ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลมที่ผ่านไป

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 49


    สายลมที่ผ่านไป

     

    ตอนที่หนึ่ง

              ผมนั่งหาวหวอดอย่างเบื่อหน่าย

              อาจารย์ในชุดสุภาพเบื้องหน้ากำลังเอ่ยเอื้อนถ้อยคำมากมายที่ไม่ดังเข้าหูผมเลยซักนิด ทั้งยังเป็นเหมือนเพลงกล่อมที่ค่อย ๆ ทำลายสติสัมปชัญญะของนักเรียนในห้องลงทีละคน ๆ จนตอนนี้กว่าครึ่งของผู้ชายฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียนเรียบร้อยแล้ว ผมหมุนปากกาในมือเล่นอย่างเซ็ง ๆ พลางกวาดสายไปรอบ ๆ ห้อง ยัยอาภาภรณ์จ้องผมอีกแล้ว ทำไมต้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนั้นด้วยเนี่ย ส่วนไอ้ภูมิเพื่อนรักก็กำลังจู๋จี๋กับแฟนอยู่หลังห้อง เจ้าเพื่อนคนนี้ได้หน้าลืมหลังทุกทีสิน่า

              ผมทอดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง จนกระทั่งไปหยุดอยู่ยังทิวทัศน์นอกห้องเรียน ซึ่งมีเพียงตึกรามบ้านช่องขนาดใหญ่โตและเกะกะเสียเหลือเกิน ไม่ว่าผมจะมองมันในวันใด ตึกใหญ่เบื้องหน้าก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยไปไหน แล้วผมยังจะมองมันอยู่ทำไมล่ะเนี่ย

              ปวินทร์

              ผมได้ยินเสียงเรียกแว่ว ๆ มาจากข้างขวา คิดได้แล้วแต่ไม่ทันได้หันกลับ เพราะอะไรบางอย่างพุ่งกระแทกเข้ากับแก้มผมอย่างแรงจนแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้

              โอ๊ย

              กรามขวาปวดตุบ ๆ จนน้ำตาซึม ผมหันหน้ากลับมาและพบว่าฝุ่นสีขาว ๆ กำลังฟุ้งกระจาย สายตาเพื่อนที่มองมาบางคนส่อแววขบขัน ผมยกมือขวาขึ้นลูบ ๆ บริเวณหน้า และพบว่าฝุ่นชอล์กสีขาวฟุ้งกระจายเต็มไปหมด แปรงลบกระดานไม้ขนาดเท่าฝ่ามือแน่นิ่งสนิทอยู่บนตักผม

              ครูบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าที่ข้างหน้าเป็นที่สำหรับเด็กเรียน เธอน่าจะเห็นใจเพื่อนที่ถูกเธอแย่งที่ อาจารย์พูดเสียงดัง พลางจ้องหน้าผมเขม็ง

              ผมแค่มองหน้าต่างหน่อยเดียวเองนะผมว่า ความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง หนังตากระตุกยิก ๆ เป็นลางไม่ดี

              ครูจะไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าเธอไม่มองหน้าต่างนั่นทุกคาบที่ครูสอน ครูสวนกลับ ใบหน้าแสดงความขุ่นเคืองที่ถูกย้อนออกไปยืนนอกห้อง เดี๋ยวนี้

              ผมผุดตัวลุกขึ้น อันที่จริง ผมดีใจด้วยซ้ำที่จะได้ออกไปให้พ้นจากห้องบ้า ๆ นี่ ผมเตะแปรงลบกระดานหายไป ก่อนจะเดินก้าวสวบ ๆ ตัดหน้านักเรียนทั้งห้องออกไปข้างนอก

    +++++++++++++++

              ผมชื่อปวินทร์ ธรรมทัศนะ พ่อแม่ผมเสียตั้งแต่ยังเล็ก ทุกวันนี้ก็อยู่ด้วยมรดกมหาศาลของพวกท่านที่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย และด้วยพินัยกรรมของพ่อ ทำให้ผมต้องเข้าเรียนที่นี่ตามเนื้อความโดยไม่มีทางเลือก จนกระทั่งจบมหาลัย ผมจึงจะมีอิสระกับกองมรดกเหล่านี้อย่างแท้จริง

              ระหว่างนี้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเรียนไปเรื่อย ๆ ตามหลักสูตรปัจจุบันนั่นแหละ

    +++++++++++++++

              ลมเย็น ๆ พัดไปมาตามระเบียงทางเดินขณะที่ผมยืนเท้าคางมองทิวทัศน์เบื้องนอก อากาศดีไม่น้อย การได้ออกมาข้างนอกดูจะไม่ค่อยเลวร้ายเท่าไหร่เลยสำหรับเด็กชุ่ย ๆ อย่างผม ที่วัน ๆ เอาแต่นอนกับนอนจนโต๊ะจะขึ้นราเพราะน้ำลายอยู่แล้ว

              แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

              นี่เธอ

              ผมหันไปอย่างเบื่อ ๆ พลางเตรียมคำตอบของคำถามประเภท ทำไมออกมาเพ่นพ่านแถวนี้ ไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว แต่...

              เส้นผมสีดำน้ำตาลสั้น ๆ ตามแบบฉบับของนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลของเธอปลิวน้อย ๆ ตามแรงลม ใบหน้าไร้สิวเสี้ยนกำลังส่งยิ้มเกรงใจมายังผม สีของกระโปรงและชุดนักเรียนที่รีดจนเรียบแปล้ของเธอบอกให้รู้ว่าเธอเป็นคนที่เรียนสถาบันหอวังเช่นเดียวกัน

              อ้ะ อะไรหรอ ผมพูดตะกุกตะกัก รู้สึกร้อนวูบ ๆ ตรงใบหน้า เป็นบ้าอะไรวะเรา

              ที่นี่ใช่มอสามทับสิบสามรึเปล่าน่ะ เธอว่าพลางชี้ไปยังประตูห้องของผม

              เอ้อ...อืมใช่ เธอเป็นเด็กใหม่หรอ ผมถามต่อ พลางคิดว่าตัวเองโง่เสียเต็มประดาที่ถามคำถามแบบนั้นออกไป

              เธอพยักหน้า พลางยกมือเป็นเชิงขอตัวก่อน แล้วจึงวิ่งกึ่งเดินไปยังหน้าประตู

              ผมรอจนเธอเดินเข้าไป แล้วจึงชะโงกหน้าไปดูเหตุการณ์จากประตูหลังของห้องเรียน ผู้หญิงคนเมื่อครู่กำลังแนะนำตัวเองอยู่หน้าชั้นเรียน ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอกวาดไปที่ทุกคนขณะที่พูด ทำเอาชายหลายคนที่สะลืมสลือพลันตื่นตัวขึ้นมายิ้มตอบเธอ ดูเธอจะหน้าตาดีในสายตาของเพื่อน ๆ เสียเหลือเกิน

              นี่ ๆ เด็กใหม่ชื่ออะไรนะ ผมหันไปถามไอ้ภูมิที่กำลังหันมามองด้วยสีหน้าแปลก ๆ

              ชนิดา ทำไม ติดใจหรอ มันตอบแบบเบลอ ๆ เพราะพึ่งตื่นจากการงีบ

              เปล่า

              ผมยืนมองเธออยู่เงียบ ๆ อีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับออกมานอกห้อง

              และด้วยเหตุใดไม่ทราบเหมือนกัน ผมตัดสินใจนอนพิงผนังห้องและเริ่มต้นงีบ

    +++++++++++++++

              ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พักเที่ยงแล้ว ผมลงไปนั่งพิงผนังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือเป็นเท้าของไอ้ภูมินี่เองที่ถีบผม มันคงจะหวังดีอยากให้ผมไปกินข้าว แต่ผมกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีซะด้วยสิ

              ถีบข้าหาหอกอะไรวะ

              ก็ไม่มีอะไร พอดีเจ๊แกอยากให้ข้าปลุก กลัวแกจะไปกินข้าวไม่ทัน ไอ้ภูมิพยักพเยิดไปทางชนิดาที่กำลังเดินลงบันได ไปเหอะหวะ แกเลี้ยงมื้อนี้ ข้าจำได้

              ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงสองสามที ก่อนจะจับมือภูมิที่ยื่นมาดึงให้เขาลุกขึ้น

              ทีงี้ล่ะจำแม่น

    +++++++++++++++

              โรงอาหารแห่งที่หนึ่งช่างร้อนและคับแคบเสียเหลือเกินในสายตาผม เพราะนักเรียนมัธยมต้นมากมายกำลังต่อแถวรอซื้อข้าวกันอย่างหนาแน่น และผมก็ไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้น ผลก็คือผมกระชากลากถูไอ้ภูมิไปกินที่โรงอาหารเล็กได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่มันดูไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

              แล้วยังไง ผมเอ่ยตัดบททันทีเมื่อเห็นมันกำลังจะพูดอะไรออกมา หรือจะออกเองก็ตามใจ

              โห โกงนี่ว่าไอ้วิน ภูมิว่าพลางส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ผม หัวมันนี่น่าทุบนัก

              เมื่อวานแกก็บอกให้ข้าไปกินโรงอาหารหนึ่งเหมือนกันนี่หว่า ผมโต้ ก็มันจริง ๆ นี่นา ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ภูมิกับผมผลัดกันเลี้ยงข้าวเสมอ ๆ และต่างฝ่ายต่างก็เอาแต่ใจตนเองเสมอ ๆ เช่นกัน

              หรือแกจะเอา

              หนอย

              แต่ก่อนที่จะได้ซัดกำปั้นกันนั้น เสียงจานแตกก็ดังขึ้นด้านหลัง ผมหันกลับไปมอง

              ขอโทษค่ะ เสียงชนิดาดังมาจากด้านหน้าของรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของจานที่แตก ดูขนาดแล้วคงอยู่ระดับมอหกเห็นจะได้ ผมเอียงตัวไปด้านข้างอย่างสนใจขณะที่ภูมิยื่นหน้ามาข้าง ๆ

              เกิดอะไรขึ้น

              จะให้ข้าไปถามใครละ ผมย้อนพลางเดินเข้าไปใกล้จุดเกิดเหตุมากขึ้นเพื่อฟังคำพูดของทั้งสองคน

              นี่เธอเป็นอะไรของเธอ คนถือข้าวเดินมาก็เห็น ๆ กันอยู่ นี่คงจะตั้งใจสินะ เสียงแหลม ๆ ของรุ่นพี่ผู้หญิงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลงทุกทีของชนิดา ผมเริ่มทนเสียงยัยนั่นไม่ไหวแล้วล่ะ สงสัยต้องทำอะไรซักอย่าง ไม่งั้นไม่ได้กินข้าวอย่างสงบแน่

              ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ชนิดาว่า ก้มดูรองเท้าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายขณะที่ผมมองไปยังเธอ

              ให้ตายสิ ถึงจะเสียดายก็เหอะ...

              พี่ครับ ผมเรียกเสียงเบา รุ่นพี่คนนั้นหันมามองค้อน ค่าข้าวนั่น เดี๋ยวผมจะจ่ายให้พี่เองครับ

              หึ รับหน้าแทนหรอน้อง รุ่นพี่คนนี้ขอบคุณได้น่าเตะซะจริง ๆ เอาเถอะ รีบ ๆ จ่ายมา ชั้นหิวแล้ว

     

              ผมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา และดึงธนบัตรสีเขียวออกจากด้านในสองสามแผ่น และยื่นให้รุ่นพี่หน้าเลือดที่ตอนนี้ฉีกยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ ก่อนจะเดินจากไปกับกลุ่มผู้ชายอีกกลุ่มใหญ่ ไม่วายส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้กับชนิดาส่งท้าย ผมคงจะหมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว ข้าวก็คงไม่ได้กินแล้ว เพราะถ้าเลี้ยงภูมิก็หมดเกลี้ยงพอดี ให้ตายสิ

              ขอบคุณ ชนิดาว่า พลางปัดเนื้อปัดตัวที่เปื้อนฝุ่นนิดหน่อยจากการล้ม แต่ว่า เงินนั่น

              ช่างเถอะ ผมตอบอย่างเซ็ง ๆ พลางเตะใบไม้ที่อยู่ข้างหน้าแก้หิว

              เอางี้ละกันนะ ภูมิว่า แล้วนี่มันถือวิสาสะอะไรมากอดคอผมแบบนี้ เมื่อกี้นี้เพื่อนชั้นช่วยเธอไว้ เพราะงั้นเธอเองก็ต้องช่วยเพื่อนชั้นคืนด้วย ด้วยการเลี้ยงข้าวมันมื้อนึง !”

              ผมเงยหน้ามองไอ้ภูมิที่ยิ้มกว้าง ผมละเบื่อกับมันจริง ๆ

              ได้สิ

    +++++++++++++++

              แล้วตกลงว่าเธอย้ายมาจากไหนนะ เกษตร ?” ภูมินทร์ อาจเดช เพื่อนสนิทอันดับหนึ่งของผมกำลังจ้ออย่างสนุกปากอยู่กับชนิดา

              ผมตักข้าวเข้าปากอย่างไม่สนใจอะไร ถ้าเวลานี้เป็นเวลากิน ผมก็เลือกที่จะกิน ไม่ใช่คุยจนไม่ได้แตะอาหารแบบไอ้ภูมินั่น ผมชินซะแล้วกับการบ่นเกี่ยวกับอาการปวดท้องหิวของมันในคาบบ่าย นาฬิกาบนผนังใกล้เวลาคาบบ่ายเข้าไปทุกนาที แต่สองคนนี้ก็ยังคุยกันไม่เลิก จนกระทั่งผมพยายามจะฟาดหัวภูมิด้วยจานนั่นแหละที่ชนิดาเริ่มรู้สึกตัว

              จะจีบกันอีกนานมั้ย ผมถามเสียงขุ่น พลางชูช้อนขึ้นและโบกไปมา กินให้หมดด้วยไอ้ภูมิ ข้าเสียดายเงิน

              ทั้งสองก้มหน้าก้มตาทานข้าวเหมือนโดนผู้ใหญ่ดุ ผมเห็นอย่างนั้นก็อดจะหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ อะไรมันจะกลัวขนาดนั้น

              พูดถึงเรื่องกลัว ผมเองก็ใช่ย่อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันที่หลาย ๆ คนพยายามหลีกให้ห่างจากผม อันที่จริง ผมเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น แค่เสียงดังนิดหน่อย กับหน้านิ่ง ๆ ที่ไม่ค่อยจะแสดงความรู้สึก แล้วก็วิชาศิลปะการต่อสู้ที่เรียนมานิดหน่อย ก็ไม่เห็นจะทำให้ผมเลวร้ายอะไรตรงไหน ยกเว้นกับพวกที่ผมไม่ชอบหน้า รับรองว่ามันได้เห็นนรกแน่

              เฮ้ย วิน แกเอาน้ำซักขวดเปล่าภูมิถามพลางยกจานของตนเองขึ้นจากโต๊ะ

              เออ ขวดนึง ผมตอบพลางมองไปทางชนิดาที่ยังคงเหลือข้าวอยู่กว่าครึ่ง สองขวดท่าจะดีกว่า

              แต่เพื่อนตรงหน้าก็ยังคงไม่เดินออกไป จนผมเงยหน้ามองมันอย่างสงสัย และพบกับสายตากวน ๆ ของเจ้าเพื่อนเวรนี่

              ซักนิดก็ไม่ได้นะแก ผมพ่นลมหายใจอย่างเบื่อ ๆ ก่อนจะดีดเหรียญสิบบาทที่ควักมาจากกระเป๋าสองเหรียญให้ภูมิ ทอนข้าด้วย ไม่งั้น มีตี-นคำสุดท้ายลากยาว ๆ เพราะเพื่อนรักเดินหายไปกับฝูงคนเรียบร้อยแล้ว

              ชนิดายังก้มหน้าก้มตากินต่อไป ผมหันไปมองที่เธอ ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสนใจผมซักเท่าไรนัก บางทีอาจเป็นเพราะเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามา หรือจะเป็นเพราะเห็นนิสัยดุ ๆ ของผมก็ได้

              ชนิดา เธอชื่อเล่นว่าอะไรหรอ ผมถามพลางยกมือขึ้นเท้าคาง

              เธอสะดุ้งนิดหน่อย ยกมือขึ้นป้องปากก่อนตอบ

              เรียกชั้นว่าดาก็ได้นะ

              ผมนึกสงสัยตงิดอยู่ในใจ ทำไมคนไทยสมัยนี้สิ้นคิดจังนะ แค่ชื่อเล่นให้ลูก ทำไมต้องให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชื่อจริงด้วยล่ะ

              ชั้นปวินทร์ เรียกวินแบบไอ้ภูมินั่นก็ได้

              อือ

              ผมมองตรงไปยังใบหน้าของเธอที่กำลังก้มลงมองจานข้าวที่หมดเกลี้ยง ผมสังเกตว่าดูเธอจะลังเลที่จะยกมันไปเก็บ อาจเป็นเพราะเธอกลัวว่าผมจะนึกว่าเธอเดินหนีผมไปก็ได้ ก็ไม่มีทางเลือกอีกนั่นแหละ

              มานี่ ชั้นเก็บให้เอง ผมว่าพลางยื่นมือข้ามโต๊ะไปหยิบจานข้าว

              ขอบคุณนะ

              ก็พอดีกับไอ้ภูมิที่เข้ามาพร้อมกับน้ำสามขวด ดูหน้ามันจะสงสัยหน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มแล้วส่งน้ำให้ชนิดา ส่วนของผม ไอ้บ้านี่โยนให้ซะอย่างนั้น ลำเอียงชิบเป๋ง

              แกไม่มากินข้าวกับแฟนเดี๋ยวก็โดนโกรธหรอก ผมเอ่ยลอย ๆ กับภูมิที่สำลักน้ำแทบจะในทันที

              เฮ่ย บอกว่าไม่ใช่แฟนไงวะ ภูมิโต้ พลางส่งสายตาแปลก ๆ มาให้ผม ตกลงนี่มันจะหม้อเด็กใหม่ไปด้วยอีกคนเลยรึไง ชั้นยังไม่มีแฟนหรอก

              งั้นก็เรื่องของเอ็ง ผมตัดบท เพราะชนิดากำลังตั้งอกตั้งใจฟังอยู่ ผมคิดอยู่ในใจว่าภูมิมันคงสนใจในตัวดา แต่ก็ช่างเหอะ ปล่อยมันกะแฟนเคลียร์ปัญหาชีวิตกันเองก็แล้วกัน

              ทั้ง ๆ ที่อีกใจหนึ่ง อยากตะโกนบอกชนิดาให้รู้แล้วรู้รอดว่ามันกำลังพยายามจีบเธออยู่

    +++++++++++++++

              คาบบ่ายผ่านไปเฉื่อย ๆ อย่างน่าเบื่อ ผมมองนาฬิกาด้านบนกระดานอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนกับถ้าผมจ้องมันนานกว่าสิบห้านาทีแล้วเข็มยาวมันจกระดิกไปอีกห้าเซนติเมตรงั้นแหละ

              นี่ ไอ้วิน

              ผมหันไปทางขวาตามเสียงเรียก และพบกับใบหน้าเครียด ๆ ของภูมินทร์ที่กำลังแอบคุยกับผมอยู่ ดูมันจะระแวงอาจารย์ที่ยืนสอนอยู่ด้านข้างไม่น้อย

              อะไร

              เห็นแกมองนาฬิกาตั้งนานแล้ว รีบกลับหรอ

              เปล่า ผมว่า พลางก้มหน้าก้มตาดูหนังสือเรียนทันทีเมื่อสายตาคม ๆ ของอาจารย์ภาษาอังกฤษเบนมา ข้าเบื่อ

              โธ่เอ้ย ก็ตอนแรกผมก็นึกว่าไอ้ภูมิมันเป็นห่วงที่ผมเบื่อเรียนเลยย้ายมานั่งข้าง ๆ กลายเป็นว่ามันย้ายมากระตุ้นให้ผมเรียนซะอย่างนั้น รู้งี้ไปนั่งหลังห้องตั้งนานแล้ว

              ทำไมแกไม่ไปนอนหลังห้องวะ ภูมิถามพลางใช้หางตาชำเลืองไปทางอาจารย์ที่เลิกสนใจแล้ว

              แล้วทำไมแกต้องสนใจข้าวะ ผมย้อนอย่างเบื่อ ๆ พลางหมุนปากกาน้ำเงินเล่นในมือขวา แกรู้ว่าข้าไม่เคยสอบตก

              เออ แกเก่ง ภูมิว่า แต่ข้าว่าแกขยันกว่านี้ซักหน่อยก็ได้นะเว้ย เทอมนี้บทเรียนมันเริ่มจะยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

              ผมไม่เห็นว่ามันจะยากขึ้นตรงไหน พอถึงเวลาสอบผมก็ไม่เคยดูหนังสือ แต่คะแนนก็ไม่เคยต่ำกว่าครึ่งอยู่แล้ว และผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันหรอก เชื่อเหอะ

              เออ ไว้ข้าจะพยายาม ผมตัดบทพลางพยายามจะฟุบลงไปงีบอีกครั้งนึง แต่ก็โดนฝ่ามือหนัก ๆ ของใครซักคนฟาดผัวะเข้าให้เต็ม ๆ ท้ายทอย

              เฮ้ย อะไรของแกวะ ผมขึ้นเสียง นี่มันชักจะเกินเลยไปแล้วนะ !

              แต่ มือเมื่อกี้ ไม่ใช่ของไอ้ภูมิ

              ปวินทร์ ครูขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้ายเสียงหนัก ๆ ของอาจารย์ดังขึ้นด้านหน้า และนั่นก็ทำให้ผมต้องหยิบปากกาที่หล่นลงจากโต๊ะกลับมาทำงานอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเธอไม่สนใจเรียนอย่างนี้ ครูคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด

              ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พลางนึกด่าเพื่อนทั้งห้องในใจที่มันยังคงจ้องผมไม่เลิก โดยเฉพาะไอ้ภูมิที่ส่งสายตาสมน้ำหน้ามาให้ผมแบบเต็ม ๆ

              ฝากไว้ก่อนเถอะเอ็ง

    +++++++++++++++

              เสียงกริ่งคาบสุดท้ายดังขึ้นในโสตประสาท และความรู้สึกง่วงนอนหายเป็นปลิดทิ้ง ผมกระโดดลุกขึ้นยืนพลางบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่น นักเรียนหลายคนทยอยกันเดินออกไปจากห้อง ยกเว้นผมกับไอ้ภูมิที่ก้มหน้าลงเก็บหนังสือจากใต้โต๊ะ ผมหยิบสมุดวาดรูปเข้ากระเป๋าและเงยหน้าขึ้นไล่เลือดที่ไหลลงหัว และพบกับชนิดาที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตู เพราะถูกรุมล้อมด้วยผู้ชายมากมายที่เข้ามาคุยด้วยผมก้มลงไปปิดกระเป๋า และรู้สึกถึงแรงกระตุกที่แขนเสื้อ

              เฮ้ยไอ้วิน ดา

              เพิ่งเห็นหรอ ผมว่าพลางสะพายกระเป๋าข้ามไหล่ และทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็โดนมือซ้ายของไอ้ภูมิดึงคอเสื้อไว้ก่อน

              เดี๋ยวดิ แกจะปล่อยไว้อย่างนั้นหรอ

              แล้วทำไม ผมย้อนถาม พลางมองไปยังไอ้เพื่อนตัวดี ที่กำลังทำสายตาละห้อย

              วิน ช่วยชั้นด้วย ภูมิร้องเสียงแหลม ๆ อย่างเสแสร้ง มือพนมขึ้นทำท่าเว้าวอน

              ผมพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่เห็นเหตุผลที่ต้องลงแรงไปทำอย่างนั้นซักนิด ยิ่งพวกเพื่อนร่วมห้องที่ไปคุยกับชนิดายิ่งแล้วใหญ่ มันขึ้นชื่อว่าชกต่อยเก่งที่สุดในระดับ แล้วถ้าผมเข้าไปยุ่ง ถึงตัวเองจะแน่ใจว่าชนะก็เหอะ แต่ไอ้เพื่อนข้าง ๆ นี่จะถูกดักตีหัวตรงทางกลับบ้านรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วยังจะให้ผมเข้าไปช่วยอีก

              หัดเจียมตัวบ้างสิวะ ผมดุพลางมองไปยังชนิดาที่ตอนนี้ถูกต้อนจนหลังไปชิดผนังห้องแล้ว อีกอย่าง พวกนั้นก็แค่คุยด้วยเฉย ๆ ไม่ใช่...

              ภาพที่ผมเห็น คือไอ้ต๊อบ - เจ้าหัวโจกนั่นกำลังยกมือขวาขึ้นยันผนังข้าง ๆ หัวเธอ ส่วนใบหน้านั่นยื่นไปใกล้จนแทบจะชิดกัน ความร้อนพลุ่งพล่านขึ้นตามร่างกายของผม ตอนนี้สำนึกแห่งความดีของผมกำลังเริ่มจะสำแดงฤทธิ์ ทั้ง ๆ ที่จิตใจกำลังโอดครวญห้ามร่างกายไว้

              ไอ้ภูมิ ตามน้ำ ผมสั่งสั้น ๆ กับเพื่อนรัก ก่อนจะเดินดิ่งเข้าไป

              ตอนนี้หัวสมองกำลังปั่นป่วน ต้องทำยังไงก็ได้ ไม่ให้เจ็บตัวทั้งสองฝ่าย ยากนะเนี่ย

              ดา ปะ กลับบ้านกัน ผมเอ่ย พลางยื่นมือไปดึงเธอออกมาจากกลุ่ม มองไรวะไอ้ต๊อบ

              มึงรู้จักกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ต๊อบถามเสียงนิ่ม ดูใบหน้าจะบิดเบี้ยวไม่น้อยขณะที่เพื่อน ๆ กำลังหัวเราะตัวมัน

              ดาเป็นเพื่อนข้างบ้านข้า รู้แล้วก็ถอยไป ผมพูดปดแบบสด ๆ โดยรักษาสีหน้านิ่ง ๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่บีบแขนชนิดาแรงขึ้นนิดหนึ่งเป็นสัญญาณ ใช่มั้ยวะไอ้ภูมิ

              เออ ข้าเห็นดามาเล่นบ้านแกตั้งแต่ตอนปอสี่ แต่เห็นพ่อแม่ย้ายไปต่างจังหวัด ไม่นึกว่าจะย้ายกลับมาเจอกันอีก ไอ้ภูมิเองก็โกหกเก่งใช่ย่อยนะ

              งั้นก็แล้วไป ไอ้ต๊อบเอ่ยจบพลางถอยหลังเปิดทางให้ผม แต่เมื่อผมจ้องหน้ามันอย่างพินิจ ก็พบว่ามันขยับปากเล็ก ๆ เป็นคำว่า ลองยุ่งอีก มึงโดนแน่

              ไปเถอะ ผมดึงชนิดาออกจากห้อง พร้อมกับคว้ากระเป๋าเรียนเธอมาด้วย โดยมีไอ้ภูมิรั้งท้ายอยู่ห่าง ๆ

    +++++++++++++++

              เราออกมาจากตึกเรียนได้พักหนึ่งแล้ว กว่าผมจะปล่อยมือชนิดา เพราะตลอดทางมีแต่คนพยายามเข้ามาหาเธอ ซึ่งผมจะปล่อยเธอไปก็ได้ แต่อาจจะต้องทนแรงมือแรงเท้าของไอ้ภูมิต่ออีกเป็นแน่

              นี่ชนิดาเอ่ยเสียงค่อย

              ผมหันกลับมา เธอกำลังก้มหน้ามองพื้น ดูไม่ออกว่ากำลังทำสีหน้าอย่างไร แต่พริบตาต่อมาเธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส

              ขอบคุณนะ

              ใบหน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ผมเกาแก้มแก้เขินนิดหน่อย ก่อนยิ้มตอบ

              อะ อือ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็ก

              แล้วดากลับบ้านทางไหนล่ะ ไอ้ภูมิถามขึ้น

              บ้านดาอยู่ตรงซอยพหลยี่สิบเจ็ดน่ะ ก่อนแยกรัชโยธิน

              ในใจผมกำลังร้องเสียงดังอย่างลืมตัว แต่ใบหน้านิ่ง ๆ นั่นยังไม่แสดงปฏิกิริยา ยกเว้นไอ้บ้าด้านข้างที่ทำหน้ายังกับถูกล็อตเตอรี่

              ทางเดียวกับไอ้วินเลยนี่ ! – งั้นก็เดินกลับด้วยกันซะสิ

              ชนิดาดามองหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นส้มเข้ม ๆ เหมือนใครทำสีน้ำหก

              จะดีหรอ รบกวนอะไรวินรึเปล่า เธอถามเสียงค่อย ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างสงสัย

              ไม่หรอก ไปสิ ผมตอบ พลางกระชับกระเป๋าบนบ่าขวา

              ตั้งแต่หน้าตึกวชิรุณหิศจนไปหน้าประตูโรงเรียน ไอ้ภูมิดูเหมือนจะรื่นเริงเสียเหลือเกิน ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไร

              หรือมันจะนึกว่าผมเริ่มชอบชนิดาขึ้นมาบ้างแล้ว เหอะ ๆ จะว่าไปภูมิมันก็รักเดียวใจเดียวมาตลอด ถึงจะชอบหม้อคนอื่นบ้าง แต่ยังไงก็หนีไม่พ้นเมย์ แฟนสุดหวงของมัน มันคงคิดบ้างล่ะนะว่าผมเห็นมันจู๋จี๋กับแฟนมานาน คงเกิดเหงาขึ้นมาบ้าง แต่ก็เปล่าหรอก ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องผู้หญิง อาจเป็นเพราะผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตประจำวันของผมมีน้อยมากก็ว่าได้

              วันนี้แกเหม่อบ่อยจริง ๆ ไอ้วิน ภูมิว่าพลางผลักผมกระแทกต้นไม้อย่างแรง

              โอ๊ย ไอ้บ้า ผลักมาได้สิแก ผมที่เพิ่งจะได้สติโวยวายเสียงดัง กำลังจะด่าต่อแล้วแต่ก็พอดีได้ยินเสียงหัวเราะซะก่อน

              เวลาชนิดาหัวเราะ ดูเธอจะน่ารักกว่าตอนทำหน้าเฉย ๆ หรือหน้าเครียด ๆ อย่างเวลาเรียน เหมือนกับเธอละทิ้งความปวดร้าวบางอย่างในใจไปชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เป็นเสียงหัวเราะตามธรรมชาติที่ปราศจากการเสแสร้งใด ๆ เออ แล้วผมจะมาดูเธอหัวเราะทำไม

              ทำไมหรอ เธอถามเมื่อเห็นว่าผมจ้องเธอนานเกินไป

              ผมส่ายหัวดิก ก่อนจะพบว่าตอนนี้พวกเรามาถึงหน้าประตูแล้ว ลุงยามเฝ้าประตูกำลังเดินไปเปิดประตูรั้วให้รถของอาจารย์ออกจากโรงเรียน

              ไปแล้วนะครับลุง ภูมิตะโกนทัก

              เออ กลับดี ๆ ล่ะ

              ไอ้ภูมิเป็นเด็กกิจกรรม มันทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรงเรียน ดึงผมไปด้วยบ้างเป็นบางครั้งตามโอกาส ส่วนมากก็เป็นงานจำพวกพี่เลี้ยงค่ายลูกเสือ จัดห้องพักครูหรืออะไรเทือกนั้น เวลามาโรงเรียนวันเสาร์หรืออาทิตย์ อย่างแรกเลยคือถ้ายามเฝ้าประตูจำหน้าไม่ได้ ต้องแสดงบัตรนักเรียนก่อน ซึ่งมันได้รับสิทธิพิเศษให้ละเว้นกฎข้อนี้ เพราะมันเข้าออกเกือบจะทุกวันอยู่แล้ว

              บายเว้ยวิน ดา ภูมิร้องบอกพลางเดินแยกไปทางขวา ส่วนผมกับดาเดินไปทางซ้าย

              ผมเดินไปกับชนิดาบนบาทวิถีสีเทาอย่างไม่พูดไม่จา พลางพยายามนึกหาเรื่องทำลายความเงียบ

              ไม่ได้รับตารางสอนหรอ ผมถามดา ตอนนี้ดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับเธอที่จะแบกกระเป๋าและเดินให้ทันผมไปพร้อม ๆ กัน

              ก็...ได้ ชนิดาตอบเบา ๆ เธอก้มหน้ามองพื้นอีกแล้ว

              มานี่ เดี๋ยวแบกให้ผมว่า พลางดึงกระเป๋าออกจากบ่าเธออย่างรวดเร็ว ผมเห็นว่าเธอพยายามคว้ากลับมา แต่ก็ไม่ทัน เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก แค่นี้เล็กน้อย

              เราสองคนเดินต่อไปอีกช่วงหนึ่งโดยไม่มีใครพูดอะไร ตอนนี้อาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว แสงรำไรนั่นบาดตาผมจนต้องเบือนหนี เดี๋ยวก็คงมืดแล้ว

              กลับเย็นอย่างนี้ไม่โดนว่าหรอดา ผมถาม ประโยคนี้ดังกว่าปกติเพราะเสียงรถที่วิ่งผ่านดังจนแทบไม่ได้ยิน

              อ้อ เค้าอยู่บ้านคนเดียวน่ะ

              ผมรู้สึกเจ็บแปลบในใจหรือว่าเธอจะกำพร้าพ่อแม่เหมือนผม ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าถามมากไปแล้ว ชนิดาก็ชิงถามกลับซะก่อน

              แล้วปวินทร์ล่ะ พ่อกับแม่ทำงานอะไร ชนิดาถามกลับหน้าซื่อ ๆ ดูเธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่ผมถามไปนัก

              พ่อกับแม่เราเสียแล้ว ผมตอบเสียงเรียบ ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตากับชนิดาและนึกถึงหน้าของพวกท่าน

              ขอโทษที ชนิดารีบพูด พลางก้มหน้าหลบผมไปอีกครั้ง

              รถยนต์คันแล้วคันเล่าพุ่งผ่านด้านข้างของเราไป ผมสีน้ำตาลเข้มจนดำของเธอปลิวน้อย ๆ ตามแรงลม ผมหันไปมองเรือนผมเธอ บางที เธออาจจะเข้าใจความรู้สึกนี้ก็ได้ ความรู้สึกว่างเปล่าไม่มีใคร...

              ปวินทร์

              เรียกวินเฉย ๆ ก็ได้ ผมว่า พลางดึงสายกระเป๋าของเธอที่เลื่อนหลุดจากบ่าให้กลับขึ้นมาระดับเดิม

              บ้านเธออยู่ที่ไหนหรอ

              ซอยเดียวกับเธอน่ะแหละ ผมตอบนิ่ง ๆ พลางหันไปมองดูว่าเธอจะมีอาการอย่างไร แต่สิ่งที่พบคือใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจของชนิดา

              หรอ!!! – งั้นเราเดินไปโรงเรียนด้วยกันนะ

              ผมตกใจนิดหน่อย ใบหน้าที่ตอนนี้ออกแววงงงันทำให้ชนิดาหัวเราะน้อย ๆ

              ได้สิ ตื่นกี่โมงล่ะ ผมถามเธอ

              จะไม่ให้ถามก่อนได้ยังไง ก็ผมตื่นสายเกือบทุกวันนี่ ถ้าปล่อยให้เธอถามก่อนก็อายแย่...

              ที่เราเดินกลับนี่ก็ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที งั้นเดินไปตอนหกโมงครึ่งกันดีกว่า ชนิดาว่า

              ผมทำหน้าเหย ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนั้น เข้าแถวตอนเจ็ดโมงห้าสิบไม่ใช่รึไง

              รีบไปทำอะไร ผมถาม เธอก้มลงไปเกาแก้มเล็กน้อย

              เค้ารู้สึกดีน่ะ เวลาไปโรงเรียนเช้า ๆ เธอว่า รีบเงยหน้าขึ้นเอ่ย แต่ถ้าปวินทร์ไม่สะดวก เค้าเดินไปคนเดียวก็ได้นะ

              ไม่เป็นไรหรอก เราเดินไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ ผมตอบรับ ทำเอาเธอยิ้มกว้าง

              งั้น ตกลงนะ

              ผมพยักหน้ารับ และเอ่ยคำอำลากับเธอ บ้านของเธออยู่ในซอยลึกเข้าไป ส่วนของผมอยู่ใกล้กว่านั้น ผมเลี้ยวขวาที่แยกเล็ก ๆ ในซอย และวิมานบนดินของผมก็ปรากฏแก่สายตา

              กลับมาแล้วครับ ผมเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเริ่มควานหากุญแจบ้านในกระเป๋ากางเกง

    -------------------------------------

    16/01/2549

    19 : 17 P.M.

     

    เพิ่งเคยลองเขียนนิยายแนวนี้เป็นครั้งแรก

     

    ให้ความรู้สึกแปลกใหม่และทะแม่ง ๆ ดีเหมือนกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×