[WFcontest] อารินา ภาค สายรุ้งในตำนาน
เมื่อกามเทพระดับเอฟอารินา เมอร์ธองนี ได้รับภารกิจให้ทำให้คนไทยรักกัน เธอจะทำอย่างไร?
ผู้เข้าชมรวม
339
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“เคธีย์ เธอได้ยินเสียงหัวใจของฉันไหม ฉันรักเธอ” ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวในวันที่หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดิน หญิงสาวร่างบางผมสีน้ำตาลสบตาเขินอายกับชายหนุ่ม หน้าของเธอเป็นสีชมพูก่ำ
ฉึก... ลูกศรปลายสีทองแล่นฉิวทะลุชายหนุ่มจากด้านหลัง มันทะลุผ่านกลางออกของชายหนุ่ม พุ่งเข้าใส่กลางอกของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวบอกรับรักชายหนุ่มท่ามกลางหิมะ ทั้งสองจุมพิตรักอย่างอ่อนโยน
ไม่มีใครเห็นว่ามีลูกศรธนูพึ่งลอยทะลุออกของชายหนุ่มเข้าไปยังตัวของหญิงสาว มันมาจากเด็กสาวคนหนึ่งที่สยายปีกอยู่กลางฟากฟ้า เธอกำหมัดอย่างมีชัย เด็กสาวผมสีทองสลวยนัยน์ตาสีน้ำเงินแก้ว สยายปีกนกพิราบใหญ่สยายเสมอตัว มือซ้ายกำคันธนูลายขนนกสีขาว สะพายแล่งลูกธนูถูกห้อยไว้ข้างหลัง มันเหลือลูกธนูสีทองเพียงไม่กี่ดอกเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง มีควันจางสีขาวลอยเป็นสายออกมาจากคู่รักคู่เดิมที่กอดกันกลมเกลียว ควันจางขดตัวกันจนกลายเป็นลูกแก้วสีแดง เด็กสาวแล่นฉิวมารับมันไว้แทบไม่ทัน เธอถอนหายใจโล่งอก
“เฮ้อ เกือบไปแล้วนะ พิกซ์” เด็กสาวหันไปบอกกับพิกาซัส ม้ามีปีกที่บินอยู่เหนือหัวของเธอ ทั้งตัวของพิกซ์เป็นสีขาวรวมทั้งปีกใหญ่ข้างลำตัว มันสวมปลอกคอสีชมพูห้อยกระดิ่งสีทอง ตรงสายสลักคำว่าพิกซ์ มันพ่นลมทางจมูกเป็นเชิงต่อว่า
"เอาน่า ฉันจะไม่ทำลูกแก้วแตกอีกแล้วล่ะ" เด็กสาวให้สัญญาพลางเกาคอเรียวยาวของพิกซ์ เมื่อพิกาซัสดูใจอ่อน เธอกระโดดขึ้นขี่หลังมันทันที "กลับปราสาทกันเถอะ" เมื่อเธอบอกม้าคู่ใจ พิกซ์ยกขาหน้าขึ้น ก่อนที่จะขยายปีกทะยานขึ้นเหนือฟ้า
อาริน่า คือชื่อของฉัน ฉันเป็นนางฟ้า ไม่สิ ต้องเรียกฉันว่ากามเทพ หลังจากฉันสอบผ่านกามเทพฝึกหัดเมื่อสองปีที่แล้วทั้งที่ฉันเรียนไม่จบวิทยาลัย และฉันเป็นกามเทพไม่กี่ตนที่เป็นกามเทพเต็มตัวได้ด้วยอายุเพียงสิบเจ็ดปี อัจฉริยะไหมล่ะ?
สำหรับเหล่านางฟ้า กามเทพเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ ฉันฝันอยากเป็นกามเทพตั้งแต่ยังเล็ก และความฝันของฉันก็เป็นจริงตอนที่ฉันอายุสิบห้า พวกมนุษย์อาจคิดว่ากามเทพคือผู้มอบความรักให้แก่มนุษย์ มันอาจจะใช่แค่ส่วนหนึ่ง แต่งานหลักๆของเราคือเอาพลังงานมาจากความรักของมนุษย์มาใช้ในนคร
พิกซ์สยายปีกใหญ่อีกครั้ง ครั้งนี้มันบินสูงขึ้นอีก เราบินผ่านหมอกเมฆหนา เมื่อหมอกเมฆแหวกออกเราก็เข้ามาถึงนครเหนือเมฆ เมืองของเหล่านางฟ้าและเทวดา พิกซ์แล่นฉิวผ่านบ้านและอาคาร เบื้องล่างของพวกเราคือเหล่านางฟ้าและเทวดา เรามุ่งตรงไปยังปราสาทสีขาว สถาปัตยกรรมที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในนครเหนือเมฆ
แต่เดิมปราสาทแห่งนี้เป็นที่พำนักของเทพวีนัสและกามเทพ ทุกวันนี้ที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ระบบเศรษฐกิจเข้ามาแทนที่ ปราสาทใหญ่กลายเป็นแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในนคร และกามเทพอย่างฉัน มีหน้าที่นำพลังงานมาให้แก่โรงงาน และความรักคือแหล่งพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับนครเหนือเมฆแห่งนี้
เมื่อพิกซ์บินลงมาถึงพื้นหน้าปราสาทสูงตระหง่าน ฉันให้พิกซ์คอยอยู่ข้างนอก ฉันเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่เป็นห้องกลางของปราสาท ทุกมุมของปราสาทเป็นสีขาว เว้นแต่บนกำแพงและเพดานเป็นภาพวาดของกามเทพที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ยุคต่างๆ ฉันบินตรงไปยังเคาน์เตอร์
"ไงจ้ะ อาริน่า" หญิงสาวนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์กล่าวทักทายเมื่อฉันมาถึงหน้าเคาน์เตอร์
"หวัดดี เมียร์" ฉันทักตอบพลางวางลูกแก้วสีแดงสดที่พึ่งได้มาลงบนโต๊ะเคาน์เตอร์
"ลูกแก้วสีแดง ได้มาอีกแล้วหรอเนี่ย" เมียร์มองมันตาโต ฉันพยักหน้าอย่างภูมิใจ ความรักของมนุษย์ถูกตีเป็นพลังงานในรูปร่างของลูกแก้ว ลูกแก้วสีต่างๆให้ระดับพลังงานที่แตกต่างกัน ลูกแก้วสีแดงเป็นลูกแก้วที่มีพลังงานมากที่สุด ฉันสามารถนำมันมาขายได้ที่นี่ด้วยราคาตามน้ำหนักของลูกแก้ว เพื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ทั้งนคร เมียร์หยิบคันชั่งสีทองเหลืองขึ้นมา เธอใช้ชั่งน้ำหนักระหว่างลูกแก้วและเหรียญเงิน แต่ที่ฉันมาที่นี่ในวันนี้ไม่ใช่มาเพื่อขายลูกแก้วอย่างเดียวนั้น
"ฉันจะสอบเลื่อนระดับจีล่ะ" ฉันบอกกับเมียร์
"จริงหรอ?" เมียร์ทำตาโต ยศของกามเทพถูกแบ่งเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับเอ (A) ถึงระดับจี (G) สามปีที่ผ่านมาฉันไต่เต้าจากระดับเอจนถึงระดับเอฟ (F) มีกามเทพไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะมาถึงระดับนี้ และมีกามเทพเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่อยู่ในระดับจี มันคือความฝันสูงสุดสำหรับกามเทพระดับเอฟอย่างฉัน "เธอต้องสอบผ่านแน่ๆ"
"อย่างนั้นหรอ? แต่ทำไมฉันถึงไม่คิดอย่างนั้นนะ" เสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังทำฉันสะดุ้ง มันเป็นเสียงของคนที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดในโลก แต่อดไม่ได้ที่ต้องเหลียวหลังไปดูให้แน่ใจ ชายหนุ่มผมสั้นสีเงินนัยน์ตาสีเทาจ้องมองฉันอย่างยิ้มเยาะพร้อมกับสยายปีกใหญ่ยักษ์ เขาคือ คาริม รุ่นพี่ตอนสมัยวิทยาลัย เขาแก่กว่าฉันสามปีแต่เพราะการที่เขาทำตัวไม่น่าเคารพฉันจึงไม่เรียกเขาว่าพี่ ด้วยเหตุนี้ทำให้เรากลายเป็นศัตรูตลอดกาล
"ก็เพราะนายมันตาไม่ถึงไง คาริม" ฉันบอกกับเขา
"พูดอะไรหัดให้เกียรติกันบ้างนะ อย่าลืมนะว่าน้าของฉันเป็นหนึ่งในกามเทพระดับจี" เขามักจะใช้มุกนี้ข่มฉันเสมอ เขาเป็นแค่กามเทพระดับซีที่ใช้อำนาจของน้าตัวเองข่มราวกับว่าตัวเองเป็นหัวหน้ากามเทพ และที่เขาขู่ฉันได้เพราะเขารู้ดีว่ากามเทพระดับจีจะเป็นผู้คัดเลือกผู้สอบเข้ากามเทพระดับจี "เธอจะผ่านหรือไม่ผ่านมันขึ้นอยู่กับน้าของฉัน"
"นายก็ทำได้แค่เกาะชายกระโปรงของน้านายเท่านั้นแหละ ไม่ใช่น้าของนายคนเดียวสักหน่อยที่เป็นกามเทพระดับจีน่ะ!" ฉันบอกกับคาริม ฉันไม่รู้ว่าฉันพูดเสียงดังแค่ไหนแต่นางฟ้าและกามเทพทุกตนในห้องโถงมองมาที่ฉัน เมียร์ถึงขนาดว่ายกมือมาปิดปาก
"พูดได้ดีนี่" เสียงหนึ่งทำให้ฉันแทบเป็นลม หญิงวัยกลางคนบินมาจากห้องหนึ่งข้างห้องโถง เธอมีนัยน์ตาสีเงินเช่นเดียวกับคาริม เส้นผมสีเงินปนเทาถูกมัดตึงเป็นมวย เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว มีปีกใหญ่สีขาวสยายอยู่เบื้องหลัง สร้อยคอรูปตัวจีสีทองทำเอานางฟ้าและกามเทพในห้องแทบคุกเข่าลงกับพื้น ฉันถอยหลังจนไปติดเคาน์เตอร์ “เธอใช่ไหม ที่ยื่นใบสมัครเป็นกามเทพระดับจีเมื่อสองวันที่แล้ว”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง” ฉันตอบหวั่นๆ
“งั้นก็ดี ตามฉันมา” ว่าแล้วเธอก็เดินนำฉันออกไปจากห้องโถงผ่านซุ้มประตูใหญ่ที่ไปสู่ทางเดินลาดยาว เมียร์มองฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนคาริมยิ้มเยาะอย่างมีชัย ซวยแล้วฉัน...
หญิงวัยกลางคนเดินมาตรงหน้าประตูใหญ่บานหนึ่งที่อยู่ริมสุด ประตูบานนั้นเปิดออก ห้องโถงกว้างใหญ่อีกห้องมีโต๊ะยาวโค้งเป็นรูปเกือกม้า กามเทพปีกใหญ่กว่าสามสิบชีวิตนั่งเรียงรายบนเก้าอี้แต่ละตัวรอบเกือกม้า มีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งอยู่ด้านใน ป้าของคาริมเดินกลับไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่หัวสุดของโต๊ะ
“นั่งก่อนสิ” ป้าของคาริมผายมือไปยังเก้าอี้ตัวตรงกลางที่มีโต๊ะเกือกม้าล้อมรอบ ฉันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ภายในท้องรู้สึกหวิวๆ
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์กดดันเหมือนต้องโทษคดีประหาร สายตานับกว่าสามสิบคู่จดจ้องมาที่ฉัน ทุกคนในนี้กลัดเข็มกลัดปักอกรูปตัว G สีทองแวววาว กามเทพเหล่านี้ถ้าเทียบกับสมัยก่อนก็พอๆกับขุนนางระดับสูงนั่นแหละ หน้าที่ของกามเทพระดับจีไม่ใช่งานเก็บพลังงานความรักหรือปลูกต้นรักในใจของมนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นผู้บริหารและดูแลทุกภาคส่วนต่างๆ และเรื่องอำนาจหรือเงินทองก็ไม่ต้องพูดถึง มันเป็นความฝันสูงสุดของเหล่ากามเทพและนางฟ้าเลยล่ะ
"กามเทพระดับเอฟ อารินา เมอร์ธองนี อายุสิบเจ็ดปี" กามเทพระดับจีชายวัยกลางคนคนหนึ่งอ่านใบสมัครของฉันที่อยู่ในมือพลางขยับแว่น "กามเทพระดับเอฟที่เด็กที่สุดในประวัติศาสตร์กามเทพ แถมยังเป็นกามเทพตนเดียวที่ขอสอบเข้ากามเทพระดับจีในการสอบรอบนี้" เขาพูดต่อ การสอบเลื่อนระดับจะมีทุกๆ สี่เดือน แต่ดูเหมือนว่าจะมีฉันคนเดียวที่ยื่นใบสมัครสอบกามเทพระดับจีในรอบนี้
"น่าแปลกนะ ทั้งๆ ที่มีกามเทพระดับจีมากมายถูกปลดจากตำแหน่ง แต่เธอกลับอยากมาแทนที่พวกเขาเหล่านั้น" กามเทพหญิงอีกคนพูด
"เรื่องนั้นฉันรู้ดีค่ะ แต่ว่าฉันอยากเป็นกามเทพระดับจีจริงๆ มันเป็นความฝันสูงสุดในชีวิตของฉัน ถึงแม้ว่าฉันอายุยังน้อย อย่างไรก็ตามฉันก็อยากทำงานในตำแหน่งที่ฉันรัก นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ค่ะ" ฉันพูดอย่างมุ่งมั่น กามเทพระดับจีหลายคนพยักหน้าตาม แต่ไม่ใช่น้าของคาริม ดวงตาสีเทาทั้งคู่ยังจดจ้องฉันอย่างไม่เลิกรา
"แต่ว่า ความรักในช่วงนี้เกิดขึ้นได้ยากและไม่ยืนยาว เพราะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ เราต้องการกามเทพที่มีความสามารถและช่วยเราแก้ไขปัญหาได้" กามเทพชายวัยกลางคนที่ถือกระดาษใบสมัครของฉันพูดพลางเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉัน
"ใช่ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงนี้" กามเทพหญิงที่นั่งอยู่ริมสุดพูดพลางชูปากกาขนเป็ดขึ้นมา
"เพราะฉะนั้นฉันมีข้อเสนอค่ะ" ในที่สุดป้าของคาริมที่นั่งนิ่งอยู่นานก็พูดขึ้น เธอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง หน้าจอภาพฉายปรากฏขึ้นบนกำแพงของห้องประชุม เป็นภาพของดาวโลกมันกำลังหมุนรอบตัวเองช้าๆ "บนโลกมนุษย์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประเทศหนึ่งที่กำลังเกิดปัญหาทางการเมือง ชื่อว่าประเทศไทย" ทันใดนั้นเองโลกก็หยุดหมุน ภาพฉายค่อยๆซูมเข้าไปตรงแถวเอเชียแล้วหยุดตรงแผ่นดินหนึ่ง มีเส้นสีทองขีดแบ่งอาณาเขตประเทศ กลายเป็นรูปขวานหน้าตาประหลาด ฉันรู้จักประเทศนี้ตอนสมัยเรียนวิทยาลัย มีประเทศเดียวในเอเชียที่มีรูปร่างเหมือนขวานคือ ประเทศไทย
"ช่วงสิบปีมานี้ในประเทศไทยเกิดปัญหาทางการเมือง มนุษย์ถูกแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย เกิดเหตุการณ์โกลาหลหลายครั้ง ทำให้คนในประเทศขาดความสามัคคี มีคู่รักหลายคู่ต้องแยกทางเพราะปัญหาเหล่านี้" ป้าของคาริมอธิบายต่อ ภาพฉายของเหตุทะเลาะวิวาทของชาวไทยฉายบนจอ มีการชุมนุมและประท้วงต่างๆมากมาย ฉันตะลึงมองภาพเหล่านั้นไม่เชื่อตา ฉันไม่รู้มาก่อนว่า อีกฟากของโลกกำลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้
"นี่คงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ช่วงนี้คนไม่รักกันสินะ" กามเทพคนหนึ่งวิเคราะห์
"เพราะฉะนั้นฉันจึงจะขอเสนอ" ป้าคาริมกล่าวพลางมองมาที่ฉัน ฉันรู้สึกว่ามีผีเสื้อนับร้อยนับพันกำลังบินอยู่ในท้อง "การทดสอบกามเทพระดับจีในรอบนี้ ถ้าหากว่ากามเทพระดับจีอาริน่าสามารถทำให้คนไทยกลับมารักกันได้ ถือว่าสอบผ่านและได้เป็นกามเทพระดับจี" เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบห้องประชุม ฉันรู้สึกว่าตัวเองหูดับไปชั่วขณะ ทำให้มนุษย์ที่แตกแยกกันมาเกือบสิบปีกลับมารักกันเนี่ยนะ?
"คุณแคทรีนครับ" กามเทพชายคนหนึ่งยกมือขึ้น "มันจะไม่โหดไปหน่อยหรอครับ นับว่านี่เป็นการทดสอบที่ยากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเลยนะครับ" เมื่อเขาค้านมีกามเทพอีกหลายตนพยักหน้ารับ
"เพราะว่าการทดสอบยากนี่แหละเราจะได้แน่ใจว่ากามเทพระดับจีที่เราจะรับเข้ามานี้มีความสามารถอย่างแท้จริง และถ้าหากมนุษย์ในประเทศไทยกลับมารักกันได้นครของเราจะมีพลังงานเพิ่มอีกเป็นกองเลยล่ะ แล้วเราจะไม่ถูกคำครหาใดๆจากกามเทพระดับจีที่พึ่งถูกปลดออกไปด้วย" กามเทพหลายตนพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของป้าของคาริม ฉันได้แต่นั่งนิ่งปากซีดบนเก้าอี้ตัวเดิม
"เอาเป็นว่าเราใช้การทดสอบนี้ในรอบนี้ก็แล้วกัน เราจะให้เวลาหนึ่งเดือนเป็นเวลาในการปฏิบัติภารกิจซึ่งยาวนานกว่ามาตรฐานเป็นโอกาสพิเศษ มีใครคัดค้านไหม" กามเทพชายแก่คนหนึ่งกล่าว เหมือนว่าเจาจะอาวุโสที่สุดในบรรดากามเทพระดับจี และเมื่อไม่มีใครคัดค้านเขาประทับตรายางบนกระดาษม้วน
"พยายามเข้านะกามเทพระดับเอฟอาริน่า" ป้าของคาริมกล่าวพร้อมดัวยรอยยิ้มมีชัย ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เหมือนถูกขว้างจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
"ตัดใจซะเถอะ อารินา ยังไงรอบหน้าก็ยังมี" มอร์ฟีนพูดหลังจากที่ฉันเล่าเรื่องให้ฟัง เด็กสาวผมสั้นสีแดงเพลิงนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคนนี้คือมอร์ฟีน เพื่อนของฉันตั้งแต่สมัยฉันยังเรียนวิทยาลัยกามเทพตอนปีหนึ่ง เธอพูดขณะดูดโกโก้เฟรบเป้ในแก้วน้ำ ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งในเมือง โชคดีที่มอร์ฟีนกับอันนาผ่านมาแถวนี้พอดีฉันจึงมีที่ระบาย แต่ดูท่ามอร์ฟีนจะทำให้กำลังใจของฉันที่แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ให้ลดน้อยลงกว่าเดิม
"มอร์ฟีน แทนที่เธอจะให้กำลังใจยัยอาริน่านะ" อันนาพูดขึ้นพลางตักเค้กสตอเบอร์รี่เข้าปาก เด็กสาวถักผมเปียสองข้าง สวมแว่นรีคนนี้คืออันนา เธอเป็นเพื่อนสมัยวิทยาลัยของฉันเหมือนกัน ปัจจุบันก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับยัยมอร์ฟีนนี้แหละ
"เห็นไหม อันนายังพูดแบบนั้นเลย" ฉันบอกกับยัยมอร์ฟีนที่กำลังดื่มด่ำกับน้ำโกโก้
"แล้วเธอจะจัดการมันยังไง" คำถามของมอร์ฟีนเป็นคำถามที่ฉันกำลังคิดหาคำตอบอยู่เหมือนกัน ฉันส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง การยิงเมล็ดต้นรักให้กับคนหกสิบล้านคนก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าสิ้นหนทาง
"แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีทางหรอกน่า" ยัยอันนาพูดขึ้น ฉันกับยัยมอร์ฟีนหันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว อันนาขยับแว่นเหมือนเป็นผู้รู้ "เธอเคยได้ยินเรื่องตำนานสงครามระหว่างเทพกับยักษ์ไหมล่ะ" ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มานานจนเกือบลืมไปแล้ว เมื่อหลายพันปีก่อนเกิดสงครามขึ้นระหว่างเทพกับยักษ์ มันกินเวลายาวนานกว่าหลายสิบปีจนกระทั่งวันหนึ่งที่มีสายรุ้งพาดผ่านสนามรบ สงครามก็ยุติลง
"ต่อให้ยัยอาริน่าคงต้องเหมาน้ำยาสายรุ้งทั้งตลาดก็คงจะไม่พอหรอกน่า" ยัยมอร์ฟีนพูด ตรงนี้ฉันเห็นด้วยอย่างแรง สายรุ้งสามารถทำให้มนุษย์ หรือแม้แต่เทพมีความสุขได้แต่เพียงช่วงสั้นๆ มันมีวิธีทำที่แสนง่ายดาย แต่สายรุ้งที่ยาว 1,640 กิโลเมตรน่ะ ไม่มีใครทำได้หรอก และไม่สามารถทำให้มนุษย์ที่เกลียดกันกลับมาดีกันได้ด้วย
"จะบ้าหรอ ฉันไม่ได้หมายถึงสายรุ้งที่หาซื้อตามตลาดหรอกน่า" ยัยอันนาบอก "ฉันหมายถึงเธอต้องทำสายรุ้งในตำนาน" คำตอบของยัยอันนาทำให้กับมอร์ฟีนเงียบไปช่วยขณะ สายรุ้งในตำนานก็คือสายรุ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเชื่อกันว่าเป็นสายรุ้งเส้นที่ยุติสงครามระหว่างยักษ์กับเทพได้ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องราวในตำนาน เพราะยังไม่มีใครเคยเห็นสายรุ้งในตำนานนี้กับตา
“มันไม่มีจริงหรอก” มอร์ฟีนบอก
"ไม่หรอก" ยัยอันนาส่ายหน้า "เขาว่ามันมีจริง แต่ที่ไม่มีใครทำเพราะวัตถุดิบการทำนี่ล่ะ ถ้าสายรุ้งธรรมดาพวกนางฟ้านักทำสายรุ้งก็ทำได้แค่นำไปให้ก้อนเมฆกินใช่ไหมล่ะ แต่สายรุ้งในตำนานน่ะ มันมีมากกว่านั้น ความจริงฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แต่ถ้าเธออยากรู้น่ะนะ ก็ต้องไปถามผู้รู้"
ฉันกับมอร์ฟีนมองหน้ากัน ในที่สุดพวกเราขี่หลังพิกซ์ทะยานขึ้นเหนือนครอีกครั้ง เรามุ่งตรงไปยังป้อมปราการใหญ่หนึ่งในเมือง รูปปั้นรูปนกฮูกสวมแว่นและหมวด ตั้งตระหง่านอยู่บนหลังคาทรงแหล่มยอดสุดของอาคาร เป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ที่นี่เป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในนคร
เราเข้าไปในหอสมุดนี้ ภายในหอสมุดเป็นห้องใหญ่ทรงกระบอกสูงเท่าความสูงของอาคาร หนังสือเป็นล้านๆเล่มสูงสุดเพดาน ตรงกลางของห้องถูกจัดเป็นโต๊ะแล้วเก้าอี้หรูหรานั่งสบาย เราเดินตรงไปยังเคาเตอร์ที่อยู่ชิดห้อง มีนางฟ้าสาวคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์
"สวัสดีค่ะคุณพีแกน" อันนาเอ่ยทักทาย นางฟ้าสาวพีแกนผู้เป็นบรรณารักษ์ละสายตาจากหนังสือทันที
"อ้าว สวัสดีอันนา วันนี้อยากยืมเล่มไหนอีกล่ะ วันนี้มีหนังสือเข้ามาใหม่หลายร้อยเล่มเลย อย่างเช่นเล่มนี้ไงนักเขียนคนโปรดของเธอ เทวดาอาคิวลิค เบิร์ค ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยล่ะ" บรรณารักษ์สาวคุยจ้อพลางโบกหนังสือเล่มหนาอยู่ในมือไปมา
"ยังดีกว่า ขอบใจมากนะพีแกน พอดีวันนี้ฉันพาเพื่อนมายืมหนังสือน่ะ" อันนาผายมือมาทางฉัน
"โอ้ พระเจ้า เธอคือ อารินา เมอร์ธองนี ใช่ไหม!" พีแกนร้องเมื่อเห็นหน้าฉัน ฉันยังไม่ทันจะถามอะไร พีแกมก็บินรุดมาตรงหน้าแล้วจับมือทั้งสองข้างของฉันไว้แน่น "ฉันจำได้ รูปของเธอมีอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์กามเทพยุคใหม่เล่มล่าสุด อารินา เมอร์ธองนี กามเทพระดับเอฟที่เด็กที่สุดในรอบศตวรรษ! เรียนจบวิทยาลัยกามเทพได้ตอนอายุสิบห้า!"
เจ้าหล่อนเริ่มเสียงดัง คนในหอสมุดเริ่มหันมามองเมื่อเห็นบรรณารักษ์เสียงดังซะเอง ความจริงแล้วฉันไม่ได้เรียนจบที่นั่นแต่ว่าโดนทางวิทยาลัยไล่ออก แต่พอฉันสอบผ่านกามเทพระดับซีตอนอายุย่างสิบหก ทางวิทยาลัยกามเทพก็มีชื่อของฉันขึ้นบอร์ดและยื่นใบจบให้กับฉันทันที โดยแลกกับการที่ฉันต้องเป็นข้ออ้างให้กับวิทยาลัยตอนที่จะรับสมัครเด็กใหม่
"พอดีฉันมีเรื่องรีบเร่งนิดหน่อยอยากให้ช่วยน่ะ" ฉันบอกกับพีแกน แต่หล่อนยังกุมมือฉันไว้แน่น พีแกนพยักหน้ารัวๆ "เอ่อ... ฉันอยากรู้วิธีการทำสายรุ้งในตำนานน่ะ" สิ้นคำพูดของฉัน หล่อนยกมือปิดปากแล้วทาบอก ฉัน มอร์ฟีน กับอันนามองหน้ากันสงสัยในปฏิกิริยาของพีแกน
"เธอทำมันไม่ได้นะ มันอันตรายเกินไป" เธอพยายามห้ามเสียงสั่น
"ขอร้องเถอะพีแกน ฉันต้องการรู้จริงๆ" คราวนี้เป็นฉันที่เอื้อมมือไปจับมือของพีแกน พีแกนมีท่าทางลังเล
"ถ้าอย่างนั้น ตามมา" เธอบอกกับฉัน พีแกนเดินนำเราผ่านประตูไม้สักบานหนึ่งที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ภายในเป็นห้องเล็กๆ เก็บของและมีชั้นหนังสือ พีแกนผลักชั้นหนังสือให้หมุนเปิดออก มันคือประตูลับ เราเดินเข้าไปยังห้องๆนั้น เป็นห้องอีกห้องหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอันนาที่มาหอสมุดบ่อยครั้ง แต่ไม่รู้เรื่องห้องลับนี้มาก่อน เธอมองหนังสือที่เรียงรายอยู่บนชั้นรอบๆห้องอย่างตื่นตา มันเต็มไปด้วยหนังสือเก่า บางเล่มหน้าตาประหลาดจนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือ
"เจอแล้วล่ะ" พีแกนดึงหนังสือเก่าเล่มหนาเล่มหนึ่งหนึ่งลงจากชั้น เธอเป่าหน้าปกที่มีฝุ่นเกาะ ฝุ่นหนาเตอะลอยฟุ้งจนฉันต้องปัดอากาศ ปกหนังสือไม่มีข้อความใดๆ เขียนไว้ พีแกนวางหนังสือลงบนโต๊ะกลางห้อง เหมือนว่าเธอไม่ได้แตะต้องมันนานแต่เธอสามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้ เธอเปิดหนังสือได้พอดิบพอดี เธอพลิกเปิดไม่กี่หน้าก็เจอหัวข้อ 'สายรุ้งในตำนาน'
พีแกนยื่นให้ฉันอ่าน เนื้อหาของสายรุ้งในตำนานมีเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น มอร์ฟีนกับอันนายืนอ่านข้างๆ ฉัน เมื่อฉันอ่านจนจบฉันแทบทรุดลงกับพื้น อันนาถึงขนาดว่ายกมือมาป้องปาก มอร์ฟีนหน้าซีดเผือก ทั้งสองไม่เคยรู้ความจริงเกี่ยวกับสายรุ้งในตำนานมาก่อนเลย
เนื้อหาในหนังสือเขียนเกี่ยวกับความลับของสายรุ้งในตำนาน แท้จริงแล้วสายรุ้งในตำนานไม่ได้ทำให้มนุษย์รักกันหากแต่ล้างบาปทั้ง 7 ในใจมนุษย์ และผู้ที่มีวัตถุดิบทั้ง 7 ในการทำสายรุ้งในตำนานมีเพียงเจ็ดตนในโลกเท่านั้น คือตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ดตน!!
ทุกคนในนครเหนือเมฆต่างทราบดีว่านรกไม่ใช่สถานที่ที่นางฟ้าหรือแม้แต่กามเทพควรไปกล้ำกราย นครใต้พิภพเป็นที่พำนักของเหล่ามาร ซาตาน และตัวแทนมหาบาปทั้ง 7 พวกเขาใช้บาปในใจของมนุษย์เป็นแหล่งพลังงานเพื่อใช้ทั้งนครใต้พิภพ เหล่ามารสามารถยั่วยุให้มนุษย์หรือแม้แต่อมนุษย์อย่างนางฟ้าหรือเหล่าเทพให้เกิดบาปในใจได้
“เธอแน่ใจหรือว่านี่เป็นเรื่องจริงน่ะ” ฉันรีบยื่นหนังสือคืนให้แก่พีแกน พีแกนพยักหน้า อันนากับมอร์ฟีนพยายามห้ามฉันทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล พวกเขาดูหวาดกลัวอย่างมาก นางฟ้าและกามเทพทุกคนบนโลกใบนี้ต่างต้องขนลูกซู่เมื่อได้ยินแม้แต่ชื่อของเหล่ามาร
"คิดหรอว่าพวกนั้นจะวัตถุดิบในตำนานกับเรา พวกเขาได้รับพลังงานจากการที่มนุษย์มีบาปนะ" มอร์ฟีนเตือนสติฉัน
“ใช่ และพวกเขาเก่งเรื่องยั่วยุให้มนุษย์มีบาปพอๆ กับเราที่สามารถทำให้มนุษย์รักกันได้ และถ้าหากว่าเธอไปที่นั่นแล้วตัวเธอแปดเปื้อนไปด้วย นอกจากเธอจะไม่ได้กลับนครเหนือเมฆแล้ว เธอจะต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล" พีแกนรู้ดี ฉันก้มมองพื้น ทุกคนต่างรู้ดีถึงความโหดร้ายของนครใต้พิภพ พวกเขาไม่เคยสนใจคนอื่นนอกจากตัวเอง การที่มนุษย์ทะเลาะกันทุกวันนี้เป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับพวกเขา และตัวแทนมหาบาปทั้ง 7 คงไม่มีวันยกวัตถุดิบในตำนานทั้ง 7 ให้พวกเราแน่ๆ
แต่ว่า… จะให้ฉันยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรอ!
“ขอบใจทุกคนมากนะ” ฉันยิ้มให้กับพวกเขา “แต่อย่างไรฉันก็จะไม่ยอมแพ้ ฉันจะไม่ถอยหลังโดยที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยเด็ดขาด” เมื่อฉันยืนยัน อันนากับมอร์ฟีนตะลึงไปชั่วครู่ พวกเขาจำประโยคนี้ได้ตอนที่ฉันเลือกที่จะลาออกจากวิทยาลัย เมื่อมอร์ฟีนกับอันนารู้ว่าไม่สามารถห้ามฉันได้ พวกเขาก็เลือกที่จะบอกให้ฉันดูแลตัวเองดีๆ
ในนครเหนือเมฆที่ถูกปกคลุมด้วยท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี แสงไฟสว่างไสวทั่วทั้งนครเหนือเมฆมีต้นกำเนิดมาจากความรักอันบริสุทธิ์มนุษย์ที่ถูกแปรรูปเป็นพลังงาน ฉันมองอาคารเหล่านั้นผ่านหน้าต่างห้องนอนอย่างชื่นชม ส่วนหนึ่งของแหล่งพลังงานเหล่านี้คือน้ำพักน้ำแรงของกามเทพอย่างฉัน
ฉันวางลูกแก้วสีทองลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง มันคือพลังงานความรักที่หาได้ยากที่สุดและหามูลค่าไม่ได้ ถ้าหากหลังจากนี้ฉันไม่มีโอกาสนำพลังงานมาในนครอีกต่อไป ลูกแก้วสีทองนี้จะเป็นพลังงานสุดท้ายที่ฉันจะมอบให้แก่นครเหนือเมฆแห่งนี้
ฉันเดินผ่านห้องนอนของอาเธอร์ ฉันแง้มประตูมองเข้าไปในห้องมืดสนิท อาเธอร์ยังคงนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม ฉันเดินไปนั่งข้างเตียง ลูบหัวผู้เป็นน้องชายเบาๆก่อนใช้ริมฝีปากสัมผัสกับหน้าผากของเขาโดยไม่ให้เขาตื่น จำนวนเงินที่ฉันทิ้งไว้ให้มันมีพอให้อาเธอร์เรียนจบวิทยาลัยกามเทพ ถ้าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นฉันไม่มีอะไรต้องห่วงอีกต่อไป
“ไปกันเถอะพิกซ์” ฉันบอกกับพิกซ์ที่นอนอยู่ในโรงม้า มันยืนคอยท่าอยู่แล้ว
พิกซ์ทะยานขึ้นเหนือฟ้าอีกครั้ง แสงไฟในเมืองเริ่มไกลออกไป ในที่สุดฉันกับพิกซ์ก็พ้นเขตนครเหนือเมฆ แผ่นดินเบื้องล่างเริ่มใกล้เข้ามา ฉันกางแผนที่ที่มีขีดกากบาทบนจุดหนึ่งบนแผ่นดิน ในหนังสือไม่ได้อธิบายละเอียดนักเกี่ยวกับประตูทางเข้านครใต้พิภพ แต่ทางเข้าประตูใต้พิภพก็ไม่ได้เก็บเป็นความลับ ตรงกันข้ามกลับแทบเชื้อเชิญให้ผู้คนเข้าไป และแน่นอนต่อให้สติไม่ดีแค่ไหนก็ไม่มีใครอยากย่างเข้าไปใกล้มัน
พิกซ์หยุดอยู่ตรงหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่งใต้ภูเขาไฟที่ครั้งหนึ่งเคยคร่าชีวิตผู้คนนับแสน โพรงถ้ำที่ถูกซ่อนอยู่กลางป่าทึบไม่มีมนุษย์ตนใดเคยรู้ว่ามีถ้ำอยู่ที่นั่น ฉันกระโดดลงมาจากหลังของพิกซ์ ฉันจงใจให้พิกซ์อยู่ห่างจากปากถ้ำที่สุด
“ถ้าภายในสามชั่วโมงฉันยังไม่กลับมา เธอกลับบ้านไปได้เลยนะ” ฉันบอกกับพิกซ์ ถึงพิกซ์จะไม่ส่งเสียงใดๆ แต่ฉันรู้ดีว่าพิกซ์กำลังคิดอะไร ฉันกอดม้าคู่ใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามาในถ้ำ
ถ้ำโพรงหินมืดสนิทโดยเฉพาะยามราตรี ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาถึง ความหวาดกลัวเริ่มแล่นผ่านไปทั่วร่าง ฉันก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่มีใครสักคนกล้าเข้ามาที่นี่แต่ฉันกลับบุกบั่นเข้ามา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหนแต่เมื่อหันหลังไปก็ไม่เห็นปากทางเข้าถ้ำแล้ว
เหมือนฉันถูกตรึงร่างด้วยโซ่ เสียงหายใจของสัตว์ป่าตัวหนึ่งทำฉันไม่กล้าขยับขา ฉันรู้แค่ว่ามันดังจากข้างหน้าแต่ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทันใดนั้นเองเสียงหายใจก็ดับไป มีดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่งเบิกกว้างขึ้นตรงหน้าฉัน ฉันแทบต้องกลั้นหายใจ และแล้วฉันต้องล้มหงายไปกับพื้นเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
สุนัขสามหัวตัวใหญ่นัยน์ตาสีแดงฉาน มันแยกเขี้ยวให้เห็นฟันแหลมยาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำลาย กลิ่นสาบของมันอบอวลทั่วทั้งถ้ำ มันมองฉันอย่างหิวกระหายราวกับว่าไม่ได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะมานานแสนนาน ฉันเคยได้ยินเรื่องของมันจากหนังสือปรัมปราเล่มหนึ่งที่อันนาเคยเอามาให้อ่าน เซอร์เบอรัส สุนัขสามหัวผู้เฝ้าประตูนรก!
“นางฟ้าบนสวรรค์มาทำอะไร ณ ที่แห่งนี้” หัวสุนัขขวาสุดเอ่ยถาม นัยน์ตาจ้องเขม็งราวกับจะกลืนกิน
“ฉันไม่ใช่นางฟ้า แต่ฉันเป็นกามเทพ!” ฉันตอบเสียงดัง “ฉันต้องการจะไปนครใต้พิภพ! ฉันต้องการเข้าพบตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ด!” คำตอบของฉันทำพวกเหล่าสุนัขเงียบไปชั่วขณะเหมือนกับว่ามันไม่เชื่อหูตัวเอง
“น่าแปลกที่กามเทพตัวน้อยๆอย่างเจ้าจะเป็นผู้ก้าวเข้าไปหาบาปด้วยตัวเอง” เสียงแหบทุ้มนี้ไม่ได้มาจากหนึ่งในหัวทั้งสามของสุนัข หากแต่ดังมาจากงูตัวหนึ่งที่เลื้อยมาจากด้านหลังของสุนัข มันคือส่วนหางของเซอร์เบอรัส งูยาวสีเขียวดูน่าเกรงขามมันเลื้อยเข้ามาใกล้ฉัน เหมือนว่าหัวสุนัขทั้งสามจะยำเกรงส่วนหางของตัวเองอย่างมาก “ก็เอาสิ ถ้าหากว่าเจ้าสามารถกลับมาได้น่ะนะ”
ฉันถูกทดสอบใจ มันหลีกทางให้ฉันแต่โดยดี ประตูบานหนึ่งปิดสนิทอยู่ข้างหลังพวกมัน เมื่อฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตู ประตูเปิดออกเอง ไฟลุกโชนสีเขียวมรกตปรากฏตรงหน้าฉัน
“เพราะเจ้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และวิญญาณประตูจึงไม่ให้ผ่านเข้าไป” เจ้างูแสยะ “แต่ถ้าเจ้ามีศรัทธาพอมันอาจจะไม่ร้อนมากนักหรอก” ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากองเพลิง ศรัทธางั้นหรอ…
“ฉันต้องการพบกับตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ด!” ฉันบอกในใจก่อนจะเดินฝ่าเพลิงลุกโชนนั้นไป ฉันไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ เหมือนว่าฉันถูกพามาอีกที่หนึ่ง เมื่อฉันเดินออกมาจากกองเพลิงสีเขียว รอบด้านฉันก็แปรเปลี่ยนเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เพดานสูงลิบราวกับอยู่ใต้ท้องฟ้า แต่บรรยากาศช่างดูอึมครึม ด้วยสีแดง ดำ และน้ำตาลที่ใช้ประดับประดาไปทั่วทั้งห้องโถง มันช่างดูแตกต่างจากนครเหนือเมฆโดยสิ้นเชิง ฉันเดินไปตามพื้นที่เป็นหินสีน้ำตาล และตรงกลางมีพรมแดงทอดยาวไกลไประหว่างแนวเสาที่เรียงรายอยู่สองฝั่งราวกับเป็นทิวสน สุดปลายพรมนั้นจรดไปที่แท่นบัลลังก์ใหญ่ยักษ์อลังการทั้งเจ็ด แต่ที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านั้นคือปีศาจที่นั่งประจำอยู่บนบัลลังก์ทั้งเจ็ดนั้น ฉันก้าวเท้าเข้าไปอย่างยากลำบากขึ้นในทุกๆ ก้าวราวกับมีพลังงานบางอย่างที่ฉันมองไม่เห็น กดดันฉันอยู่ตลอดเวลา ราวกับเดินทวนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ความกดดันรอบข้างบอกสั่งให้ฉันคุกเข่าลงกับพื้น ยอมศิโรราบแก่ตัวแทนแห่งความชั่วร้ายทั้งเจ็ดแต่โดยดี
“อุส่าบุกบั่นมาจากบนฟากฟ้า เพื่อมาหาพวกข้าถึงที่นี่ เจ้ามีธุระอะไรอย่างนั้นรึ เจ้าคนจากนครเหนือเมฆ” อีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลง บุรุษรูปงามราวกับเทพบุตร มีปีกใหญ่หกปีกดูน่าเกรงขาม พร้อมกับเขางอกออกมาจากศีรษะทั้งสองข้าง เขานั่งอยู่บนบัลลังก์สีม่วงที่อยู่ริมซ้ายสุดของแท่นบัลลังก์ ฉันเคยได้ยินบุคคลลักษณะนี้มาจากนิทาน… ตัวแทนแห่งอัตตา… ลูซิเฟอร์
“ฉัน…” ฉันพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือ “ฉันได้ยินมาว่าพวกท่านเป็นผู้ครอบครองวัตถุดิบในตำนาน ฉันจึงอยากจะมาขอ ให้ท่านมอบมันเพียงส่วนหนึ่งให้กับฉันค่ะ…” สิ้นคำพูดของฉันเสียงหัวเราะดังลั่นราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในชีวิตของพวกเขา
“แล้วทำไมพวกข้าจะต้องมอบมันให้แก่เจ้าด้วยล่ะ จะทำสายรุ้งในตำนานงั้นรึ? ทุกวันนี้พลเมืองของข้าอยู่ได้ก็เพราะพึ่งพลังงานจากบาปของมนุษย์ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจำได้ตามที่เจ้าของั้นหรือ?” ลิเวียธานเอ่ย ปีศาจสีน้ำเงินครามตัวยาวขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายมังกร มันขดตัวอยู่บนบัลลังก์สีเขียวที่อยู่ตรงกลาง มันใช้นัยน์ตาสีแดงราวกับเลือดจดจ้องมายังฉันพร้อมกับแยกเขี้ยวให้เห็นฟันอันแหลมคม
“ท่านมหาบาปทั้งเจ็ดได้โปรดพิจารณา ฉันไม่ได้มาในฐานะของคนในนครเหนือเมฆและฉันก็ไม่ใช่นางฟ้า” ฉันบอกกับพวกเขาสายตายังคงจดจ้องด้วยความมุ่งมั่น “ฉันเป็นกามเทพ กามเทพระดับเอฟ อารินา ฉันมาที่นี่เพื่อมาขอวัตถุดิบในตำนานทั้ง 7 เพื่อทำสายรุ้งในตำนานไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น ฉันในรับมอบหมายให้ทำให้คนในประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมารักและสามัคคีกัน ทุกวันนี้มนุษย์มีบาปในใจจนสิ้นด้วยความรัก ท่านลองพิจารณา ถ้าหากมนุษย์หมดสิ้นด้วยความรัก ไม่มีการแต่งงาน ไม่มีการสืบต่อเลือดเนื้อ จะเป็นอย่างไรต่อไปถ้าหากไม่มีมนุษย์ตนใดหลงเหลืออยู่บนโลกนี้”
ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะทำให้พวกเขานิ่งฟังได้ครู่หนึ่ง และแล้วเสียงกระซิบก็ดังเซ็งแซ่ เหมือนว่าคำพูดของฉันจะมีผลกับความคิดของพวกเขาขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเงียบกันไปนานในที่สุดลูซิเฟอร์ก็ลุกขึ้นยืน
“นั่นสินะ” ลูซิเฟอร์ที่เงียบอยู่นานในที่สุดก็พูดขึ้น สีหน้าของเขาเหมือนมีแผนการในใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะยกวัตถุดิบในตำนานให้กับเจ้าก็ได้ แต่น่าเสียดายที่วัตถุดิบเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ซะด้วยสิ” เขาว่าต่อ “มันถูกเก็บซ่อนไว้ในเกาะแห่งหนึ่งกลางทะเล มันตั้งอยู่ใจกลางของสามเหลี่ยมปีศาจ ถ้าหากเจ้าไปเอามันมาได้มันเป็นของเจ้า” มีเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่คัดค้านแต่หัวหน้าของเหล่าตัวแทนบาปทั้ง 7 ไม่สนใจฟัง เหมือนว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบัลลังก์แห่งนี้ “เอาล่ะ ถ้าหมดธุระของเจ้าแล้วก็กลับไปได้ ข้ายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”
“แต่ว่า…!” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูด ราวกับว่ามีควันอะไรบางอย่างลากตัวฉันให้ห่างออกไป ฉันถูกโยนกลับลงไปในเพลิงไฟสีเขียวอันเดิม ฉันหงายก้นจ้ำเบ้ากับพื้น นับเป็นการไล่กลับที่ไม่สุภาพเอาเสียจริง ฉันกลับมาอยู่ที่ถ้ำตามเดิม ประตูบานเดิมปิดฉับอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่ต้องการให้ฉันหวนไปหามันอีก ฉันถอนหายใจก่อนหันหลังกลับ แต่ฉันต้องพบกับสุนัขสามหัวที่ยืนอยู่ที่เดิม แต่ครั้งนี้มันมีสีหน้าต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ แต่เจ้าส่วนหางดูไม่ประหลาดใจ
“ว่าแล้วว่าท่านลูซิเฟอร์จะต้องเห็นบางอย่างในตัวเจ้า” งูกล่าวราวกับว่าเห็นทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมน่ะ” มันถาม ฉันรีบลุกขึ้นยืนทันที “เจ้าควรจะรีบออกไปหน้าปากถ้ำซะตอนนี้นะ พรรคพวกของเจ้ามามุงกันเต็มหน้าปากถ้ำเลยล่ะ ถ้าท่านลูซิเฟอร์คิดว่าเจ้าหักหลังมันคงจะจบไม่สวยเท่าไหร่หรอกนะว่าไหม?”
หัวใจของฉันเหมือนตกไปอยู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินดังนั้น และเมื่อฉันออกมาถึงหน้าปากถ้ำจึงได้เข้าใจสิ่งที่เซอร์เบอรัสบอก กองทัพของเทวดาและกามเทพดักรอฉันอยู่หน้าถ้ำ โดยมีพิกซ์ที่ถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนสีเงิน พวกเขารู้ว่าฉันมาที่นี่
“เธอทำผิดกฎของชาวนครเหนือเมฆ เธอเข้ามาผูกไมตรีกับชาวนครใต้พิภพ เธอต้องโทษประหารแล้ว กามเทพระดับเอฟอารินา!” เทวดาคนหนึ่ง ผู้ที่สวมชุดเกราะสีทองน่าเกรงขามกว่าเทวดาคนอื่นๆ ชี้ดาบสีทองมาทางฉัน ผู้ที่สามารถมีดาบในครอบครองได้มีเพียงผู้พิทักษ์เทวดาประจำนครเหนือเมฆเท่านั้น และผู้ที่มีดาบสีทองนั้นได้คือหัวหน้าผู้พิทักษ์เทวดา และฉันก็เคยได้ยินชื่อของเขา หัวหน้าผู้พิทักษ์ฮาวาร์ด เขาเป็นหัวหน้าของเหล่าผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้อง ดูแล และรักษาความปลอดภัยทั่วทั้งนครเหนือเมฆ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้
“ฉันเปล่านะ!” ฉันตะโกนออกไป "ฉันมาทำภารกิจที่กามเทพระดับจีมอบหมายให้ตะหากล่ะ!"
"โกหก!" เสียงหนึ่งตะโกนออกมา หน้าของฉันเริ่มเป็นสีแดงด้วยความโกรธเพราะคาริมแทรกตัวมาหน้าแถว “ภารกิจของเธอคือการทำให้มนุษย์ในประเทศไทยรักกัน! ยัยนี่มันโกหก!" ทุกคนจ้องเขม็งมาทางฉันเมื่อได้ฟังคาริม
“จับผู้สมรู้ร่วมคิดได้แล้วครับ” ผู้พิทักษ์เทวดาคนหนึ่งเข้ามารายงานหัวหน้าผู้พิทักษ์เทวดา เขาลากนางฟ้าสองตนเข้ามากลางวง ฉันถึงกับต้องอ้าปากค้าง มอร์ฟีนกับอันนาก็ถูกจับตัวมา
“มันเกินไปแล้วนะ คาริม!” ฉันโกรธจนตะโกนด้วยเสียงที่สั่นเครือ ฉันรู้ดีว่าทั้งหมดใครเป็นคนทำ มีคนเดียวในนั้นที่ยิ้มเยาะอย่างมีชัย แต่ดูเหมือนพวกผู้พิทักษ์เทวดาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเขากลัวแค่ว่าฉันจะเป็นกบฏไปเข้าพรรคกับคนในนครใต้พิภพเท่านั้น ฉันเห็นปลายดาบของเหล่าเทวดาที่ชี้มายังพวกพ้องของฉัน ทำให้ฉันไม่มีทางเลือกที่จะต้องบอกความจริง "ก็ฉันกำลังทำอยู่นี่ไง! สายรุ้งในตำนาน!" เมื่อฉันตะโกนออกไป เหล่าเทวดาและกามเทพเงียบกริบไปชั่วครู่ ตามด้วยเสียงฮือฮาเซ็งแซ่
"เป็นไปไม่ได้หรอก! สายรุ้งในตำนานมันไม่มีจริง!" เทวดาตนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
"มันมีจริง! ฉันพึ่งได้รับอนุญาตจากตัวแทนมหาบาปทั้ง 7 ว่าให้ตามหาวัตถุดิบในตำนานได้!" อีกครั้งหนึ่งที่เสียงของเหล่าเทวดาเงียบกริบเมื่อได้ยินฉันบอกดังนั้น พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด มีเพียงมอร์ฟีนกับอันนาเท่านั้นที่เชื่อ
“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องเชื่อเธอ สงสัยฉันคงต้องเข้าไปถามไอ้สารเลวมหาบาปเจ็ดตัวนั่นซะหน่อยล่ะมั้ง” ฮาวาร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเคย แต่ครั้งนี้ช่างฟังดูแข็งกร้าว น่ากลัวเสียเหลือเกิน… ไม่ได้การละ ถ้าฮาวาร์ดเข้าไปตอนนี้เรื่องก็บานปลายกลายเป็นสงครามมหาเทพเป็นแน่
ฉันต้องเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นซะเหยียดยาวตั้งแต่ที่ห้องประชุมกามเทพระดับจีจนฉันออกมาจากถ้ำจนมาเจอพวกเขา ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงหนังสือโบราณที่พีแกนมี
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะไปตามหาวัตถุดิบในตำนานด้วย” ฮาวาร์ดพูดขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง “เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าหากว่าเราไม่เจอวัตถุดิบในตำนานนั้น เธอจะต้องจำคุกตลอดกาล เข้าใจหรือเปล่า” ฉันยอมรับข้อตกลงแต่โดยดี กลายเป็นว่าทุกคนในที่นี้ต้องร่วมเดินทางตามหาวัตถุดิบในตำนานด้วยกัน
“แต่ท่านหัวหน้า ข้าว่าเราไม่เห็นจำเป็นต้องไปเสี่ยงกับยัยพวกนี้เลยนะ ยังไงเรื่องนี้มันก็โกหกทั้งเพอยู่แล้ว” คาริมรีบทักท้วงอย่างกระอักกระอ่วน
“เจ้ามีปัญหาอะไรรึคาริม หรือว่า... เจ้ากลัว” ฮาวาร์ดหันมองด้วยหางตา กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อบารมีของน้าของคาริมแม้แต่น้อย
“ใครว่าข้ากลัว ข้าไปด้วยก็ได้” คาริมถึงกับตัวหด หน้าถอดสี แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่มีมากเหลือล้น ทำให้เขาจำต้องยืดอกรับคำอย่างหาญกล้า ขัดกับอาการสั่นที่อยู่ภายใต้เกราะที่หรูหรา
“ถ้าฉันตาย มันเป็นความผิดของพวกเธอ!” คาริมกระซิบเหมือนพ่นพิษใส่ขณะที่กำลังขี่ฝูงพิกาซัสไปยังเกาะปริศนากลางสามเหลี่ยมปีศาจ คาริมแสดงอาการขี้ขลาดอย่างไม่เก็บอาการ
“สมน้ำหน้านายแล้วล่ะคาริม” มอร์ฟีนเยาะ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงน่านน้ำสามเหลี่ยมปีศาจ ฮาวาร์ดต้องสั่งให้ทุกคนบินต่ำเพราะสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน มีมนุษย์และอมนุษย์มากมายหายไปโดยปริศนาแถวบริเวณนี้ ทีแรกฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันเข้าใจแล้ว
และแล้วเราก็เห็นเกาะหนึ่ง มันเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางทะเลสามเหลี่ยมปีศาจพอดิบพอดี มันอยู่ท่ามกลางม่านหมอก จู่ๆ พิกาซัสทุกตัวก็ส่งเสียงร้องราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“พิกซ์! เกิดอะไรขึ้น!” ฉันถามพิกซ์ เหมือนกับว่าที่เกาะนั้นไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตบินได้เฉียดเข้าไปใกล้ พิกาซัสของคนอื่นๆ เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่พวกมันขัดขืนผู้เป็นนาย “เราต้องลงตรงนี้!” ฉันตะโกนบอกทุกคน เบื้องล่างของเราเป็นชายหาดของเกาะนั้น พิกซ์บินลงต่ำจนลงมายืนบนพื้นทราย ฉันไม่เคยเห็นส่วนไหนบนโลกที่มีหมอกหนาขนาดนี้มาก่อน ทุกคนเริ่มบินตามฉันลงมาบนชายหาด
“เธอไม่ควรทำอะไรตามใจชอบนะ!” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งต่อว่า ฉันยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ มอร์ฟีนกับอันนาวิ่งมาทางฉัน พวกเขาจะเป็นคนที่รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรเสมอ
“หมอกนี่มัน...” ฉันรู้สึกพิกลกับสิ่งรอบด้าน มันเป็นชายหาดที่มีทรายขาว เบื้องหลังเป็นป่ายาวไปถึงยอดเขาสูง ฉันจะกระพือปีกเพื่อบิน แต่แล้วฉันก็ขยับปีกไม่ได้ ฉันรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันวิ่งไปโบกมือให้กับเหล่าเทวดากับกามเทพที่ยังไม่บินลงมา “ทุกคนออกไปจากที่นี่! อย่าลงมา!” แต่สายเกินไปทุกคนลงมาถึงฝั่งกันหมดแล้ว
“มีอะไรหรอ อารินา!” อันนารีบถาม
“หมอกพิษนี่! ทำให้ปีกของทุกคนเป็นอัมพาต!” เมื่อฉันพูดเหมือนทุกคนพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถบินได้อีกต่อไป พวกเราถูกขังที่เกาะแห่งนี้เสียแล้ว เหล่าเทวดาต่างถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“เพราะเธอนั่นแหละอารินา! เธอพาพวกเรามาที่นี่ เราถึงติดอยู่ที่นี่!” คาริมโยนความผิดมาที่ฉัน มอร์ฟีนเดินไปผลักคาริม ทั้งคู่ทะเลาะกันโดยที่ไม่ฟังเสียงห้ามของฉัน สุดท้ายฮาวาร์ดต้องออกคำสั่งให้ทุกคนหุบปาก เราปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งมีมติเอกฉันท์ให้เดินทางกันต่อไป มีเทวดาส่วนหนึ่งคัดค้านขอรออยู่ที่นี่ ซึ่งพวกเราไม่สามารถบังคับให้พวกเขาไปกับเราได้
“แต่นายต้องไปกับเรา!” ฮาวาร์ดสั่งคาริมที่จะลุกไปนั่งกับพวกเทวดาที่ไม่ยอมไป
“นายบังอาจมาสั่งฉันนะ ถ้ากลับไปเมื่อไหร่ฉันจะฟ้องน้าของฉัน” คาริมโวยวาย
“เอาเลยถ้านายกลับไปได้ ตอนนี้เราอยู่ระหว่างความเป็นความตายแล้วรู้ไว้ด้วย” ฮาวาร์ดคำขาด คาริมจ้องตาเขม็งแต่สุดท้ายก็สะบัดสายตางูพิษใส่พวกฉัน มอร์ฟีนกับอันนายิ้มเยาะสะใจ แต่ฉันต้องถอนหายใจกับพวกเขา
“ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์ ท่านรู้ไหมว่าเราจะต้องไปที่ไหน” ฉันถามฮาวาร์ดขณะเดินลึกเข้าไปในป่า รอบด้านไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเรา กองทัพของผู้พิทักษ์เทวดากว่าห้าสิบชีวิตกับพีกาซัสไม่กี่ตัวของพวกเขา ทุกคนดูลำบากลำบนกับการเดิน เพราะส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกเราคือการบิน แต่สำหรับฉันไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่นัก เพราะธรรมดาฉันอยู่บนพื้นดินบ่อยกว่าบนฟ้าอยู่แล้ว
“ที่ไหนก็ได้ที่ปลอดภัย ซึ่งไม่น่าจะมีสักที่” คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เราเดินลึกเข้าไปในป่าอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งฟ้ามืด เราได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหน้า มันเป็นเสียงดนตรีเหมือนชนเผ่ากำลังทำพิธีอะไรสักอย่าง มีแสงและควันไฟ เราวิ่งตรงไปอย่างไม่รอช้า และต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังกระโดดโหยงๆ รอบกองไฟ มีกระท่อมเล็กๆ มากมายอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าเป็นหมู่บ้านของคนป่า แต่พวกเขาไม่ใช่คน
“ก็อบลิน…” มอร์ฟีนพูดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขา สัตว์ประหลาดวิกลวิการเตี้ยตะแมะแคะหูยืดจมูกยาวประหลาด ทั้งตัวและใบหน้าสีเขียวคล้ำ พวกมันกำลังตีกลองเต้นรำอยู่รอบกองไฟ และเมื่อกลุ่มก็อบลินเห็นเราพวกเขาก็หยุดพิธี พวกมันมองเราด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่ไม่ตื่นกลัว
“คือพวกเราหลงทางมา... พวกคุณรู้ไหมว่า...” ฮาวาร์ดรีบพูดขึ้นทันที เขาย่างเข้าไปใกล้พวกก็อบลินแต่พวกมันผงะถอยหลังเมื่อเห็นรูปร่างของพวกเราที่สูงใหญ่กว่า “เราไม่ได้มาทำร้าย เราต้องการความช่วยเหลือ” เขารีบบอก
“ฮาวาร์ด...” อยู่ๆ ก็อบลินตัวหนึ่งก็เอ่ยขึ้น ผู้ฟังถึงกับชะงักเมื่อหัวหน้าผู้พิทักษ์ถูกเรียกด้วยชื่อจริง ก็อบลินตัวนั้นเดินแยกออกมาจากฝูงแล้วเข้าไปใกล้ฮาวาร์ด ดวงตากลมโตสีแดงของมันเบิกกว้างราวกับว่าเขาพบกับคนที่อยากรู้จักมาทั้งชีวิต
“นายเป็นใคร” ฮาวาร์ดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ไว้ใจ
“เคเบิล... ฉันเคเบิล” ทุกคนที่ได้ยินแทบกลั้นหายใจ ฮาวาร์ดตะลึงไปชั่วขณะ ฉันแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เคเบิลเคยเป็นอดีตผู้พิทักษ์มือขวาของฮาวาร์ด เขาเป็นเทวดารูปงามคนหนึ่งต่างกับรูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้
“เป็นไปไม่ได้...” ฮาวาร์ดสบถเสียงเบา เขาคุกเข่าลงให้ใบหน้าเสมอกับก็อบลินตัวนั้น และเมื่อเห็นดวงตาทั้งคู่ของก็อบลินเขาจึงแน่ใจว่ามันไม่ได้โกหก เหล่าเทวดาและก็อบลินจึงจับเข่าคุยกันตรงหน้ากองไฟ ฉันแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน พวกก็อบลินเหล่านี้คือชาวนครเหนือเมฆที่หายตัวไปทั้งสิ้น พวกเขาก็มาตามหาวัตถุดิบในตำนานเช่นกัน แต่เพราะเขาหยุดเดินทางกะทันหันด้วยความขี้เกียจจึงถูกสาปให้กลายเป็นก็อบลินตลอดกาล
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องไปเตือนพวกเขา!” อันนาลุกขึ้นยืน มีเทวดากว่าสิบตนที่ตัดสินใจรออยู่ที่ชายหาดนั่น พวกเขาอาจถูกสาปให้เป็นก็อบลินไปด้วย
“สายไปแล้วล่ะ” เคเบิลก้มหัวพลางส่ายหน้า
“ต่อให้พวกเขายังไม่ถูกสาปแต่ที่ริมชายหาดนั่นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย อย่างไรก็ไม่รอด” ก็อบลินอีกตนหนึ่งกล่าวอย่างใจเย็นราวกับว่าเห็นความโหดร้ายของเกาะนี้เป็นเรื่องปกติ
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ คนที่เลือกที่จะเดินทางต่อ” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งถาม
“เราไม่พบพวกเขาอีกเลย บางทีอาจจะตายไปแล้วก็ได้” ก็อบลินเคเบิลตอบพลางถอนหายใจ
“เคเบิล ท่านร่วมเดินทางไปกับพวกเราเถอะ บางทีอาจจะมีทางแก้ไขคำสาปนี้ได้” ฮาวาร์ดกล่าว
“ไม่ล่ะ… ฉัน… ฉันขออยู่อย่างนี้แหละ” เคเบิลหันหลังให้และพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“มาเถอะเคเบิล นึกถึงตอนที่เราเคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันสิ” ฮาวาร์ดพยายามให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสักเท่าไร
“ฉันตัดใจเรื่องที่จะออกไปจากที่นี่แล้วล่ะ ถ้าเป็นไปได้อยากให้พวกนายพยายามแทนพวกเราด้วย” ก็อบลินเคเบิลถอดใจ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้จันทรา แววตาของเขาช่างดูว่างเปล่า ไม่ว่าฮาวาร์ดพูดอะไรเขาก็ไม่รับฟัง สุดท้ายเราก็ถอดใจที่จะให้เหล่าก็อบลินไปกับเรา “เท่าที่เรารู้มา วัตถุดิบเหล่านั้นอาจจะอยู่บนยอดสุดของภูเขา” อย่างน้อยพวกก็อบลินก็บอกเท่าที่เขารู้แก่เรา ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีหมอกพิษเพื่อไม่ให้เราขยับปีกได้ เพราะไม่อยากให้เราไปถึงยอดเขาอย่างง่ายดายนี่เอง
นับว่าเป็นโชคดีที่เรามาพบก็อบลินที่นี่ อย่างน้อยเราก็มีที่พักและอาหาร ถึงแม้ว่าจะเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเราไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้นาน เช้าวันต่อมาเราต้องจากกับกลุ่มก็อบลินเพื่อเดินทางต่อไป
“เราจะทำตัวอืดอาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะถูกสาป เข้าใจไหม” ฮาวาร์ดพูดกับบรรดาลูกน้องของเขาที่ล้มทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ฉันรู้ดีว่าการที่เขาได้เจออดีตเพื่อนรักของเขาในสภาพแบบนั้นแล้วทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก ถึงขนาดว่าคาริมที่เหนื่อยล้าอย่างมากยังไม่กล้าขัด
“ความจริงพักผ่อนบ้างก็ได้นะคะท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์ ทุกคนเขาเหนื่อยล้ากันมาก...” มอร์ฟีนพยายามเกลี้ยกล่อมเมื่อเห็นสภาพเทวดาแต่ละตนที่ถึงกับทรุดลงกับพื้น “ที่ผ่านมาพวกเขาแทบไม่ค่อยได้เดินกันเลยนะคะ...”
“เงียบเลยนะ!” ฮาวาร์ดตะคอกด้วยอารมณ์ อันนาถึงกับเงียบไปชั่วขณะ และเขาก็ตกใจในการกระทำของตัวเองเช่นกัน เขามองไปรอบๆ เห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของคนอื่นๆ “ก็ได้! งั้นพักสิบนาที!”
“ไหวไหม อันนา” ฉันรีบตรงไปหาอันนาที่นั่งพิงต้นไม้ พวกเราเหนื่อยล้าและอ่อนแรงหลังจากเดินกันมาเกือบๆ สามชั่วโมง เราไม่รู้สึกว่าอยู่ใกล้ภูเขาขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย การตามหาวัตถุดิบในตำนานให้พบอาจเป็นทางเดียวที่เราจะออกไปจากที่นี่ได้ ฉันชักเริ่มไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ดจึงบอกทางยกวัตถุดิบในตำนานให้เราได้ง่ายดายนัก เพราะพวกเขารู้ดีว่าเราจะต้องมาตายที่นี่
ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังมาจากฟากฟ้า มันเหมือนเป็นเสียงหายใจของสัตว์ยักษ์ มันบินฝ่าอากาศฉิวผ่านยอดต้นไม้เหนือศีรษะของพวกเรา ทุกคนแทบล้มหงายไปกับพื้นเมื่อเห็นมัน มังกรตัวสีแดงฉานบินทะยานอยู่เหนือฟ้า ปีกมังกรใหญ่ทั้งคู่ของมันเคลื่อนไหวอย่างทรงพลัง ลมกระพือใต้ปีกพัดลงมาเบื้องล่างรุนแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำ มันบินวนกลับมาทางเรา แล้วมันก็อ้าปาก มีแสงสีแดงเหลืองวูบวาบจากลำคอ เรารู้ทันทีว่ามันจะทำอะไร
ไฟพ่นออกมาจากปากของมันราวกับอุกาบาต มันเผาผลาญป่าสิ้น พวกเราวิ่งหนีกันชุลมุน ฉันวิ่งไปหาพิกซ์เมื่อคนที่ถือโซ่คล้องคอพิกซ์วิ่งหนีตาย เมื่อฉันคว้าสายโซ่ของพิกซ์ได้ฉันรีบกระโดดขึ้นขี่หลังทันที
“มอร์ฟีน! อันนา!” พิกซ์รีบวิ่งตรงไปยังมอร์ฟีนกับอันนาที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงและควัน ด้วยความที่พิกซ์เป็นพิกาซัสที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มันกระโดดข้ามเปลวเพลิงที่ลุกโชนเข้าไปสู่มอร์ฟีนและอันนา ฉันคว้ามือของมอร์ฟีนกับอันนาขึ้นมานั่งบนหลังของพิกซ์ได้อย่างสวยงาม ทันใดนั้นเองฉันเห็นคาริมที่อยู่ไกลออกไป หลังของเขาชิดติดต้นไม้ด้วยความหวาดกลัว มังกรทะยานมุ่งตรงมาทางเขา ฉันให้พิกซ์วิ่งไปหาคาริมให้เร็วที่สุด แต่สายไปแล้ว ลูกไฟจากปากของมังกรแหวกฝ่าอากาศผ่านหัวของเราพุ่งตรงไปยังคาริม
“คาริม!!!!!!!!!”
เกิดแรงระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนพิกซ์ถึงกับผงะถอยหลัง กลุ่มควันปกคลุมรอบด้านแล้วจางลงอย่างรวดเร็ว ตรงหน้าเราคือโล่หนังสัตว์ขนาดใหญ่ ตอนนี้มันลุกเป็นไฟ ผู้ที่อยู่ข้างหลังโล่นั่นโยนมันลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มเรา ฉันไม่คุ้นหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรูปงามผมดำขลับ เขาไม่ได้สวมชุดอัศวินหรือชุดของกามเทพ
มังกรยังคงกระพือปีกลอยอยู่ เด็กหนุ่มคนนั้นรุดหน้าเดินข้าหามังกร มังกรจ้องด้วยสายตาที่พร้อมจะลงมาขย้ำเด็กหนุ่มได้ทุกเมื่อ แต่ช่างน่าแปลกที่สีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มนั่น กลับนิ่งสงบ ราวกับกำลังชมภาพศิลปะในหอศิลป์ยังไงอย่างนั้น แต่แล้ว มังกรกลับลดท่าทีลงและบินจากไป
“ไม่ใช่เวลามายืนตะลึงนะ!” ฉันรำพึงในใจ ฉันเห็นคาริมนอนขดตัวหัวหดอยู่ที่พื้น ฉันรีบลงจากหลังพิกซ์ทันที
“เขาปลอดภัย ไม่โดนอะไรทั้งนั้น” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดเสียงนิ่ง คนอื่นๆ รีบวิ่งตามมาดู ฉันเห็นคาริมนอนสลบอยู่กับพื้น เขาอาจจะตกใจเพราะการระเบิดเมื่อครู่นี้
“นายเป็นใครกันน่ะ!” ฉันรีบถาม
“กฤษณ์... ฉันชื่อกฤษณ์ อินทร์ประชา ” เขากล่าวเสียงเรียบ ฮาวาร์ดรีบรุดมาหาเขาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าประหลาดใจ ฉันขมวดคิ้วสงสัยในชื่อแปลกประหลาดนั่น
“เจ้าเป็นมนุษย์อย่างนั้นหรอ” ฮาวาร์ดเอ่ยถาม เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ฉันพึ่งสังเกตว่าเขาไม่มีปีก ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีมนุษย์มาที่เกาะแห่งนี้ได้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน ที่นี่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกบังตาเหมือนกับเมืองของเรา มนุษย์ไม่มีทางได้เห็นมัน!”
“ใช่ ถ้าหากว่าเขาไม่บังเอิญเข้าไปที่นั่นน่ะนะ... เราอยู่ตรงนี้นานไม่ได้ ต้องรีบเดินทางหาที่พักก่อนตะวันตกดิน” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น มันสร้างความประหลาดใจแก่พวกเราไม่น้อย และเราก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงยอมเชื่อฟังมนุษย์แปลกหน้าคนนี้ แต่เราก็เดินตามเขาไปแต่โดยดี จนกระทั่งตกค่ำ เราเลือกที่จะใช้ที่ที่มีเพิงหินเป็นที่พัก เราจุดไฟตั้งแคมป์กัน เมื่อเรานั่งอยู่รอบกองไฟเหมือนตอนที่อยู่กับก็อบลิน ข้อสงสัยของเราก็ถูกไขเมื่อ กฤษณ์เล่าเรื่องราวให้เราฟัง
“ฉัน... เป็นทหารอากาศ” กฤษณ์เริ่มเรื่ิอง “ตอนนั้นฉันได้รับภารกิจให้บินเข้าติดตามอากาศยานไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งเส้นทางบินได้ผ่านจุดของเกาะแห่งนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตรงนี้มีเกาะ เพราะมันไม่ได้ปรากฏในแผนที่ภาคพื้นดิน” กฤษณ์ยังคงเล่าเรื่องต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง “แต่แล้ว... ไม่รู้เพราะอะไร ระบบนำร่องของฉันขัดข้องทุกระบบ สัญญาณวิทยุขาดหาย เครื่อง F-22 ของฉันอยู่ในสภาวะไร้การควบคุม และ Wingman ทั้ง 2 ที่ติดตามฉันมาด้วยก็เกิดอาการเดียวกัน ตอนที่เครื่องกำลังหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ฉันมองออกไปเห็นนักบินทั้งสองเริ่มดีดตัวออกมาแล้ว แน่นอน ฉันก็ต้อง Eject เช่นกัน”
“แล้วหลังจากนั้นนายเป็นไงต่อล่ะ” อันนาถามแทรกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น กฤษณ์หันไปเหลือบมอง ยิ้มมุมปากนิดๆ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยน “ฉันก็ห้อยตัวลงมาพร้อมกับร่มชูชีพ และตอนนั้นล่ะที่ฉันเห็นเกาะ...” กฤษณ์หยุดเล่าไปชั่วขณะ แล้วจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ฉัน... เห็นนักบินติดตามทั้งสองคนที่ดีดตัวออกมาก่อนฉัน เบื้องล่าง ถูกตัวอะไรไม่รู้ที่เกิดมาฉันก็เพิ่งจะพบเห็น เข้าทำร้าย ตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจบังคับร่มไปลงในจุดอื่น โชคดีที่ฉันรอดมาได้ แต่ขอนับว่าโชคร้ายยิ่งกว่าเพราะมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้ ไม่ตายก็นับว่าตาย”
“อาจจะเป็นเพราะยมทูตเองก็ไม่กล้ามาเอาวิญญาณของเขาที่นี่ก็ได้” คำสันนิษฐานของอันนาคือสิ่งที่ทุกคนยอมรับ “นายอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนกัน”
“สามปี คิดว่า...” กฤษณ์ตอบเสียงเรียบ “แต่ฉันก็ไม่รู้จักทุกซอกทุกมุมของที่เกาะนี้หรอก แต่มังกรตัวเมื่อกี้ฉันรู้จักดีเลยล่ะ” ฉัน มอร์ฟีน อันนาต่างมองหน้ากัน “มันคือมังกรเฝ้าเกาะแห่งนี้ มันจะได้กลิ่นของผู้ที่มาบุกรุกที่นี่จากความโกรธ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดพวกนายคนในคนหนึ่งรู้สึกโกรธ มันจะมาแล้วใช้ไฟนรกเผาผลาญทุกคน” เมื่อกฤษณ์เล่า ฮาวาร์ดถึงกับหน้าเจื่อน ฉันนึกคิดอยู่ครู่ใหญ่ ช่างเป็นเกมที่ร้ายกาจเสียจริง ห้ามเกียจคร้าน และห้ามโกรธ
“แล้วนายรู้ทางไปยอดเขาหรือเปล่า” ฉันรีบถาม กฤษณ์บอกว่าเขาไม่เคยขึ้นไปยอดเขาเลยสักครั้งเพราะมันมีกำแพงกั้นและมีประตูประหลาดซึ่งเขาไม่เคยไขปริศนานี้ออกเลยแม้แต่ครั้งเดียว และแถวนั้นไม่ค่อยมีผลไม้หรือของที่กินได้นัก โชคดีที่หลังจากทุกคนรู้เรื่องคำสาปก็อบลิน ก็ไม่มีใครปฏิเสธที่จะเดินทางต่อ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กฤษณ์กลายเป็นผู้ที่เดินนำกลุ่ม แต่ก็ไม่มีใครคัดค้านโดยเฉพาะฮาวาร์ด เขายังรู้สึกผิดเรื่องที่เขาเป็นคนเรียกมังกรมา ถึงแม้ว่าเราจะพยายามบอกเขาว่าไม่มีใครบาดเจ็บก็ตาม
หลังจากการเดินทางมาหลายชั่วโมง ทุกคนเหนื่อยล้า ไร้ซึ่งน้ำและอาหาร สุดท้ายเราก็มาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลำต้นใหญ่ตระหง่านแต่ไม่สูงนัก ส่วนของลำต้นไม้รูปปั้นงูพันล้อมรอบ มีผลไม้สีแดงสดใสทั่วทั้งต้นราวกับว่ากำลังยั่วยุให้ทุกคนเข้าไปเด็ดมัน ทันทีที่คาริมเห็น เขาจะวิ่งเข้าไปเด็ดมัน
“อย่านะ!” คาริมชะงักเมื่อกฤษณ์ตะโกนห้าม “ห้ามแตะต้องผลไม้นั่น!” ทุกคนหันมามองกฤษณ์สงสัย กฤษณ์ดูหิวโซและเหนื่อยล้าเช่นกันแต่เหมือนว่าเขาจะเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้มาบ้าง “นั่นคือผลไม้ต้องห้าม ผู้ที่กินมันจะต้องถูกคำสาป ไม่ว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดาก็ตาม!”
“นายรู้ได้ไงน่ะ!” คาริมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สายตาจดจ้องมายังกฤษณ์แต่เจตนายังคงอยู่กับผลไม้สุกใสเหล่านั้น
“ฉันไม่คิดว่าพวกคนบนสวรรค์จะไม่เคยได้ยินเรื่องบรรพบุรุษของมนุษย์หรอกนะ” กฤษณ์พูดเสียงเรียบ “เดินทางกันต่อได้แล้ว” เขาเดินนำพวกเราผ่านต้นไม้ผลนั่นไป คาริมทำหน้าเหยเก ฉันเดินผ่านต้นไม้ต้นนั้นโดยพยายามไม่เหลียวหลังไปมอง ที่กฤษณ์พูดฉันก็พึ่งนึกออก ตำนานบรรพบุรุษของมนุษย์ที่ฉันเคยเรียนตอนสมัยวิทยาลัย ชายหญิงมนุษย์สองคนแรกบนโลกได้กินผลไม้ต้องห้ามเพราะการยั่วยุของงูจึงถูกสาปจนถึงทุกวันนี้ ทำไมมนุษย์ผู้นี้จึงได้รู้เรื่องเยอะนักนะ? “อีกไม่ไกลนักเดี๋ยวก็เจอแม่น้ำแล้วล่ะ อดทนกันอีกหน่อย”
“ดูเหมือนมนุษย์อย่างเจ้าจะรู้เยอะดีนักนะ ตกลงเจ้าเป็นมนุษย์หรือคนจากนครใต้พิภพกันแน่” คาริมเริ่มพ่นพิษที่กฤษณ์ดูเป็นผู้นำจนออกหน้าออกตา ฉันว่าคาริมคงจะหมั่นไส้กฤษณ์ไม่ใช่น้อย
“ก็ฉันอยู่ที่นี่มานานพอควร แต่ถ้านายไม่อยากให้มังกรมาที่นี่ก็ช่วยเงียบๆหน่อยจะดีมาก ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องเก็บอารมณ์เท่าไหร่นักหรอก” แต่กฤษณ์ดูจะนิ่งกว่าฉันหลายเท่านัก คาริมถึงกับต้องหุบปาก
จริงอย่างที่กฤษณ์พูดไว้ เราเดินมาได้พักหนึ่งเราก็พบกับแม่น้ำสายใหญ่ ทุกคนที่เหนื่อยล้ารีบวิ่งมาริมน้ำแล้ววักดื่ม คาริมถึงกับกระโดดลงไปในน้ำ ฉันดึงพิกซ์เข้าไปใกล้ๆแม่น้ำแล้ววักน้ำลูบตัวมัน
“อาร์ค! เป็นอะไรน่ะ!” ผู้พิทักษ์เทวดาคนหนึ่งตะโกนขึ้นเมื่อเพื่อนของเขาหายใจหืดหอบ ทุกคนรีบวิ่งไปดู ผู้พิทักษ์เทวดาที่ชื่ออาร์คใช้มือทั้งสองข้างกุมคอของตัวเอง หายใจขาดช่วงแล้วลงไปนอนชักกับพื้น
“ทุกคน ถอยออกมา!” อยู่ๆ กฤษณ์ก็ตะโกนขึ้น เขาชักดาบออกมา ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ทันใดนั้นเองทุกคนต้องผงะ ที่คอของอาร์คมีขนประหลาดสีส้มงอกออกมาทั้งตัวโดยเฉพาะตรงคอ มือและเท้าขยายกลายเป็นอุ้งตีนขนาดใหญ่ที่มีเล็บแหลมคม ร่างกายของเขาขยายจนเสื้อผ้าฉีกขาด และมีหางแหลมคล้ายหางแมงป่องงอกออกมา ใบหน้าของมันยังเป็นอาร์คหากแต่ดวงตาและเขี้ยวแหลมคม เขาไม่ใช่อาร์คอีกต่อไป แต่เป็นมันติคอร์!
ทุกคนวิ่งหนีกันชุลมุน อาร์คที่กลายร่างเป็นมันติคอร์กระโจนเข้าใส่ใครก็ตามที่เข้าใกล้มัน อุ้งเท้าที่ใหญ่และแหลมคมเข้าขย้ำผู้พิทักษ์เทวดาที่เคยเป็นเพื่อนของเขา เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว ฮาวาร์ดพุ่งตรงเข้าไปหามันพร้อมด้วยดาบสีทอง หางแมงป่องของมันติคอร์เข้าฟาดฮาวาร์ดจนเขากระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ ผู้พิทักษ์ผู้กล้าหาญอีกคนวิ่งตรงไปหามัน
“ระวัง!” ฉันตะโกนแต่ช้าไปแล้ว หางของมันติคอร์เข้าเสียบทะลุหัวใจของเขาก่อนจะสะบัดจนร่างของเขากระเด็นตกลงแม่น้ำ ดาบของผู้พิทักษ์คนนั้นกระเด็นมาตกที่แทบเท้าของฉัน เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกกลัว... ทำไมกัน... ทำไมฉันถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้ ฉันมองไปข้างหน้า กองทัพผู้พิทักษ์กว่าสามสิบชีวิตพยายามเข้าโอบล้อมมันติคอร์ตัวนั้น แต่หางยาวของมันป้องกันตัวมันจากทุกทิศทาง ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจก้มหยิบดาบที่อยู่บนพื้น
“อารินา! เธอจะทำอะไรน่ะ!” อันนาตะโกน ฉันไม่สนใจฟัง ฉันพุ่งไปยังมันติคอร์ตัวนั้นที่พยายามป้องกันตัวเองจากเหล่าผู้พิทักษ์ หางของมันกำลังจะเข้าโจมตีผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่พยายามจะทำร้ายมัน ฉันกระโดดขึ้นสูงแล้วชูดาบขึ้นเหนือหั
ฉับ! ดาบผู้พิทักษ์แหลมคมพอที่จะตัดหางของมันติคอร์เป็นสองท่อน มันโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทุกคนมัวแต่ยืนตะลึงในสิ่งที่ฉันทำ ทันใดนั้นเองมันติคอร์ก็กระโจนเข้าหาฉันอย่างรวดเร็ว ฉันยังไม่ทันจะตั้งตัว ฉันหงายหลังลงไปกับพื้น มันติคอร์อ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันแหลมคม เงาของมันทาบตัวของฉัน ฉันหลับตาปี๋ด้วยความกลัว
เสียงของแหลมแทงทะลุเนื้อดังขึ้นแต่ฉันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นเบื้องหน้าของฉันไม่ใช่มันติคอร์อีกต่อไป กฤษณ์หันหลังให้กับฉัน ในมือถือดาบสีเงินเล่มยาวมันแทงทะลุปากของมันติคอร์ไปยังส่วนหัว เขาดึงดาบกลับมา มันติคอร์แน่นิ่งลงกลับพื้นพร้อมกับเสียงเฮลั่นรอบข้างด้วยชัยชนะ
“อารินา!” มอร์ฟีนกับอันนาวิ่งเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา พิกซ์วิ่งตรงมาเอาหัวถูไถที่แก้มของฉัน
“เกิดอะไรขึ้นกับอาร์ค ทำไมเขากลายเป็นมันติคอร์” ฮาวาร์ดเอ่ยถาม เชสเตอร์ผู้พิทักษ์คนสนิทพยุงเขาให้เดินมาหากฤษณ์ผู้ที่รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สุด
“เขากินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปน่ะสิ ฉันอุส่าเตือนแล้วแท้ๆ” กฤษณ์พูดเสียงเรียบราวกับว่าเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว “เราจะตั้งแคมป์กันที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกันอีกครั้ง” กฤษณ์ออกคำสั่งและไม่มีใครโต้แย้ง ทุกคนใช้เวลาจนถึงเย็นขุดหลุมฝังผู้ตายและทำพิธีไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต
“ฉันต้องขอบใจพวกเธอมากนะที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้” ฮาวาร์ดบอกกับฉันและกฤษณ์ขณะที่เรากำลังนั่งล้อมรอบกองไฟ “ฉันต้องขอโทษพวกเธอด้วยนะ ฉันน่าจะเชื่อใจพวกเธอตั้งแต่แรก ฉันไม่ควรพาทุกคนมาเสี่ยงอันตรายที่นี่”
“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกค่ะ ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์” อันนารีบพูด ทุกคนพยักหน้าตาม “ที่พวกเรารอดมาได้ถึงตรงนี้เพราะมีพวกท่านคอยช่วยเหลือ และอีกอย่างที่ท่านจับกุมตัวพวกเราเพราะท่านทำตามหน้าที่ เพื่อความสงบสุขของนครเหนือเมฆไม่ใช่หรอคะ”
“ใช่แล้ว ท่านหัวหน้า” ผู้พิทักษ์อีธานกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เพราะท่านพวกเราถึงได้มีกว่านี้ ท่านเป็นผู้นำผู้พิทักษ์ที่กล้าหาญและเป็นธรรมที่สุดที่พวกเราเคยมีมา ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจยังไงพวกเราก็ขอยอมรับในการตัดสินใจของท่าน จริงไหมพวกเรา” ทุกคนพยักหน้าตามที่เขาพูด หัวหน้าผู้พิทักษ์ฮาวาร์ดถึงกับต้องหันหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตา และแล้วรอยยิ้มก็เกิดขึ้น เหล่าผู้พิทักษ์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภารกิจที่ผ่านๆมาอย่างสนุกสนาน ฉันเห็นกฤษณ์เดินออกไปจากวง ฉันรีบตามเขาไป
“มีอะไร” เขาถามเสียงเรียบอีกตามเคย
“ฉันแค่อยากขอบคุณนายที่นายช่วยชีวิตฉันเอาไว้น่ะ” ฉันบอกกับกฤษณ์ กฤษณ์ดูสงสัยกับสิ่งที่ฉันพูด
“น่าแปลกนะที่นางฟ้าอย่างเธอมายังที่แบบนี้ ตกสวรรค์มาหรือว่าโดนเนรเทศกันน่ะ” คำถามของกฤษณ์ทำฉันตะลึง
“ฉันก็ไม่ได้โดนเนรเทศ ฉันตั้งใจมาเอง และฉันก็ไม่ใช่นางฟ้าด้วย ฉันเป็นกามเทพ!” กฤษณ์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินที่ฉันพูดเหมือนกับว่าเขาไม่เชื่อหูตัวเอง เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รักษามารยาท
“แล้วกามเทพมาทำอะไรในที่แบบนี้ล่ะ”
“ฉันมาตามหาวัตถุดิบในตำนาน!” ฉันบอกเสียงหนักแน่น แต่แล้วก็ยิ่งทำให้กฤษณ์สงสัย สุดท้ายฉันก็ต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้กฤษณ์ฟัง เกี่ยวกับการสอบกามเทพระดับจี สายรุ้งในตำนาน ไปจนถึงตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ด
“งั้นฉันก็ต้องขอบอกว่าเสียใจด้วยนะที่ภารกิจของเธอจะไม่มีวันสำเร็จ” เขาพูดอย่างไม่ใยดี “เพราะยังไงเธอก็คงทำให้คนไทยทั้งประเทศกลับมารักกันไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ! นายเคยสร้างสายรุ้งในตำนานหรือไงถึงได้รู้” ฉันเริ่มฉุนเฉียว
“ก็เพราะว่าฉันเป็นคนไทยไงล่ะ!” คำตอบของกฤษณ์ทำฉันเงียบไปชั่วขณะ สีหน้าของเขาดูโมโหจัด แต่สามารถปรับให้ใจเย็นลงได้อย่างรวดเร็วเหมือนว่าเขารับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาบ่อยครั้ง แต่ที่ว่ากฤษณ์เป็นคนไทยนี่สิทำฉันตกใจได้ยิ่งกว่า “แต่ถ้าเธออยากจะตามหามันต่อไปฉันก็ไม่ขัดขวางหรอกนะ แต่ฉันขอบอกไว้เลยว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน” ว่าแล้วกฤษณ์ก็เดินกลับไปยังแคมป์ปล่อยให้ฉันยืนตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินเพียงลำพัง
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในวันถัดมา ผ่านไปเพียงไม่กี่คืนหลังจากกองทัพผู้พิทักษ์จำนวนห้าสิบกว่าคน กลายเป็นกลุ่มกองทัพที่เหลือเพียงสามสิบสองคน หลังจากวันที่มันติคอร์อาละวาด เราเดินทางขึ้นเขาสูงชัน ส่วนหนึ่งของพวกเราที่ท้อแท้กลายเป็นก็อบลินในเวลาไม่นาน
“นั่นไงล่ะ” เขาชี้ไปยังประตูบานหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป หลังจากเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดเราก็มาถึงที่ที่กฤษณ์บอก กำแพงหินขนาดใหญ่โอบล้อมตีนเขา ประตูขนาดใหญ่สูงเด่นเป็นสง่า มันปิดสนิทและแน่นหนา มันเป็นทางเข้าเดียวที่เราจะผ่านกำแพงนี้ได้ “และนี่คือปริศนาที่ฉันไขไม่ออก” กฤษณ์ชี้ไปยังคันชั่งอันหนึ่งที่วางอยู่ริมประตูฝั่งซ้าย เรารีบรุดหน้าไปดูใกล้ๆ คันชั่งสีเหลืองทองดูคุ้นตา แขนข้างขวาของมันเอนต่ำลงอย่างไม่ยุติธรรม มีจานสีเหลืองทองว่างเปล่าใบหนึ่งวางอยู่บนแขนคันชั่งฝั่งซ้าย มันดูคุ้นตาจนน่าประหลาด “เราต้องหาของเล็กๆที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้คันชั่งยกตรงเสมอกันได้ มันต้องเล็กพอที่จะใส่บนจานใบนี้ แล้วประตูจะถูกดึงเปิดออก แต่ฉันไม่เคยหามันพบเลย”
“ของเล็กๆ งั้นหรอ” มอร์ฟีนพูดขึ้นพลางมองมันอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมฉันนึกถึงเมียร์ และแล้วฉันก็เห็นภาพเมียร์วางลูกแก้วบนคันชั่งและหย่อนเหรียญอีกข้างหนึ่งให้จำนวนเงินเสมอกัน
“ฉันรู้แล้วว่าอะไรที่จะทำให้ประตูเปิดออกได้” ฉันตะโกนบอกทุกคน “ลูกแก้วพลังงานยังไงล่ะ”
“ฉันเข้าใจนะว่าพวกคนในนครใต้พิภพอาจจะใช้พลังงานบาปในใจของมนุษย์เป็นกุญแจเปิดประตูนี้ออก แต่เราใช้วิธีแบบพวกเขาไม่ได้หรอก” มอร์ฟีนบอกกับฉัน นั่นน่ะสินะ... แล้วฉันจะไปเอาลูกแก้วพลังงานแบบนั้นมาจากไหนกันล่ะ ถ้าตอนนั้นเอาฉันไม่เล่นบทเป็นนางเอกวางลูกแก้วลูกนั้นไว้บนหัวเตียงซะก็ดี แล้วฉันจะไปเอาลูกแก้วพลังงานแบบนั้นมาจากไหนกันล่ะ ถ้าเกิดว่าที่นี่มีมนุษย์ซะ... เดี๋ยวนะ! มนุษย์งั้นหรอ!
“กฤษณ์!” ฉันรีบตรงไปจับไหล่ทั้งสองข้างของกฤษณ์
“อะไร!?” เขาสะดุ้งเมื่อฉันจ้องเขาตาเขม็งเป็นประกายมุ่งมั่น
“นายช่วยคิดถึงภาพคนที่นายรักสักหน่อยได้ไหม?” คำถามของฉันทำกฤษณ์ตะลึงไปชั่วขณะ มอร์ฟีนกับอันนายิ้มออก พวกเขารู้ว่าฉันกำลังทำอะไร ฉันรีบวิ่งไปหาพิกซ์ หยิบคันธนูและลูกศรมาหนึ่งดอก ฉันเล็งไปทางกฤษณ์ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นกฤษณ์ทำหน้ากระวนกระวาย “เอาน่า! คิดไว้ก่อนเถอะ ความรักของนายที่มีให้เธอมันทำให้เปิดประตูได้นะ!” ในที่สุดกฤษณ์ก็ยอมยืนนิ่ง ฉันเล็งธนูไปยังส่วนที่เป็นหัวใจของเขา
ฝีมือของฉันยังดีเหมือนเดิม ลูกธนูพุ่งเข้ากลางอกของกฤษณ์ ควันจางๆลอยขึ้นมาเป็นวงกลมแต่ไม่เป็นรูปลักษณ์แต่แล้วมันก็จางหายไป ฉันมองควันจางที่หายไปอย่างไม่เข้าใจ อย่างน้อยถึงจะไม่มีคนรักแต่แค่มีความรักแม้แต่เล็กน้อยมันก็กลายเป็นลูกแก้วลูกเล็กๆ อย่างลูกแก้วสีม่วงที่ให้พลังงานน้อยที่สุดก็ยังได้
“ฉันไม่เคยมีความรักหรอกนะ” เมื่อกฤษณ์บอกดังนั้น
“จะบ้าหรอ มนุษย์ที่ไหนจะไม่เคยมีความรักกันเล่า!” ฉันรีบไปตรงหน้ากฤษณ์แล้วค่อยๆหลับตา กามเทพที่ได้รับการฝึกฝนจะสามารถรับรู้สัมผัสที่หกคือคลื่นความรักของมนุษย์ได้ และสิ่งที่ฉันได้รับคือ ความเงียบ ฉันไม่อยากจะเชื่อในสัมผัสของตัวเอง มันเป็นไปได้ด้วยหรอเนี่ย…
“ถ้าอย่างนั้นเราควรจะไปตามหากัน ไม่แน่ว่าอาจจะมีกุญแจซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งบนเกาะนี้ แล้วเราค่อยกลับมาที่หน้าประตูแห่งนี้ ตกลงตามนั้นนะ” เมื่อฮาวาร์ดออกคำสั่ง ผู้พิทักษ์บางคนถึงกับเข่าอ่อน พวกเราใช้เวลาเป็นวันๆเพื่อมาถึงที่นี่ แต่แล้วก็ถูกบอกให้ไปตามหาสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ราวกับว่างมเข็มในนมหาสมุทรก็ไม่ปาน เราจึงแยกเป็นสองกลุ่ม ฉันมากับมอร์ฟีน อันนา คาริม กฤษณ์ และผู้พิทักษ์อีกไม่กี่คน เหมือนจะพยายามพ่นพิษใส่ฉันและกฤษณ์ตลอดเวลาหลังจากความสำคัญของตัวเองลดน้อยลงไปทุกที
แต่แล้วก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเพราะไม่มีวี่แววของกุญแจหรืออะไรก็ตามที่จะเปิดประตูบานนั้นได้ เรานอนพักอยู่หน้าประตูกำแพงเมื่อกฤษณ์ยืนยันว่าตรงนี้ปลอดภัย ทุกคนดูเหนื่อยล้ากันมากและผล็อยหลับกันไปหมด เว้นแต่กฤษณ์ที่เดินออกไปมองดูท้องฟ้าว่างเปล่าเหมือนอย่างเคย
“ทำอะไรแบบนี้ได้ทุกคืนน่ะ” ฉันเดินลงไปนั่งข้างกฤษณ์ บนยอดเขาสูงเราเห็นดวงจันทร์และมหาสมุทรได้ชัดเจนขึ้น ไม่มีวี่แววของดวงดาวหรือเรือที่แล่นผ่านมา นัยน์ตาของกฤษณ์ที่มองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิดไม่สามารถบอกฉันได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ”
“ก็แค่คิดถึงบ้านน่ะ” เขาตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะบอกด้านที่อ่อนไหวของตัวเองได้ง่ายดายขนาดนี้ “มันแปลกหรือไงที่ฉันจะคิดถึงบ้านบ้างน่ะ” เขาพูดเมื่อเห็นสีหน้าของฉัน
“เปล่าซะหน่อย” ฉันรีบปฏิเสธ “ฉันแค่แปลกใจน่ะ หลายเรื่องเลย” ฉันยังไม่ละสายตาจากใบหน้าของเขา
“เรื่องที่ฉันไม่เคยมีความรักน่ะหรอ” กฤษณ์ทำเหมือนว่าจะอ่านใจฉันออกเสมอ “แล้วมันน่าแปลกตรงไหนกัน”
“ก็ไม่หรอก แต่อายุขนาดนายแล้วน่าจะมีความรักอะไรกับเขาบ้างใช่ไหมล่ะ” ฉันพูดตามที่คิด แต่แล้วสายตาของกฤษณ์ที่มองกลับมาเหมือนกับมันติคอร์ก็ไม่ปาน “เอ่อ ฉันแค่สงสัยน่ะ ว่าที่นายบอกว่าไม่เคยมีแล้วนายคิดถึงใครตอนที่ฉันบอกให้นายคิดถึงภาพคนที่นายรักน่ะ”
“ฉันคิดถึงใครงั้นหรอ” เหมือนกฤษณ์เองก็คิดไม่ออก “…แม่ล่ะมั้ง” รอบข้างเงียบกริบเมื่อกฤษณ์พูดคำนั้น เขาเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าของเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและมั่นใจ ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“นี่พวกนายมาทำอะไรกันตรงนี้น่ะ!” เสียงตะโกนทำฉันสะดุ้ง คาริมมายืนอยู่ข้างหลังเรา สีหน้าเขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก “ถึงตาพวกเธอเฝ้าเวรแล้ว รีบๆเลยนะ!” คาริมออกคำสั่ง ฉันเกือบลืมไปเสียสนิทว่าคืนนี้เป็นเวรเฝ้ายามของเรา คาริมกระทืบเท้าเดินกลับเข้าแคมป์ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมหมอนั่นต้องโมโหอะไรขนาดนั้น กฤษณ์ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้ฉันลุกขึ้น
“เธอกับเจ้าบ้านั่นเป็นแฟนกันหรอ” คำถามของกฤษณ์แทบทำฉันหัวคะมำ
“จะบ้าหรือไง! นายใช้อะไรคิดน่ะ!” ฉันตะโกนโดยพยายามไม่ส่งเสียงดัง ในตอนหน้าสิ่วหน้าขวานเขาดูฉลาดเป็นกรด ทำไมเรื่องแค่นี้จู่ๆเขาก็ดูโง่ดักดานขึ้นมากันนะ
“ก็เจ้านั่นมันจิกกัดตลอดเวลาฉันอยู่กับเธอ ฉันว่าเขาต้องชอบเธอแหงๆ” กฤษณ์บอกกับฉันก่อนจะเดินยิ้มกลับไปที่แคมป์ เป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้ฉันยืนเอ๋ออยู่ตามลำพัง คาริมเนี่ยนะชอบฉัน…!!
“มันก็น่าจะเป็นไปได้นะ” มอร์ฟีนกระซิบกับฉัน ขณะที่ฉันเฝ้ายามอยู่ฝั่งตะวันตกกับมอร์ฟีนและอันนา โดยกฤษณ์กับคาริมไปเฝ้ายามอยู่ฝั่งตะวันออก “ไม่แปลกใจบ้างหรอว่าทำไมหมอนั่นถึงอยากเอาชนะเธอนักหนา”
“งั้นมันก็เป็นการชอบแบบโรคจิตสุดๆเลยล่ะ” อันนาแสดงความคิดเห็นบ้าง “มีที่ไหนอยากให้คนที่ตัวเองชอบเจอแต่เรื่องแย่ๆ แถมตัวเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้การทดสอบครั้งนี้ยากกว่าปกติอีก”
“เอาเถอะน่า ช่างหัวมันเถอะ ฉันไม่สนใจหมอนั่นหรอก” ฉันพูดพลางเขี่ยกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเราให้ลุกโชน “ฉันขอเอาเวลามาคิดดีกว่าว่าจะทำไงต่อ ฉันจะต้องบ้าตายสักวันแน่ๆ ห้ามขี้เกียจ ห้ามโมโห แถมตอนนั้นก็ห้ามกินผลไม้ต้องห้ามอีก แล้วยังจะมีห้ามอะไรอีกไหมเนี่ย!” ฉันโยนกิ่งไม้ลงบนกองไฟเป็นการระบายอารมณ์
ฟึ่บ! กองไฟลุกโชนเมื่อกิ่งไม้หล่นลงบนกองไฟ มันทำให้ฉันนึกถึงอะไรบางอย่าง ดวงไฟสีเขียวที่ฉันก้าวเข้าไป ฉันพบกับตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ดบนแท่นบัลลังก์ทั้งเจ็ด ซาตานตัวสีแดงที่ดูโมโหตลอดเวลา เบลเซบับอ้วนตุ้ยดูตะกละตะกลาม แมมมอนผู้บ้าสมบัติ ลิเวียธานงูทะเลขี้อิจฉา แอสโมดิวส์หื่นกาม เบลเฟกอร์หลังค่อมจอมขี้เกียจและลูซิเฟอร์ผู้ที่ดูเย่อหยิ่งไม่สนใจใคร
“อันนา! มอร์ฟีน! ฉันเข้าใจแล้ว!” ฉันลุกขึ้นยืนเมื่อนึกออก “ที่เกาะนี้น่ะ คนที่จะอยู่รอดได้คือคนที่ไม่มีบาปทั้งเจ็ดในใจ ไม่ขี้เกียจ ไม่โกรธ ไม่ตะกละ ไม่โลภ ไม่อิจฉา ไม่คิดเสื่อมและไม่เย่อหยิ่ง! มันเป็นทางเดียวที่เราจะไปเอาวัตถุดิบในตำนานมาได้!” อันนากับมอร์ฟีนมองหน้ากัน พวกเราเหมือนมีชัยมาอีกหนึ่งก้าวแล้ว
“เธอต้องไปบอกหัวหน้าผู้พิทักษ์ ต้องไปบอกทุกคน!” อันนาบอกกับฉัน
“ไม่ ฉันต้องบอกกับกฤษณ์ก่อน เราต้องรู้วิธีแก้ไขปัญหาก่อนบอกพวกเขา กฤษณ์น่าจะรู้วิธีจัดการกับปัญหานี้” ว่าแล้วฉันก็รีบวิ่งไปหากฤษณ์ที่เฝ้าเวรอยู่ฝั่งตะวันตก โดยไม่สนใจเสียงเรียกของคนอื่นๆ ที่อยู่ในแคมป์
“กฤษณ์! ฉันมีเรื่องต้องบอกนาย เดี๋ยวนี้เลย มากับฉัน!” ฉันพูดเสียงหอบ กฤษณ์ลุกขึ้นยืนมองฉันด้วยความสงสัย ฉันรีบดึงมือของกฤษณ์เพื่อที่จะไปคุยที่อื่น
“เดี๋ยวก่อน!” คาริมตะโกนออกมา “เรากำลังอยู่ในเวลาเฝ้าเวร ถ้าจะไปจู๋จี๋กันละก็พรุ่งนี้คงไม่สายหรอก!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา ขอเวลาแป็ปเดียว!” ฉันบอกกับคาริม
“คุยที่นี่ก็ได้นี่!” คาริมเดินมาจับข้อมือของฉัน ตอนนี้หน้าของคาริมเริ่มเป็นสีม่วงคล้ำ เขาจ้องฉันตาเป๋ง “ถ้าเรื่องสำคัญนักก็พูดมันตรงนี้เลยสิ!” คาริมบีบมือฉันแรงขึ้นจนฉันต้องปล่อยมือของกฤษณ์
“โอ้ย! ฉันเจ็บนะ!”
“ปล่อยเธอนะ!” กฤษณ์จับข้อมือของคาริมให้คาริมปล่อยมือฉัน ตอนนี้หน้าของคาริมเป็นสีม่วงจัดมากกว่าเดิม เหมือนว่าเขากำลังโกรธเราอย่างมาก
“นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ!” ฮาวาร์ดมาพร้อมกับอันนาและมอร์ฟีน พวกเขามองดูเหตุการณ์อย่างตะลึงงัน ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี เมื่อคาริมเห็นว่าทุกคนเริ่มมามุง เขาสะบัดข้อมือฉันออกทันที เขาหายใจเข้าออกด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขายังเป็นสีม่วงคล้ำอยู่ หรือว่าเขากำลังหึงฉัน… ไม่นะ!
ทันใดนั้นเองคาริมก็ทรุดลงกับพื้น ปีกสีขาวของเขาหดเล็กลงในขณะที่ตัวและศีรษะของเขาขยายใหญ่ขึ้น ทุกคนกำลังผงะถอยหลังกับการเปลี่ยนแปลงของคาริม จนกระทั่งคาริมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สัตว์ประหลาดคล้ายคนร่างใหญ่มหึมา ตัวของมันสีเขียว จมูกและหูยืดยาว หัวล้าน ดวงตาของมันมองตรงมาที่ฉันอย่างไม่ใยดี ไม่ใช่คาริมอีกต่อไป
“โทรลล์! อารินา หนีเร็ว!” อันนาตะโกนบอก แต่สายเกินไป โทรลล์ง้างแขนออกแล้วเหวี่ยงกระแทกเข้าตัวฉันอย่างจัง ฉันกระเด็นตกไปชนกับหน้าผา ความเจ็บปวดแล่นจากแผ่นหลังจนถึงปลายเท้า ร่างของฉันร่วงหล่นลงพื้น ทุกอย่างรอบข้างพร่ามัว คาริมต้องเป็นแบบนั้นเพราะฉัน เมื่อตอนที่เขาทำร้ายฉันเมื่อครู่นี้ นัยน์ตาของเขาไม่ได้แสดงความเกรี้ยวกราดเลยแม้แต่น้อย หากแต่มันเป็นความเศร้าโศก ฉันเห็นคาริมในร่างโทรลล์กำลังต่อสู้กับกองทัพผู้พิทักษ์โดยปราศจากอาวุธใดๆ ปีศาจร่างยักษ์ล้มลงอย่างง่ายดาย มันถูกรัดด้วยโซ่ของเหล่าผู้พิทักษ์ กฤษณ์ที่ได้จังหวะกำลังกระโดดขึ้นสูงจะตัดหัวของโทรลล์ด้วยดาบที่อยู่ในมือ
“อย่านะ!!” ฉันตะโกนเสียงดัง กฤษณ์ถึงกับชะงัก เขากระโดดข้ามหัวโทรลล์ลงไปคุกเข่าลงกับพื้น ดาบของเขาไม่ได้ทำร้ายโทรลล์แต่อย่างใด ทุกคนหันมามองฉันด้วยสีหน้าฉงน ฉันพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปตรงหน้าคาริม
“คาริม ฉันขอโทษ…” คำพูดของฉันทำทุกคนเงียบสงัด โดยเฉพาะโทรลล์ที่นอนคว่ำอยู่ที่พื้น มันเงยหน้ามองฉันอย่างตะลึงงัน “มีคนบอกว่านายอาจจะชอบฉัน แต่ฉันกลับไม่เชื่อ ถ้าฉันเชื่อซะ นายก็คงไม่หึงฉันจนกลายมาเป็นแบบนี้” ฉันคุกเข่าลงกับพื้น “ฉันขอโทษ…” เหมือนความเป็นคาริมยังอยู่ในตัวโทรลล์ มันน้ำตาเอ่อคลอ มันพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่เป็นภาษา “นายอยากจะพูดอะไรงั้นหรอ!” คาริมชี้นิ้วใหญ่ยักษ์ไปยังพิกซ์ แล้วชี้มาที่ตัวเอง ฉันรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร “ไม่ได้นะ! นายเป็นปีศาจ นายอาจตายได้!” ฉันปฏิเสธ แต่คาริมมองฉันด้วยสายตาอ้อนวอน
“ทำเถอะ อารินา” กฤษณ์เดินมาจับไหล่ของฉันจากด้านหลัง ก่อนที่ฉันจะอ้าปากว่าอะไร กฤษณ์ชิงพูดก่อน “ดูเขาสิ เขาไม่ต้องการเป็นแบบนี้นะ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอเข้าใจไหม” ฉันมองกลับไปยังใบหน้าของคาริม รูปร่างอัปลักษณ์ท่าทางเคียดแค้นแต่นัยน์ตาอ้อนวอน ฉันกำหมัดแน่นก่อนเดินไปหาพิกซ์ หยิบคันธนูและลูกศร ฉันเล็งไปคาริมที่ยอมศิโรราบให้แกฉัน มือของฉันสั่นก่อนค่อยๆคลายออก
ฉึก! ลูกศรพุ่งเข้ากลางอกของคาริมจากด้านหลัง ควันจางพวยพุ่งออกมาจากอกของคาริม มันม้วนเป็นลูกแก้วสีแดงฉาน อันนารีบวิ่งไปรับมันไว้พลางจดจ้องมันตกตะลึง และแล้วโทรลล์ก็สลายหายไปเป็นประกายลอยขึ้นเหนือท้องฟ้ายามราตรี ลาก่อนศัตรูของฉัน…
การเดินทางต่อเป็นไปอย่างเงียบสงัด เมื่อเราผ่านกำแพงไปได้แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับข้างนอกนั่นสักเท่าไหร่ มันเป็นป่ารกที่เงียบสงัดไร้ผู้คนกล้ำกลาย เมื่อพวกเขารู้เรื่องเงื่อนไขเจ็ดข้อก็ทำให้เหล่าทหารใจเสียไม่น้อย จำนวนกองกำลังของเราลดลงยิ่งไปกว่าเดิม กลายเป็นกองกำลังเพียงหยิบมือ ในที่สุดเราตัดสินใจตั้งแคมป์กัน ครั้งนี้ไม่มีอะไรมารับรองความปลอดภัยของเราได้เพราะกฤษณ์ไม่เคยเข้ามาในเขตนี้มาก่อน แต่อย่างน้อยเราก็เห็นยอดเขาใกล้เข้ามาแล้ว
“ยังไม่หายเศร้าอีกหรอ” คราวนี้เป็นกฤษณ์ที่เดินเข้ามาทักทายฉันขณะที่ฉันกำลังเหม่อมองท้องฟ้า
“ฉันว่าฉันเข้าใจนายแล้วล่ะว่าทำไมการมองท้องฟ้าถึงทำให้สบายใจขึ้น” ฉันบอกกับกฤษณ์
“ตกลงเธอรักเขาหรือไง” กฤษณ์ถามบ้าง เขานั่งลงข้างๆ ฉัน ฉันส่ายหน้า
“เปล่า ความจริงฉันก็ไม่ได้รักเขาอะไรแบบนั้น เราแค่เป็นคู่แข่งตลอดกาล ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาคิดอะไรแบบนั้น แต่ว่า…” ฉันก้มมองลูกแก้วสีแดงสดที่อยู่ในมือ “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่” ฉันรู้ว่ากฤษณ์ไม่มีวันเข้าใจ ฉันเก็บลูกแก้วกลับใส่ในกระเป๋า “ตกลงนายจะเล่าเรื่องของนายได้หรือยัง”
“เรื่องอะไรหรอ” เขาถาม แต่พอเห็นสีหน้าฉงนของฉันเขาจึงนึกออก “อ๋อ… แม่ฉันน่ะหรอ ความจริงฉันไม่ได้เห็นหน้าแม่มานานแล้วล่ะ” เขาพูดเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปกติ “พ่อกับแม่ฉันหย่ากันเมื่อนานมาแล้ว เกือบสิบปีเลยล่ะมั้ง น้องชายคนกลางของฉันอยู่กับพ่อ ส่วนน้องชายคนเล็กอยู่กับแม่ ฉันไม่รู้จะอยู่กับใครก็เลยขอมาอยู่อเมริกาเพียงลำพัง จนได้มาเป็นทหารอากาศนี่แหละ”
“เอ่อ ขอโทษนะ จะเป็นไรไหมถ้าฉันจะถามว่าเพราะอะไรถึงหย่ากันน่ะ” ฉันไม่รู้ว่าถามตรงเกินไปรึเปล่าแต่กฤษณ์มองกลับมาด้วยสีหน้าฉงน “คือ ถ้าแค่ความรักจืดจางฉันพอจะรดน้ำให้มันชุ่มฉ่ำได้นะ”
“ไม่ได้หรอก” กฤษณ์ยิ้มพลางส่ายหัว “พวกเขาเลิกกันเพราะความคิดทางการเมืองน่ะ” คำตอบของกฤษณ์ทำฉันเงียบกริบไปชั่วครู่ ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะอย่างนี้นี่เองเขาถึงบอกว่าสายรุ้งในตำนานน่ะช่วยอะไรไม่ได้ เขาเองก็คงทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ่อแม่กลับมาคืนดีกันแล้วสินะ… “เออนี่ พูดถึงกามเทพน่ะ ฉันสงสัยมานานแล้วว่ามันยังไงกันแน่ ตกลงกามเทพไม่ใช่ผู้ที่ทำให้มนุษย์รักกันหรือยังไง พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม” พอกฤษณ์เห็นฉันเงียบไป เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“อื้อ! ได้สิ” ฉันพยักหน้า “ที่นครเหนือเมฆน่ะนะ จะมีนางฟ้าและเทวดา…” ฉันเล่าเรื่องนครเหนือเมฆให้กฤษณ์ฟัง เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นว่าเขาใส่ใจฟังเรื่องอะไรสักอย่าง ดูเหมือนกับเขาจะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน เป็นเรื่องตลกที่เขาพยายามเปรียบเปรยสิ่งต่างๆในนครเหนือเมฆกับโลกของมนุษย์ จนฉันลืมความเศร้าหมองที่มีในใจไปได้
ในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขา บนยอดสุดของเขามีป้อมปราการหินขนาดใหญ่ และหอคอยมากมาย เรามั่นใจอย่างมากว่ามีวัตถุดิบในตำนานอยู่ในนั้น
“เข้าไปกันเถอะ” หัวหน้าผู้พิทักษ์พูดขึ้น เมื่อเราเข้าไปยังห้องโถง มีบันไดหินทอดสูงไปยังชั้นสองที่มีซุ้มประตูใหญ่โอ่อ่า เราแทบไม่อยากจะเชื่อตาตัวเองเมื่อเราเดินเข้าไป ภายในห้องโถงอีกห้องหนึ่งเพดานสูงสุดลูกหูลูกตา มันเต็มไปด้วยสมบัติแก้วแหวนเงินทอง ทุกอย่างเต็มไปด้วยทองคำ มันพูนสูงเป็นเนินเขาจรดเพดาน
“ของจริงหรือนี่!” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งกำลังเดินจะไปหยิบสร้อยคอไข่มุกเม็ดงามที่ม้วนตัวอยู่ในแก้ว
“อย่าจับมันนะ!” กฤษณ์ตะโกนบอกให้เขาหยุด “อย่าลืมนะว่าห้ามมีบาปทั้งเจ็ดน่ะ ทรัพย์สินพวกนี้มันเป็นกับดัก อย่ามัวเมาในความโลภเด็ดขาด” ฉันก็แทบน้ำลายหกกับภูเขาสมบัตินี่เช่นกัน ถ้าเกิดว่าฉันมีทั้งหมดนี่ ทั่วทั้งชีวิตฉันก็ไม่ต้องทำงาน และก็อยู่สบายไปตลอดชีวิต “
จริงอย่างที่กฤษณ์บอก” ฮาวาร์ดพูดขึ้น เขามองไปรอบห้อง ในที่สุดก็เห็นประตูบานหนึ่งที่อยู่ชั้นสองมันมีแม่กุญแจล็อคปิดสนิท “เราต้องหากุญแจ! อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในกองสมบัตินี่ รีบหาเร็ว!” เมื่อฮาวาร์ดสั่ง ทุกคนต่างค้นหากุญแจ
มีเสียงเหมือนของหนักหล่นลงมา แล้วเราก็ได้เห็นกล่องสมบัติสีทอง มันถูกล็อคด้วยแม่กุญแจที่ดูเหมือนเป็นรูแบบเดียวกับที่ล็อคประตู สมบัติหามูลค่าไม่ได้คงอยู่ในนั้น ทุกคนจ้องมองมันเป็นตาเดียว
“รีบหากุญแจสิ!” มอร์ฟีนตะโกนบอกทุกคน เหมือนกับว่าแต่ละคนมีแรงกระตุ้นให้ตามหาลูกกุญแจมากกว่าเดิม ฉันเหยียบย่ำอยู่บนเหรียญทองกองพะเนิน โยนทุกอย่างทิ้งให้พ้นตาราวกับขุดหลุมในบ่อทรายจนกระทั่ง…
“ฉันเจอแล้ว!” ฉันตะโกนดังลั่นพลางชูลูกกุญแจขึ้นกลางอากาศ กุญแจเก่าสนิมเกาะมันส่งแสงแวววาวจนน่าเหลือเชื่อ
“ยอดไปเลย อารินา ส่งมันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังกฤษณ์ เชสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังกฤษณ์ใช้ปลายดาบชี้ไปที่หลังของกฤษณ์จากด้านหลัง ฉันแทบไม่เชื่อตาตัวเอง
“เชสเตอร์! นายคิดจะทำอะไรน่ะ!” ฮาวาร์ดตะโกนเมื่อเห็นลูกน้องของตัวเองถูกความโลภครอบงำ
“ไม่คิดจะทำอะไรทั้งนั้น” กลายเป็นว่ากฤษณ์ถูกจับเป็นตัวประกัน เชสเตอร์ใช้แขนข้างหนึ่งคล้องคอส่วนอีกข้างถือดาบจ่อคมดาบที่คอของกฤษณ์ “ทุกคนอยู่กับที่ถ้าไม่อยากให้มีใครตายอีก! มอร์ฟีน! ไปที่หีบสมบัติกับฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“อย่าไปฟังมันนะ อารินา! โยนกุญแจให้หัวหน้าผู้พิทักษ์ฮาวาร์ดเลย!” กฤษณ์ตะโกนบอก ฉันมองกุญแจดอกสีทองที่อยู่ในมือสั่นระริก จะทำยังไงดี!
“นายเป็นผู้พิทักษ์ที่ฉันเชื่อใจที่สุด! ทำไมนายถึงทำแบบนี้เชสเตอร์!” ฮาวาร์ดพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“แน่นอน เพราะตอนนั้นฉันต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพนี่นา แต่ตอนนี้ฉันรวยแล้ว! ทำไมต้องเชื่อฟังนายอีกล่ะ จริงไหม?” เชสเตอร์ยิ้มเยอะเผยให้เห็นสันดานแท้
“ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์! อย่าโกรธนะ! ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อารินา! โยนกุญแจให้เขาเดี๋ยวนี้เลย!”
“เปิดหีบสมบัติสิ! อยากเห็นมันตายต่อหน้าต่อตาหรือไง!” เชสเตอร์ออกคำสั่ง ฉันค่อยๆเสียบกุญแจในรูแม่กุญแจ และแล้วหีบสมบัติก็เปิดออก ทองคำแวววาวและมงกุฎทองคำ อีกทั้งยังมีเพชรพลอยอีกนับไม่ถ้วน เมื่อเชสเตอร์เห็นดังนั้นเขาเหวี่ยงกฤษณ์ล้มลงกับพื้น เขาเข้าไปดูสมบัติภายในให้เต็มตา
ทันใดนั้นเองมีบางอย่างพุ่งออกมาจากหีบสมบัติ มันโฉบผ่านหัวของเชสเตอร์จนหัวของเชสเตอร์กระเด็นตกลงพื้น มอร์ฟีนส่งเสียงกรีดร้อง ไวเวิร์นทะยานอยู่เหนือหัวของพวกเรา มังกรตัวใหญ่แตกต่างจากมังกรพ่นไฟตัวนั้น มันไม่มีแขนหากแต่เป็นปีกใหญ่เหมือนค้างคาว กับขาหลังสองขาอันแหลมคม หางยาวของมันเป็นสามเหลี่ยมแหลมเหมือนหอก มันส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเมื่อถูกปลุกออกมา
“กฤษณ์! อารินา! ทางนี้!” อันนาตะโกนเรียก เธออยู่ตรงบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง ทันใดนั้นฉันต้องล้มลงอีกครั้งเมื่อป้อมปราการสั่นราวกับแผ่นดินไหม เราได้ยินเสียงที่เคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง เสียงของมังกรพ่นไฟตัวนั้น มันบินวนอยู่เหนือป้อมปราการ และมันพยายามจะถล่มที่นี่
“ทุกคนรีบเข้าไปในห้องนั้นด่วนเลย!” ฮาวาร์ดพูดพร้อมกับชักดาบออกมาถือ
“ไม่ค่ะ เราต้องหนีไปด้วยกัน!” อันนาตะโกน
“ไม่ได้! พวกเธอนั่นแหละต้องเข้าไป!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น สายตาจดจ้องไปยังมังกรไวเวิร์นที่อยู่ตรงหน้า “พวกนายที่เหลือด้วย!” ฮาวาร์ดตะโกนบอกผู้พิทักษ์คนอื่นที่ยังรอดชีวิต
“ไม่! พวกเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีหัวหน้า! เราไม่ขี้ขลาดเหมือนเจ้าเชสเตอร์หรอก!” ผู้พิทักษ์อีธานตะโกนกลับมาพร้อมกับชักดาบออกมาถือในมือด้วยสายตามุ่งมั่น
“กฤษณ์! พาพวกเค้าหนี! เดี๋ยวนี้เลย!” หัวหน้าผู้พิทักษ์ตะโกนสั่งกฤษณ์ กฤษณ์มีท่าทางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหลังจากที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ เขาหยิบลูกกุญแจแล้วเปิดประตูทันที ฉัน มอร์ฟีน อันนา กฤษณ์กับพิกซ์รีบว่างข้ามธรณีประตูไปยังอีกห้องหนึ่ง
“ท่านหัวหน้าฮาวาร์ด!” ฉันกรีดเสียงดังเมื่อประตูปิดลงเพราะแรงระเบิดจากไฟของมังกร ฉันทรุดลงกับพื้น ทุกคนข้างนอกนั่นตายหมดแล้ว เพราะช่วยพวกเรา! ฉันระเบิดร้องไห้ออกมาอย่างไม่เก็บอาการ กฤษณ์เข้ามาสวมกอดฉัน “พวกเค้าตายแล้ว! พวกเค้าตายแล้ว!”
“ฉันรู้ อารินา ฉันรู้” กฤษณ์พยายามลูบหัวให้ฉันสงบลง เสียงของเขาก็สั่นคลอนเช่นกัน “เราต้องไปต่อนะ เราต้องตามหามัน วัตถุดิบในตำนาน เข้าใจไหมอารินา เธอต้องทำ เพื่อพวกเขา” กฤษณ์บอกกับฉันพลางใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้ม เมื่อเขาสวมกอดฉันอีกครั้งด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีอยู่สามชีวิตที่ยังอยู่กับฉัน ใช่… อันนา มอร์ฟีน และก็พิกซ์ พวกเค้าดูเศร้าโศกไม่แพ้กัน แต่พวกเขาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
“ใช่… เราต้องไปกันต่อ” ในที่สุดฉันก็สงบลง ฉันลุกขึ้นยืนปาดน้ำตาออกจากแก้ม
ตู้มมม!!! เสียงระเบิดดังสนั่น มังกรไฟโจมตีมาจากด้านนอก ทำให้บันไดที่ทอดสู่ยอดหอคอยขาดลง แยกกลุ่มเราออกจากกฤษณ์
“กฤษณ์ นายรีบกระโดดข้ามมาเร็ว” ฉันตะโกนบอกอย่างร้อนรน
“ไม่ มันไกลไป ฉันไปต่อไม่ได้แล้ว เธอไปกันต่อเลย ฉันจะถ่วงเวลาไอ้มังกรนี่ให้เอง” ครั้งนี้กฤษณ์ไม่ได้ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดังที่เคยเป็นมา
“ฉันจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ฉันจะไม่ยอมเสียใครไปอีกแล้ว” ฉันลุกขึ้น ด้วยท่าทีที่ไม่ยอมแพ้ เธอวิ่งไปขี่หลังพิกซ์ และเธอก็ทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง
“ไม่นะ อารีนา” กฤษณ์รำพึงในใจ แต่อารีนาควบเจ้าพิกซ์กระโดดข้ามทางขาด อย่างกล้าหาญ กฤษณ์มองภาพของฉันบนหลังพิกซ์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นภาพช้า
เจ้าพิกซ์กระโดดข้ามได้สำเร็จ กฤษณ์ไม่รอช้ารีบขึ้นหลังพิกซ์อย่างรวดเร็วมือข้างขวากุมบังเหียนไว้แน่น และข้างซ้ายโอบกอดเอวของฉันไว้แนบกาย เจ้ามังกรที่บินอยู่ด้านนอกยังไม่ไปไหน กฤษณ์รู้โดยสัญชาติญาณได้ทันทีว่ามันกำลังจะจู่โจมอีกครั้ง
“ไปเลยพิกซ์!!!” กฤษณ์ตะโกนออกคำสั่งพิกซ์ พร้อมสะบัดบังเหียนให้สัญญาณ พิกซ์วิ่งกระโดดข้ามทางขาดกลับไปอีกครั้งได้ทันการโจมตีของมังกรไฟอย่างฉิวเฉียด แรงระเบิดทำให้กฤษณ์ และอารีนากระเด็นออกจากหลังพิกซ์ แต่โชคยังดีที่ไม่ตกลงไปเบื้องล่าง
“เร็ว รีบไปต่อ” กฤษณ์รีบพยุงฉันลุกขึ้น และพาทุกคนมุ่งขึ้นสู่บันไดทอดสูงไปถึงยอดสุดของป้อมปราการ บนนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ในแก้วครอบ พวกเราเดินขึ้นบันไดไปอย่างระมัดระวัง มีจานที่มีแก้วใสครอบวางอยู่บนแท่นหินอ่อน เห็นผลไม้ทรงกลมประหลาดมันเป็นสีรุ้งสดใสวางอยู่บนจาน ฉันมองหน้าทุกคนก่อนจะเปิดแก้วครอบออก ทั้งใดนั้นเอง อากาศจากใต้แก้วก็พวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตรงหน้าพวกเราในสภาพไร้รูปร่าง มีเสียงหญิงสาวดังออกมาจากหมอกนั่น
“ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงยอดหอคอยป้อมปราการแห่งเกาะกลางสามเหลี่ยมปีศาจจนได้ ตอนนี้วัตถุดิบในตำนานได้ตกเป็นของเจ้าแล้ว” เสียงสตรีดังกึกก้อง “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าท่านจะนำผลไม้เจ็ดสีผลนี้ไปทำสิ่งใด ท่านมีเพียงทางเลือกเดียวจากสองทางเลือกเท่านั้น”
“ทางเลือกแรกคือผลไม้เจ็ดสีนี้จะกลายเป็นเครื่องดื่มสำหรับทำสายรุ้งในตำนานที่สามารถชำระล้างบาปในใจของผู้พบเห็นได้ และทางเลือกที่สองคือ ผลไม้เจ็ดสีจะกลายเป็นมงกุฎแห่งมหาอำนาจ ทำให้ท่านมีอำนาจเหนือผู้ใดในนครที่เจ้าอยู่ เจ้าต้องการเลือกทางไหน” เมฆหมอกเอ่ยถาม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับทางเลือกที่สองเลย
“มงกุฎแห่งมหาอำนาจ ถ้าเธอได้มันเธอก็จะเป็นเจ้าแห่งนครเหนือเมฆเชียวนะ” อันนาพูดอย่างตื่นเต้น
“แน่นอน ฉันมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว” ฉันสูดอากาศเข้าลึกๆ แล้วมองไปยังกฤษณ์ที่มองฉันอย่างสงสัย กฤษณ์เดินช้าๆ มาที่ฉัน ยกสองมือขึ้นวางบนบ่าเบาๆ กฤษณ์ไม่พูด ไม่ถามอะไร บรรยากาศในห้องเงียบงันลงไปชั่วขณะ ทั้งคู่มองตากันเหมือนกับกำลังสื่อสารอะไรกันบางอย่าง “ก็ต้องสายรุ้งในตำนานแน่นอนอยู่แล้วล่ะ ฉันขอเลือกทางเลือกแรก สายรุ้งในตำนาน!” ฉันส่งยิ้มให้กับกฤษ์ก่อนจะตอบ
เมื่อสิ้นคำตัดสินของฉันแล้ว ผลไม้เจ็ดสีหมุนตัวเองจนกลายเป็นของเหลวในแก้วใส หมอกกระจายกลายเป็นเมฆขนาดใหญ่ เพดานที่มันเคยเป็นหลังคาของป้อมปราการ ตอนนี้มันหายวับไป ฉันได้เห็นท้องฟ้าสดใสอีกครั้ง
“อารินา!” อันนาร้องเรียกเสียงดังพลางขยับปีกให้ฉันดู ฉันลองขยับปีกของตัวเอง ฉันบินได้แล้ว!
“ยอดไปเลย…” กฤษณ์มองดูฉันลอยเหนือพื้นอย่างตกตะลึง ฉันบินขึ้นไปนั่งเหนือเมฆวิเศษขนาดใหญ่
“ไปกันเถอะ” ฉันเอื้อมมือไปหากฤษณ์ กฤษณ์ยิ้มให้ฉันก่อนจะจับมือกับฉัน ฉันดึงกฤษณ์ขึ้นมานั่งบนก้อนเมฆ มอร์ฟีนกับอันนากระโดดขึ้นขี่หลังพิกซ์ เราทะยานขึ้นเหนือฟ้าอีกครั้งราวกับว่าเราไม่ได้บินมานานแรมปี ฉันชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือฟ้า กฤษณ์มองพื้นเบื้องล่างอย่างไม่เชื่อตาตัวเองว่าเขากำลังบินอยู่บนก้อนเมฆ
“เรากำลังจะไปไหนกันน่ะ!” กฤษณ์ถามฉันอย่างตื่นเต้น
“บ้านเกิดนายไง” ฉันส่งยิ้มให้กับกฤษณ์ เมฆวิเศษมุ่งหน้าไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันดูไม่ต่างจากที่ฉันเห็นผ่านโลกจำลองที่ห้องประชุมกามเทพ “นี่สินะ ประเทศไทย” ฉันถามกฤษณ์ เราลอยอยู่เหนือแผ่นดินที่มีส่วนคล้ายด้ามจับของขวาน กฤษณ์พยักหน้า “เอาละนะ!” ฉันเทผลไม้เจ็ดสีที่กลายสภาพเป็นของเหลวลงบนเมฆวิเศษ ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นสีทอง
“ไปกันเลย!” เมื่อฉันตะโกน ก้อนเมฆสีทองวิ่งฉิวจากใต้สุดไปยังเหนือสุดของประเทศไทย สายรุ้งเส้นใหญ่พาดยาวตามแนวที่เราบิน ฉันกับกฤษณ์มองความสวยงามของมันอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง ฉันเห็นใบหน้าของกฤษณ์จ้องมองสายรุ้งอย่างตกตะลึงพร้อมด้วยใบหน้าอันเปี่ยมสุข เขาคงเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกที่ไม่ถูกชำระล้างจิตใจ เพราะตอนนี้เขาปราศจากบาปในใจตั้งแต่วันที่เขาก้าวย่างเข้าไปในเกาะแล้ว
“อารินา” กฤษณ์เรียกฉันพร้อมด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเขาต่างจากวันที่ฉันเจอเขาครั้งแรกลิบลับ ตอนนี้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักและสดใส “ขอบใจนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม จนฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันหน้าแดงแค่ไหน บนท้องฟ้าสีสดใส สายรุ้งยักษ์ใหญ่เจ็ดสีที่พาดผ่านเพราะเมฆที่เรากำลังนั่ง ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“ยินดีด้วยนะ อารินา ไม่สิ ท่านอารินา” เมียร์พูดพลางย่อเข่าให้กับฉันเมื่อฉันเดินผ่านห้องโถงพร้อมกับเข็มกลัดปักอกรูปตัวจีสีทอง
“อย่าเรียกฉันแบบนั้นได้ไหม” ฉันถามเมียร์พลางมองเข็มปักอกอย่างไม่สบายใจ
“ทำไมล่ะ” เมียร์ถามสงสัย ตรงนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน สุดท้ายฉันก็ต้องขอเข้าพบน้าของคาริม ผู้ที่เป็นผู้มอบเข็มรูปตัวจีสีทองให้ฉันด้วยตัวเอง ฉันวางเข็มกลัดประจำยศลงบนโต๊ะ
“ทำไมถึงจะเปลี่ยนใจล่ะ” น้าของคาริมถาม
“ฉันว่าฉันอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นกามเทพแล้วก็ได้ค่ะ” ฉันบอกกับน้าของคาริม
“อยากจะไปอยู่กับมนุษย์คนนั้นน่ะหรอ” น้าของคาริมถามอย่างรู้ทัน ฉันก้มหน้ามองพื้น น้าของคาริมรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะ เธอเสียใจกับการจากไปของหลานชายพอควร “ความจริงหลานชายของฉันน่ะ เขารักเธอมากเลยนะ” คำพูดของน้าคาริมทำให้ฉันต้องเงยหน้ามามอง
“ที่เขาพยายามอยากเป็นกามเทพเพราะว่าเขาอยากตามเธอให้ทัน แต่เธอสมกับเป็นอัจฉริยะเสียจริง นำหลานชายฉันไปหลายก้าวจนเขาตามไม่ทันเลยล่ะ” น้าของคาริมพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม “พอเขารู้ว่าเธอจะไปทำสายรุ้งในตำนานด้วยตัวเองน่ะ เขาเป็นห่วงเธอมาก ถึงขั้นว่าให้เหล่าผู้พิทักษ์ตามไปสมทบเพราะกลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย” คำอธิบายของน้าคาริมทำฉันถึงกับน้ำตาคลอ ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“เธอเก็บเข็มกลัดนั่นไปเถอะ เธอไปอยู่กับมนุษย์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องลาออกจากกามเทพระดับจีเลยจริงไหม” เธอพูดต่อ “ฉันจะบอกกับทางการให้ว่าเธอไปสืบแหล่งความรักจากภาคพื้นดิน”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณน้า” ฉันก้มหัวให้กับน้าของคาริม เธออึ้งเล็กน้อย
“ฉันถือว่าฉันทำเพื่อหลานชายของฉัน” เธอกล่าวอย่างไว้ท่า “และเธอต้องทำตามนั้นจริงๆด้วยล่ะ ฉันจะได้ไม่เสียคำพูด” สิ้นคำของน้าของคาริมฉันรู้สึกเหมือนมีดอกไม้พูนอยู่เต็มอก ฉันรู้สึกมีความสุขที่สุดตราบเท่าที่ฉันเคยมีมา
“ยินดีด้วยนะ ท่านกามเทพระดับ G” น้ำเสียงที่คุ้นหู ทำเอาอารีนาถึงกับชะงัก แล้วรีบหันไปมองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
“ฮาวาร์ด!!!” ด้วยอารมณ์ดีใจอย่างสุดขีด ทำให้อารีนาถึงกับเผลอเรียกชื่อออกไปตรงๆ “เอ่อ... ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์ ท่านยังไม่ตาย ท่านกลับมาได้ยังไง” ฉันรีบเก็บอาการ
“เธอคิดว่าฉันเป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์นครเหนือเมฆ แต่เพียงตำแหน่งหรือไง กับแค่มังกรตัวกระจ้อยนั่น ไม่ครณามือฉันกับพรรคพวกหรอกน่า” ฮาวาร์ดกล่าวด้วยอารมณ์ขัน
ท่ามกลางเสียงปรบมือ โห่ร้อง แสดงความยินดีให้กับฉัน ฉันกุมเข็มกลัดมั่นไว้ที่อก เหลียวมองรอบกายที่เหล่ามิตรสหายต่างมาร่วมแสดงความยินดี มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษอะไรเช่นนี้
ในคอนโดใหญ่ใจกลางเมืองเด็กหนุ่มมองบนท้องฟ้านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน กลายเป็นข่าวใหญ่โตทั่วทั้งประเทศเมื่อมีปรากฏการณ์สายรุ้งยักษ์พาดผ่านประเทศไทย ตอนนี้คนทั้งไทยประเทศก็เริ่มกลับมาดีกัน ทุกอย่างเริ่มซบเซาลง พ่อกับแม่ของเขาเข้าครัวทำอาหารร่วมกันอย่างหวานชื่น น้องชายทั้งสองอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างเข้าสู่สันติสุข แต่เหมือนในใจของเขากำลังขาดอะไรบางอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
“กฤษณ์!” เสียงหนึ่งดังมาจากฟากฟ้า เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “กฤษณ์ ฉันมาแล้ว!” เด็กสาวที่เขาคิดถึงลอยมาจากฟ้ากระโดดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนของเขาของ ทั้งคู่ล้มหงายไปกับพื้น เด็กหนุ่มไม่เชื่อตาตัวเองเมื่อเห็นเด็กสาวที่อยู่เหนือร่างของเขาคือผู้หญิงที่เขาคิดถึงมากที่สุด
“นี่เธอมาได้ยังไงกันเนี่ย” กฤษณ์เอ่ยถาม
“ฉันมาหาเธอไง! ฉันคิดถึงเธอ เพราะว่าฉัน…!” เด็กสาวจะพูดต่อแต่แล้วมันก็ถูกหยุดด้วยนิ้วของเด็กหนุ่มที่แตะกับริมฝีปาก เธอยอมเงียบแต่โดยดี
“เพราะว่าเธอ… รักฉัน… อย่างนั้นเหรอ” กฤษณ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นและกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ช่างนุ่มลึกไปในจิตใจของอารีนาเสียเหลือเกิน อารีนายังไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้า ด้วยอาการเขินอายอย่างที่สุด ทำเอากฤษณ์ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ฮะ ฮะ ฮะ นี่เธอเป็นถึงกามเทพระดับจีเชียวนะ แต่กลับมาหลงรักมนุษย์ซะเองเนี่ยนะ” กฤษณ์แกล้งแซวอารีนา
“นี่นาย…!!!” อารีนาเงยหน้าขึ้น และก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไป เด็กหนุ่มก็ได้บรรจงประกบปากของตัวเองเข้ากับเด็กสาว
ไม่ต้องมีคำพูดอะไรมาบรรยายความรักที่มีต่อกัน สัมผัสจูบที่หอมหวานเต็มไปด้วยความทรงจำและการผจญภัยมากมาย ในตอนนี้มันเป็นของกันและกัน และทั้งคู่จะเก็บความทรงจำนั้นตลอดไป…“เคธีย์ เธอได้ยินเสียงหัวใจของฉันไหม ฉันรักเธอ” ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวในวันที่หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดิน หญิงสาวร่างบางผมสีน้ำตาลสบตาเขินอายกับชายหนุ่ม หน้าของเธอเป็นสีชมพูก่ำ
ฉึก! ลูกศรปลายสีทองแล่นฉิวทะลุชายหนุ่มจากด้านหลัง มันทะลุผ่านกลางออกของชายหนุ่ม พุ่งเข้าใส่กลางอกของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวบอกรับรักชายหนุ่มท่ามกลางหิมะ ทั้งสองจุมพิตรักอย่างอ่อนโยน
ไม่มีใครเห็นว่ามีลูกศรธนูพึ่งลอยทะลุออกของชายหนุ่มเข้าไปยังตัวของหญิงสาว มันมาจากเด็กสาวคนหนึ่งที่สยายปีกอยู่กลางฟากฟ้า เธอกำหมัดอย่างมีชัย เด็กสาวผมสีทองสลวยนัยน์ตาสีน้ำเงินแก้ว สยายปีกนกพิราบใหญ่สยายเสมอตัว มือซ้ายกำคันธนูลายขนนกสีขาว สะพายแล่งลูกธนูถูกห้อยไว้ข้างหลัง มันเหลือลูกธนูสีทองเพียงไม่กี่ดอกเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง มีควันจางสีขาวลอยเป็นสายออกมาจากคู่รักคู่เดิมที่กอดกันกลมเกลียว ควันจางขดตัวกันจนกลายเป็นลูกแก้วสีแดง เด็กสาวแล่นฉิวมารับมันไว้แทบไม่ทัน เธอถอนหายใจโล่งอก
“เฮ้อ เกือบไปแล้วนะ พิกซ์” เด็กสาวหันไปบอกกับพิกาซัส ม้ามีปีกที่บินอยู่เหนือหัวของเธอ ทั้งตัวของพิกซ์เป็นสีขาวรวมทั้งปีกใหญ่ข้างลำตัว มันสวมปลอกคอสีชมพูห้อยกระดิ่งสีทอง ตรงสายสลักคำว่าพิกซ์ มันพ่นลมทางจมูกเป็นเชิงต่อว่า
"เอาน่า ฉันจะไม่ทำลูกแก้วแตกอีกแล้วล่ะ" เด็กสาวให้สัญญาพลางเกาคอเรียวยาวของพิกซ์ เมื่อพิกาซัสดูใจอ่อน เธอกระโดดขึ้นขี่หลังมันทันที "กลับปราสาทกันเถอะ" เมื่อเธอบอกม้าคู่ใจ พิกซ์ยกขาหน้าขึ้น ก่อนที่จะขยายปีกทะยานขึ้นเหนือฟ้า
อาริน่า คือชื่อของฉัน ฉันเป็นนางฟ้า ไม่สิ ต้องเรียกฉันว่ากามเทพ หลังจากฉันสอบผ่านกามเทพฝึกหัดเมื่อสองปีที่แล้วทั้งที่ฉันเรียนไม่จบวิทยาลัย และฉันเป็นกามเทพไม่กี่ตนที่เป็นกามเทพเต็มตัวได้ด้วยอายุเพียงสิบเจ็ดปี อัจฉริยะไหมล่ะ?
สำหรับเหล่านางฟ้า กามเทพเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ ฉันฝันอยากเป็นกามเทพตั้งแต่ยังเล็ก และความฝันของฉันก็เป็นจริงตอนที่ฉันอายุสิบห้า พวกมนุษย์อาจคิดว่ากามเทพคือผู้มอบความรักให้แก่มนุษย์ มันอาจจะใช่แค่ส่วนหนึ่ง แต่งานหลักๆของเราคือเอาพลังงานมาจากความรักของมนุษย์มาใช้ในนคร
พิกซ์สยายปีกใหญ่อีกครั้ง ครั้งนี้มันบินสูงขึ้นอีก เราบินผ่านหมอกเมฆหนา เมื่อหมอกเมฆแหวกออกเราก็เข้ามาถึงนครเหนือเมฆ เมืองของเหล่านางฟ้าและเทวดา พิกซ์แล่นฉิวผ่านบ้านและอาคาร เบื้องล่างของพวกเราคือเหล่านางฟ้าและเทวดา เรามุ่งตรงไปยังปราสาทสีขาว สถาปัตยกรรมที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในนครเหนือเมฆ
แต่เดิมปราสาทแห่งนี้เป็นที่พำนักของเทพวีนัสและกามเทพ ทุกวันนี้ที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ระบบเศรษฐกิจเข้ามาแทนที่ ปราสาทใหญ่กลายเป็นแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในนคร และกามเทพอย่างฉัน มีหน้าที่นำพลังงานมาให้แก่โรงงาน และความรักคือแหล่งพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับนครเหนือเมฆแห่งนี้
เมื่อพิกซ์บินลงมาถึงพื้นหน้าปราสาทสูงตระหง่าน ฉันให้พิกซ์คอยอยู่ข้างนอก ฉันเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่เป็นห้องกลางของปราสาท ทุกมุมของปราสาทเป็นสีขาว เว้นแต่บนกำแพงและเพดานเป็นภาพวาดของกามเทพที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ยุคต่างๆ ฉันบินตรงไปยังเคาน์เตอร์
"ไงจ้ะ อาริน่า" หญิงสาวนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์กล่าวทักทายเมื่อฉันมาถึงหน้าเคาน์เตอร์
"หวัดดี เมียร์" ฉันทักตอบพลางวางลูกแก้วสีแดงสดที่พึ่งได้มาลงบนโต๊ะเคาน์เตอร์
"ลูกแก้วสีแดง ได้มาอีกแล้วหรอเนี่ย" เมียร์มองมันตาโต ฉันพยักหน้าอย่างภูมิใจ ความรักของมนุษย์ถูกตีเป็นพลังงานในรูปร่างของลูกแก้ว ลูกแก้วสีต่างๆให้ระดับพลังงานที่แตกต่างกัน ลูกแก้วสีแดงเป็นลูกแก้วที่มีพลังงานมากที่สุด ฉันสามารถนำมันมาขายได้ที่นี่ด้วยราคาตามน้ำหนักของลูกแก้ว เพื่อผ่านกระบวนการเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ทั้งนคร เมียร์หยิบคันชั่งสีทองเหลืองขึ้นมา เธอใช้ชั่งน้ำหนักระหว่างลูกแก้วและเหรียญเงิน แต่ที่ฉันมาที่นี่ในวันนี้ไม่ใช่มาเพื่อขายลูกแก้วอย่างเดียวนั้น
"ฉันจะสอบเลื่อนระดับจีล่ะ" ฉันบอกกับเมียร์
"จริงหรอ?" เมียร์ทำตาโต ยศของกามเทพถูกแบ่งเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับเอ(A) ถึงระดับจี(G) สามปีที่ผ่านมาฉันไต่เต้าจากระดับเอจนถึงระดับเอฟ(F) มีกามเทพไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะมาถึงระดับนี้ และมีกามเทพเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่อยู่ในระดับจี มันคือความฝันสูงสุดสำหรับกามเทพระดับเอฟอย่างฉัน "เธอต้องสอบผ่านแน่ๆ"
"อย่างนั้นหรอ? แต่ทำไมฉันถึงไม่คิดอย่างนั้นนะ" เสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังทำฉันสะดุ้ง มันเป็นเสียงของคนที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดในโลก แต่อดไม่ได้ที่ต้องเหลียวหลังไปดูให้แน่ใจ ชายหนุ่มผมสั้นสีเงินนัยน์ตาสีเทาจ้องมองฉันอย่างยิ้มเยาะพร้อมกับสยายปีกใหญ่ยักษ์ เขาคือ คาริม รุ่นพี่ตอนสมัยวิทยาลัย เขาแก่กว่าฉันสามปีแต่เพราะการที่เขาทำตัวไม่น่าเคารพฉันจึงไม่เรียกเขาว่าพี่ ด้วยเหตุนี้ทำให้เรากลายเป็นศัตรูตลอดกาล
"ก็เพราะนายมันตาไม่ถึงไง คาริม" ฉันบอกกับเขา
"พูดอะไรหัดให้เกียรติกันบ้างนะ อย่าลืมนะว่าน้าของฉันเป็นหนึ่งในกามเทพระดับจี" เขามักจะใช้มุกนี้ข่มฉันเสมอ เขาเป็นแค่กามเทพระดับซีที่ใช้อำนาจของน้าตัวเองข่มราวกับว่าตัวเองเป็นหัวหน้ากามเทพ และที่เขาขู่ฉันได้เพราะเขารู้ดีว่ากามเทพระดับจีจะเป็นผู้คัดเลือกผู้สอบเข้ากามเทพระดับจี "เธอจะผ่านหรือไม่ผ่านมันขึ้นอยู่กับน้าของฉัน"
"นายก็ทำได้แค่เกาะชายกระโปรงของน้านายเท่านั้นแหละ ไม่ใช่น้าของนายคนเดียวสักหน่อยที่เป็นกามเทพระดับจีน่ะ!" ฉันบอกกับคาริม ฉันไม่รู้ว่าฉันพูดเสียงดังแค่ไหนแต่นางฟ้าและกามเทพทุกตนในห้องโถงมองมาที่ฉัน เมียร์ถึงขนาดว่ายกมือมาปิดปาก
"พูดได้ดีนี่" เสียงหนึ่งทำให้ฉันแทบเป็นลม หญิงวัยกลางคนบินมาจากห้องหนึ่งข้างห้องโถง เธอมีนัยน์ตาสีเงินเช่นเดียวกับคาริม เส้นผมสีเงินปนเทาถูกมัดตึงเป็นมวย เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว มีปีกใหญ่สีขาวสยายอยู่เบื้องหลัง สร้อยคอรูปตัวจีสีทองทำเอานางฟ้าและกามเทพในห้องแทบคุกเข่าลงกับพื้น ฉันถอยหลังจนไปติดเคาน์เตอร์ “เธอใช่ไหม ที่ยื่นใบสมัครเป็นกามเทพระดับจีเมื่อสองวันที่แล้ว”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง” ฉันตอบหวั่นๆ
“งั้นก็ดี ตามฉันมา” ว่าแล้วเธอก็เดินนำฉันออกไปจากห้องโถงผ่านซุ้มประตูใหญ่ที่ไปสู่ทางเดินลาดยาว เมียร์มองฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนคาริมยิ้มเยาะอย่างมีชัย ซวยแล้วฉัน...
หญิงวัยกลางคนเดินมาตรงหน้าประตูใหญ่บานหนึ่งที่อยู่ริมสุด ประตูบานนั้นเปิดออก ห้องโถงกว้างใหญ่อีกห้องมีโต๊ะยาวโค้งเป็นรูปเกือกม้า กามเทพปีกใหญ่กว่าสามสิบชีวิตนั่งเรียงรายบนเก้าอี้แต่ละตัวรอบเกือกม้า มีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งอยู่ด้านใน ป้าของคาริมเดินกลับไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่หัวสุดของโต๊ะ
“นั่งก่อนสิ” ป้าของคาริมผายมือไปยังเก้าอี้ตัวตรงกลางที่มีโต๊ะเกือกม้าล้อมรอบ ฉันเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ภายในท้องรู้สึกหวิวๆ ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์กดดันเหมือนต้องโทษคดีประหาร สายตานับกว่าสามสิบคู่จดจ้องมาที่ฉัน ทุกคนในนี้กลัดเข็มกลัดปักอกรูปตัวGสีทองแวววาว กามเทพเหล่านี้ถ้าเทียบกับสมัยก่อนก็พอๆกับขุนนางระดับสูงนั่นแหละ หน้าที่ของกามเทพระดับจีไม่ใช่งานเก็บพลังงานความรักหรือปลูกต้นรักในใจของมนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นผู้บริหารและดูแลทุกภาคส่วนต่างๆ และเรื่องอำนาจหรือเงินทองก็ไม่ต้องพูดถึง มันเป็นความฝันสูงสุดของเหล่ากามเทพและนางฟ้าเลยล่ะ
"กามเทพระดับเอฟ อารินา เมอร์ธองนี อายุสิบเจ็ดปี" กามเทพระดับจีชายวัยกลางคนคนหนึ่งอ่านใบสมัครของฉันที่อยู่ในมือพลางขยับแว่น "กามเทพระดับเอฟที่เด็กที่สุดในประวัติศาสตร์กามเทพ แถมยังเป็นกามเทพตนเดียวที่ขอสอบเข้ากามเทพระดับจีในการสอบรอบนี้" เขาพูดต่อ การสอบเลื่อนระดับจะมีทุกๆสี่เดือน แต่ดูเหมือนว่าจะมีฉันคนเดียวที่ยื่นใบสมัครสอบกามเทพระดับจีในรอบนี้ "น่าแปลกนะ ทั้งๆที่มีกามเทพระดับจีมากมายถูกปลดจากตำแหน่ง แต่เธอกลับอยากมาแทนที่พวกเขาเหล่านั้น"
"เรื่องนั้นฉันรู้ดีค่ะ แต่ว่าฉันอยากเป็นกามเทพระดับจีจริงๆ มันเป็นความฝันสูงสุดในชีวิตของฉัน ถึงแม้ว่าฉันอายุยังน้อย อย่างไรก็ตามฉันก็อยากทำงานในตำแหน่งที่ฉันรัก นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ค่ะ" ฉันพูดอย่างมุ่งมั่น กามเทพระดับจีหลายคนพยักหน้าตาม แต่ไม่ใช่น้าของคาริม ดวงตาสีเทาทั้งคู่ยังจดจ้องฉันอย่างไม่เลิกรา
"แต่ว่า ความรักในช่วงนี้เกิดขึ้นได้ยากและไม่ยืนยาว เพราะปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ เราต้องการกามเทพที่มีความสามารถและช่วยเราแก้ไขปัญหาได้" กามเทพชายวัยกลางคนที่ถือกระดาษใบสมัครของฉันพูดพลางเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉัน
"ใช่ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงนี้" กามเทพหญิงที่นั่งอยู่ริมสุดพูดพลางชูปากกาขนเป็ดขึ้นมา
"เพราะฉะนั้นฉันมีข้อเสนอค่ะ" ในที่สุดป้าของคาริมที่นั่งนิ่งอยู่นานก็พูดขึ้น เธอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง หน้าจอภาพฉายปรากฏขึ้นบนกำแพงของห้องประชุม เป็นภาพของดาวโลกมันกำลังหมุนรอบตัวเองช้าๆ "บนโลกมนุษย์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประเทศหนึ่งที่กำลังเกิดปัญหาทางการเมือง ชื่อว่าประเทศไทย" ทันใดนั้นเองโลกก็หยุดหมุน ภาพฉายค่อยๆซูมเข้าไปตรงแถวเอเชียแล้วหยุดตรงแผ่นดินหนึ่ง มีเส้นสีทองขีดแบ่งอาณาเขตประเทศ กลายเป็นรูปขวานหน้าตาประหลาด ฉันรู้จักประเทศนี้ตอนสมัยเรียนวิทยาลัย มีประเทศเดียวในเอเชียที่มีรูปร่างเหมือนขวานคือ ประเทศไทย
"ช่วงสิบปีมานี้ในประเทศไทยเกิดปัญหาทางการเมือง มนุษย์ถูกแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย เกิดเหตุการณ์โกลาหลหลายครั้ง ทำให้คนในประเทศขาดความสามัคคี มีคู่รักหลายคู่ต้องแยกทางเพราะปัญหาเหล่านี้" ป้าของคาริมอธิบายต่อ ภาพฉายของเหตุทะเลาะวิวาทของชาวไทยฉายบนจอ มีการชุมนุมและประท้วงต่างๆมากมาย ฉันตะลึงมองภาพเหล่านั้นไม่เชื่อตา ฉันไม่รู้มาก่อนว่า อีกฟากของโลกกำลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้
"นี่คงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ช่วงนี้คนไม่รักกันสินะ" กามเทพคนหนึ่งวิเคราะห์
"เพราะฉะนั้นฉันจึงจะขอเสนอ" ป้าคาริมกล่าวพลางมองมาที่ฉัน ฉันรู้สึกว่ามีผีเสื้อนับร้อยนับพันกำลังบินอยู่ในท้อง "การทดสอบกามเทพระดับจีในรอบนี้ ถ้าหากว่ากามเทพระดับจีอาริน่าสามารถทำให้คนไทยกลับมารักกันได้ ถือว่าสอบผ่านและได้เป็นกามเทพระดับจี" เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบห้องประชุม ฉันรู้สึกว่าตัวเองหูดับไปชั่วขณะ ทำให้มนุษย์ที่แตกแยกกันมาเกือบสิบปีกลับมารักกันเนี่ยนะ?
"คุณแคทรีนครับ" กามเทพชายคนหนึ่งยกมือขึ้น "มันจะไม่โหดไปหน่อยหรอครับ นับว่านี่เป็นการทดสอบที่ยากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเลยนะครับ" เมื่อเขาค้านมีกามเทพอีกหลายตนพยักหน้ารับ
"เพราะว่าการทดสอบยากนี่แหละเราจะได้แน่ใจว่ากามเทพระดับจีที่เราจะรับเข้ามานี้มีความสามารถอย่างแท้จริง และถ้าหากมนุษย์ในประเทศไทยกลับมารักกันได้นครของเราจะมีพลังงานเพิ่มอีกเป็นกองเลยล่ะ แล้วเราจะไม่ถูกคำครหาใดๆจากกามเทพระดับจีที่พึ่งถูกปลดออกไปด้วย" กามเทพหลายตนพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของป้าของคาริม ฉันได้แต่นั่งนิ่งปากซีดบนเก้าอี้ตัวเดิม
"เอาเป็นว่าเราใช้การทดสอบนี้ในรอบนี้ก็แล้วกัน เราจะให้เวลาหนึ่งเดือนเป็นเวลาในการปฏิบัติภารกิจซึ่งยาวนานกว่ามาตรฐานเป็นโอกาสพิเศษ มีใครคัดค้านไหม" กามเทพชายแก่คนหนึ่งกล่าว เหมือนว่าเจาจะอาวุโสที่สุดในบรรดากามเทพระดับจี และเมื่อไม่มีใครคัดค้านเขาประทับตรายางบนกระดาษม้วน
"พยายามเข้านะกามเทพระดับเอฟอาริน่า" ป้าของคาริมกล่าวพร้อมดัวยรอยยิ้มมีชัย ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เหมือนถูกขว้างจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
"ตัดใจซะเถอะ อารินา ยังไงรอบหน้าก็ยังมี" มอร์ฟีนพูดหลังจากที่ฉันเล่าเรื่องให้ฟัง เด็กสาวผมสั้นสีแดงเพลิงนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคนนี้คือมอร์ฟีน เพื่อนของฉันตั้งแต่สมัยฉันยังเรียนวิทยาลัยกามเทพตอนปีหนึ่ง เธอพูดขณะดูดโกโก้เฟรบเป้ในแก้วน้ำ ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งในเมือง โชคดีที่มอร์ฟีนกับอันนาผ่านมาแถวนี้พอดีฉันจึงมีที่ระบาย แต่ดูท่ามอร์ฟีนจะทำให้กำลังใจของฉันที่แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ให้ลดน้อยลงกว่าเดิม
"มอร์ฟีน แทนที่เธอจะให้กำลังใจยัยอาริน่านะ" อันนาพูดขึ้นพลางตักเค้กสตอเบอร์รี่เข้าปาก เด็กสาวถักผมเปียสองข้าง สวมแว่นรีคนนี้คืออันนา เธอเป็นเพื่อนสมัยวิทยาลัยของฉันเหมือนกัน ปัจจุบันก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับยัยมอร์ฟีนนี้แหละ
"เห็นไหม อันนายังพูดแบบนั้นเลย" ฉันบอกกับยัยมอร์ฟีนที่กำลังดื่มด่ำกับน้ำโกโก้
"แล้วเธอจะจัดการมันยังไง" คำถามของมอร์ฟีนเป็นคำถามที่ฉันกำลังคิดหาคำตอบอยู่เหมือนกัน ฉันส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง การยิงเมล็ดต้นรักให้กับคนหกสิบล้านคนก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าสิ้นหนทาง
"แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีทางหรอกน่า" ยัยอันนาพูดขึ้น ฉันกับยัยมอร์ฟีนหันหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว อันนาขยับแว่นเหมือนเป็นผู้รู้ "เธอเคยได้ยินเรื่องตำนานสงครามระหว่างเทพกับยักษ์ไหมล่ะ"
ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มานานจนเกือบลืมไปแล้ว เมื่อหลายพันปีก่อนเกิดสงครามขึ้นระหว่างเทพกับยักษ์ มันกินเวลายาวนานกว่าหลายสิบปีจนกระทั่งวันหนึ่งที่มีสายรุ้งพาดผ่านสนามรบ สงครามก็ยุติลง
"ต่อให้ยัยอาริน่าคงต้องเหมาน้ำยาสายรุ้งทั้งตลาดก็คงจะไม่พอหรอกน่า" ยัยมอร์ฟีนพูด ตรงนี้ฉันเห็นด้วยอย่างแรง สายรุ้งสามารถทำให้มนุษย์ หรือแม้แต่เทพมีความสุขได้แต่เพียงช่วงสั้นๆ มันมีวิธีทำที่แสนง่ายดาย แต่สายรุ้งที่ยาว 1,640 กิโลเมตรน่ะ ไม่มีใครทำได้หรอก และไม่สามารถทำให้มนุษย์ที่เกลียดกันกลับมาดีกันได้ด้วย
"จะบ้าหรอ ฉันไม่ได้หมายถึงสายรุ้งที่หาซื้อตามตลาดหรอกน่า" ยัยอันนาบอก "ฉันหมายถึงเธอต้องทำสายรุ้งในตำนาน" คำตอบของยัยอันนาทำให้กับมอร์ฟีนเงียบไปช่วยขณะ สายรุ้งในตำนานก็คือสายรุ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาเชื่อกันว่าเป็นสายรุ้งเส้นที่ยุติสงครามระหว่างยักษ์กับเทพได้ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องราวในตำนาน เพราะยังไม่มีใครเคยเห็นสายรุ้งในตำนานนี้กับตา
“มันไม่มีจริงหรอก” มอร์ฟีนบอก
"ไม่หรอก" ยัยอันนาส่ายหน้า "เขาว่ามันมีจริง แต่ที่ไม่มีใครทำเพราะวัตถุดิบการทำนี่ล่ะ ถ้าสายรุ้งธรรมดาพวกนางฟ้านักทำสายรุ้งก็ทำได้แค่นำไปให้ก้อนเมฆกินใช่ไหมล่ะ แต่สายรุ้งในตำนานน่ะ มันมีมากกว่านั้น ความจริงฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แต่ถ้าเธออยากรู้น่ะนะ ก็ต้องไปถามผู้รู้"
ฉันกับมอร์ฟีนมองหน้ากัน ในที่สุดพวกเราขี่หลังพิกซ์ทะยานขึ้นเหนือนครอีกครั้ง เรามุ่งตรงไปยังป้อมปราการใหญ่หนึ่งในเมือง รูปปั้นรูปนกฮูกสวมแว่นและหมวด ตั้งตระหง่านอยู่บนหลังคาทรงแหล่มยอดสุดของอาคาร เป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ที่นี่เป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในนคร
เราเข้าไปในหอสมุดนี้ ภายในหอสมุดเป็นห้องใหญ่ทรงกระบอกสูงเท่าความสูงของอาคาร หนังสือเป็นล้านๆเล่มสูงสุดเพดาน ตรงกลางของห้องถูกจัดเป็นโต๊ะแล้วเก้าอี้หรูหรานั่งสบาย เราเดินตรงไปยังเคาเตอร์ที่อยู่ชิดห้อง มีนางฟ้าสาวคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์
"สวัสดีค่ะคุณพีแกน" อันนาเอ่ยทักทาย นางฟ้าสาวพีแกนผู้เป็นบรรณารักษ์ละสายตาจากหนังสือทันที
"อ้าว สวัสดีอันนา วันนี้อยากยืมเล่มไหนอีกล่ะ วันนี้มีหนังสือเข้ามาใหม่หลายร้อยเล่มเลย อย่างเช่นเล่มนี้ไงนักเขียนคนโปรดของเธอ เทวดาอาคิวลิค เบิร์ค ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยล่ะ" บรรณารักษ์สาวคุยจ้อพลางโบกหนังสือเล่มหนาอยู่ในมือไปมา
"ยังดีกว่า ขอบใจมากนะพีแกน พอดีวันนี้ฉันพาเพื่อนมายืมหนังสือน่ะ" อันนาผายมือมาทางฉัน
"โอ้ พระเจ้า เธอคือ อารินา เมอร์ธองนี ใช่ไหม!" พีแกนร้องเมื่อเห็นหน้าฉัน ฉันยังไม่ทันจะถามอะไร พีแกมก็บินรุดมาตรงหน้าแล้วจับมือทั้งสองข้างของฉันไว้แน่น "ฉันจำได้ รูปของเธอมีอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์กามเทพยุคใหม่เล่มล่าสุด อารินา เมอร์ธองนี กามเทพระดับเอฟที่เด็กที่สุดในรอบศตวรรษ! เรียนจบวิทยาลัยกามเทพได้ตอนอายุสิบห้า!"
เจ้าหล่อนเริ่มเสียงดัง คนในหอสมุดเริ่มหันมามองเมื่อเห็นบรรณารักษ์เสียงดังซะเอง ความจริงแล้วฉันไม่ได้เรียนจบที่นั่นแต่ว่าโดนทางวิทยาลัยไล่ออก แต่พอฉันสอบผ่านกามเทพระดับซีตอนอายุย่างสิบหก ทางวิทยาลัยกามเทพก็มีชื่อของฉันขึ้นบอร์ดและยื่นใบจบให้กับฉันทันที โดยแลกกับการที่ฉันต้องเป็นข้ออ้างให้กับวิทยาลัยตอนที่จะรับสมัครเด็กใหม่
"พอดีฉันมีเรื่องรีบเร่งนิดหน่อยอยากให้ช่วยน่ะ" ฉันบอกกับพีแกน แต่หล่อนยังกุมมือฉันไว้แน่น พีแกนพยักหน้ารัวๆ "เอ่อ... ฉันอยากรู้วิธีการทำสายรุ้งในตำนานน่ะ" สิ้นคำพูดของฉัน หล่อนยกมือปิดปากแล้วทาบอก ฉัน มอร์ฟีน กับอันนามองหน้ากันสงสัยในปฏิกิริยาของพีแกน
"เธอทำมันไม่ได้นะ มันอันตรายเกินไป" เธอพยายามห้ามเสียงสั่น
"ขอร้องเถอะพีแกน ฉันต้องการรู้จริงๆ" คราวนี้เป็นฉันที่เอื้อมมือไปจับมือของพีแกน พีแกนมีท่าทางลังเล
"ถ้าอย่างนั้น ตามมา" เธอบอกกับฉัน พีแกนเดินนำเราผ่านประตูไม้สักบานหนึ่งที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ภายในเป็นห้องเล็กๆ เก็บของและมีชั้นหนังสือ พีแกนผลักชั้นหนังสือให้หมุนเปิดออก มันคือประตูลับ เราเดินเข้าไปยังห้องๆนั้น เป็นห้องอีกห้องหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอันนาที่มาหอสมุดบ่อยครั้ง แต่ไม่รู้เรื่องห้องลับนี้มาก่อน เธอมองหนังสือที่เรียงรายอยู่บนชั้นรอบๆห้องอย่างตื่นตา มันเต็มไปด้วยหนังสือเก่า บางเล่มหน้าตาประหลาดจนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือ
"เจอแล้วล่ะ" พีแกนดึงหนังสือเก่าเล่มหนาเล่มหนึ่งหนึ่งลงจากชั้น เธอเป่าหน้าปกที่มีฝุ่นเกาะ ฝุ่นหนาเตอะลอยฟุ้งจนฉันต้องปัดอากาศ ปกหนังสือไม่มีข้อความใดๆเขียนไว้ พีแกนวางหนังสือลงบนโต๊ะกลางห้อง เหมือนว่าเธอไม่ได้แตะต้องมันนานแต่เธอสามารถจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้ เธอเปิดหนังสือได้พอดิบพอดี เธอพลิกเปิดไม่กี่หน้าก็เจอหัวข้อ 'สายรุ้งในตำนาน'
พีแกนยื่นให้ฉันอ่าน เนื้อหาของสายรุ้งในตำนานมีเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น มอร์ฟีนกับอันนายืนอ่านข้างๆฉัน เมื่อฉันอ่านจนจบฉันแทบทรุดลงกับพื้น อันนาถึงขนาดว่ายกมือมาป้องปาก มอร์ฟีนหน้าซีดเผือก ทั้งสองไม่เคยรู้ความจริงเกี่ยวกับสายรุ้งในตำนานมาก่อนเลย
เนื้อหาในหนังสือเขียนเกี่ยวกับความลับของสายรุ้งในตำนาน แท้จริงแล้วสายรุ้งในตำนานไม่ได้ทำให้มนุษย์รักกันหากแต่ล้างบาปทั้ง7ในใจมนุษย์ และผู้ที่มีวัตถุดิบทั้ง7ในการทำสายรุ้งในตำนานมีเพียงเจ็ดตนในโลกเท่านั้น คือตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ดตน!
ทุกคนในนครเหนือเมฆต่างทราบดีว่านรกไม่ใช่สถานที่ที่นางฟ้าหรือแม้แต่กามเทพควรไปกล้ำกราย นครใต้พิภพเป็นที่พำนักของเหล่ามาร ซาตาน และตัวแทนมหาบาปทั้ง7 พวกเขาใช้บาปในใจของมนุษย์เป็นแหล่งพลังงานเพื่อใช้ทั้งนครใต้พิภพ เหล่ามารสามารถยั่วยุให้มนุษย์หรือแม้แต่อมนุษย์อย่างนางฟ้าหรือเหล่าเทพให้เกิดบาปในใจได้
“เธอแน่ใจหรือว่านี่เป็นเรื่องจริงน่ะ” ฉันรีบยื่นหนังสือคืนให้แก่พีแกน พีแกนพยักหน้า อันนากับมอร์ฟีนพยายามห้ามฉันทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผล พวกเขาดูหวาดกลัวอย่างมาก นางฟ้าและกามเทพทุกคนบนโลกใบนี้ต่างต้องขนลูกซู่เมื่อได้ยินแม้แต่ชื่อของเหล่ามาร
"คิดหรอว่าพวกนั้นจะวัตถุดิบในตำนานกับเรา พวกเขาได้รับพลังงานจากการที่มนุษย์มีบาปนะ" มอร์ฟีนเตือนสติฉัน
“ใช่ และพวกเขาเก่งเรื่องยั่วยุให้มนุษย์มีบาปพอๆกับเราที่สามารถทำให้มนุษย์รักกันได้ และถ้าหากว่าเธอไปที่นั่นแล้วตัวเธอแปดเปื้อนไปด้วย นอกจากเธอจะไม่ได้กลับนครเหนือเมฆแล้ว เธอจะต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล" พีแกนรู้ดี ฉันก้มมองพื้น ทุกคนต่างรู้ดีถึงความโหดร้ายของนครใต้พิภพ พวกเขาไม่เคยสนใจคนอื่นนอกจากตัวเอง การที่มนุษย์ทะเลาะกันทุกวันนี้เป็นแหล่งพลังงานที่ดีสำหรับพวกเขา และตัวแทนมหาบาปทั้ง7คงไม่มีวันยกวัตถุดิบในตำนานทั้ง7ให้พวกเราแน่ๆ
แต่ว่า… จะให้ฉันยอมแพ้ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรอ!
“ขอบใจทุกคนมากนะ” ฉันยิ้มให้กับพวกเขา “แต่อย่างไรฉันก็จะไม่ยอมแพ้ ฉันจะไม่ถอยหลังโดยที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยเด็ดขาด” เมื่อฉันยืนยัน อันนากับมอร์ฟีนตะลึงไปชั่วครู่ พวกเขาจำประโยคนี้ได้ตอนที่ฉันเลือกที่จะลาออกจากวิทยาลัย เมื่อมอร์ฟีนกับอันนารู้ว่าไม่สามารถห้ามฉันได้ พวกเขาก็เลือกที่จะบอกให้ฉันดูแลตัวเองดีๆ
ในนครเหนือเมฆที่ถูกปกคลุมด้วยท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี แสงไฟสว่างไสวทั่วทั้งนครเหนือเมฆมีต้นกำเนิดมาจากความรักอันบริสุทธิ์มนุษย์ที่ถูกแปรรูปเป็นพลังงาน ฉันมองอาคารเหล่านั้นผ่านหน้าต่างห้องนอนอย่างชื่นชม ส่วนหนึ่งของแหล่งพลังงานเหล่านี้คือน้ำพักน้ำแรงของกามเทพอย่างฉัน
ฉันวางลูกแก้วสีทองลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง มันคือพลังงานความรักที่หาได้ยากที่สุดและหามูลค่าไม่ได้ ถ้าหากหลังจากนี้ฉันไม่มีโอกาสนำพลังงานมาในนครอีกต่อไป ลูกแก้วสีทองนี้จะเป็นพลังงานสุดท้ายที่ฉันจะมอบให้แก่นครเหนือเมฆแห่งนี้
ฉันเดินผ่านห้องนอนของอาเธอร์ ฉันแง้มประตูมองเข้าไปในห้องมืดสนิท อาเธอร์ยังคงนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่ม ฉันเดินไปนั่งข้างเตียง ลูบหัวผู้เป็นน้องชายเบาๆก่อนใช้ริมฝีปากสัมผัสกับหน้าผากของเขาโดยไม่ให้เขาตื่น จำนวนเงินที่ฉันทิ้งไว้ให้มันมีพอให้อาเธอร์เรียนจบวิทยาลัยกามเทพ ถ้าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นฉันไม่มีอะไรต้องห่วงอีกต่อไป
“ไปกันเถอะพิกซ์” ฉันบอกกับพิกซ์ที่นอนอยู่ในโรงม้า มันยืนคอยท่าอยู่แล้ว
พิกซ์ทะยานขึ้นเหนือฟ้าอีกครั้ง แสงไฟในเมืองเริ่มไกลออกไป ในที่สุดฉันกับพิกซ์ก็พ้นเขตนครเหนือเมฆ แผ่นดินเบื้องล่างเริ่มใกล้เข้ามา ฉันกางแผนที่ที่มีขีดกากบาทบนจุดหนึ่งบนแผ่นดิน ในหนังสือไม่ได้อธิบายละเอียดนักเกี่ยวกับประตูทางเข้านครใต้พิภพ แต่ทางเข้าประตูใต้พิภพก็ไม่ได้เก็บเป็นความลับ ตรงกันข้ามกลับแทบเชื้อเชิญให้ผู้คนเข้าไป และแน่นอนต่อให้สติไม่ดีแค่ไหนก็ไม่มีใครอยากย่างเข้าไปใกล้มัน
พิกซ์หยุดอยู่ตรงหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่งใต้ภูเขาไฟที่ครั้งหนึ่งเคยคร่าชีวิตผู้คนนับแสน โพรงถ้ำที่ถูกซ่อนอยู่กลางป่าทึบไม่มีมนุษย์ตนใดเคยรู้ว่ามีถ้ำอยู่ที่นั่น ฉันกระโดดลงมาจากหลังของพิกซ์ ฉันจงใจให้พิกซ์อยู่ห่างจากปากถ้ำที่สุด
“ถ้าภายในสามชั่วโมงฉันยังไม่กลับมา เธอกลับบ้านไปได้เลยนะ” ฉันบอกกับพิกซ์ ถึงพิกซ์จะไม่ส่งเสียงใดๆแต่ฉันรู้ดีว่าพิกซ์กำลังคิดอะไร ฉันกอดม้าคู่ใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามาในถ้ำ
ถ้ำโพรงหินมืดสนิทโดยเฉพาะยามราตรี ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาถึง ความหวาดกลัวเริ่มแล่นผ่านไปทั่วร่าง ฉันก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ ไม่มีใครสักคนกล้าเข้ามาที่นี่แต่ฉันกลับบุกบั่นเข้ามา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหนแต่เมื่อหันหลังไปก็ไม่เห็นปากทางเข้าถ้ำแล้ว
เหมือนฉันถูกตรึงร่างด้วยโซ่ เสียงหายใจของสัตว์ป่าตัวหนึ่งทำฉันไม่กล้าขยับขา ฉันรู้แค่ว่ามันดังจากข้างหน้าแต่ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทันใดนั้นเองเสียงหายใจก็ดับไป มีดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่งเบิกกว้างขึ้นตรงหน้าฉัน ฉันแทบต้องกลั้นหายใจ และแล้วฉันต้องล้มหงายไปกับพื้นเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
สุนัขสามหัวตัวใหญ่นัยน์ตาสีแดงฉาน มันแยกเขี้ยวให้เห็นฟันแหลมยาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำลาย กลิ่นสาบของมันอบอวลทั่วทั้งถ้ำ มันมองฉันอย่างหิวกระหายราวกับว่าไม่ได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะมานานแสนนาน ฉันเคยได้ยินเรื่องของมันจากหนังสือปรัมปราเล่มหนึ่งที่อันนาเคยเอามาให้อ่าน เซอร์เบอรัส สุนัขสามหัวผู้เฝ้าประตูนรก!
“นางฟ้าบนสวรรค์มาทำอะไร ณ ที่แห่งนี้” หัวสุนัขขวาสุดเอ่ยถาม นัยน์ตาจ้องเขม็งราวกับจะกลืนกิน
“ฉันไม่ใช่นางฟ้า แต่ฉันเป็นกามเทพ!” ฉันตอบเสียงดัง “ฉันต้องการจะไปนครใต้พิภพ! ฉันต้องการเข้าพบตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ด!” คำตอบของฉันทำพวกเหล่าสุนัขเงียบไปชั่วขณะเหมือนกับว่ามันไม่เชื่อหูตัวเอง
“น่าแปลกที่กามเทพตัวน้อยๆอย่างเจ้าจะเป็นผู้ก้าวเข้าไปหาบาปด้วยตัวเอง” เสียงแหบทุ้มนี้ไม่ได้มาจากหนึ่งในหัวทั้งสามของสุนัข หากแต่ดังมาจากงูตัวหนึ่งที่เลื้อยมาจากด้านหลังของสุนัข มันคือส่วนหางของเซอร์เบอรัส งูยาวสีเขียวดูน่าเกรงขามมันเลื้อยเข้ามาใกล้ฉัน เหมือนว่าหัวสุนัขทั้งสามจะยำเกรงส่วนหางของตัวเองอย่างมาก “ก็เอาสิ ถ้าหากว่าเจ้าสามารถกลับมาได้น่ะนะ”
ฉันถูกทดสอบใจ มันหลีกทางให้ฉันแต่โดยดี ประตูบานหนึ่งปิดสนิทอยู่ข้างหลังพวกมัน เมื่อฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตู ประตูเปิดออกเอง ไฟลุกโชนสีเขียวมรกตปรากฏตรงหน้าฉัน
“เพราะเจ้าไม่ใช่ทั้งมนุษย์และวิญญาณประตูจึงไม่ให้ผ่านเข้าไป” เจ้างูแสยะ “แต่ถ้าเจ้ามีศรัทธาพอมันอาจจะไม่ร้อนมากนักหรอก” ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากองเพลิง ศรัทธางั้นหรอ…
“ฉันต้องการพบกับตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ด!” ฉันบอกในใจก่อนจะเดินฝ่าเพลิงลุกโชนนั้นไป ฉันไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ เหมือนว่าฉันถูกพามาอีกที่หนึ่ง เมื่อฉันเดินออกมาจากกองเพลิงสีเขียว รอบด้านฉันก็แปรเปลี่ยนเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เพดานสูงลิบราวกับอยู่ใต้ท้องฟ้า แต่บรรยากาศช่างดูอึมครึม ด้วยสีแดง ดำ และน้ำตาลที่ใช้ประดับประดาไปทั่วทั้งห้องโถง มันช่างดูแตกต่างจากนครเหนือเมฆโดยสิ้นเชิง ฉันเดินไปตามพื้นที่เป็นหินสีน้ำตาล และตรงกลางมีพรมแดงทอดยาวไกลไประหว่างแนวเสาที่เรียงรายอยู่สองฝั่งราวกับเป็นทิวสน สุดปลายพรมนั้นจรดไปที่แท่นบัลลังก์ใหญ่ยักษ์อลังการทั้งเจ็ด แต่ที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านั้นคือปีศาจที่นั่งประจำอยู่บนบัลลังก์ทั้งเจ็ดนั้น ฉันก้าวเท้าเข้าไปอย่างยากลำบากขึ้นในทุกๆ ก้าวราวกับมีพลังงานบางอย่างที่ฉันมองไม่เห็น กดดันฉันอยู่ตลอดเวลา ราวกับเดินทวนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ความกดดันรอบข้างบอกสั่งให้ฉันคุกเข่าลงกับพื้น ยอมศิโรราบแก่ตัวแทนแห่งความชั่วร้ายทั้งเจ็ดแต่โดยดี
“อุส่าบุกบั่นมาจากบนฟากฟ้า เพื่อมาหาพวกข้าถึงที่นี่ เจ้ามีธุระอะไรอย่างนั้นรึ เจ้าคนจากนครเหนือเมฆ” อีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลง บุรุษรูปงามราวกับเทพบุตร มีปีกใหญ่หกปีกดูน่าเกรงขาม พร้อมกับเขางอกออกมาจากศีรษะทั้งสองข้าง เขานั่งอยู่บนบัลลังก์สีม่วงที่อยู่ริมซ้ายสุดของแท่นบัลลังก์ ฉันเคยได้ยินบุคคลลักษณะนี้มาจากนิทาน…ลูซิเฟอร์
“ฉัน…” ฉันพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเครือ “ฉันได้ยินมาว่าพวกท่านเป็นผู้ครอบครองวัตถุดิบในตำนาน ฉันจึงอยากจะมาขอ ให้ท่านมอบมันเพียงส่วนหนึ่งให้กับฉันค่ะ…” สิ้นคำพูดของฉันเสียงหัวเราะดังลั่นราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในชีวิตของพวกเขา
“แล้วทำไมพวกข้าจะต้องมอบมันให้แก่เจ้าด้วยล่ะ จะทำสายรุ้งในตำนานงั้นรึ? ทุกวันนี้พลเมืองของข้าอยู่ได้ก็เพราะพึ่งพลังงานจากบาปของมนุษย์ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจำได้ตามที่เจ้าของั้นหรือ?” ลิเวียธานเอ่ย ปีศาจสีน้ำเงินครามตัวยาวขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายมังกร มันขดตัวอยู่บนบัลลังก์สีเขียวที่อยู่ตรงกลาง มันใช้นัยน์ตาสีแดงราวกับเลือดจดจ้องมายังฉันพร้อมกับแยกเขี้ยวให้เห็นฟันอันแหลมคม
“ท่านมหาบาปทั้งเจ็ดได้โปรดพิจารณา ฉันไม่ได้มาในฐานะของคนในนครเหนือเมฆและฉันก็ไม่ใช่นางฟ้า” ฉันบอกกับพวกเขาสายตายังคงจดจ้องด้วยความมุ่งมั่น “ฉันเป็นกามเทพ กามเทพระดับเอฟ อารินา ฉันมาที่นี่เพื่อมาขอวัตถุดิบในตำนานทั้ง7เพื่อทำสายรุ้งในตำนานไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น ฉันในรับมอบหมายให้ทำให้คนในประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมารักและสามัคคีกัน ทุกวันนี้มนุษย์มีบาปในใจจนสิ้นด้วยความรัก ท่านลองพิจารณา ถ้าหากมนุษย์หมดสิ้นด้วยความรัก ไม่มีการแต่งงาน ไม่มีการสืบต่อเลือดเนื้อ จะเป็นอย่างไรต่อไปถ้าหากไม่มีมนุษย์ตนใดหลงเหลืออยู่บนโลกนี้”
ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะทำให้พวกเขานิ่งฟังได้ครู่หนึ่ง และแล้วเสียงกระซิบก็ดังเซ็งแซ่ เหมือนว่าคำพูดของฉันจะมีผลกับความคิดของพวกเขาขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเงียบกันไปนานในที่สุดลูซิเฟอร์ก็ลุกขึ้นยืน
“นั่นสินะ” ลูซิเฟอร์ที่เงียบอยู่นานในที่สุดก็พูดขึ้น สีหน้าของเขาเหมือนมีแผนการในใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะยกวัตถุดิบในตำนานให้กับเจ้าก็ได้ แต่น่าเสียดายที่วัตถุดิบเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ซะด้วยสิ” เขาว่าต่อ “มันถูกเก็บซ่อนไว้ในเกาะแห่งหนึ่งกลางทะเล มันตั้งอยู่ใจกลางของสามเหลี่ยมปีศาจ ถ้าหากเจ้าไปเอามันมาได้มันเป็นของเจ้า” มีเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่คัดค้านแต่หัวหน้าของเหล่าตัวแทนบาปทั้ง7ไม่สนใจฟัง เหมือนว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบัลลังก์แห่งนี้ “เอาล่ะ ถ้าหมดธุระของเจ้าแล้วก็กลับไปได้ ข้ายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”
“แต่ว่า…!” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูด ราวกับว่ามีควันอะไรบางอย่างลากตัวฉันให้ห่างออกไป ฉันถูกโยนกลับลงไปในเพลิงไฟสีเขียวอันเดิม
ฉันหงายก้นจ้ำเบ้ากับพื้น นับเป็นการไล่กลับที่ไม่สุภาพเอาเสียจริง ฉันกลับมาอยู่ที่ถ้ำตามเดิม ประตูบานเดิมปิดฉับอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่ต้องการให้ฉันหวนไปหามันอีก ฉันถอนหายใจก่อนหันหลังกลับ แต่ฉันต้องพบกับสุนัขสามหัวที่ยืนอยู่ที่เดิม แต่ครั้งนี้มันมีสีหน้าต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ แต่เจ้าส่วนหางดูไม่ประหลาดใจ
“ว่าแล้วว่าท่านลูซิเฟอร์จะต้องเห็นบางอย่างในตัวเจ้า” งูกล่าวราวกับว่าเห็นทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมน่ะ” มันถาม ฉันรีบลุกขึ้นยืนทันที “เจ้าควรจะรีบออกไปหน้าปากถ้ำซะตอนนี้นะ พรรคพวกของเจ้ามามุงกันเต็มหน้าปากถ้ำเลยล่ะ ถ้าท่านลูซิเฟอร์คิดว่าเจ้าหักหลังมันคงจะจบไม่สวยเท่าไหร่หรอกนะว่าไหม?”
หัวใจของฉันเหมือนตกไปอยู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินดังนั้น และเมื่อฉันออกมาถึงหน้าปากถ้ำจึงได้เข้าใจสิ่งที่เซอร์เบอรัสบอก กองทัพของเทวดาและกามเทพดักรอฉันอยู่หน้าถ้ำ โดยมีพิกซ์ที่ถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนสีเงิน พวกเขารู้ว่าฉันมาที่นี่
“เธอทำผิดกฎของชาวนครเหนือเมฆ เธอเข้ามาผูกไมตรีกับชาวนครใต้พิภพ เธอต้องโทษประหารแล้ว กามเทพระดับเอฟอารินา!” เทวดาคนหนึ่ง ผู้ที่สวมชุดเกราะสีทองน่าเกรงขามกว่าเทวดาคนอื่นๆ ชี้ดาบสีทองมาทางฉัน ผู้ที่สามารถมีดาบในครอบครองได้มีเพียงผู้พิทักษ์เทวดาประจำนครเหนือเมฆเท่านั้น และผู้ที่มีดาบสีทองนั้นได้คือหัวหน้าผู้พิทักษ์เทวดา และฉันก็เคยได้ยินชื่อของเขา หัวหน้าผู้พิทักษ์ฮาวาร์ด เขาเป็นหัวหน้าของเหล่าผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้อง ดูแล และรักษาความปลอดภัยทั่วทั้งนครเหนือเมฆ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้
“ฉันเปล่านะ!” ฉันตะโกนออกไป "ฉันมาทำภารกิจที่กามเทพระดับจีมอบหมายให้ตะหากล่ะ!"
"โกหก!" เสียงหนึ่งตะโกนออกมา หน้าของฉันเริ่มเป็นสีแดงด้วยความโกรธเพราะคาริมแทรกตัวมาหน้าแถว “ภารกิจของเธอคือการทำให้มนุษย์ในประเทศไทยรักกัน! ยัยนี่มันโกหก!" ทุกคนจ้องเขม็งมาทางฉันเมื่อได้ฟังคาริม
“จับผู้สมรู้ร่วมคิดได้แล้วครับ” ผู้พิทักษ์เทวดาคนหนึ่งเข้ามารายงานหัวหน้าผู้พิทักษ์เทวดา เขาลากนางฟ้าสองตนเข้ามากลางวง ฉันถึงกับต้องอ้าปากค้าง มอร์ฟีนกับอันนาก็ถูกจับตัวมา
“มันเกินไปแล้วนะ คาริม!” ฉันโกรธจนตะโกนด้วยเสียงที่สั่นเครือ ฉันรู้ดีว่าทั้งหมดใครเป็นคนทำ มีคนเดียวในนั้นที่ยิ้มเยาะอย่างมีชัย แต่ดูเหมือนพวกผู้พิทักษ์เทวดาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเขากลัวแค่ว่าฉันจะเป็นกบฏไปเข้าพรรคกับคนในนครใต้พิภพเท่านั้น ฉันเห็นปลายดาบของเหล่าเทวดาที่ชี้มายังพวกพ้องของฉัน ทำให้ฉันไม่มีทางเลือกที่จะต้องบอกความจริง "ก็ฉันกำลังทำอยู่นี่ไง! สายรุ้งในตำนาน!" เมื่อฉันตะโกนออกไป เหล่าเทวดาและกามเทพเงียบกริบไปชั่วครู่ ตามด้วยเสียงฮือฮาเซ็งแซ่
"เป็นไปไม่ได้หรอก! สายรุ้งในตำนานมันไม่มีจริง!" เทวดาตนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
"มันมีจริง! ฉันพึ่งได้รับอนุญาตจากตัวแทนมหาบาปทั้ง 7 ว่าให้ตามหาวัตถุดิบในตำนานได้!" อีกครั้งหนึ่งที่เสียงของเหล่าเทวดาเงียบกริบเมื่อได้ยินฉันบอกดังนั้น พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด มีเพียงมอร์ฟีนกับอันนาเท่านั้นที่เชื่อ
“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องเชื่อเธอ สงสัยฉันคงต้องเข้าไปถามไอ้สารเลวมหาบาปเจ็ดตัวนั่นซะหน่อยล่ะมั้ง” ฮาวาร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเคย แต่ครั้งนี้ช่างฟังดูแข็งกร้าว น่ากลัวเสียเหลือเกิน ไม่ได้การละ ถ้าฮาวาร์ดเข้าไปตอนนี้เรื่องก็บานปลายกลายเป็นสงครามมหาเทพเป็นแน่
ฉันต้องเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นซะเหยียดยาวตั้งแต่ที่ห้องประชุมกามเทพระดับจีจนฉันออกมาจากถ้ำจนมาเจอพวกเขา ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงหนังสือโบราณที่พีแกนมี
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะไปตามหาวัตถุดิบในตำนานด้วย” ฮาวาร์ดพูดขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง “เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าหากว่าเราไม่เจอวัตถุดิบในตำนานนั้น เธอจะต้องจำคุกตลอดกาล เข้าใจหรือเปล่า” ฉันยอมรับข้อตกลงแต่โดยดี กลายเป็นว่าทุกคนในที่นี้ต้องร่วมเดินทางตามหาวัตถุดิบในตำนานด้วยกัน
“แต่ท่านหัวหน้า ข้าว่าเราไม่เห็นจำเป็นต้องไปเสี่ยงกับยัยพวกนี้เลยนะ ยังไงเรื่องนี้มันก็โกหกทั้งเพอยู่แล้ว” คาริมรีบทักท้วงอย่างกระอักกระอ่วน
“เจ้ามีปัญหาอะไรรึคาริม หรือว่า... เจ้ากลัว” ฮาวาร์ดหันมองด้วยหางตา กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อบารมีของน้าของคาริมแม้แต่น้อย
“ใครว่าข้ากลัว ข้าไปด้วยก็ได้” คาริมถึงกับตัวหด หน้าถอดสี แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่มีมากเหลือล้น ทำให้เขาจำต้องยืดอกรับคำอย่างหาญกล้า ขัดกับอาการสั่นที่อยู่ภายใต้เกราะที่หรูหรา “ถ้าฉันตาย มันเป็นความผิดของพวกเธอ!” คาริมกระซิบเหมือนพ่นพิษใส่ขณะที่กำลังขี่ฝูงพิกาซัสไปยังเกาะปริศนากลางสามเหลี่ยมปีศาจ คาริมแสดงอาการขี้ขลาดอย่างไม่เก็บอาการ
“สมน้ำหน้านายแล้วล่ะคาริม” มอร์ฟีนเยาะ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงน่านน้ำสามเหลี่ยมปีศาจ ฮาวาร์ดต้องสั่งให้ทุกคนบินต่ำเพราะสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน มีมนุษย์และอมนุษย์มากมายหายไปโดยปริศนาแถวบริเวณนี้ ทีแรกฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันเข้าใจแล้ว
และแล้วเราก็เห็นเกาะหนึ่ง มันเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางทะเลสามเหลี่ยมปีศาจพอดิบพอดี มันอยู่ท่ามกลางม่านหมอก จู่ๆพิกาซัสทุกตัวก็ส่งเสียงร้องราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“พิกซ์! เกิดอะไรขึ้น!” ฉันถามพิกซ์ เหมือนกับว่าที่เกาะนั้นไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตบินได้เฉียดเข้าไปใกล้ พิกาซัสของคนอื่นๆเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่พวกมันขัดขืนผู้เป็นนาย “เราต้องลงตรงนี้!” ฉันตะโกนบอกทุกคน เบื้องล่างของเราเป็นชายหาดของเกาะนั้น พิกซ์บินลงต่ำจนลงมายืนบนพื้นทราย ฉันไม่เคยเห็นส่วนไหนบนโลกที่มีหมอกหนาขนาดนี้มาก่อน ทุกคนเริ่มบินตามฉันลงมาบนชายหาด
“เธอไม่ควรทำอะไรตามใจชอบนะ!” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งต่อว่า ฉันยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ มอร์ฟีนกับอันนาวิ่งมาทางฉัน พวกเขาจะเป็นคนที่รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรเสมอ
“หมอกนี่มัน...” ฉันรู้สึกพิกลกับสิ่งรอบด้าน มันเป็นชายหาดที่มีทรายขาว เบื้องหลังเป็นป่ายาวไปถึงยอดเขาสูง ฉันจะกระพือปีกเพื่อบิน แต่แล้วฉันก็ขยับปีกไม่ได้ ฉันรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันวิ่งไปโบกมือให้กับเหล่าเทวดากับกามเทพที่ยังไม่บินลงมา “ทุกคนออกไปจากที่นี่! อย่าลงมา!” แต่สายเกินไปทุกคนลงมาถึงฝั่งกันหมดแล้ว
“มีอะไรหรอ อารินา!” อันนารีบถาม
“หมอกพิษนี่! ทำให้ปีกของทุกคนเป็นอัมพาต!” เมื่อฉันพูดเหมือนทุกคนพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถบินได้อีกต่อไป พวกเราถูกขังที่เกาะแห่งนี้เสียแล้ว เหล่าเทวดาต่างถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“เพราะเธอนั่นแหละอารินา! เธอพาพวกเรามาที่นี่ เราถึงติดอยู่ที่นี่!” คาริมโยนความผิดมาที่ฉัน มอร์ฟีนเดินไปผลักคาริม ทั้งคู่ทะเลาะกันโดยที่ไม่ฟังเสียงห้ามของฉัน สุดท้ายฮาวาร์ดต้องออกคำสั่งให้ทุกคนหุบปาก เราปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งมีมติเอกฉันท์ให้เดินทางกันต่อไป มีเทวดาส่วนหนึ่งคัดค้านขอรออยู่ที่นี่ ซึ่งพวกเราไม่สามารถบังคับให้พวกเขาไปกับเราได้
“แต่นายต้องไปกับเรา!” ฮาวาร์ดสั่งคาริมที่จะลุกไปนั่งกับพวกเทวดาที่ไม่ยอมไป
“นายบังอาจมาสั่งฉันนะ ถ้ากลับไปเมื่อไหร่ฉันจะฟ้องน้าของฉัน” คาริมโวยวาย
“เอาเลยถ้านายกลับไปได้ ตอนนี้เราอยู่ระหว่างความเป็นความตายแล้วรู้ไว้ด้วย” ฮาวาร์ดคำขาด คาริมจ้องตาเขม็งแต่สุดท้ายก็สะบัดสายตางูพิษใส่พวกฉัน มอร์ฟีนกับอันนายิ้มเยาะสะใจ แต่ฉันต้องถอนหายใจกับพวกเขา
“ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์ ท่านรู้ไหมว่าเราจะต้องไปที่ไหน” ฉันถามฮาวาร์ดขณะเดินลึกเข้าไปในป่า รอบด้านไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเรา กองทัพของผู้พิทักษ์เทวดากว่าห้าสิบชีวิตกับพีกาซัสไม่กี่ตัวของพวกเขา ทุกคนดูลำบากลำบนกับการเดิน เพราะส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกเราคือการบิน แต่สำหรับฉันไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่นัก เพราะธรรมดาฉันอยู่บนพื้นดินบ่อยกว่าบนฟ้าอยู่แล้ว
“ที่ไหนก็ได้ที่ปลอดภัย ซึ่งไม่น่าจะมีสักที่” คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เราเดินลึกเข้าไปในป่าอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งฟ้ามืด เราได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหน้า มันเป็นเสียงดนตรีเหมือนชนเผ่ากำลังทำพิธีอะไรสักอย่าง มีแสงและควันไฟ เราวิ่งตรงไปอย่างไม่รอช้า และต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังกระโดดโหยงๆรอบกองไฟ มีกระท่อมเล็กๆมากมายอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าเป็นหมู่บ้านของคนป่า แต่พวกเขาไม่ใช่คน
“ก็อบลิน…” มอร์ฟีนพูดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขา สัตว์ประหลาดวิกลวิการเตี้ยตะแมะแคะหูยืดจมูกยาวประหลาด ทั้งตัวและใบหน้าสีเขียวคล้ำ พวกมันกำลังตีกลองเต้นรำอยู่รอบกองไฟ และเมื่อกลุ่มก็อบลินเห็นเราพวกเขาก็หยุดพิธี พวกมันมองเราด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่ไม่ตื่นกลัว
“คือพวกเราหลงทางมา... พวกคุณรู้ไหมว่า...” ฮาวาร์ดรีบพูดขึ้นทันที เขาย่างเข้าไปใกล้พวกก็อบลินแต่พวกมันผงะถอยหลังเมื่อเห็นรูปร่างของพวกเราที่สูงใหญ่กว่า “เราไม่ได้มาทำร้าย เราต้องการความช่วยเหลือ” เขารีบบอก
“ฮาวาร์ด...” จู่ๆก็อบลินตัวหนึ่งก็เอ่ยขึ้น ผู้ฟังถึงกับชะงักเมื่อหัวหน้าผู้พิทักษ์ถูกเรียกด้วยชื่อจริง ก็อบลินตัวนั้นเดินแยกออกมาจากฝูงแล้วเข้าไปใกล้ฮาวาร์ด ดวงตากลมโตสีแดงของมันเบิกกว้างราวกับว่าเขาพบกับคนที่อยากรู้จักมาทั้งชีวิต
“นายเป็นใคร” ฮาวาร์ดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ไว้ใจ
“เคเบิล... ฉันเคเบิล” ทุกคนที่ได้ยินแทบกลั้นหายใจ ฮาวาร์ดตะลึงไปชั่วขณะ ฉันแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เคเบิลเคยเป็นอดีตผู้พิทักษ์มือขวาของฮาวาร์ด เขาเป็นเทวดารูปงามคนหนึ่งต่างกับรูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้
“เป็นไปไม่ได้...” ฮาวาร์ดสบถเสียงเบา เขาคุกเข่าลงให้ใบหน้าเสมอกับก็อบลินตัวนั้น และเมื่อเห็นดวงตาทั้งคู่ของก็อบลินเขาจึงแน่ใจว่ามันไม่ได้โกหก เหล่าเทวดาและก็อบลินจึงจับเข่าคุยกันตรงหน้ากองไฟ ฉันแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน พวกก็อบลินเหล่านี้คือชาวนครเหนือเมฆที่หายตัวไปทั้งสิ้น พวกเขาก็มาตามหาวัตถุดิบในตำนานเช่นกัน แต่เพราะเขาหยุดเดินทางกะทันหันด้วยความขี้เกียจจึงถูกสาปให้กลายเป็นก็อบลินตลอดกาล
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องไปเตือนพวกเขา!” อันนาลุกขึ้นยืน มีเทวดากว่าสิบตนที่ตัดสินใจรออยู่ที่ชายหาดนั่น พวกเขาอาจถูกสาปให้เป็นก็อบลินไปด้วย
“สายไปแล้วล่ะ” เคเบิลก้มหัวพลางส่ายหน้า
“ต่อให้พวกเขายังไม่ถูกสาปแต่ที่ริมชายหาดนั่นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย อย่างไรก็ไม่รอด” ก็อบลินอีกตนหนึ่งกล่าวอย่างใจเย็นราวกับว่าเห็นความโหดร้ายของเกาะนี้เป็นเรื่องปกติ
“แล้วคนอื่นๆล่ะ คนที่เลือกที่จะเดินทางต่อ” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งถาม
“เราไม่พบพวกเขาอีกเลย บางทีอาจจะตายไปแล้วก็ได้” ก็อบลินเคเบิลตอบพลางถอนหายใจ
“เคเบิล ท่านร่วมเดินทางไปกับพวกเราเถอะ บางทีอาจจะมีทางแก้ไขคำสาปนี้ได้” ฮาวาร์ดกล่าว
“ไม่ล่ะ… ฉัน… ฉันขออยู่อย่างนี้แหละ” เคเบิลหันหลังให้และพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“มาเถอะเคเบิล นึกถึงตอนที่เราเคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันสิ” ฮาวาร์ดพยายามให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลสักเท่าไร
“ฉันตัดใจเรื่องที่จะออกไปจากที่นี่แล้วล่ะ ถ้าเป็นไปได้อยากให้พวกนายพยายามแทนพวกเราด้วย” ก็อบลินเคเบิลถอดใจ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้จันทรา แววตาของเขาช่างดูว่างเปล่า ไม่ว่าฮาวาร์ดพูดอะไรเขาก็ไม่รับฟัง สุดท้ายเราก็ถอดใจที่จะให้เหล่าก็อบลินไปกับเรา “เท่าที่เรารู้มา วัตถุดิบเหล่านั้นอาจจะอยู่บนยอดสุดของภูเขา” อย่างน้อยพวกก็อบลินก็บอกเท่าที่เขารู้แก่เรา ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีหมอกพิษเพื่อไม่ให้เราขยับปีกได้ เพราะไม่อยากให้เราไปถึงยอดเขาอย่างง่ายดายนี่เอง
นับว่าเป็นโชคดีที่เรามาพบก็อบลินที่นี่ อย่างน้อยเราก็มีที่พักและอาหาร ถึงแม้ว่าจะเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเราไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้นาน เช้าวันต่อมาเราต้องจากกับกลุ่มก็อบลินเพื่อเดินทางต่อไป
“เราจะทำตัวอืดอาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะถูกสาป เข้าใจไหม” ฮาวาร์ดพูดกับบรรดาลูกน้องของเขาที่ล้มทรุดลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ฉันรู้ดีว่าการที่เขาได้เจออดีตเพื่อนรักของเขาในสภาพแบบนั้นแล้วทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก ถึงขนาดว่าคาริมที่เหนื่อยล้าอย่างมากยังไม่กล้าขัด
“ความจริงพักผ่อนบ้างก็ได้นะคะท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์ ทุกคนเขาเหนื่อยล้ากันมาก...” มอร์ฟีนพยายามเกลี้ยกล่อมเมื่อเห็นสภาพเทวดาแต่ละตนที่ถึงกับทรุดลงกับพื้น “ที่ผ่านมาพวกเขาแทบไม่ค่อยได้เดินกันเลยนะคะ...”
“เงียบเลยนะ!” ฮาวาร์ดตะคอกด้วยอารมณ์ อันนาถึงกับเงียบไปชั่วขณะ และเขาก็ตกใจในการกระทำของตัวเองเช่นกัน เขามองไปรอบๆเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของคนอื่นๆ “ก็ได้! งั้นพักสิบนาที!”
“ไหวไหม อันนา” ฉันรีบตรงไปหาอันนาที่นั่งพิงต้นไม้ พวกเราเหนื่อยล้าและอ่อนแรงหลังจากเดินกันมาเกือบๆสามชั่วโมง เราไม่รู้สึกว่าอยู่ใกล้ภูเขาขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย การตามหาวัตถุดิบในตำนานให้พบอาจเป็นทางเดียวที่เราจะออกไปจากที่นี่ได้ ฉันชักเริ่มไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ดจึงบอกทางยกวัตถุดิบในตำนานให้เราได้ง่ายดายนัก เพราะพวกเขารู้ดีว่าเราจะต้องมาตายที่นี่
ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังมาจากฟากฟ้า มันเหมือนเป็นเสียงหายใจของสัตว์ยักษ์ มันบินฝ่าอากาศฉิวผ่านยอดต้นไม้เหนือศีรษะของพวกเรา ทุกคนแทบล้มหงายไปกับพื้นเมื่อเห็นมัน มังกรตัวสีแดงฉานบินทะยานอยู่เหนือฟ้า ปีกมังกรใหญ่ทั้งคู่ของมันเคลื่อนไหวอย่างทรงพลัง ลมกระพือใต้ปีกพัดลงมาเบื้องล่างรุนแรงราวกับพายุโหมกระหน่ำ มันบินวนกลับมาทางเรา แล้วมันก็อ้าปาก มีแสงสีแดงเหลืองวูบวาบจากลำคอ เรารู้ทันทีว่ามันจะทำอะไร
ไฟพ่นออกมาจากปากของมันราวกับอุกาบาต มันเผาผลาญป่าสิ้น พวกเราวิ่งหนีกันชุลมุน ฉันวิ่งไปหาพิกซ์เมื่อคนที่ถือโซ่คล้องคอพิกซ์วิ่งหนีตาย เมื่อฉันคว้าสายโซ่ของพิกซ์ได้ฉันรีบกระโดดขึ้นขี่หลังทันที
“มอร์ฟีน! อันนา!” พิกซ์รีบวิ่งตรงไปยังมอร์ฟีนกับอันนาที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงและควัน ด้วยความที่พิกซ์เป็นพิกาซัสที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มันกระโดดข้ามเปลวเพลิงที่ลุกโชนเข้าไปสู่มอร์ฟีนและอันนา ฉันคว้ามือของมอร์ฟีนกับอันนาขึ้นมานั่งบนหลังของพิกซ์ได้อย่างสวยงาม ทันใดนั้นเองฉันเห็นคาริมที่อยู่ไกลออกไป หลังของเขาชิดติดต้นไม้ด้วยความหวาดกลัว มังกรทะยานมุ่งตรงมาทางเขา ฉันให้พิกซ์วิ่งไปหาคาริมให้เร็วที่สุด แต่สายไปแล้ว ลูกไฟจากปากของมังกรแหวกฝ่าอากาศผ่านหัวของเราพุ่งตรงไปยังคาริม
“คาริม!!!!!!!!!”
เกิดแรงระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนพิกซ์ถึงกับผงะถอยหลัง กลุ่มควันปกคลุมรอบด้านแล้วจางลงอย่างรวดเร็ว ตรงหน้าเราคือโล่หนังสัตว์ขนาดใหญ่ ตอนนี้มันลุกเป็นไฟ ผู้ที่อยู่ข้างหลังโล่นั่นโยนมันลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มเรา ฉันไม่คุ้นหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรูปงามผมดำขลับ เขาไม่ได้สวมชุดอัศวินหรือชุดของกามเทพ
มังกรยังคงกระพือปีกลอยอยู่ เด็กหนุ่มคนนั้นรุดหน้าเดินข้าหามังกร มังกรจ้องด้วยสายตาที่พร้อมจะลงมาขย้ำเด็กหนุ่มได้ทุกเมื่อ แต่ช่างน่าแปลกที่สีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มนั่น กลับนิ่งสงบ ราวกับกำลังชมภาพศิลปะในหอศิลป์ยังไงอย่างนั้น แต่แล้ว มังกรกลับลดท่าทีลงและบินจากไป
“ไม่ใช่เวลามายืนตะลึงนะ!” ฉันรำพึงในใจ ฉันเห็นคาริมนอนขดตัวหัวหดอยู่ที่พื้น ฉันรีบลงจากหลังพิกซ์ทันที
“เขาปลอดภัย ไม่โดนอะไรทั้งนั้น” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดเสียงนิ่ง คนอื่นๆ รีบวิ่งตามมาดู ฉันเห็นคาริมนอนสลบอยู่กับพื้น เขาอาจจะตกใจเพราะการระเบิดเมื่อครู่นี้
“นายเป็นใครกันน่ะ!” ฉันรีบถาม
“กฤษณ์... ฉันชื่อกฤษณ์ อินทร์ประชา ” เขากล่าวเสียงเรียบ ฮาวาร์ดรีบรุดมาหาเขาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าประหลาดใจ ฉันขมวดคิ้วสงสัยในชื่อแปลกประหลาดนั่น
“เจ้าเป็นมนุษย์อย่างนั้นหรอ” ฮาวาร์ดเอ่ยถาม เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ฉันพึ่งสังเกตว่าเขาไม่มีปีก ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีมนุษย์มาที่เกาะแห่งนี้ได้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน ที่นี่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกบังตาเหมือนกับเมืองของเรา มนุษย์ไม่มีทางได้เห็นมัน!”
“ใช่ ถ้าหากว่าเขาไม่บังเอิญเข้าไปที่นั่นน่ะนะ... เราอยู่ตรงนี้นานไม่ได้ ต้องรีบเดินทางหาที่พักก่อนตะวันตกดิน” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น มันสร้างความประหลาดใจแก่พวกเราไม่น้อย และเราก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงยอมเชื่อฟังมนุษย์แปลกหน้าคนนี้ แต่เราก็เดินตามเขาไปแต่โดยดี จนกระทั่งตกค่ำ เราเลือกที่จะใช้ที่ที่มีเพิงหินเป็นที่พัก เราจุดไฟตั้งแคมป์กัน เมื่อเรานั่งอยู่รอบกองไฟเหมือนตอนที่อยู่กับก็อบลิน ข้อสงสัยของเราก็ถูกไขเมื่อ กฤษณ์เล่าเรื่องราวให้เราฟัง
“ฉัน... เป็นทหารอากาศ” กฤษณ์เริ่มเรื่ิอง “ตอนนั้นฉันได้รับภารกิจให้บินเข้าติดตามอากาศยานไม่ระบุสัญชาติ ซึ่งเส้นทางบินได้ผ่านจุดของเกาะแห่งนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตรงนี้มีเกาะ เพราะมันไม่ได้ปรากฏในแผนที่ภาคพื้นดิน” กฤษณ์ยังคงเล่าเรื่องต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง “แต่แล้ว... ไม่รู้เพราะอะไร ระบบนำร่องของฉันขัดข้องทุกระบบ สัญญาณวิทยุขาดหาย เครื่อง F-22 ของฉันอยู่ในสภาวะไร้การควบคุม และ Wingman ทั้ง 2 ที่ติดตามฉันมาด้วยก็เกิดอาการเดียวกัน ตอนที่เครื่องกำลังหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ฉันมองออกไปเห็นนักบินทั้งสองเริ่มดีดตัวออกมาแล้ว แน่นอน ฉันก็ต้อง Eject เช่นกัน”
“แล้วหลังจากนั้นนายเป็นไงต่อล่ะ” อันนาถามแทรกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น กฤษณ์หันไปเหลือบมอง ยิ้มมุมปากนิดๆ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยน “ฉันก็ห้อยตัวลงมาพร้อมกับร่มชูชีพ และตอนนั้นล่ะที่ฉันเห็นเกาะ...” กฤษณ์หยุดเล่าไปชั่วขณะ แล้วจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ฉัน... เห็นนักบินติดตามทั้งสองคนที่ดีดตัวออกมาก่อนฉัน เบื้องล่าง ถูกตัวอะไรไม่รู้ที่เกิดมาฉันก็เพิ่งจะพบเห็น เข้าทำร้าย ตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจบังคับร่มไปลงในจุดอื่น โชคดีที่ฉันรอดมาได้ แต่ขอนับว่าโชคร้ายยิ่งกว่าเพราะมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้ ไม่ตายก็นับว่าตาย”
“อาจจะเป็นเพราะยมทูตเองก็ไม่กล้ามาเอาวิญญาณของเขาที่นี่ก็ได้” คำสันนิษฐานของอันนาคือสิ่งที่ทุกคนยอมรับ “นายอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนกัน”
“สามปี คิดว่า...” กฤษณ์ตอบเสียงเรียบ “แต่ฉันก็ไม่รู้จักทุกซอกทุกมุมของที่เกาะนี้หรอก แต่มังกรตัวเมื่อกี้ฉันรู้จักดีเลยล่ะ” ฉัน มอร์ฟีน อันนาต่างมองหน้ากัน “มันคือมังกรเฝ้าเกาะแห่งนี้ มันจะได้กลิ่นของผู้ที่มาบุกรุกที่นี่จากความโกรธ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดพวกนายคนในคนหนึ่งรู้สึกโกรธ มันจะมาแล้วใช้ไฟนรกเผาผลาญทุกคน” เมื่อกฤษณ์เล่า ฮาวาร์ดถึงกับหน้าเจื่อน ฉันนึกคิดอยู่ครู่ใหญ่ ช่างเป็นเกมที่ร้ายกาจเสียจริง ห้ามเกียจคร้าน และห้ามโกรธ
“แล้วนายรู้ทางไปยอดเขาหรือเปล่า” ฉันรีบถาม กฤษณ์บอกว่าเขาไม่เคยขึ้นไปยอดเขาเลยสักครั้งเพราะมันมีกำแพงกั้นและมีประตูประหลาดซึ่งเขาไม่เคยไขปริศนานี้ออกเลยแม้แต่ครั้งเดียว และแถวนั้นไม่ค่อยมีผลไม้หรือของที่กินได้นัก โชคดีที่หลังจากทุกคนรู้เรื่องคำสาปก็อบลิน ก็ไม่มีใครปฏิเสธที่จะเดินทางต่อ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กฤษณ์กลายเป็นผู้ที่เดินนำกลุ่ม แต่ก็ไม่มีใครคัดค้านโดยเฉพาะฮาวาร์ด เขายังรู้สึกผิดเรื่องที่เขาเป็นคนเรียกมังกรมา ถึงแม้ว่าเราจะพยายามบอกเขาว่าไม่มีใครบาดเจ็บก็ตาม
หลังจากการเดินทางมาหลายชั่วโมง ทุกคนเหนื่อยล้า ไร้ซึ่งน้ำและอาหาร สุดท้ายเราก็มาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลำต้นใหญ่ตระหง่านแต่ไม่สูงนัก ส่วนของลำต้นไม้รูปปั้นงูพันล้อมรอบ มีผลไม้สีแดงสดใสทั่วทั้งต้นราวกับว่ากำลังยั่วยุให้ทุกคนเข้าไปเด็ดมัน ทันทีที่คาริมเห็น เขาจะวิ่งเข้าไปเด็ดมัน
“อย่านะ!” คาริมชะงักเมื่อกฤษณ์ตะโกนห้าม “ห้ามแตะต้องผลไม้นั่น!” ทุกคนหันมามองกฤษณ์สงสัย กฤษณ์ดูหิวโซและเหนื่อยล้าเช่นกันแต่เหมือนว่าเขาจะเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้มาบ้าง “นั่นคือผลไม้ต้องห้าม ผู้ที่กินมันจะต้องถูกคำสาป ไม่ว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดาก็ตาม!”
“นายรู้ได้ไงน่ะ!” คาริมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สายตาจดจ้องมายังกฤษณ์แต่เจตนายังคงอยู่กับผลไม้สุกใสเหล่านั้น
“ฉันไม่คิดว่าพวกคนบนสวรรค์จะไม่เคยได้ยินเรื่องบรรพบุรุษของมนุษย์หรอกนะ” กฤษณ์พูดเสียงเรียบ “เดินทางกันต่อได้แล้ว” เขาเดินนำพวกเราผ่านต้นไม้ผลนั่นไป คาริมทำหน้าเหยเก ฉันเดินผ่านต้นไม้ต้นนั้นโดยพยายามไม่เหลียวหลังไปมอง ที่กฤษณ์พูดฉันก็พึ่งนึกออก ตำนานบรรพบุรุษของมนุษย์ที่ฉันเคยเรียนตอนสมัยวิทยาลัย ชายหญิงมนุษย์สองคนแรกบนโลกได้กินผลไม้ต้องห้ามเพราะการยั่วยุของงูจึงถูกสาปจนถึงทุกวันนี้ ทำไมมนุษย์ผู้นี้จึงได้รู้เรื่องเยอะนักนะ? “อีกไม่ไกลนักเดี๋ยวก็เจอแม่น้ำแล้วล่ะ อดทนกันอีกหน่อย”
“ดูเหมือนมนุษย์อย่างเจ้าจะรู้เยอะดีนักนะ ตกลงเจ้าเป็นมนุษย์หรือคนจากนครใต้พิภพกันแน่” คาริมเริ่มพ่นพิษที่กฤษณ์ดูเป็นผู้นำจนออกหน้าออกตา ฉันว่าคาริมคงจะหมั่นไส้กฤษณ์ไม่ใช่น้อย
“ก็ฉันอยู่ที่นี่มานานพอควร แต่ถ้านายไม่อยากให้มังกรมาที่นี่ก็ช่วยเงียบๆหน่อยจะดีมาก ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องเก็บอารมณ์เท่าไหร่นักหรอก” แต่กฤษณ์ดูจะนิ่งกว่าฉันหลายเท่านัก คาริมถึงกับต้องหุบปาก
จริงอย่างที่กฤษณ์พูดไว้ เราเดินมาได้พักหนึ่งเราก็พบกับแม่น้ำสายใหญ่ ทุกคนที่เหนื่อยล้ารีบวิ่งมาริมน้ำแล้ววักดื่ม คาริมถึงกับกระโดดลงไปในน้ำ ฉันดึงพิกซ์เข้าไปใกล้ๆแม่น้ำแล้ววักน้ำลูบตัวมัน
“อาร์ค! เป็นอะไรน่ะ!” ผู้พิทักษ์เทวดาคนหนึ่งตะโกนขึ้นเมื่อเพื่อนของเขาหายใจหืดหอบ ทุกคนรีบวิ่งไปดู ผู้พิทักษ์เทวดาที่ชื่ออาร์คใช้มือทั้งสองข้างกุมคอของตัวเอง หายใจขาดช่วงแล้วลงไปนอนชักกับพื้น
“ทุกคน ถอยออกมา!” จู่ๆกฤษณ์ก็ตะโกนขึ้น เขาชักดาบออกมา ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ทันใดนั้นเองทุกคนต้องผงะ ที่คอของอาร์คมีขนประหลาดสีส้มงอกออกมาทั้งตัวโดยเฉพาะตรงคอ มือและเท้าขยายกลายเป็นอุ้งตีนขนาดใหญ่ที่มีเล็บแหลมคม ร่างกายของเขาขยายจนเสื้อผ้าฉีกขาด และมีหางแหลมคล้ายหางแมงป่องงอกออกมา ใบหน้าของมันยังเป็นอาร์คหากแต่ดวงตาและเขี้ยวแหลมคม เขาไม่ใช่อาร์คอีกต่อไป แต่เป็นมันติคอร์!
ทุกคนวิ่งหนีกันชุลมุน อาร์คที่กลายร่างเป็นมันติคอร์กระโจนเข้าใส่ใครก็ตามที่เข้าใกล้มัน อุ้งเท้าที่ใหญ่และแหลมคมเข้าขย้ำผู้พิทักษ์เทวดาที่เคยเป็นเพื่อนของเขา เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว ฮาวาร์ดพุ่งตรงเข้าไปหามันพร้อมด้วยดาบสีทอง หางแมงป่องของมันติคอร์เข้าฟาดฮาวาร์ดจนเขากระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ ผู้พิทักษ์ผู้กล้าหาญอีกคนวิ่งตรงไปหามัน
“ระวัง!” ฉันตะโกนแต่ช้าไปแล้ว หางของมันติคอร์เข้าเสียบทะลุหัวใจของเขาก่อนจะสะบัดจนร่างของเขากระเด็นตกลงแม่น้ำ ดาบของผู้พิทักษ์คนนั้นกระเด็นมาตกที่แทบเท้าของฉัน เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกกลัว... ทำไมกัน... ทำไมฉันถึงได้รู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้ ฉันมองไปข้างหน้า กองทัพผู้พิทักษ์กว่าสามสิบชีวิตพยายามเข้าโอบล้อมมันติคอร์ตัวนั้น แต่หางยาวของมันป้องกันตัวมันจากทุกทิศทาง ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจก้มหยิบดาบที่อยู่บนพื้น
“อารินา! เธอจะทำอะไรน่ะ!” อันนาตะโกน ฉันไม่สนใจฟัง ฉันพุ่งไปยังมันติคอร์ตัวนั้นที่พยายามป้องกันตัวเองจากเหล่าผู้พิทักษ์ หางของมันกำลังจะเข้าโจมตีผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่พยายามจะทำร้ายมัน ฉันกระโดดขึ้นสูงแล้วชูดาบขึ้นเหนือหัว
ฉับ! ดาบผู้พิทักษ์แหลมคมพอที่จะตัดหางของมันติคอร์เป็นสองท่อน มันโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทุกคนมัวแต่ยืนตะลึงในสิ่งที่ฉันทำ ทันใดนั้นเองมันติคอร์ก็กระโจนเข้าหาฉันอย่างรวดเร็ว ฉันยังไม่ทันจะตั้งตัว ฉันหงายหลังลงไปกับพื้น มันติคอร์อ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันแหลมคม เงาของมันทาบตัวของฉัน ฉันหลับตาปี๋ด้วยความกลัว
เสียงของแหลมแทงทะลุเนื้อดังขึ้นแต่ฉันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นเบื้องหน้าของฉันไม่ใช่มันติคอร์อีกต่อไป กฤษณ์หันหลังให้กับฉัน ในมือถือดาบสีเงินเล่มยาวมันแทงทะลุปากของมันติคอร์ไปยังส่วนหัว เขาดึงดาบกลับมา มันติคอร์แน่นิ่งลงกลับพื้นพร้อมกับเสียงเฮลั่นรอบข้างด้วยชัยชนะ
“อารินา!” มอร์ฟีนกับอันนาวิ่งเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา พิกซ์วิ่งตรงมาเอาหัวถูไถที่แก้มของฉัน
“เกิดอะไรขึ้นกับอาร์ค ทำไมเขากลายเป็นมันติคอร์” ฮาวาร์ดเอ่ยถาม เชสเตอร์ผู้พิทักษ์คนสนิทพยุงเขาให้เดินมาหากฤษณ์ผู้ที่รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สุด
“เขากินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปน่ะสิ ฉันอุส่าเตือนแล้วแท้ๆ” กฤษณ์พูดเสียงเรียบราวกับว่าเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว “เราจะตั้งแคมป์กันที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกันอีกครั้ง” กฤษณ์ออกคำสั่งและไม่มีใครโต้แย้ง ทุกคนใช้เวลาจนถึงเย็นขุดหลุมฝังผู้ตายและทำพิธีไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต
“ฉันต้องขอบใจพวกเธอมากนะที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้” ฮาวาร์ดบอกกับฉันและกฤษณ์ขณะที่เรากำลังนั่งล้อมรอบกองไฟ “ฉันต้องขอโทษพวกเธอด้วยนะ ฉันน่าจะเชื่อใจพวกเธอตั้งแต่แรก ฉันไม่ควรพาทุกคนมาเสี่ยงอันตรายที่นี่”
“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกค่ะ ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์” อันนารีบพูด ทุกคนพยักหน้าตาม “ที่พวกเรารอดมาได้ถึงตรงนี้เพราะมีพวกท่านคอยช่วยเหลือ และอีกอย่างที่ท่านจับกุมตัวพวกเราเพราะท่านทำตามหน้าที่ เพื่อความสงบสุขของนครเหนือเมฆไม่ใช่หรอคะ”
“ใช่แล้ว ท่านหัวหน้า” ผู้พิทักษ์อีธานกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เพราะท่านพวกเราถึงได้มีกว่านี้ ท่านเป็นผู้นำผู้พิทักษ์ที่กล้าหาญและเป็นธรรมที่สุดที่พวกเราเคยมีมา ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจยังไงพวกเราก็ขอยอมรับในการตัดสินใจของท่าน จริงไหมพวกเรา” ทุกคนพยักหน้าตามที่เขาพูด หัวหน้าผู้พิทักษ์ฮาวาร์ดถึงกับต้องหันหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตา และแล้วรอยยิ้มก็เกิดขึ้น เหล่าผู้พิทักษ์เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภารกิจที่ผ่านๆมาอย่างสนุกสนาน ฉันเห็นกฤษณ์เดินออกไปจากวง ฉันรีบตามเขาไป
“มีอะไร” เขาถามเสียงเรียบอีกตามเคย
“ฉันแค่อยากขอบคุณนายที่นายช่วยชีวิตฉันเอาไว้น่ะ” ฉันบอกกับกฤษณ์ กฤษณ์ดูสงสัยกับสิ่งที่ฉันพูด
“น่าแปลกนะที่นางฟ้าอย่างเธอมายังที่แบบนี้ ตกสวรรค์มาหรือว่าโดนเนรเทศกันน่ะ” คำถามของกฤษณ์ทำฉันตะลึง
“ฉันก็ไม่ได้โดนเนรเทศ ฉันตั้งใจมาเอง และฉันก็ไม่ใช่นางฟ้าด้วย ฉันเป็นกามเทพ!” กฤษณ์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินที่ฉันพูดเหมือนกับว่าเขาไม่เชื่อหูตัวเอง เขามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รักษามารยาท
“แล้วกามเทพมาทำอะไรในที่แบบนี้ล่ะ”
“ฉันมาตามหาวัตถุดิบในตำนาน!” ฉันบอกเสียงหนักแน่น แต่แล้วก็ยิ่งทำให้กฤษณ์สงสัย สุดท้ายฉันก็ต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้กฤษณ์ฟัง เกี่ยวกับการสอบกามเทพระดับจี สายรุ้งในตำนาน ไปจนถึงตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ด
“งั้นฉันก็ต้องขอบอกว่าเสียใจด้วยนะที่ภารกิจของเธอจะไม่มีวันสำเร็จ” เขาพูดอย่างไม่ใยดี “เพราะยังไงเธอก็คงทำให้คนไทยทั้งประเทศกลับมารักกันไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ! นายเคยสร้างสายรุ้งในตำนานหรือไงถึงได้รู้” ฉันเริ่มฉุนเฉียว
“ก็เพราะว่าฉันเป็นคนไทยไงล่ะ!” คำตอบของกฤษณ์ทำฉันเงียบไปชั่วขณะ สีหน้าของเขาดูโมโหจัด แต่สามารถปรับให้ใจเย็นลงได้อย่างรวดเร็วเหมือนว่าเขารับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาบ่อยครั้ง แต่ที่ว่ากฤษณ์เป็นคนไทยนี่สิทำฉันตกใจได้ยิ่งกว่า “แต่ถ้าเธออยากจะตามหามันต่อไปฉันก็ไม่ขัดขวางหรอกนะ แต่ฉันขอบอกไว้เลยว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน” ว่าแล้วกฤษณ์ก็เดินกลับไปยังแคมป์ปล่อยให้ฉันยืนตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินเพียงลำพัง
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในวันถัดมา ผ่านไปเพียงไม่กี่คืนหลังจากกองทัพผู้พิทักษ์จำนวนห้าสิบกว่าคน กลายเป็นกลุ่มกองทัพที่เหลือเพียงสามสิบสองคน หลังจากวันที่มันติคอร์อาละวาด เราเดินทางขึ้นเขาสูงชัน ส่วนหนึ่งของพวกเราที่ท้อแท้กลายเป็นก็อบลินในเวลาไม่นาน
“นั่นไงล่ะ” เขาชี้ไปยังประตูบานหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป หลังจากเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดเราก็มาถึงที่ที่กฤษณ์บอก กำแพงหินขนาดใหญ่โอบล้อมตีนเขา ประตูขนาดใหญ่สูงเด่นเป็นสง่า มันปิดสนิทและแน่นหนา มันเป็นทางเข้าเดียวที่เราจะผ่านกำแพงนี้ได้ “และนี่คือปริศนาที่ฉันไขไม่ออก” กฤษณ์ชี้ไปยังคันชั่งอันหนึ่งที่วางอยู่ริมประตูฝั่งซ้าย เรารีบรุดหน้าไปดูใกล้ๆ คันชั่งสีเหลืองทองดูคุ้นตา แขนข้างขวาของมันเอนต่ำลงอย่างไม่ยุติธรรม มีจานสีเหลืองทองว่างเปล่าใบหนึ่งวางอยู่บนแขนคันชั่งฝั่งซ้าย มันดูคุ้นตาจนน่าประหลาด “เราต้องหาของเล็กๆที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้คันชั่งยกตรงเสมอกันได้ มันต้องเล็กพอที่จะใส่บนจานใบนี้ แล้วประตูจะถูกดึงเปิดออก แต่ฉันไม่เคยหามันพบเลย”
“ของเล็กๆงั้นหรอ” ฉันพูดขึ้นพลางมองมันอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมฉันนึกถึงเมียร์ และแล้วฉันก็เห็นภาพเมียร์วางลูกแก้วบนคันชั่งและหย่อนเหรียญอีกข้างหนึ่งให้จำนวนเงินเสมอกัน “ฉันรู้แล้วว่าอะไรที่จะทำให้ประตูเปิดออกได้” ฉันตะโกนบอกทุกคน “ลูกแก้วพลังงานยังไงล่ะ”
“ฉันเข้าใจนะว่าพวกคนในนครใต้พิภพอาจจะใช้พลังงานบาปในใจของมนุษย์เป็นกุญแจเปิดประตูนี้ออก แต่เราใช้วิธีแบบพวกเขาไม่ได้หรอก” มอร์ฟีนบอกกับฉัน นั่นน่ะสินะ... แล้วฉันจะไปเอาลูกแก้วพลังงานแบบนั้นมาจากไหนกันล่ะ ถ้าตอนนั้นเอาฉันไม่เล่นบทเป็นนางเอกวางลูกแก้วลูกนั้นไว้บนหัวเตียงซะก็ดี แล้วฉันจะไปเอาลูกแก้วพลังงานแบบนั้นมาจากไหนกันล่ะ ถ้าเกิดว่าที่นี่มีมนุษย์ซะ... เดี๋ยวนะ! มนุษย์งั้นหรอ!
“กฤษณ์!” ฉันรีบตรงไปจับไหล่ทั้งสองข้างของกฤษณ์
“อะไร!?” เขาสะดุ้งเมื่อฉันจ้องเขาตาเขม็งเป็นประกายมุ่งมั่น
“นายช่วยคิดถึงภาพคนที่นายรักสักหน่อยได้ไหม?” คำถามของฉันทำกฤษณ์ตะลึงไปชั่วขณะ มอร์ฟีนกับอันนายิ้มออก พวกเขารู้ว่าฉันกำลังทำอะไร ฉันรีบวิ่งไปหาพิกซ์ หยิบคันธนูและลูกศรมาหนึ่งดอก ฉันเล็งไปทางกฤษณ์ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นกฤษณ์ทำหน้ากระวนกระวาย “เอาน่า! คิดไว้ก่อนเถอะ ความรักของนายที่มีให้เธอมันทำให้เปิดประตูได้นะ!” ในที่สุดกฤษณ์ก็ยอมยืนนิ่ง ฉันเล็งธนูไปยังส่วนที่เป็นหัวใจของเขา
ฝีมือของฉันยังดีเหมือนเดิม ลูกธนูพุ่งเข้ากลางอกของกฤษณ์ ควันจางๆลอยขึ้นมาเป็นวงกลมแต่ไม่เป็นรูปลักษณ์แต่แล้วมันก็จางหายไป ฉันมองควันจางที่หายไปอย่างไม่เข้าใจ อย่างน้อยถึงจะไม่มีคนรักแต่แค่มีความรักแม้แต่เล็กน้อยมันก็กลายเป็นลูกแก้วลูกเล็กๆอย่างลูกแก้วสีม่วงที่ให้พลังงานน้อยที่สุดก็ยังได้
“ฉันไม่เคยมีความรักหรอกนะ” เมื่อกฤษณ์บอกดังนั้น
“จะบ้าหรอ มนุษย์ที่ไหนจะไม่เคยมีความรักกันเล่า!” ฉันรีบไปตรงหน้ากฤษณ์แล้วค่อยๆหลับตา กามเทพที่ได้รับการฝึกฝนจะสามารถรับรู้สัมผัสที่หกคือคลื่นความรักของมนุษย์ได้ และสิ่งที่ฉันได้รับคือ ความเงียบ ฉันไม่อยากจะเชื่อในสัมผัสของตัวเอง มันเป็นไปได้ด้วยหรอเนี่ย…
“ถ้าอย่างนั้นเราควรจะไปตามหากัน ไม่แน่ว่าอาจจะมีกุญแจซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งบนเกาะนี้ แล้วเราค่อยกลับมาที่หน้าประตูแห่งนี้ ตกลงตามนั้นนะ” เมื่อฮาวาร์ดออกคำสั่ง ผู้พิทักษ์บางคนถึงกับเข่าอ่อน พวกเราใช้เวลาเป็นวันๆเพื่อมาถึงที่นี่ แต่แล้วก็ถูกบอกให้ไปตามหาสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่ ราวกับว่างมเข็มในนมหาสมุทรก็ไม่ปาน เราจึงแยกเป็นสองกลุ่ม ฉันมากับมอร์ฟีน อันนา คาริม กฤษณ์ และผู้พิทักษ์อีกไม่กี่คน เหมือนจะพยายามพ่นพิษใส่ฉันและกฤษณ์ตลอดเวลาหลังจากความสำคัญของตัวเองลดน้อยลงไปทุกที
แต่แล้วก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเพราะไม่มีวี่แววของกุญแจหรืออะไรก็ตามที่จะเปิดประตูบานนั้นได้ เรานอนพักอยู่หน้าประตูกำแพงเมื่อกฤษณ์ยืนยันว่าตรงนี้ปลอดภัย ทุกคนดูเหนื่อยล้ากันมากและผล็อยหลับกันไปหมด เว้นแต่กฤษณ์ที่เดินออกไปมองดูท้องฟ้าว่างเปล่าเหมือนอย่างเคย
“ทำอะไรแบบนี้ได้ทุกคืนน่ะ” ฉันเดินลงไปนั่งข้างกฤษณ์ บนยอดเขาสูงเราเห็นดวงจันทร์และมหาสมุทรได้ชัดเจนขึ้น ไม่มีวี่แววของดวงดาวหรือเรือที่แล่นผ่านมา นัยน์ตาของกฤษณ์ที่มองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิดไม่สามารถบอกฉันได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “กำลังคิดอะไรอยู่น่ะ”
“ก็แค่คิดถึงบ้านน่ะ” เขาตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะบอกด้านที่อ่อนไหวของตัวเองได้ง่ายดายขนาดนี้ “มันแปลกหรือไงที่ฉันจะคิดถึงบ้านบ้างน่ะ” เขาพูดเมื่อเห็นสีหน้าของฉัน
“เปล่าซะหน่อย” ฉันรีบปฏิเสธ “ฉันแค่แปลกใจน่ะ หลายเรื่องเลย” ฉันยังไม่ละสายตาจากใบหน้าของเขา
“เรื่องที่ฉันไม่เคยมีความรักน่ะหรอ” กฤษณ์ทำเหมือนว่าจะอ่านใจฉันออกเสมอ “แล้วมันน่าแปลกตรงไหนกัน”
“ก็ไม่หรอก แต่อายุขนาดนายแล้วน่าจะมีความรักอะไรกับเขาบ้างใช่ไหมล่ะ” ฉันพูดตามที่คิด แต่แล้วสายตาของกฤษณ์ที่มองกลับมาเหมือนกับมันติคอร์ก็ไม่ปาน “เอ่อ ฉันแค่สงสัยน่ะ ว่าที่นายบอกว่าไม่เคยมีแล้วนายคิดถึงใครตอนที่ฉันบอกให้นายคิดถึงภาพคนที่นายรักน่ะ”
“ฉันคิดถึงใครงั้นหรอ” เหมือนกฤษณ์เองก็คิดไม่ออก “…แม่ล่ะมั้ง” รอบข้างเงียบกริบเมื่อกฤษณ์พูดคำนั้น เขาเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าของเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและมั่นใจ ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“นี่พวกนายมาทำอะไรกันตรงนี้น่ะ!” เสียงตะโกนทำฉันสะดุ้ง คาริมมายืนอยู่ข้างหลังเรา สีหน้าเขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก “ถึงตาพวกเธอเฝ้าเวรแล้ว รีบๆเลยนะ!” คาริมออกคำสั่ง ฉันเกือบลืมไปเสียสนิทว่าคืนนี้เป็นเวรเฝ้ายามของเรา คาริมกระทืบเท้าเดินกลับเข้าแคมป์ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมหมอนั่นต้องโมโหอะไรขนาดนั้น กฤษณ์ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้ฉันลุกขึ้น
“เธอกับเจ้าบ้านั่นเป็นแฟนกันหรอ” คำถามของกฤษณ์แทบทำฉันหัวคะมำ
“จะบ้าหรือไง! นายใช้อะไรคิดน่ะ!” ฉันตะโกนโดยพยายามไม่ส่งเสียงดัง ในตอนหน้าสิ่วหน้าขวานเขาดูฉลาดเป็นกรด ทำไมเรื่องแค่นี้จู่ๆเขาก็ดูโง่ดักดานขึ้นมากันนะ
“ก็เจ้านั่นมันจิกกัดตลอดเวลาฉันอยู่กับเธอ ฉันว่าเขาต้องชอบเธอแหงๆ” กฤษณ์บอกกับฉันก่อนจะเดินยิ้มกลับไปที่แคมป์ เป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้ฉันยืนเอ๋ออยู่ตามลำพัง คาริมเนี่ยนะชอบฉัน…!!
“มันก็น่าจะเป็นไปได้นะ” มอร์ฟีนกระซิบกับฉัน ขณะที่ฉันเฝ้ายามอยู่ฝั่งตะวันตกกับมอร์ฟีนและอันนา โดยกฤษณ์กับคาริมไปเฝ้ายามอยู่ฝั่งตะวันออก “ไม่แปลกใจบ้างหรอว่าทำไมหมอนั่นถึงอยากเอาชนะเธอนักหนา”
“งั้นมันก็เป็นการชอบแบบโรคจิตสุดๆเลยล่ะ” อันนาแสดงความคิดเห็นบ้าง “มีที่ไหนอยากให้คนที่ตัวเองชอบเจอแต่เรื่องแย่ๆ แถมตัวเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้การทดสอบครั้งนี้ยากกว่าปกติอีก”
“เอาเถอะน่า ช่างหัวมันเถอะ ฉันไม่สนใจหมอนั่นหรอก” ฉันพูดพลางเขี่ยกองไฟที่อยู่ตรงหน้าเราให้ลุกโชน “ฉันขอเอาเวลามาคิดดีกว่าว่าจะทำไงต่อ ฉันจะต้องบ้าตายสักวันแน่ๆ ห้ามขี้เกียจ ห้ามโมโห แถมตอนนั้นก็ห้ามกินผลไม้ต้องห้ามอีก แล้วยังจะมีห้ามอะไรอีกไหมเนี่ย!” ฉันโยนกิ่งไม้ลงบนกองไฟเป็นการระบายอารมณ์
กองไฟลุกโชนเมื่อกิ่งไม้หล่นลงบนกองไฟ มันทำให้ฉันนึกถึงอะไรบางอย่าง ดวงไฟสีเขียวที่ฉันก้าวเข้าไป ฉันพบกับตัวแทนมหาบาปทั้งเจ็ดบนแท่นบัลลังก์ทั้งเจ็ด ซาตานตัวสีแดงที่ดูโมโหตลอดเวลา เบลเซบับอ้วนตุ้ยดูตะกละตะกลาม แมมมอนผู้บ้าสมบัติ ลิเวียธานงูทะเลขี้อิจฉา แอสโมดิวส์หื่นกาม เบลเฟกอร์หลังค่อมจอมขี้เกียจและลูซิเฟอร์ผู้ที่ดูเย่อหยิ่งไม่สนใจใคร
“อันนา! มอร์ฟีน! ฉันเข้าใจแล้ว!” ฉันลุกขึ้นยืนเมื่อนึกออก “ที่เกาะนี้น่ะ คนที่จะอยู่รอดได้คือคนที่ไม่มีบาปทั้งเจ็ดในใจ ไม่ขี้เกียจ ไม่โกรธ ไม่ตะกละ ไม่โลภ ไม่อิจฉา ไม่คิดเสื่อมและไม่เย่อหยิ่ง! มันเป็นทางเดียวที่เราจะไปเอาวัตถุดิบในตำนานมาได้!” อันนากับมอร์ฟีนมองหน้ากัน พวกเราเหมือนมีชัยมาอีกหนึ่งก้าวแล้ว
“เธอต้องไปบอกหัวหน้าผู้พิทักษ์ ต้องไปบอกทุกคน!” อันนาบอกกับฉัน
“ไม่ ฉันต้องบอกกับกฤษณ์ก่อน เราต้องรู้วิธีแก้ไขปัญหาก่อนบอกพวกเขา กฤษณ์น่าจะรู้วิธีจัดการกับปัญหานี้” ว่าแล้วฉันก็รีบวิ่งไปหากฤษณ์ที่เฝ้าเวรอยู่ฝั่งตะวันตก โดยไม่สนใจเสียงเรียกของคนอื่นๆที่อยู่ในแคมป์
“กฤษณ์! ฉันมีเรื่องต้องบอกนาย เดี๋ยวนี้เลย มากับฉัน!” ฉันพูดเสียงหอบ กฤษณ์ลุกขึ้นยืนมองฉันด้วยความสงสัย ฉันรีบดึงมือของกฤษณ์เพื่อที่จะไปคุยที่อื่น
“เดี๋ยวก่อน!” คาริมตะโกนออกมา “เรากำลังอยู่ในเวลาเฝ้าเวร ถ้าจะไปจู๋จี๋กันละก็พรุ่งนี้คงไม่สายหรอก!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา ขอเวลาแป็ปเดียว!” ฉันบอกกับคาริม
“คุยที่นี่ก็ได้นี่!” คาริมเดินมาจับข้อมือของฉัน ตอนนี้หน้าของคาริมเริ่มเป็นสีม่วงคล้ำ เขาจ้องฉันตาเป๋ง “ถ้าเรื่องสำคัญนักก็พูดมันตรงนี้เลยสิ!” คาริมบีบมือฉันแรงขึ้นจนฉันต้องปล่อยมือของกฤษณ์
“โอ้ย! ฉันเจ็บนะ!”
“ปล่อยเธอนะ!” กฤษณ์จับข้อมือของคาริมให้คาริมปล่อยมือฉัน ตอนนี้หน้าของคาริมเป็นสีม่วงจัดมากกว่าเดิม เหมือนว่าเขากำลังโกรธเราอย่างมาก
“นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ!” ฮาวาร์ดมาพร้อมกับอันนาและมอร์ฟีน พวกเขามองดูเหตุการณ์อย่างตะลึงงัน ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี เมื่อคาริมเห็นว่าทุกคนเริ่มมามุง เขาสะบัดข้อมือฉันออกทันที เขาหายใจเข้าออกด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขายังเป็นสีม่วงคล้ำอยู่ หรือว่าเขากำลังหึงฉัน… ไม่นะ!
ทันใดนั้นเองคาริมก็ทรุดลงกับพื้น ปีกสีขาวของเขาหดเล็กลงในขณะที่ตัวและศีรษะของเขาขยายใหญ่ขึ้น ทุกคนกำลังผงะถอยหลังกับการเปลี่ยนแปลงของคาริม จนกระทั่งคาริมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สัตว์ประหลาดคล้ายคนร่างใหญ่มหึมา ตัวของมันสีเขียว จมูกและหูยืดยาว หัวล้าน ดวงตาของมันมองตรงมาที่ฉันอย่างไม่ใยดี ไม่ใช่คาริมอีกต่อไป
“โทรลล์! อารินา หนีเร็ว!” อันนาตะโกนบอก แต่สายเกินไป โทรลล์ง้างแขนออกแล้วเหวี่ยงกระแทกเข้าตัวฉันอย่างจัง ฉันกระเด็นตกไปชนกับหน้าผา ความเจ็บปวดแล่นจากแผ่นหลังจนถึงปลายเท้า ร่างของฉันร่วงหล่นลงพื้น ทุกอย่างรอบข้างพร่ามัว คาริมต้องเป็นแบบนั้นเพราะฉัน เมื่อตอนที่เขาทำร้ายฉันเมื่อครู่นี้ นัยน์ตาของเขาไม่ได้แสดงความเกรี้ยวกราดเลยแม้แต่น้อย หากแต่มันเป็นความเศร้าโศก ฉันเห็นคาริมในร่างโทรลล์กำลังต่อสู้กับกองทัพผู้พิทักษ์โดยปราศจากอาวุธใดๆ ปีศาจร่างยักษ์ล้มลงอย่างง่ายดาย มันถูกรัดด้วยโซ่ของเหล่าผู้พิทักษ์ กฤษณ์ที่ได้จังหวะกำลังกระโดดขึ้นสูงจะตัดหัวของโทรลล์ด้วยดาบที่อยู่ในมือ
“อย่านะ!!” ฉันตะโกนเสียงดัง กฤษณ์ถึงกับชะงัก เขากระโดดข้ามหัวโทรลล์ลงไปคุกเข่าลงกับพื้น ดาบของเขาไม่ได้ทำร้ายโทรลล์แต่อย่างใด ทุกคนหันมามองฉันด้วยสีหน้าฉงน ฉันพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปตรงหน้าคาริม
“คาริม ฉันขอโทษ…” คำพูดของฉันทำทุกคนเงียบสงัด โดยเฉพาะโทรลล์ที่นอนคว่ำอยู่ที่พื้น มันเงยหน้ามองฉันอย่างตะลึงงัน “มีคนบอกว่านายอาจจะชอบฉัน แต่ฉันกลับไม่เชื่อ ถ้าฉันเชื่อซะ นายก็คงไม่หึงฉันจนกลายมาเป็นแบบนี้” ฉันคุกเข่าลงกับพื้น “ฉันขอโทษ…” เหมือนความเป็นคาริมยังอยู่ในตัวโทรลล์ มันน้ำตาเอ่อคลอ มันพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่เป็นภาษา “นายอยากจะพูดอะไรงั้นหรอ!” คาริมชี้นิ้วใหญ่ยักษ์ไปยังพิกซ์ แล้วชี้มาที่ตัวเอง ฉันรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร “ไม่ได้นะ! นายเป็นปีศาจ นายอาจตายได้!” ฉันปฏิเสธ แต่คาริมมองฉันด้วยสายตาอ้อนวอน
“ทำเถอะ อารินา” กฤษณ์เดินมาจับไหล่ของฉันจากด้านหลัง ก่อนที่ฉันจะอ้าปากว่าอะไร กฤษณ์ชิงพูดก่อน “ดูเขาสิ เขาไม่ต้องการเป็นแบบนี้นะ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอเข้าใจไหม” ฉันมองกลับไปยังใบหน้าของคาริม รูปร่างอัปลักษณ์ท่าทางเคียดแค้นแต่นัยน์ตาอ้อนวอน ฉันกำหมัดแน่นก่อนเดินไปหาพิกซ์ หยิบคันธนูและลูกศร ฉันเล็งไปคาริมที่ยอมศิโรราบให้แกฉัน มือของฉันสั่นก่อนค่อยๆคลายออก
ฉึก! ลูกศรพุ่งเข้ากลางอกของคาริมจากด้านหลัง ควันจางพวยพุ่งออกมาจากอกของคาริม มันม้วนเป็นลูกแก้วสีแดงฉาน อันนารีบวิ่งไปรับมันไว้พลางจดจ้องมันตกตะลึง และแล้วโทรลล์ก็สลายหายไปเป็นประกายลอยขึ้นเหนือท้องฟ้ายามราตรี ลาก่อนศัตรูของฉัน…
การเดินทางต่อเป็นไปอย่างเงียบสงัด เมื่อเราผ่านกำแพงไปได้แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับข้างนอกนั่นสักเท่าไหร่ มันเป็นป่ารกที่เงียบสงัดไร้ผู้คนกล้ำกลาย เมื่อพวกเขารู้เรื่องเงื่อนไขเจ็ดข้อก็ทำให้เหล่าทหารใจเสียไม่น้อย จำนวนกองกำลังของเราลดลงยิ่งไปกว่าเดิม กลายเป็นกองกำลังเพียงหยิบมือ ในที่สุดเราตัดสินใจตั้งแคมป์กัน ครั้งนี้ไม่มีอะไรมารับรองความปลอดภัยของเราได้เพราะกฤษณ์ไม่เคยเข้ามาในเขตนี้มาก่อน แต่อย่างน้อยเราก็เห็นยอดเขาใกล้เข้ามาแล้ว
“ยังไม่หายเศร้าอีกหรอ” คราวนี้เป็นกฤษณ์ที่เดินเข้ามาทักทายฉันขณะที่ฉันกำลังเหม่อมองท้องฟ้า
“ฉันว่าฉันเข้าใจนายแล้วล่ะว่าทำไมการมองท้องฟ้าถึงทำให้สบายใจขึ้น” ฉันบอกกับกฤษณ์
“ตกลงเธอรักเขาหรือไง” กฤษณ์ถามบ้าง เขานั่งลงข้างๆฉัน ฉันส่ายหน้า
“เปล่า ความจริงฉันก็ไม่ได้รักเขาอะไรแบบนั้น เราแค่เป็นคู่แข่งตลอดกาล ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาคิดอะไรแบบนั้น แต่ว่า…” ฉันก้มมองลูกแก้วสีแดงสดที่อยู่ในมือ “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่” ฉันรู้ว่ากฤษณ์ไม่มีวันเข้าใจ ฉันเก็บลูกแก้วกลับใส่ในกระเป๋า “ตกลงนายจะเล่าเรื่องของนายได้หรือยัง”
“เรื่องอะไรหรอ” เขาถาม แต่พอเห็นสีหน้าฉงนของฉันเขาจึงนึกออก “อ๋อ… แม่ฉันน่ะหรอ ความจริงฉันไม่ได้เห็นหน้าแม่มานานแล้วล่ะ” เขาพูดเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องปกติ “พ่อกับแม่ฉันหย่ากันเมื่อนานมาแล้ว เกือบสิบปีเลยล่ะมั้ง น้องชายคนกลางของฉันอยู่กับพ่อ ส่วนน้องชายคนเล็กอยู่กับแม่ ฉันไม่รู้จะอยู่กับใครก็เลยขอมาอยู่อเมริกาเพียงลำพัง จนได้มาเป็นทหารอากาศนี่แหละ”
“เอ่อ ขอโทษนะ จะเป็นไรไหมถ้าฉันจะถามว่าเพราะอะไรถึงหย่ากันน่ะ” ฉันไม่รู้ว่าถามตรงเกินไปรึเปล่าแต่กฤษณ์มองกลับมาด้วยสีหน้าฉงน “คือ ถ้าแค่ความรักจืดจางฉันพอจะรดน้ำให้มันชุ่มฉ่ำได้นะ”
“ไม่ได้หรอก” กฤษณ์ยิ้มพลางส่ายหัว “พวกเขาเลิกกันเพราะความคิดทางการเมืองน่ะ” คำตอบของกฤษณ์ทำฉันเงียบกริบไปชั่วครู่ ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เพราะอย่างนี้นี่เองเขาถึงบอกว่าสายรุ้งในตำนานน่ะช่วยอะไรไม่ได้ เขาเองก็คงทำทุกวิถีทางเพื่อให้พ่อแม่กลับมาคืนดีกันแล้วสินะ… “เออนี่ พูดถึงกามเทพน่ะ ฉันสงสัยมานานแล้วว่ามันยังไงกันแน่ ตกลงกามเทพไม่ใช่ผู้ที่ทำให้มนุษย์รักกันหรือยังไง พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม” พอกฤษณ์เห็นฉันเงียบไป เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“อื้อ! ได้สิ” ฉันพยักหน้า “ที่นครเหนือเมฆน่ะนะ จะมีนางฟ้าและเทวดา…” ฉันเล่าเรื่องนครเหนือเมฆให้กฤษณ์ฟัง เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นว่าเขาใส่ใจฟังเรื่องอะไรสักอย่าง ดูเหมือนกับเขาจะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน เป็นเรื่องตลกที่เขาพยายามเปรียบเปรยสิ่งต่างๆในนครเหนือเมฆกับโลกของมนุษย์ จนฉันลืมความเศร้าหมองที่มีในใจไปได้
ในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขา บนยอดสุดของเขามีป้อมปราการหินขนาดใหญ่ และหอคอยมากมาย เรามั่นใจอย่างมากว่ามีวัตถุดิบในตำนานอยู่ในนั้น
“เข้าไปกันเถอะ” หัวหน้าผู้พิทักษ์พูดขึ้น เมื่อเราเข้าไปยังห้องโถง มีบันไดหินทอดสูงไปยังชั้นสองที่มีซุ้มประตูใหญ่โอ่อ่า เราแทบไม่อยากจะเชื่อตาตัวเองเมื่อเราเดินเข้าไป ภายในห้องโถงอีกห้องหนึ่งเพดานสูงสุดลูกหูลูกตา มันเต็มไปด้วยสมบัติแก้วแหวนเงินทอง ทุกอย่างเต็มไปด้วยทองคำ มันพูนสูงเป็นเนินเขาจรดเพดาน
“ของจริงหรือนี่!” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งกำลังเดินจะไปหยิบสร้อยคอไข่มุกเม็ดงามที่ม้วนตัวอยู่ในแก้ว
“อย่าจับมันนะ!” กฤษณ์ตะโกนบอกให้เขาหยุด “อย่าลืมนะว่าห้ามมีบาปทั้งเจ็ดน่ะ ทรัพย์สินพวกนี้มันเป็นกับดัก อย่ามัวเมาในความโลภเด็ดขาด” ฉันก็แทบน้ำลายหกกับภูเขาสมบัตินี่เช่นกัน ถ้าเกิดว่าฉันมีทั้งหมดนี่ ทั่วทั้งชีวิตฉันก็ไม่ต้องทำงาน และก็อยู่สบายไปตลอดชีวิต
“จริงอย่างที่กฤษณ์บอก” ฮาวาร์ดพูดขึ้น เขามองไปรอบห้อง ในที่สุดก็เห็นประตูบานหนึ่งที่อยู่ชั้นสองมันมีแม่กุญแจล็อคปิดสนิท “เราต้องหากุญแจ! อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในกองสมบัตินี่ รีบหาเร็ว!” เมื่อฮาวาร์ดสั่ง ทุกคนต่างค้นหากุญแจ
มีเสียงเหมือนของหนักหล่นลงมา แล้วเราก็ได้เห็นกล่องสมบัติสีทอง มันถูกล็อคด้วยแม่กุญแจที่ดูเหมือนเป็นรูแบบเดียวกับที่ล็อคประตู สมบัติหามูลค่าไม่ได้คงอยู่ในนั้น ทุกคนจ้องมองมันเป็นตาเดียว
“รีบหากุญแจสิ!” มอร์ฟีนตะโกนบอกทุกคน เหมือนกับว่าแต่ละคนมีแรงกระตุ้นให้ตามหาลูกกุญแจมากกว่าเดิม ฉันเหยียบย่ำอยู่บนเหรียญทองกองพะเนิน โยนทุกอย่างทิ้งให้พ้นตาราวกับขุดหลุมในบ่อทรายจนกระทั่ง…
“ฉันเจอแล้ว!” ฉันตะโกนดังลั่นพลางชูลูกกุญแจขึ้นกลางอากาศ กุญแจเก่าสนิมเกาะมันส่งแสงแวววาวจนน่าเหลือเชื่อ
“ยอดไปเลย อารินา ส่งมันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังกฤษณ์ เชสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังกฤษณ์ใช้ปลายดาบชี้ไปที่หลังของกฤษณ์จากด้านหลัง ฉันแทบไม่เชื่อตาตัวเอง
“เชสเตอร์! นายคิดจะทำอะไรน่ะ!” ฮาวาร์ดตะโกนเมื่อเห็นลูกน้องของตัวเองถูกความโลภครอบงำ
“ไม่คิดจะทำอะไรทั้งนั้น” กลายเป็นว่ากฤษณ์ถูกจับเป็นตัวประกัน เชสเตอร์ใช้แขนข้างหนึ่งคล้องคอส่วนอีกข้างถือดาบจ่อคมดาบที่คอของกฤษณ์ “ทุกคนอยู่กับที่ถ้าไม่อยากให้มีใครตายอีก! มอร์ฟีน! ไปที่หีบสมบัติกับฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“อย่าไปฟังมันนะ อารินา! โยนกุญแจให้หัวหน้าผู้พิทักษ์ฮาวาร์ดเลย!” กฤษณ์ตะโกนบอก ฉันมองกุญแจดอกสีทองที่อยู่ในมือสั่นระริก จะทำยังไงดี!
“นายเป็นผู้พิทักษ์ที่ฉันเชื่อใจที่สุด! ทำไมนายถึงทำแบบนี้เชสเตอร์!” ฮาวาร์ดพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“แน่นอน เพราะตอนนั้นฉันต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพนี่นา แต่ตอนนี้ฉันรวยแล้ว! ทำไมต้องเชื่อฟังนายอีกล่ะ จริงไหม?” เชสเตอร์ยิ้มเยอะเผยให้เห็นสันดานแท้
“ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์! อย่าโกรธนะ! ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อารินา! โยนกุญแจให้เขาเดี๋ยวนี้เลย!”
“เปิดหีบสมบัติสิ! อยากเห็นมันตายต่อหน้าต่อตาหรือไง!” เชสเตอร์ออกคำสั่ง ฉันค่อยๆเสียบกุญแจในรูแม่กุญแจ และแล้วหีบสมบัติก็เปิดออก ทองคำแวววาวและมงกุฎทองคำ อีกทั้งยังมีเพชรพลอยอีกนับไม่ถ้วน เมื่อเชสเตอร์เห็นดังนั้นเขาเหวี่ยงกฤษณ์ล้มลงกับพื้น เขาเข้าไปดูสมบัติภายในให้เต็มตา
ทันใดนั้นเองมีบางอย่างพุ่งออกมาจากหีบสมบัติ มันโฉบผ่านหัวของเชสเตอร์จนหัวของเชสเตอร์กระเด็นตกลงพื้น มอร์ฟีนส่งเสียงกรีดร้อง ไวเวิร์นทะยานอยู่เหนือหัวของพวกเรา มังกรตัวใหญ่แตกต่างจากมังกรพ่นไฟตัวนั้น มันไม่มีแขนหากแต่เป็นปีกใหญ่เหมือนค้างคาว กับขาหลังสองขาอันแหลมคม หางยาวของมันเป็นสามเหลี่ยมแหลมเหมือนหอก มันส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเมื่อถูกปลุกออกมา
“กฤษณ์! อารินา! ทางนี้!” อันนาตะโกนเรียก เธออยู่ตรงบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง ทันใดนั้นฉันต้องล้มลงอีกครั้งเมื่อป้อมปราการสั่นราวกับแผ่นดินไหม เราได้ยินเสียงที่เคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง เสียงของมังกรพ่นไฟตัวนั้น มันบินวนอยู่เหนือป้อมปราการ และมันพยายามจะถล่มที่นี่
“ทุกคนรีบเข้าไปในห้องนั้นด่วนเลย!” ฮาวาร์ดพูดพร้อมกับชักดาบออกมาถือ
“ไม่ค่ะ เราต้องหนีไปด้วยกัน!” อันนาตะโกน
“ไม่ได้! พวกเธอนั่นแหละต้องเข้าไป!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น สายตาจดจ้องไปยังมังกรไวเวิร์นที่อยู่ตรงหน้า “พวกนายที่เหลือด้วย!” ฮาวาร์ดตะโกนบอกผู้พิทักษ์คนอื่นที่ยังรอดชีวิต
“ไม่! พวกเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีหัวหน้า! เราไม่ขี้ขลาดเหมือนเจ้าเชสเตอร์หรอก!” ผู้พิทักษ์อีธานตะโกนกลับมาพร้อมกับชักดาบออกมาถือในมือด้วยสายตามุ่งมั่น
“กฤษณ์! พาพวกเค้าหนี! เดี๋ยวนี้เลย!” หัวหน้าผู้พิทักษ์ตะโกนสั่งกฤษณ์ กฤษณ์มีท่าทางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหลังจากที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ เขาหยิบลูกกุญแจแล้วเปิดประตูทันที ฉัน มอร์ฟีน อันนา กฤษณ์กับพิกซ์รีบว่างข้ามธรณีประตูไปยังอีกห้องหนึ่ง
“ท่านหัวหน้าฮาวาร์ด!” ฉันกรีดเสียงดังเมื่อประตูปิดลงเพราะแรงระเบิดจากไฟของมังกร ฉันทรุดลงกับพื้น ทุกคนข้างนอกนั่นตายหมดแล้ว เพราะช่วยพวกเรา! ฉันระเบิดร้องไห้ออกมาอย่างไม่เก็บอาการ กฤษณ์เข้ามาสวมกอดฉัน “พวกเค้าตายแล้ว! พวกเค้าตายแล้ว!”
“ฉันรู้ อารินา ฉันรู้” กฤษณ์พยายามลูบหัวให้ฉันสงบลง เสียงของเขาก็สั่นคลอนเช่นกัน “เราต้องไปต่อนะ เราต้องตามหามัน วัตถุดิบในตำนาน เข้าใจไหมอารินา เธอต้องทำ เพื่อพวกเขา” กฤษณ์บอกกับฉันพลางใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้ม เมื่อเขาสวมกอดฉันอีกครั้งด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีอยู่สามชีวิตที่ยังอยู่กับฉัน ใช่… อันนา มอร์ฟีน และก็พิกซ์ พวกเค้าดูเศร้าโศกไม่แพ้กัน แต่พวกเขาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
“ใช่… เราต้องไปกันต่อ” ในที่สุดฉันก็สงบลง ฉันลุกขึ้นยืนปาดน้ำตาออกจากแก้ม
ตู้มมม!!! เสียงระเบิดดังสนั่น มังกรไฟโจมตีมาจากด้านนอก ทำให้บันไดที่ทอดสู่ยอดหอคอยขาดลง แยกกลุ่มเราออกจากกฤษณ์
“กฤษณ์ นายรีบกระโดดข้ามมาเร็ว” ฉันตะโกนบอกอย่างร้อนรน
“ไม่ มันไกลไป ฉันไปต่อไม่ได้แล้ว เธอไปกันต่อเลย ฉันจะถ่วงเวลาไอ้มังกรนี่ให้เอง” ครั้งนี้กฤษณ์ไม่ได้ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดังที่เคยเป็นมา
“ฉันจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ฉันจะไม่ยอมเสียใครไปอีกแล้ว” ฉันลุกขึ้น ด้วยท่าทีที่ไม่ยอมแพ้ ฉันวิ่งไปขี่หลังพิกซ์ และทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง
“ไม่นะ อารีนา” กฤษณ์รำพึงในใจ แต่ฉันควบเจ้าพิกซ์กระโดดข้ามทางขาด อย่างกล้าหาญ กฤษณ์มองภาพของฉันบนหลังพิกซ์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นภาพช้า
เจ้าพิกซ์กระโดดข้ามได้สำเร็จ กฤษณ์ไม่รอช้ารีบขึ้นหลังพิกซ์อย่างรวดเร็วมือข้างขวากุมบังเหียนไว้แน่น และข้างซ้ายโอบกอดเอวของอารีนาไว้แนบกาย เจ้ามังกรที่บินอยู่ด้านนอกยังไม่ไปไหน กฤษณ์รู้โดยสัญชาติญาณได้ทันทีว่ามันกำลังจะจู่โจมอีกครั้ง
“ไปเลยพิกซ์!!!” กฤษณ์ตะโกนออกคำสั่งพิกซ์ พร้อมสะบัดบังเหียนให้สัญญาณ พิกซ์วิ่งกระโดดข้ามทางขาดกลับไปอีกครั้งได้ทันการโจมตีของมังกรไฟอย่างฉิวเฉียด แรงระเบิดทำให้กฤษณ์ และฉันกระเด็นออกจากหลังพิกซ์ แต่โชคยังดีที่ไม่ตกลงไปเบื้องล่าง
“เร็ว รีบไปต่อ” กฤษณ์รีบพยุงฉันลุกขึ้น และพาทุกคนมุ่งขึ้นสู่บันไดทอดสูงไปถึงยอดสุดของป้อมปราการ บนนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ในแก้วครอบ พวกเราเดินขึ้นบันไดไปอย่างระมัดระวัง มีจานที่มีแก้วใสครอบวางอยู่บนแท่นหินอ่อน เห็นผลไม้ทรงกลมประหลาดมันเป็นสีรุ้งสดใสวางอยู่บนจาน ฉันมองหน้าทุกคนก่อนจะเปิดแก้วครอบออก ทั้งใดนั้นเอง อากาศจากใต้แก้วก็พวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตรงหน้าพวกเราในสภาพไร้รูปร่าง มีเสียงหญิงสาวดังออกมาจากหมอกนั่น
“ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงยอดหอคอยป้อมปราการแห่งเกาะกลางสามเหลี่ยมปีศาจจนได้ ตอนนี้วัตถุดิบในตำนานได้ตกเป็นของเจ้าแล้ว” เสียงสตรีดังกึกก้อง “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าท่านจะนำผลไม้เจ็ดสีผลนี้ไปทำสิ่งใด ท่านมีเพียงทางเลือกเดียวจากสองทางเลือกเท่านั้น”
“ทางเลือกแรกคือผลไม้เจ็ดสีนี้จะกลายเป็นเครื่องดื่มสำหรับทำสายรุ้งในตำนานที่สามารถชำระล้างบาปในใจของผู้พบเห็นได้ และทางเลือกที่สองคือ ผลไม้เจ็ดสีจะกลายเป็นมงกุฎแห่งมหาอำนาจ ทำให้ท่านมีอำนาจเหนือผู้ใดในนครที่เจ้าอยู่ เจ้าต้องการเลือกทางไหน” เมฆหมอกเอ่ยถาม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับทางเลือกที่สองเลย
“มงกุฎแห่งมหาอำนาจ ถ้าเธอได้มันเธอก็จะเป็นเจ้าแห่งนครเหนือเมฆเชียวนะ” อันนาพูดอย่างตื่นเต้น
“แน่นอน ฉันมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว” ฉันสูดอากาศเข้าลึกๆ แล้วมองไปยังกฤษณ์ที่มองฉันอย่างสงสัย
กฤษณ์เดินช้าๆ มาที่ฉัน ยกสองมือขึ้นวางบนบ่าเบาๆ กฤษณ์ไม่พูด ไม่ถามอะไร บรรยากาศในห้องเงียบงันลงไปชั่วขณะ ทั้งคู่มองตากันเหมือนกับกำลังสื่อสารอะไรกันบางอย่าง
“ก็ต้องสายรุ้งในตำนานแน่นอนอยู่แล้วล่ะ ฉันขอเลือกทางเลือกแรก สายรุ้งในตำนาน!” อารีนาส่งยิ้มให้กับกฤษ์ก่อนจะตอบ
เมื่อสิ้นคำตัดสินของฉันแล้ว ผลไม้เจ็ดสีหมุนตัวเองจนกลายเป็นของเหลวในแก้วใส หมอกกระจายกลายเป็นเมฆขนาดใหญ่ เพดานที่มันเคยเป็นหลังคาของป้อมปราการ ตอนนี้มันหายวับไป ฉันได้เห็นท้องฟ้าสดใสอีกครั้ง
“อารินา!” อันนาร้องเรียกเสียงดังพลางขยับปีกให้ฉันดู ฉันลองขยับปีกของตัวเอง ฉันบินได้แล้ว!
“ยอดไปเลย…” กฤษณ์มองดูฉันลอยเหนือพื้นอย่างตกตะลึง ฉันบินขึ้นไปนั่งเหนือเมฆวิเศษขนาดใหญ่
“ไปกันเถอะ” ฉันเอื้อมมือไปหากฤษณ์ กฤษณ์ยิ้มให้ฉันก่อนจะจับมือกับฉัน ฉันดึงกฤษณ์ขึ้นมานั่งบนก้อนเมฆ มอร์ฟีนกับอันนากระโดดขึ้นขี่หลังพิกซ์ เราทะยานขึ้นเหนือฟ้าอีกครั้งราวกับว่าเราไม่ได้บินมานานแรมปี ฉันชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือฟ้า กฤษณ์มองพื้นเบื้องล่างอย่างไม่เชื่อตาตัวเองว่าเขากำลังบินอยู่บนก้อนเมฆ
“เรากำลังจะไปไหนกันน่ะ!” กฤษณ์ถามฉันอย่างตื่นเต้น
“บ้านเกิดนายไง” ฉันส่งยิ้มให้กับกฤษณ์ เมฆวิเศษมุ่งหน้าไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันดูไม่ต่างจากที่ฉันเห็นผ่านโลกจำลองที่ห้องประชุมกามเทพ “นี่สินะ ประเทศไทย” ฉันถามกฤษณ์ เราลอยอยู่เหนือแผ่นดินที่มีส่วนคล้ายด้ามจับของขวาน กฤษณ์พยักหน้า “เอาละนะ!” ฉันเทผลไม้เจ็ดสีที่กลายสภาพเป็นของเหลวลงบนเมฆวิเศษ ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นสีทอง
“ไปกันเลย!” เมื่อฉันตะโกน ก้อนเมฆสีทองวิ่งฉิวจากใต้สุดไปยังเหนือสุดของประเทศไทย สายรุ้งเส้นใหญ่พาดยาวตามแนวที่เราบิน ฉันกับกฤษณ์มองความสวยงามของมันอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง ฉันเห็นใบหน้าของกฤษณ์จ้องมองสายรุ้งอย่างตกตะลึงพร้อมด้วยใบหน้าอันเปี่ยมสุข เขาคงเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกที่ไม่ถูกชำระล้างจิตใจ เพราะตอนนี้เขาปราศจากบาปในใจตั้งแต่วันที่เขาก้าวย่างเข้าไปในเกาะแล้ว
“อารินา” กฤษณ์เรียกฉันพร้อมด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเขาต่างจากวันที่ฉันเจอเขาครั้งแรกลิบลับ ตอนนี้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักและสดใส “ขอบใจนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม จนฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันหน้าแดงแค่ไหน บนท้องฟ้าสีสดใส สายรุ้งยักษ์ใหญ่เจ็ดสีที่พาดผ่านเพราะเมฆที่เรากำลังนั่ง ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“ยินดีด้วยนะ อารินา ไม่สิ ท่านอารินา” เมียร์พูดพลางย่อเข่าให้กับฉันเมื่อฉันเดินผ่านห้องโถงพร้อมกับเข็มกลัดปักอกรูปตัวจีสีทอง
“อย่าเรียกฉันแบบนั้นได้ไหม” ฉันถามเมียร์พลางมองเข็มปักอกอย่างไม่สบายใจ
“ทำไมล่ะ” เมียร์ถามสงสัย ตรงนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน สุดท้ายฉันก็ต้องขอเข้าพบน้าของคาริม ผู้ที่เป็นผู้มอบเข็มรูปตัวจีสีทองให้ฉันด้วยตัวเอง ฉันวางเข็มกลัดประจำยศลงบนโต๊ะ
“ทำไมถึงจะเปลี่ยนใจล่ะ” น้าของคาริมถาม
“ฉันว่าฉันอาจจะไม่เหมาะกับการเป็นกามเทพแล้วก็ได้ค่ะ” ฉันบอกกับน้าของคาริม
“อยากจะไปอยู่กับมนุษย์คนนั้นน่ะหรอ” น้าของคาริมถามอย่างรู้ทัน ฉันก้มหน้ามองพื้น น้าของคาริมรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะ เธอเสียใจกับการจากไปของหลานชายพอควร “ความจริงหลานชายของฉันน่ะ เขารักเธอมากเลยนะ” คำพูดของน้าคาริมทำให้ฉันต้องเงยหน้ามามอง
“ที่เขาพยายามอยากเป็นกามเทพเพราะว่าเขาอยากตามเธอให้ทัน แต่เธอสมกับเป็นอัจฉริยะเสียจริง นำหลานชายฉันไปหลายก้าวจนเขาตามไม่ทันเลยล่ะ” น้าของคาริมพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม “พอเขารู้ว่าเธอจะไปทำสายรุ้งในตำนานด้วยตัวเองน่ะ เขาเป็นห่วงเธอมาก ถึงขั้นว่าให้เหล่าผู้พิทักษ์ตามไปสมทบเพราะกลัวว่าเธอจะเป็นอันตราย” คำอธิบายของน้าคาริมทำฉันถึงกับน้ำตาคลอ ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“เธอเก็บเข็มกลัดนั่นไปเถอะ เธอไปอยู่กับมนุษย์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องลาออกจากกามเทพระดับจีเลยจริงไหม” เธอพูดต่อ “ฉันจะบอกกับทางการให้ว่าเธอไปสืบแหล่งความรักจากภาคพื้นดิน”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณน้า” ฉันก้มหัวให้กับน้าของคาริม เธออึ้งเล็กน้อย
“ฉันถือว่าฉันทำเพื่อหลานชายของฉัน” เธอกล่าวอย่างไว้ท่า “และเธอต้องทำตามนั้นจริงๆด้วยล่ะ ฉันจะได้ไม่เสียคำพูด” สิ้นคำของน้าของคาริมฉันรู้สึกเหมือนมีดอกไม้พูนอยู่เต็มอก ฉันรู้สึกมีความสุขที่สุดตราบเท่าที่ฉันเคยมีมา
“ยินดีด้วยนะ ท่านกามเทพระดับ G” น้ำเสียงที่คุ้นหู ทำเอาอารีนาถึงกับชะงัก แล้วรีบหันไปมองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
“ฮาวาร์ด!!!” ด้วยอารมณ์ดีใจอย่างสุดขีด ทำให้ฉันถึงกับเผลอเรียกชื่อออกไปตรงๆ “เอ่อ... ท่านหัวหน้าผู้พิทักษ์ ท่านยังไม่ตาย ท่านกลับมาได้ยังไง” ฉันรีบเก็บอาการ
“เธอคิดว่าฉันเป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์นครเหนือเมฆ แต่เพียงตำแหน่งหรือไง กับแค่มังกรตัวกระจ้อยนั่น ไม่ครณามือฉันกับพรรคพวกหรอกน่า” ฮาวาร์ดกล่าวด้วยอารมณ์ขัน
ท่ามกลางเสียงปรบมือ โห่ร้อง แสดงความยินดีให้กับฉัน ฉันกุมเข็มกลัดมั่นไว้ที่อก เหลียวมองรอบกายที่เหล่ามิตรสหายต่างมาร่วมแสดงความยินดี มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษอะไรเช่นนี้
ในคอนโดใหญ่ใจกลางเมืองเด็กหนุ่มมองบนท้องฟ้านึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน กลายเป็นข่าวใหญ่โตทั่วทั้งประเทศเมื่อมีปรากฏการณ์สายรุ้งยักษ์พาดผ่านประเทศไทย ตอนนี้คนทั้งไทยประเทศก็เริ่มกลับมาดีกัน ทุกอย่างเริ่มซบเซาลง พ่อกับแม่ของเขาเข้าครัวทำอาหารร่วมกันอย่างหวานชื่น น้องชายทั้งสองอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกอย่างเข้าสู่สันติสุข แต่เหมือนในใจของเขากำลังขาดอะไรบางอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
“กฤษณ์!” เสียงหนึ่งดังมาจากฟากฟ้า เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “กฤษณ์ ฉันมาแล้ว!” เด็กสาวที่เขาคิดถึงลอยมาจากฟ้ากระโดดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนของเขาของ ทั้งคู่ล้มหงายไปกับพื้น เด็กหนุ่มไม่เชื่อตาตัวเองเมื่อเห็นเด็กสาวที่อยู่เหนือร่างของเขาคือผู้หญิงที่เขาคิดถึงมากที่สุด
“นี่เธอมาได้ยังไงกันเนี่ย” กฤษณ์เอ่ยถาม
“ฉันมาหาเธอไง! ฉันคิดถึงเธอ เพราะว่าฉัน…!” เด็กสาวจะพูดต่อแต่แล้วมันก็ถูกหยุดด้วยนิ้วของเด็กหนุ่มที่แตะกับริมฝีปาก เธอยอมเงียบแต่โดยดี
“เพราะว่าเธอ… รักฉัน… อย่างนั้นเหรอ” กฤษณ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นและกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ช่างนุ่มลึกไปในจิตใจของอารีนาเสียเหลือเกิน
อารีนายังไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้า ด้วยอาการเขินอายอย่างที่สุด ทำเอากฤษณ์ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ฮะ ฮะ ฮะ นี่เธอเป็นถึงกามเทพระดับจีเชียวนะ แต่กลับมาหลงรักมนุษย์ซะเองเนี่ยนะ” กฤษณ์แกล้งแซวอารีนา
“นี่นาย…!!!” อารีนาเงยหน้าขึ้น และก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไป เด็กหนุ่มก็ได้บรรจงประกบปากของตัวเองเข้ากับเด็กสาว
ไม่ต้องมีคำพูดอะไรมาบรรยายความรักที่มีต่อกัน สัมผัสจูบที่หอมหวานเต็มไปด้วยความทรงจำและการผจญภัยมากมาย ในตอนนี้มันเป็นของกันและกัน และทั้งคู่จะเก็บความทรงจำนั้นตลอดไป…
ผลงานอื่นๆ ของ BrownFeather ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ BrownFeather
ความคิดเห็น