ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    White-Vaulden :: ดินแดนแห่ง มนตรา สัตว์ป่า และเสียงเพลง

    ลำดับตอนที่ #1 : [ตอนที่ 1] - [บ้านสีน้ำตาล]

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 49


    เช้าแล้วสินะ... ไม่สิ นี่เช้าแล้วนะ !! ต่างหาก


    "เอลลินด์ ตอบมินิเทเลบั๊กส์ด้วยลูก"
    เสียงของชายวัยกลางคนตะโกนผ่านกำแพงเข้าไปในห้องของลูกสาว
    "ค่ะ พ่อ" ลูกสาวของเขาพึมพำกับตัวเองอย่างคนเพิ่งตื่น แล้วค่อยๆเดินโงนเงนออกจากห้องไปยังมินิเทเลบั๊กส์


    พ่อลูกทั้งสอง อาศัยอยู่ใน
    ' เมืองบราวน์วิลล์ ' หรือที่ใครต่อใครเรียกว่า ' นครสีน้ำตาล ' หนึ่งในเมืองทั้งหลายของ ' อาณาจักรมหัศจรรย์ไวท์-วอลเด้น ' อาณาจักรแห่งนี้เป็นอาณาจักรสุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกหลังจากสงครามเรธโทเฟน ณ กรุงคอสมอส แห่งอาณาจักรเนสซาร์ อัลดูอิล ที่ล่มสลายไปกว่าร้อยปี ทำให้ ไวท์-วอลเด้น เป็นมหาอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองจนสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกือบจะลืมเลือนไปแล้ว ว่าดินแดนแห่งนี้เคยเป็นสมรภูมิอันโหดร้ายของชาวเมืองในอดีตกาล


    "สวัสดีครับ ร้านศิลาตะวันลินดอส ยินดีต้อนรับครับ" ลินดอสที่เพิ่งชำเลืองมองลูกสาวลงบันไดอย่างเชื่องช้ารีบหันมาต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาในร้าน "ต้องการศิลาตะวันชนิดไหนดีครับ?"


    นครสีน้ำตาล
    คือบ้านเกิดของสองพ่อลูก และเป็นเมืองที่ธรรมชาติยังคงก้าวหน้าเคียงข้างไปกับอารยธรรมของชาวเมือง แม้จะมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ทำให้เมืองแห่งนี้เงียบเหงาน้อยลงแต่อย่างใด เพราะมีนักเดินทางจากต่างเมืองมากมายเดินทางเข้ามาซื้อขายวัตถุดิบธรรมชาติที่หาไม่ได้จากเมืองอื่น อย่างเช่น ' ศิลาตะวัน ' ของลินดอสผู้นี้


    ศิลาตะวัน
    คือวัตถุวิเศษที่เกิดจากแร่หินบนภูเขาธารตะวัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านของลินดอส ทุกๆเช้า เขาจะออกเดินทางไปขุดศิลาตะวันที่ฝังอยู่ตามช่องเขาและลำธารเพื่อนำมาสกัดเป็นสินค้าของร้าน ศิลาตะวันจะให้แสงสว่างเจิดจ้าและสามารถใช้เป็นพลังงานความร้อนได้อีกด้วย จึงเป็นสินค้าที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายเพราะน้อยคนนักที่จะชอบความมืดและความเหน็บหนาวในยามค่ำคืน


    "ผมขอแนะนำให้รู้จักกับอีกหนึ่งคุณสมบัติของศิลาตะวันชิ้นนี้..." ลินดอส ร่ายมนตร์เสน่ห์ในการขายต่อไป "คุณรู้ไหมว่าคุณเองสามารถปรับระดับความสว่างของศิลาตะวันรุ่นนี้ได้เพียงแค่สัมผัส" เขาใช้มือซ้ายลูบศิลาตะวันชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายลูกแก้วพยากรณ์อย่างทะนุถนอม แสงที่ริบหรี่ก็พลันแจ่มจ้าจนทั้งร้านกลายเป็นสีทอง


    "โอ๊ย.. พ่อเราทำอะไรเนี่ย แปปนะ
    เจนีวา" เราลืมไปเลยว่าเอลลินด์กำลังคุยกับเต่าทองตัวน้อยที่ทำหน้าที่สื่อสารคล้ายกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ในโลกของพวกเราอยู่ แต่สำหรับพวกเขา เต่าทองน้อยที่นั่นคือสัตว์ที่ทำหน้าที่เป็น มินิเทเลบั๊กส์ ให้กับชาวเมืองที่ต้องการติดต่อสื่อสารกัน และแน่ล่ะ เต่าทองน้อยต้องได้สิ่งตอบแทนจากชาวเมืองผู้ใช้บริการแน่นอน


    เอลลินด์พยายามกำเต่าทองน้อยตัวนั้นไว้ในกำมือแน่นๆเพื่อไม่ให้เพื่อนของเธอได้ยิน แล้วชะโงกหน้าไปบอกลินดอส
    "พ่อคะ มันแสบตานะ!!"


    "แน่นอนครับ แน่นอน คุณต้องทำให้มันสว่างน้อยกว่านี้ได้แน่นอนครับ" เขารีบบอกลูกค้าทันทีที่เห็นสีหน้าของลูกสาว เขาลูบศิลาตะวันในทิศทางตรงกันข้ามและทำให้แสงนั้นสลัวลงสวยงามดุจแสงจันทร์ "นี่ครับ ความสวยงามที่คุณเลือกได้" ลูกค้าทั้งหลายพากันปรบมือเกรียวกราวแสดงความพออกพอใจกับการแสดงของลินดอสในครั้งนี้


    และในที่สุดเขาก็ขายศิลาตะวันชิ้นนั้นได้เสียที


    "จ้า.. เรียบร้อยแล้วล่ะ จะว่าไปก็ขำดีเนอะ"
    เช่นกัน ในที่สุดเอลลินด์ก็ได้คุยกับเพื่อนของเธอต่อเสียที
    "แหม พ่อเอลลินด์นี่น่ารักจังเลยนะ น่าอิจฉาจัง" เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกปล่อยออกมาจากการกระพรือปีกของเต่าทองน้อย
    "ฮื่อ.." เธอตอบด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความภูมิใจในตัวลินดอส พ่อที่แสนน่ารักของเธอ "...เรารักพ่อมากๆเลย"


    เอลลินด์เป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบหกปี ที่มีหน้าตาน่ารักและอ่อนโยน ไม่ต่างจากพ่อของเธอ ผมสีน้ำตาลอ่อนคล้ายทุ่งข้าวโอ๊ตในฤดูเก็บเกี่ยวถูกผูกเป็นเปียสองข้างอย่างพิถีพิถัน ตลอดชีวิตของเอลลินด์มีแต่ความสุขและความอบอุ่นที่ได้รับจากพ่อและเมืองแห่งนี้ จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะรักและหวงพ่อของเธอเอามากๆ
    ..พ่อคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเอลลินด์


    "พ่อคะ เมื่อกี๊ขายได้เยอะมั้ย?"
    เอลลินด์เดินไปหาพ่อที่กำลังจัดสินค้าหน้าร้านพลางกางมือปล่อยเจ้าเต่าทองน้อยให้บินจากไป
    "ก็พอสมควรล่ะลูก คุ้มค่าโฆษณาน่ะ" ลินดอสตอบลูกสาวด้วยใบหน้าชื่นบาน "นี่เป็นเพราะลูกเลยนะ เอลลินด์.."
    "หือ? หนูเหรอ?" เธอขมวดคิ้วมองพ่อ
    "ใช่สิ เพราะลูกนี่แหละ ทำให้พ่อหาศิลาตะวันได้มากมายขนาดนี้" ผู้เป็นพ่อมองใบหน้าลูกสาวที่กำลังสงสัยอย่างอ่อนโยน
    "ยังไงอ่า หนูแค่ขึ้นไปบนภูเขาธารตะวันกับพ่ออาทิตย์ละครั้งเองนะ แล้วพ่อก็เป็นคนหาเจอทุกครั้งเลยด้วย"
    "ก็เพราะลูกขึ้นไปกับพ่อนี่แหละ.. ดูเหมือนว่าลูกจะเป็นเจ้าหญิงแห่งแสงสว่างของพ่อเลยนะ" เขาพูดไปยิ้มไป
    "ลูกไม่สงสัยบ้างเลยเหรอ ว่าทำไมศิลาตะวันที่มีค่าขนาดนี้ยังไม่ถูกชาวเมืองคนอื่นๆมาขุดเอาไปหมด.. " เขาพูดให้ดูเหมือนเป็นคำถามไร้สาระแต่ว่า..
    "จริงด้วยแฮะ ถ้าเป็นหนู คงขึ้นไปขุดมาใช้เองแล้วล่ะ.. หมายความว่าพ่อเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถขุดศิลาตะวันออกมาได้!!"
    "เอาเถอะเอลลินด์" เขาหยิกแก้มสีชมพูของลูกสาวเบาๆแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา "เต่าทองของเจนีวาเหรอลูก?"
    "ค่ะ เจนชวนหนูไปงานดนตรีฤดูใบไม้ร่วงที่ลานประจำเมืองน่ะค่ะ"
    "อ้อ ใช่แล้ว! นี่จะหมดฤดูร้อนแล้วสินะ จะถึงเดือนตุลาแล้ว ไวจริงๆ"
    "พ่อไปด้วยกันมั้ย จะได้ไปนั่งฟังเพลงด้วยกันแบบตอนเด็กๆไงคะ" เอลลินด์ส่งสายตาไปยังพ่อของเธอ "น่า นะ.."
    "เอ้อ ไปก็ไป" และแล้วก็เป็นไปตามนั้น เอลลินด์กระโดดกอดพ่อแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปในห้องของเธอ


    ลินดอสมองตามลูกสาวสุดที่รักขึ้นไปอย่างมีความสุข แล้วส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูก่อนจะหยิบสร้อยมุกสีชมพูที่มีจี้ศิลาตะวันรูปใบเมเปิลขึ้นมาใส่กล่องของขวัญใบเล็ก แล้วผูกริบบิ้นให้สวยงาม "คงจะถึงเวลาจริงๆแล้ว..." เขาพึมพำกับกล่องของขวัญนั้นเบาๆ "ก็ลูกนั่นแหละเอลลินด์.. เจ้าหญิงน้อยของพ่อ..."


    เอลลินด์มักใช้เวลาส่วนใหญ่ในบ้านอยู่ในห้องของเธอ วาดรูปหรือไม่ก็จดบันทึกเรื่องราวที่ประทับใจเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ห้องของเธอเป็นสีน้ำตาลเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผนังไม้ พื้นไม้ขัด ชั้นวางหนังสือ หรือแม้แต่ผ่าปูที่นอน


    เจนีวามักจะถามเธออยู่เสมอเวลามาเล่นกับเธอที่บ้านว่า
    "เราว่าผ้าปูที่นอนสีน้ำตาลมันดูแปลกๆนะ เธอนอนไปได้ไงเนี่ย?"


    แล้วเอลลินด์ก็มีคำตอบเดียวอีกเช่นกันว่า
    "ก็มันสวยดีนี่นา" แล้วเธอก็กระโดดลงไปนอนบนเตียงนุ่มๆสีน้ำตาลนั้นอย่างรักใคร่


    กลับมาที่ปัจจุบันเสียก่อนดีกว่า.. เพราะเธอกำลังนั่งเหม่อนึกถึงความสนุกสนานในวัยเด็กจนตอนนี้เกือบจะเที่ยงเสียแล้ว เธอวางดินสอไม้ที่ใช้วาดรูปเล่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน.. ก็สีน้ำตาลอีกแล้ว

    "ชักไม่อยากให้ศิลาตะวันมีค่ามากเกินไปซะแล้ว.. กลัวจังเลย ว่ามันจะทำลายบ้านสีน้ำตาลของเรา"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×