คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8++ประวัติทหารดุ++
“เฮ้ย ทำไมชุดนอนเปื้อนแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นน่ะพิ้งค์” หล่อนเห็นคราบเปรอะเปื้อนแล้วก็ร้องตกใจ
เวียงพิงค์ยิ้มจืด ๆ ตอบเพื่อนว่า “เมื่อกี้เราล้มที่ชายป่าน่ะ”
“ไปล้มที่นั่นได้ไง ออกไปทำไมดึกดื่น” คิ้วของไหมซีแทบจะผูกเป็นโบอยู่แล้ว เพื่อนตอบไม่ทันใจหล่อนก็คาดเดาไปต่าง ๆ นานา
“หรือว่าเดินละเมออีกแล้วเหรอ”
คำสันนิษฐานของเพื่อนทำให้เวียงพิงค์อึ้ง หล่อนไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มานานแล้วเพราะไม่มีอาการมาหลายปี แต่ในเมื่อไหมซีพูดขึ้นมาแล้ว เวียงพิงค์ก็ได้ทีไหลตามน้ำ เพราะชักไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นคืออะไรหล่อนก็ไม่อยากพูดให้เพื่อนกังวล
“ใช่จ้ะ”
“แปลก ไม่เห็นพิ้งค์เป็นตั้งนานแล้ว” ไหมซีนิ่วหน้า นึกถึงสมัยเรียน หล่อนกับเวียงพิงค์เช่าหอพักเป็นรูมเมทกันตลอดสี่ปี เวียงพิงค์เคยมีอาการเดินละเมอช่วงปีแรก หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเป็นอีก
“สงสัยเพราะแปลกที่มั้ง” เวียงพิงค์อ้างไปก่อน
ถ้าอิงจากข้อมูลที่อวัศย์พูด ที่นี่ไม่มีทหารคนอื่นอีกแล้ว เช่นนั้น ชายหนุ่มสวมเสื้อกางเกงสีเขียวคนนั้นเป็นใครกันและเขาเรียกหล่อนทำไม เวียงพิงค์ชักขนลุก และคิดว่าเรื่องนี้ต้องดูให้แน่ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปให้ใครฟัง
“แล้วเป็นอะไรมากไหม ชุดเลอะขนาดนี้ ล้มแรงเลยใช่ไหมเนี่ย” ไหมซีเป็นห่วงเพื่อนแล้วก้มสำรวจหัวจรดเท้า
“ถลอกนิดหน่อย ดีที่ได้พี่วัศย์ช่วยไว้”
“พี่วัศย์ไปช่วยเหรอ” ไหมซีสงสัยอีก
อวัศย์ไปทำอะไรที่ชายป่าอีกคนล่ะ !
“พี่เขาคงเห็นเราเดินออกมาพอดี ก็เลยตามไปดูน่ะ” เวียงพิงค์เข้าใจว่าอย่างนั้น
อวัศย์คงเดินตามมาติด ๆ ไม่เช่นนั้นตอนที่หล่อนสะดุดล้มคงคว้าหล่อนไว้ไม่ทัน น่าแปลกที่หล่อนไม่รู้ตัวว่าถูกตาม ไม่รู้เป็นเพราะสมาธิจดจ่ออยู่กับชายชุดเขียวตรงหน้า หรือเพราะอวัศย์มีฝีเท้าเบามากจนหล่อนจับเสียงไม่ได้
“ดีนะที่พี่วัศย์เห็นพิ้งค์ออกมา ไม่งั้นไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น”
เวียงพิงค์พยักหน้าเออออไปตามเรื่อง แต่ในใจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่
“เอ้อไหม เราสงสัยอย่างหนึ่ง”
“อะไรเหรอ” ไหมซีตั้งใจฟังคำถามเพราะเห็นเพื่อนทำหน้าจริงจัง
เวียงพิงค์กลอกตาคิด เรียบเรียงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในใจแล้วก็ตัดสินใจถามออกมาว่า
“แขนของพี่วัศย์...”
“อ๋อ แขนซ้ายใช่ไหม”
เวียงพิงค์ยังไม่ทันถามจบ ไหมซีก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน เวียงพิงค์จึงคิดว่าสิ่งที่ตนสงสัยอาจมีเค้าเป็นไปได้
หญิงสาวชาวกรุงรีบพยักหน้า “ใช่ แขนเขาเป็นอะไรหรือเปล่า”
หล่อนเพิ่งมาสังเกตได้ตอนค่ำนี่เอง พอนึกเฉลียวใจแล้วคิดย้อนกลับไปตั้งแต่พบกันเมื่อช่วงสายถึงได้เห็นชัด อวัศย์ไม่ได้ขยับแขนซ้ายของเขาเลยสักครั้งเดียว ทั้งตอนแบกกระสอบของ ตอนที่ผู้ใหญ่ยกมือไหว้ เขาก็ทำแค่ผงกศีรษะรับ ตอนที่คว้าตัวหล่อนไว้ก่อนล้มลงก็น่าจะใช้มือข้างเดียว แต่ที่ทำให้เวียงพิงค์สะดุดใจที่สุดคงเป็นตอนที่หล่อนยึดแขนของเขาไว้ พยายามจะปัดสิ่งสกปรกออกให้ เขาบอกว่าไม่ต้อง
แทนที่เขาจะดึงแขนกลับไป กลับต้องใช้มือข้างขวามาช่วยดึงแขนข้างซ้ายออกจากมือของหล่อน มันเป็นเรื่องผิดวิสัย คนปกติไม่ทำกันแบบนี้แน่
“แขนซ้ายพี่วัศย์ใช้การไม่ได้ ก็เหตุผลนี้แหละ เขาถึงออกจากราชการ”
ถึงจะมีความสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พอไหมซียืนยัน เวียงพิงค์ก็นึกใจหาย...
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” หล่อนถามต่อด้วยความสนใจ
“ตอนนั้นพี่วัศย์ไปประจำอยู่ชายแดนใต้ น่าจะปัตตานีนะถ้าจำไม่ผิด เขาโดนสะเก็ดระเบิดที่นั่น ทำให้เส้นประสาทเสียหายจนแขนใช้การไม่ได้” สีหน้าและน้ำเสียงของผู้เล่ามีความเศร้าสะเทือนใจแฝงอยู่
แม้เรื่องจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ไหมซีก็จำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้แม่นยำ หล่อนจำทั้งสภาพของลุงเขยและของอวัศย์ได้ หล่อนสงสารพวกเขามากแต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
“จากนั้นพี่เขาก็ออกจากราชการ รักษาตัวอยู่พักใหญ่ ๆ เลยนะ พอออกจากโรงพยาบาล ลุงยศก็พามาพักฟื้นที่นี่ จากนั้นลุงยศก็เสีย ที่ดินผืนนี้ก็เลยตกเป็นของพี่วัศย์” ไหมซีเล่ารวบย่อ แต่เวียงพิงค์ก็พอมองเห็นภาพ
“น่าสงสารพี่เขาเหมือนกันนะ” หล่อนเอ่ยเสียงเศร้า
ถึงแม้ไม่ใช่ญาติเชื้อแต่ก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ เพราะความเจ็บปวดและความสูญเสียที่อวัศย์ได้รับ เป็นเพราะเขาทำไปเพื่อปกป้องความสงบสุขของคนในชาติ หล่อนในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งย่อมรู้สึกสะเทือนใจ
“ถึงเราจะไม่ค่อยสนิทกับพี่เขาแต่ก็รู้สึกว่าชีวิตเขาผ่านอะไรมาเยอะ แต่ก่อนเราจะได้ฟังเรื่องของพี่วัศย์ผ่านทางลุงยศ ก็เลยรู้สึกผูกพันกับเขาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเขาเป็นพี่ชายของเราคนหนึ่งเลยละ” ไหมซีอธิบายความรู้สึกลึก ๆ เรื่องนี้หล่อนพูดในบ้านตัวเองไม่ได้ ขืนพี่ชายในไส้ได้ยินเป็นบ้านแตกแน่
เวียงพิงค์ได้ฟังก็อมยิ้ม “ดีจัง ไหมมีพี่ชายตั้งสองคน เราสิ ไม่มีใครเลย”
“มีสองคนจะดีหรือจะวุ่นก็ไม่รู้” เจ้าหล่อนทำหน้างอ
“ทำไมล่ะ” สาวชาวกรุงขมวดคิ้วสงสัย
“พี่สัวกับพี่วัศย์เขาไม่ค่อยถูกกันหรอก” ว่าแล้วไหมซีก็ปิดปากหาวหวอด
“ง่วงละ รีบนอนกันเถอะ พรุ่งนี้จะพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาฟูจิ”
“อ้าว” เวียงพิงค์ทำหน้าเหวอ มองเพื่อนเดินไปล้มตัวนอนที่เตียง ตัดอารมณ์ฉับกันอย่างนั้นเลย
หล่อนจึงอดฟังว่าพี่ชายในไส้กับพี่ชายนอกไส้ของไหมซีเขาไม่ถูกกันอย่างไร แถมยังไม่มีโอกาสถามด้วยว่า ‘ภูเขาฟูจิ’ ที่พูดหมายถึงอะไรเพราะไหมซีก็คือไหมซี หัวถึงหมอนเมื่อไหร่ ก็ไปเฝ้าพระอินทร์ได้ทันที หลับง่ายนอนง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเหมือนตัวหล่อนเลย
++++++++++++++++++++++
E-book พร้อมโหลดที่นี่ค่ะ
|
ความคิดเห็น