดนักเรียนที่รีดจนเรียบแปล้ของเธอบอกให้รู้ว่าเธอเป็นคนที่เรียนสถาบันหอวังเช่นเดียวกัน
“อ้ะ – อะไรหรอ” ผมพูดตะกุกตะกัก รู้สึกร้อนวูบ ๆ
ตรงใบหน้า – เป็นบ้าอะไรวะเรา
“ที่นี่ใช่มอสามทับสิบสามรึเปล่าน่ะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังประตูห้องของผม
“เอ้อ...อืมใช่ – เธอเป็นเด็กใหม่หรอ” ผมถามต่อ พลางคิดว่าตัวเองโง่เสียเต็มประดาที่ถามคำถามแบบนั้นออกไป
เธอพยักหน้า พลางยกมือเป็นเชิงขอตัวก่อน
แล้วจึงวิ่งกึ่งเดินไปยังหน้าประตู
ผมรอจนเธอเดินเข้าไป
แล้วจึงชะโงกหน้าไปดูเหตุการณ์จากประตูหลังของห้องเรียน
ผู้หญิงคนเมื่อครู่กำลังแนะนำตัวเองอยู่หน้าชั้นเรียน
ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอกวาดไปที่ทุกคนขณะที่พูด
ทำเอาชายหลายคนที่สะลืมสลือพลันตื่นตัวขึ้นมายิ้มตอบเธอ –
ดูเธอจะหน้าตาดีในสายตาของเพื่อน ๆ เสียเหลือเกิน
“นี่ ๆ
เด็กใหม่ชื่ออะไรนะ” ผมหันไปถามไอ้ภูมิที่กำลังหันมามองด้วยสีหน้าแปลก
ๆ
“ชนิดา – ทำไม ติดใจหรอ” มันตอบแบบเบลอ ๆ
เพราะพึ่งตื่นจากการงีบ
“เปล่า”
ผมยืนมองเธออยู่เงียบ ๆ อีกพักหนึ่ง
ก่อนจะเดินกลับออกมานอกห้อง
และด้วยเหตุใดไม่ทราบเหมือนกัน – ผมตัดสินใจนอนพิงผนังห้องและเริ่มต้นงีบ
+++++++++++++++
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พักเที่ยงแล้ว
ผมลงไปนั่งพิงผนังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือเป็นเท้าของไอ้ภูมินี่เองที่ถีบผม
มันคงจะหวังดีอยากให้ผมไปกินข้าว แต่ผมกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีซะด้วยสิ
“ถีบข้าหาหอกอะไรวะ”
“ก็ไม่มีอะไร – พอดีเจ๊แกอยากให้ข้าปลุก กลัวแกจะไปกินข้าวไม่ทัน” ไอ้ภูมิพยักพเยิดไปทางชนิดาที่กำลังเดินลงบันได
“ไปเหอะหวะ – แกเลี้ยงมื้อนี้ ข้าจำได้”
ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงสองสามที
ก่อนจะจับมือภูมิที่ยื่นมาดึงให้เขาลุกขึ้น
“ทีงี้ล่ะจำแม่น”
+++++++++++++++
โรงอาหารแห่งที่หนึ่งช่างร้อนและคับแคบเสียเหลือเกินในสายตาผม
เพราะนักเรียนมัธยมต้นมากมายกำลังต่อแถวรอซื้อข้าวกันอย่างหนาแน่น
และผมก็ไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้น – ผลก็คือผมกระชากลากถูไอ้ภูมิไปกินที่โรงอาหารเล็กได้สำเร็จ
ทั้ง ๆ ที่มันดูไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“แล้วยังไง” ผมเอ่ยตัดบททันทีเมื่อเห็นมันกำลังจะพูดอะไรออกมา “หรือจะออกเองก็ตามใจ”
“โห โกงนี่ว่าไอ้วิน” ภูมิว่าพลางส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ผม –
หัวมันนี่น่าทุบนัก
“เมื่อวานแกก็บอกให้ข้าไปกินโรงอาหารหนึ่งเหมือนกันนี่หว่า” ผมโต้ ก็มันจริง ๆ นี่นา –
ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ภูมิกับผมผลัดกันเลี้ยงข้าวเสมอ ๆ – และต่างฝ่ายต่างก็เอาแต่ใจตนเองเสมอ ๆ เช่นกัน
“หรือแกจะเอา”
“หนอย”
แต่ก่อนที่จะได้ซัดกำปั้นกันนั้น – เสียงจานแตกก็ดังขึ้นด้านหลัง ผมหันกลับไปมอง
“ขอโทษค่ะ” เสียงชนิดาดังมาจากด้านหน้าของรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของจานที่แตก
ดูขนาดแล้วคงอยู่ระดับมอหกเห็นจะได้ ผมเอียงตัวไปด้านข้างอย่างสนใจขณะที่ภูมิยื่นหน้ามาข้าง
ๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
“จะให้ข้าไปถามใครละ” ผมย้อนพลางเดินเข้าไปใกล้จุดเกิดเหตุมากขึ้นเพื่อฟังคำพูดของทั้งสองคน
“นี่เธอเป็นอะไรของเธอ
– คนถือข้าวเดินมาก็เห็น ๆ กันอยู่ –
นี่คงจะตั้งใจสินะ” เสียงแหลม ๆ
ของรุ่นพี่ผู้หญิงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลงทุกทีของชนิดา – ผมเริ่มทนเสียงยัยนั่นไม่ไหวแล้วล่ะ สงสัยต้องทำอะไรซักอย่าง
ไม่งั้นไม่ได้กินข้าวอย่างสงบแน่
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ” ชนิดาว่า ก้มดูรองเท้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายขณะที่ผมมองไปยังเธอ
ให้ตายสิ ถึงจะเสียดายก็เหอะ...
“พี่ครับ” ผมเรียกเสียงเบา – รุ่นพี่คนนั้นหันมามองค้อน “ค่าข้าวนั่น เดี๋ยวผมจะจ่ายให้พี่เองครับ”
“หึ – รับหน้าแทนหรอน้อง”
รุ่นพี่คนนี้ขอบคุณได้น่าเตะซะจริง ๆ “เอาเถอะ รีบ ๆ จ่ายมา
ชั้นหิวแล้ว”
ผมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา
และดึงธนบัตรสีเขียวออกจากด้านในสองสามแผ่น และยื่นให้รุ่นพี่หน้าเลือดที่ตอนนี้ฉีกยิ้มน้อย
ๆ อย่างพอใจ ก่อนจะเดินจากไปกับกลุ่มผู้ชายอีกกลุ่มใหญ่
ไม่วายส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้กับชนิดาส่งท้าย –
ผมคงจะหมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว ข้าวก็คงไม่ได้กินแล้ว เพราะถ้าเลี้ยงภูมิก็หมดเกลี้ยงพอดี
– ให้ตายสิ
“ขอบคุณ” ชนิดาว่า พลางปัดเนื้อปัดตัวที่เปื้อนฝุ่นนิดหน่อยจากการล้ม “แต่ว่า เงินนั่น”
“ช่างเถอะ” ผมตอบอย่างเซ็ง ๆ พลางเตะใบไม้ที่อยู่ข้างหน้าแก้หิว
“เอางี้ละกันนะ” ภูมิว่า แล้วนี่มันถือวิสาสะอะไรมากอดคอผมแบบนี้ “เมื่อกี้นี้เพื่อนชั้นช่วยเธอไว้
เพราะงั้นเธอเองก็ต้องช่วยเพื่อนชั้นคืนด้วย ด้วยการเลี้ยงข้าวมันมื้อนึง !”
ผมเงยหน้ามองไอ้ภูมิที่ยิ้มกว้าง
ผมละเบื่อกับมันจริง ๆ
“ได้สิ”
+++++++++++++++
“แล้วตกลงว่าเธอย้ายมาจากไหนนะ
เกษตร ?” ภูมินทร์ อาจเดช
เพื่อนสนิทอันดับหนึ่งของผมกำลังจ้ออย่างสนุกปากอยู่กับชนิดา
ผมตักข้าวเข้าปากอย่างไม่สนใจอะไร
ถ้าเวลานี้เป็นเวลากิน ผมก็เลือกที่จะกิน ไม่ใช่คุยจนไม่ได้แตะอาหารแบบไอ้ภูมินั่น
–
ผมชินซะแล้วกับการบ่นเกี่ยวกับอาการปวดท้องหิวของมันในคาบบ่าย – นาฬิกาบนผนังใกล้เวลาคาบบ่ายเข้าไปทุกนาที แต่สองคนนี้ก็ยังคุยกันไม่เลิก
จนกระทั่งผมพยายามจะฟาดหัวภูมิด้วยจานนั่นแหละที่ชนิดาเริ่มรู้สึกตัว
“จะจีบกันอีกนานมั้ย” ผมถามเสียงขุ่น พลางชูช้อนขึ้นและโบกไปมา “กินให้หมดด้วยไอ้ภูมิ
ข้าเสียดายเงิน”
ทั้งสองก้มหน้าก้มตาทานข้าวเหมือนโดนผู้ใหญ่ดุ
– ผมเห็นอย่างนั้นก็อดจะหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ – อะไรมันจะกลัวขนาดนั้น
พูดถึงเรื่องกลัว –
ผมเองก็ใช่ย่อย – ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันที่หลาย ๆ
คนพยายามหลีกให้ห่างจากผม – อันที่จริง
ผมเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น – แค่เสียงดังนิดหน่อย
กับหน้านิ่ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะแสดงความรู้สึก
แล้วก็วิชาศิลปะการต่อสู้ที่เรียนมานิดหน่อย –
ก็ไม่เห็นจะทำให้ผมเลวร้ายอะไรตรงไหน ยกเว้นกับพวกที่ผมไม่ชอบหน้า
รับรองว่ามันได้เห็นนรกแน่
“เฮ้ย – วิน แกเอาน้ำซักขวดเปล่า” ภูมิถามพลางยกจานของตนเองขึ้นจากโต๊ะ
“เออ – ขวดนึง” ผมตอบพลางมองไปทางชนิดาที่ยังคงเหลือข้าวอยู่กว่าครึ่ง
“สองขวดท่าจะดีกว่า”
แต่เพื่อนตรงหน้าก็ยังคงไม่เดินออกไป
จนผมเงยหน้ามองมันอย่างสงสัย – และพบกับสายตากวน ๆ
ของเจ้าเพื่อนเวรนี่
“ซักนิดก็ไม่ได้นะแก” ผมพ่นลมหายใจอย่างเบื่อ ๆ ก่อนจะดีดเหรียญสิบบาทที่ควักมาจากกระเป๋าสองเหรียญให้ภูมิ
“ทอนข้าด้วย ไม่งั้น มีตี-น” คำสุดท้ายลากยาว
ๆ เพราะเพื่อนรักเดินหายไปกับฝูงคนเรียบร้อยแล้ว
ชนิดายังก้มหน้าก้มตากินต่อไป
ผมหันไปมองที่เธอ ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสนใจผมซักเท่าไรนัก –
บางทีอาจเป็นเพราะเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามา หรือจะเป็นเพราะเห็นนิสัยดุ ๆ
ของผมก็ได้
“ชนิดา
เธอชื่อเล่นว่าอะไรหรอ” ผมถามพลางยกมือขึ้นเท้าคาง
เธอสะดุ้งนิดหน่อย ยกมือขึ้นป้องปากก่อนตอบ
“เรียกชั้นว่าดาก็ได้นะ”
ผมนึกสงสัยตงิดอยู่ในใจ – ทำไมคนไทยสมัยนี้สิ้นคิดจังนะ – แค่ชื่อเล่นให้ลูก
ทำไมต้องให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชื่อจริงด้วยล่ะ
“ชั้นปวินทร์
เรียกวินแบบไอ้ภูมินั่นก็ได้”
“อือ”
ผมมองตรงไปยังใบหน้าของเธอที่กำลังก้มลงมองจานข้าวที่หมดเกลี้ยง
ผมสังเกตว่าดูเธอจะลังเลที่จะยกมันไปเก็บ
อาจเป็นเพราะเธอกลัวว่าผมจะนึกว่าเธอเดินหนีผมไปก็ได้ –
ก็ไม่มีทางเลือกอีกนั่นแหละ
“มานี่ – ชั้นเก็บให้เอง”
ผมว่าพลางยื่นมือข้ามโต๊ะไปหยิบจานข้าว
“ขอบคุณนะ”
ก็พอดีกับไอ้ภูมิที่เข้ามาพร้อมกับน้ำสามขวด
– ดูหน้ามันจะสงสัยหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เพียงแต่ยิ้มแล้วส่งน้ำให้ชนิดา – ส่วนของผม ไอ้บ้านี่โยนให้ซะอย่างนั้น
– ลำเอียงชิบเป๋ง
“แกไม่มากินข้าวกับแฟนเดี๋ยวก็โดนโกรธหรอก” ผมเอ่ยลอย ๆ กับภูมิที่สำลักน้ำแทบจะในทันที
“เฮ่ย
บอกว่าไม่ใช่แฟนไงวะ” ภูมิโต้ พลางส่งสายตาแปลก ๆ มาให้ผม – ตกลงนี่มันจะหม้อเด็กใหม่ไปด้วยอีกคนเลยรึไง “ชั้นยังไม่มีแฟนหรอก”
“งั้นก็เรื่องของเอ็ง” ผมตัดบท เพราะชนิดากำลังตั้งอกตั้งใจฟังอยู่ –
ผมคิดอยู่ในใจว่าภูมิมันคงสนใจในตัวดา – แต่ก็ช่างเหอะ – ปล่อยมันกะแฟนเคลียร์ปัญหาชีวิตกันเองก็แล้วกัน
ทั้ง ๆ ที่อีกใจหนึ่ง – อยากตะโกนบอกชนิดาให้รู้แล้วรู้รอดว่ามันกำลังพยายามจีบเธออยู่
+++++++++++++++
คาบบ่ายผ่านไปเฉื่อย ๆ อย่างน่าเบื่อ
ผมมองนาฬิกาด้านบนกระดานอย่างเอาเป็นเอาตาย
เหมือนกับถ้าผมจ้องมันนานกว่าสิบห้านาทีแล้วเข็มยาวมันจกระดิกไปอีกห้าเซนติเมตรงั้นแหละ
“นี่ ไอ้วิน”
ผมหันไปทางขวาตามเสียงเรียก
และพบกับใบหน้าเครียด ๆ ของภูมินทร์ที่กำลังแอบคุยกับผมอยู่
ดูมันจะระแวงอาจารย์ที่ยืนสอนอยู่ด้านข้างไม่น้อย
“อะไร”
“เห็นแกมองนาฬิกาตั้งนานแล้ว
– รีบกลับหรอ”
“เปล่า” ผมว่า พลางก้มหน้าก้มตาดูหนังสือเรียนทันทีเมื่อสายตาคม ๆ
ของอาจารย์ภาษาอังกฤษเบนมา “ข้าเบื่อ”
โธ่เอ้ย –
ก็ตอนแรกผมก็นึกว่าไอ้ภูมิมันเป็นห่วงที่ผมเบื่อเรียนเลยย้ายมานั่งข้าง ๆ – กลายเป็นว่ามันย้ายมากระตุ้นให้ผมเรียนซะอย่างนั้น
รู้งี้ไปนั่งหลังห้องตั้งนานแล้ว
“ทำไมแกไม่ไปนอนหลังห้องวะ” ภูมิถามพลางใช้หางตาชำเลืองไปทางอาจารย์ที่เลิกสนใจแล้ว
“แล้วทำไมแกต้องสนใจข้าวะ” ผมย้อนอย่างเบื่อ ๆ พลางหมุนปากกาน้ำเงินเล่นในมือขวา “แกรู้ว่าข้าไม่เคยสอบตก”
“เออ แกเก่ง” ภูมิว่า “แต่ข้าว่าแกขยันกว่านี้ซักหน่อยก็ได้นะเว้ย
– เทอมนี้บทเรียนมันเริ่มจะยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
ผมไม่เห็นว่ามันจะยากขึ้นตรงไหน – พอถึงเวลาสอบผมก็ไม่เคยดูหนังสือ แต่คะแนนก็ไม่เคยต่ำกว่าครึ่งอยู่แล้ว – และผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันหรอก เชื่อเหอะ
“เออ – ไว้ข้าจะพยายาม”
ผมตัดบทพลางพยายามจะฟุบลงไปงีบอีกครั้งนึง แต่ก็โดนฝ่ามือหนัก ๆ ของใครซักคนฟาดผัวะเข้าให้เต็ม
ๆ ท้ายทอย
“เฮ้ย – อะไรของแกวะ” ผมขึ้นเสียง
นี่มันชักจะเกินเลยไปแล้วนะ !
แต่ มือเมื่อกี้ ไม่ใช่ของไอ้ภูมิ
“ปวินทร์
ครูขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย” เสียงหนัก ๆ
ของอาจารย์ดังขึ้นด้านหน้า และนั่นก็ทำให้ผมต้องหยิบปากกาที่หล่นลงจากโต๊ะกลับมาทำงานอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าเธอไม่สนใจเรียนอย่างนี้ –
ครูคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด”
ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
พลางนึกด่าเพื่อนทั้งห้องในใจที่มันยังคงจ้องผมไม่เลิก
โดยเฉพาะไอ้ภูมิที่ส่งสายตาสมน้ำหน้ามาให้ผมแบบเต็ม ๆ
ฝากไว้ก่อนเถอะเอ็ง
+++++++++++++++
เสียงกริ่งคาบสุดท้ายดังขึ้นในโสตประสาท
และความรู้สึกง่วงนอนหายเป็นปลิดทิ้ง –
ผมกระโดดลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่น –
นักเรียนหลายคนทยอยกันเดินออกไปจากห้อง
ยกเว้นผมกับไอ้ภูมิที่ก้มหน้าลงเก็บหนังสือจากใต้โต๊ะ
ผมหยิบสมุดวาดรูปเข้ากระเป๋าและเงยหน้าขึ้นไล่เลือดที่ไหลลงหัว
และพบกับชนิดาที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตู
เพราะถูกรุมล้อมด้วยผู้ชายมากมายที่เข้ามาคุยด้วย – ผมก้มลงไปปิดกระเป๋า
และรู้สึกถึงแรงกระตุกที่แขนเสื้อ
“เฮ้ยไอ้วิน – ดา”
“เพิ่งเห็นหรอ” ผมว่าพลางสะพายกระเป๋าข้ามไหล่
และทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็โดนมือซ้ายของไอ้ภูมิดึงคอเสื้อไว้ก่อน
“เดี๋ยวดิ
แกจะปล่อยไว้อย่างนั้นหรอ”
“แล้วทำไม” ผมย้อนถาม พลางมองไปยังไอ้เพื่อนตัวดี ที่กำลังทำสายตาละห้อย
“วิน ช่วยชั้นด้วย” ภูมิร้องเสียงแหลม ๆ อย่างเสแสร้ง มือพนมขึ้นทำท่าเว้าวอน
ผมพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย – ไม่เห็นเหตุผลที่ต้องลงแรงไปทำอย่างนั้นซักนิด –
ยิ่งพวกเพื่อนร่วมห้องที่ไปคุยกับชนิดายิ่งแล้วใหญ่
มันขึ้นชื่อว่าชกต่อยเก่งที่สุดในระดับ – แล้วถ้าผมเข้าไปยุ่ง
– ถึงตัวเองจะแน่ใจว่าชนะก็เหอะ –
แต่ไอ้เพื่อนข้าง ๆ นี่จะถูกดักตีหัวตรงทางกลับบ้านรึเปล่าก็ไม่รู้ – แล้วยังจะให้ผมเข้าไปช่วยอีก
“หัดเจียมตัวบ้างสิวะ” ผมดุพลางมองไปยังชนิดาที่ตอนนี้ถูกต้อนจนหลังไปชิดผนังห้องแล้ว “อีกอย่าง – พวกนั้นก็แค่คุยด้วยเฉย ๆ ไม่ใช่...”
ภาพที่ผมเห็น คือไอ้ต๊อบ - เจ้าหัวโจกนั่นกำลังยกมือขวาขึ้นยันผนังข้าง
ๆ หัวเธอ ส่วนใบหน้านั่นยื่นไปใกล้จนแทบจะชิดกัน –
ความร้อนพลุ่งพล่านขึ้นตามร่างกายของผม –
ตอนนี้สำนึกแห่งความดีของผมกำลังเริ่มจะสำแดงฤทธิ์ ทั้ง ๆ ที่จิตใจกำลังโอดครวญห้ามร่างกายไว้
“ไอ้ภูมิ ตามน้ำ” ผมสั่งสั้น ๆ กับเพื่อนรัก ก่อนจะเดินดิ่งเข้าไป
ตอนนี้หัวสมองกำลังปั่นป่วน – ต้องทำยังไงก็ได้ ไม่ให้เจ็บตัวทั้งสองฝ่าย –
ยากนะเนี่ย
“ดา – ปะ – กลับบ้านกัน” ผมเอ่ย
พลางยื่นมือไปดึงเธอออกมาจากกลุ่ม “มองไรวะไอ้ต๊อบ”
“มึงรู้จักกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่” ต๊อบถามเสียงนิ่ม ดูใบหน้าจะบิดเบี้ยวไม่น้อยขณะที่เพื่อน ๆ
กำลังหัวเราะตัวมัน
“ดาเป็นเพื่อนข้างบ้านข้า
– รู้แล้วก็ถอยไป” ผมพูดปดแบบสด ๆ
โดยรักษาสีหน้านิ่ง ๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
แต่บีบแขนชนิดาแรงขึ้นนิดหนึ่งเป็นสัญญาณ “ใช่มั้ยวะไอ้ภูมิ”
“เออ – ข้าเห็นดามาเล่นบ้านแกตั้งแต่ตอนปอสี่ แต่เห็นพ่อแม่ย้ายไปต่างจังหวัด
ไม่นึกว่าจะย้ายกลับมาเจอกันอีก”
ไอ้ภูมิเองก็โกหกเก่งใช่ย่อยนะ
“งั้นก็แล้วไป” ไอ้ต๊อบเอ่ยจบพลางถอยหลังเปิดทางให้ผม แต่เมื่อผมจ้องหน้ามันอย่างพินิจ
ก็พบว่ามันขยับปากเล็ก ๆ เป็นคำว่า “ลองยุ่งอีก มึงโดนแน่”
“ไปเถอะ” ผมดึงชนิดาออกจากห้อง พร้อมกับคว้ากระเป๋าเรียนเธอมาด้วย
โดยมีไอ้ภูมิรั้งท้ายอยู่ห่าง ๆ
+++++++++++++++
เราออกมาจากตึกเรียนได้พักหนึ่งแล้ว
กว่าผมจะปล่อยมือชนิดา เพราะตลอดทางมีแต่คนพยายามเข้ามาหาเธอ – ซึ่งผมจะปล่อยเธอไปก็ได้
แต่อาจจะต้องทนแรงมือแรงเท้าของไอ้ภูมิต่ออีกเป็นแน่
“นี่” ชนิดาเอ่ยเสียงค่อย
ผมหันกลับมา เธอกำลังก้มหน้ามองพื้น
ดูไม่ออกว่ากำลังทำสีหน้าอย่างไร แต่พริบตาต่อมาเธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส
“ขอบคุณนะ”
ใบหน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ผมเกาแก้มแก้เขินนิดหน่อย ก่อนยิ้มตอบ
“อะ – อือ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็ก”
“แล้วดากลับบ้านทางไหนล่ะ” ไอ้ภูมิถามขึ้น
“บ้านดาอยู่ตรงซอยพหลยี่สิบเจ็ดน่ะ
ก่อนแยกรัชโยธิน”
ในใจผมกำลังร้องเสียงดังอย่างลืมตัว
แต่ใบหน้านิ่ง ๆ นั่นยังไม่แสดงปฏิกิริยา –
ยกเว้นไอ้บ้าด้านข้างที่ทำหน้ายังกับถูกล็อตเตอรี่
“ทางเดียวกับไอ้วินเลยนี่
! – งั้นก็เดินกลับด้วยกันซะสิ”
ชนิดาดามองหน้าผมแวบหนึ่ง
ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นส้มเข้ม ๆ เหมือนใครทำสีน้ำหก
“จะดีหรอ
รบกวนอะไรวินรึเปล่า” เธอถามเสียงค่อย
ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างสงสัย
“ไม่หรอก ไปสิ” ผมตอบ พลางกระชับกระเป๋าบนบ่าขวา
ตั้งแต่หน้าตึกวชิรุณหิศจนไปหน้าประตูโรงเรียน
ไอ้ภูมิดูเหมือนจะรื่นเริงเสียเหลือเกิน ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร
หรือมันจะนึกว่าผมเริ่มชอบชนิดาขึ้นมาบ้างแล้ว
– เหอะ ๆ จะว่าไปภูมิมันก็รักเดียวใจเดียวมาตลอด
ถึงจะชอบหม้อคนอื่นบ้าง แต่ยังไงก็หนีไม่พ้นเมย์ แฟนสุดหวงของมัน – มันคงคิดบ้างล่ะนะว่าผมเห็นมันจู๋จี๋กับแฟนมานาน คงเกิดเหงาขึ้นมาบ้าง – แต่ก็เปล่าหรอก ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องผู้หญิง
อาจเป็นเพราะผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตประจำวันของผมมีน้อยมากก็ว่าได้
“วันนี้แกเหม่อบ่อยจริง
ๆ ไอ้วิน” ภูมิว่าพลางผลักผมกระแทกต้นไม้อย่างแรง
“โอ๊ย ไอ้บ้า – ผลักมาได้สิแก” ผมที่เพิ่งจะได้สติโวยวายเสียงดัง
กำลังจะด่าต่อแล้วแต่ก็พอดีได้ยินเสียงหัวเราะซะก่อน
เวลาชนิดาหัวเราะ ดูเธอจะน่ารักกว่าตอนทำหน้าเฉย
ๆ หรือหน้าเครียด ๆ อย่างเวลาเรียน –
เหมือนกับเธอละทิ้งความปวดร้าวบางอย่างในใจไปชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง
เป็นเสียงหัวเราะตามธรรมชาติที่ปราศจากการเสแสร้งใด ๆ – เออ – แล้วผมจะมาดูเธอหัวเราะทำไม
“ทำไมหรอ” เธอถามเมื่อเห็นว่าผมจ้องเธอนานเกินไป
ผมส่ายหัวดิก ก่อนจะพบว่าตอนนี้พวกเรามาถึงหน้าประตูแล้ว
ลุงยามเฝ้าประตูกำลังเดินไปเปิดประตูรั้วให้รถของอาจารย์ออกจากโรงเรียน
“ไปแล้วนะครับลุง” ภูมิตะโกนทัก
“เออ กลับดี ๆ ล่ะ”
ไอ้ภูมิเป็นเด็กกิจกรรม
มันทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรงเรียน ดึงผมไปด้วยบ้างเป็นบางครั้งตามโอกาส
ส่วนมากก็เป็นงานจำพวกพี่เลี้ยงค่ายลูกเสือ จัดห้องพักครูหรืออะไรเทือกนั้น – เวลามาโรงเรียนวันเสาร์หรืออาทิตย์
อย่างแรกเลยคือถ้ายามเฝ้าประตูจำหน้าไม่ได้ ต้องแสดงบัตรนักเรียนก่อน – ซึ่งมันได้รับสิทธิพิเศษให้ละเว้นกฎข้อนี้ เพราะมันเข้าออกเกือบจะทุกวันอยู่แล้ว
“บายเว้ยวิน – ดา” ภูมิร้องบอกพลางเดินแยกไปทางขวา
ส่วนผมกับดาเดินไปทางซ้าย
ผมเดินไปกับชนิดาบนบาทวิถีสีเทาอย่างไม่พูดไม่จา
พลางพยายามนึกหาเรื่องทำลายความเงียบ
“ไม่ได้รับตารางสอนหรอ” ผมถามดา ตอนนี้ดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับเธอที่จะแบกกระเป๋าและเดินให้ทันผมไปพร้อม
ๆ กัน
“ก็...ได้” ชนิดาตอบเบา ๆ เธอก้มหน้ามองพื้นอีกแล้ว
“มานี่ เดี๋ยวแบกให้”
ผมว่า พลางดึงกระเป๋าออกจากบ่าเธออย่างรวดเร็ว
ผมเห็นว่าเธอพยายามคว้ากลับมา แต่ก็ไม่ทัน “เอาน่า
ไม่ต้องเกรงใจหรอก แค่นี้เล็กน้อย”
เราสองคนเดินต่อไปอีกช่วงหนึ่งโดยไม่มีใครพูดอะไร
ตอนนี้อาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว แสงรำไรนั่นบาดตาผมจนต้องเบือนหนี
เดี๋ยวก็คงมืดแล้ว
“กลับเย็นอย่างนี้ไม่โดนว่าหรอดา” ผมถาม ประโยคนี้ดังกว่าปกติเพราะเสียงรถที่วิ่งผ่านดังจนแทบไม่ได้ยิน
“อ้อ – เค้าอยู่บ้านคนเดียวน่ะ”
ผมรู้สึกเจ็บแปลบในใจ – หรือว่าเธอจะกำพร้าพ่อแม่เหมือนผม ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าถามมากไปแล้ว
ชนิดาก็ชิงถามกลับซะก่อน
“แล้วปวินทร์ล่ะ – พ่อกับแม่ทำงานอะไร” ชนิดาถามกลับหน้าซื่อ ๆ ดูเธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่ผมถามไปนัก
“พ่อกับแม่เราเสียแล้ว” ผมตอบเสียงเรียบ ๆ
พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตากับชนิดาและนึกถึงหน้าของพวกท่าน
“ขอโทษที” ชนิดารีบพูด พลางก้มหน้าหลบผมไปอีกครั้ง
รถยนต์คันแล้วคันเล่าพุ่งผ่านด้านข้างของเราไป
ผมสีน้ำตาลเข้มจนดำของเธอปลิวน้อย ๆ ตามแรงลม ผมหันไปมองเรือนผมเธอ – บางที เธออาจจะเข้าใจความรู้สึกนี้ก็ได้ –
ความรู้สึกว่างเปล่าไม่มีใคร...
“ปวินทร์”
“เรียกวินเฉย ๆ ก็ได้” ผมว่า พลางดึงสายกระเป๋าของเธอที่เลื่อนหลุดจากบ่าให้กลับขึ้นมาระดับเดิม
“บ้านเธออยู่ที่ไหนหรอ”
“ซอยเดียวกับเธอน่ะแหละ” ผมตอบนิ่ง ๆ พลางหันไปมองดูว่าเธอจะมีอาการอย่างไร
แต่สิ่งที่พบคือใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจของชนิดา
“หรอ!!! – งั้นเราเดินไปโรงเรียนด้วยกันนะ”
ผมตกใจนิดหน่อย
ใบหน้าที่ตอนนี้ออกแววงงงันทำให้ชนิดาหัวเราะน้อย ๆ
“ได้สิ ตื่นกี่โมงล่ะ” ผมถามเธอ
จะไม่ให้ถามก่อนได้ยังไง – ก็ผมตื่นสายเกือบทุกวันนี่ –
ถ้าปล่อยให้เธอถามก่อนก็อายแย่...
“ที่เราเดินกลับนี่ก็ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที
งั้นเดินไปตอนหกโมงครึ่งกันดีกว่า” ชนิดาว่า
ผมทำหน้าเหย ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนั้น
เข้าแถวตอนเจ็ดโมงห้าสิบไม่ใช่รึไง
“รีบไปทำอะไร” ผมถาม เธอก้มลงไปเกาแก้มเล็กน้อย
“เค้ารู้สึกดีน่ะ
เวลาไปโรงเรียนเช้า ๆ” เธอว่า รีบเงยหน้าขึ้นเอ่ย “แต่ถ้าปวินทร์ไม่สะดวก เค้าเดินไปคนเดียวก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
เราเดินไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้” ผมตอบรับ ทำเอาเธอยิ้มกว้าง
“งั้น – ตกลงนะ”
ผมพยักหน้ารับ และเอ่ยคำอำลากับเธอ
บ้านของเธออยู่ในซอยลึกเข้าไป ส่วนของผมอยู่ใกล้กว่านั้น –
ผมเลี้ยวขวาที่แยกเล็ก ๆ ในซอย และวิมานบนดินของผมก็ปรากฏแก่สายตา
“กลับมาแล้วครับ” ผมเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ ครั้งหนึ่ง
ก่อนจะเริ่มควานหากุญแจบ้านในกระเป๋ากางเกง
-------------------------------------
16/01/2549
19 : 17 P.M.
เพิ่งเคยลองเขียนนิยายแนวนี้เป็นครั้งแรก
ให้ความรู้สึกแปลกใหม่และทะแม่ง ๆ ดีเหมือนกัน
ความคิดเห็น