คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5++ดุอย่างกับเสือ++
“ไหมขอรบกวนสักสองสามคืนนะพี่วัศย์”
เสียงแจ้ว ๆ ของไหมซีลอยมาเข้าหู อวัศย์จึงละสายตาจากแขกหันมามองญาติผู้น้อง
“ไม่มีปัญหา พี่ให้ป้ากุลเตรียมห้องไว้ตั้งหลายวันแล้ว”
ไหมซีโทร.บอกหลายวันแล้วว่าจะพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านแต่ไม่รู้ว่าวันไหนแน่ อวัศย์จึงเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย
“ขอบคุณค่ะ” สาวชาวม้งยิ้มประจบ
อวัศย์ปรายตามองไปทางเวียงพิงค์อีกครั้งหนึ่ง หล่อนงุดหน้าลง ยืนเจี๋ยมเจี้ยมน่าตลก อวัศย์คิดว่าเพื่อนไหมซีคนนี้คงจะเป็นเด็กขี้อาย ส่วนไหมซีเป็นคนร่าเริง พูดเก่งเป็นต่อยหอย แต่ก็คบกันได้คงเพราะคนหนึ่งพูดคนหนึ่งฟังจึงอยู่กันยืด
“เดี๋ยวไหมไปเอากุญแจที่แกแล้วกันนะ พี่ขอตัวก่อน”
“ค่ะ”
เขาบอกหลานสาวของแม่เลี้ยงแล้วก็เดินจากไป เมื่อเหลือเพียงสองสาว เวียงพิงค์ก็หายใจหายคอคล่องขึ้น
“ไปเอากุญแจแล้วไปดูห้องกัน”
เวียงพิงค์พยักหน้ารับคำชวน ชักตื่นเต้นเพราะอยากเห็นบรรยากาศภายในห้องพักเหมือนกัน ดูจากภายนอกแล้วออกแบบได้น่าสนใจ เมื่อได้กุญแจมา ไหมซีนำทางเปิดเข้าไป ไหมซีเองก็เพิ่งเห็นการตกแต่งภายในเป็นครั้งแรก สองสาวเดินสำรวจทุกซอกมุมของห้อง
“ห้องน่ารักจัง” สาวชาวกรุงชม
“หวานเนอะ พี่วัศย์บอกว่าห้องนี้สำหรับคู่รัก เพราะงั้นคืนนี้เราสองคนก็ต้องจู๋จี๋กันหน่อย” ไหมซีหัวเราะคิก ๆ
“ไหมน่ะ ชอบพูดแบบนี้น่ะสิ คนที่คณะถึงเข้าใจพวกเราผิดไปหมด” เวียงพิงค์ค้อนใส่
ก็เพราะอย่างนี้ไงเล่าถึงไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบ สมัยเรียน ทั้งหล่อนและไหมซีไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลย นอกจากไม่ได้เปิดทางให้ใครแล้ว ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีหนุ่มคนไหนกล้าเข้ามาจีบ เพราะสองสาวตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ จนบางทีมีข่าวเม้าท์ลอยมาเข้าหูว่าหล่อนสองคนเป็นคู่เลสเบี้ยน เวียงพิงค์ฟังแล้วกุมขมับ แต่ไหมซีกลับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน ซ้ำยังแกล้งอำให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เสมอ
หล่อนเอ็ดให้อย่างนั้นแล้ว ไหมซีก็ยังทำเป็นเรื่องตลก ไม่มีท่าทีจะสำนึก เวียงพิงค์โคลงศีรษะอย่างระอา แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“ห้องหวานขนาดนี้ ไม่เข้ากับหน้าเจ้าของรีสอร์ตเลย”
“หน้าพี่วัศย์ทำไม” ไหมซีถามพลางทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงกลิ้งไปมาสองรอบทดสอบความนุ่ม
“เปล่าหรอก”
คนถามผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าเพื่อน เพราะจับความผิดปกติบางอย่างได้ในน้ำเสียง ในคำว่า ‘เปล่าหรอก’ ของเวียงพิงค์ น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ คบกันมาหลายปีทำไมไหมซีจะจับสังเกตไม่ได้
“เฮ้ย ไม่ต้องเกรงใจ พูดมาเถอะ หน้าพี่วัศย์ทำไม”
เวียงพิงค์ยื่นปาก จะพูดดีหรือ... เมื่อเพื่อนจ้องมองมาอย่างไม่ยอมปล่อยผ่านหล่อนจึงยอมพูด
“หน้าโหดอย่างกับโจรป่า แถมดุอย่างกับเสือ” หล่อนว่าเข้าให้
ไหมซีหัวเราะพรืดแล้วชันตัวขึ้นนั่ง
“เฮ้ย พี่เขาออกจะหล่อ สาว ๆ แถวนี้อยากเข้าคิวเสนอตัวกันตรึม แต่ติดว่าเกรง ๆ เขาอยู่เลยไม่กล้าออกอาการนัก” สาวม้งแก้ตัวให้พี่ชายนอกไส้
เวียงพิงค์ทำหน้าไม่เชื่อคำคุยของเพื่อนสนิท
“แปลว่าดุจริงใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ดุหรอก พี่วัศย์แกก็แค่เป็นคนไม่ค่อยพูด แล้วหน้าที่พิ้งค์ว่าดุน่ะ มันก็คือหน้าปกติของแก” ไหมซีอธิบาย
เวียงพิงค์นึกถึงใบหน้าที่เพื่อนว่า ‘ปกติ’ ยังทำเอาหล่อนขวัญหนีดีฝ่อ ตอนที่เขาดุว่าไม่ควรเดินเข้ามาที่นี่ แล้วจ้องมองมาด้วยสายตาตั้งคำถามว่าหล่อนเข้ามาทำไม ทั้งสีหน้าและดวงตาของเขาเข้มงวดจนหล่อนใจเสีย เวลาถูกพ่อแม่ดุก็ยังไม่ฝ่อขนาดนี้
“งั้นตอนหน้าดุจะขนาดไหนเนี่ย” หล่อนย่นจมูก
ไหมซีหัวเราะ
“จริง ๆ แกใจดีจะตายไป แต่หน้าตาท่าทางทำให้คนไม่ค่อยกล้าเข้าหา อีกอย่าง พี่เขาไม่ใช่คนพื้นที่ เพิ่งจะย้ายมาอยู่ได้ไม่ถึงสองปีเอง”
เวียงพิงค์รับฟังข้อมูลไว้ แล้วก็มีข้อสงสัยต่อ
“เอ้อ เห็นลุงคนนั้นเรียกพี่เขาว่าผู้กอง เขาเป็นตำรวจเหรอ”
“เปล่า พี่เขาเคยเป็นทหารนาวิกโยธินมาก่อน แต่ออกจากราชการแล้วนะ”
เวียงพิงค์พยักหน้าแล้วนึกตาม ที่คนงานขู่ชายอนาถาว่าเจ้าของที่เป็นทหาร ทีแรกหล่อนนึกว่าหมายถึงลุงเขยของไหมซี ซึ่งหล่อนทราบว่าเป็นทหารแน่ ๆ แต่ที่จริงน่าจะหมายถึงอวัศย์ เจ้าของคนปัจจุบันมากกว่า
มิน่าล่ะ รูปร่างท่าทางของเขาถึงแปลกแยกจากพวกคนงาน โดดเด่นเตะตาออกมาชัดเจน ทีแรกหล่อนก็นึกว่าคงเป็นหัวหน้าผู้รับเหมาอะไรเทือกนั้น เพราะไม่คิดว่าเจ้าของรีสอร์ตจะลงมาทำงานเสียเอง พอไหมซีบอกว่าเป็นทหาร หล่อนก็คิดว่าใช่เลย...รูปร่างของเขาสูงใหญ่ มัดกล้ามที่ต้นแขนและลำตัวแข็งแกร่ง พอบอกว่าเป็นทหารมาก่อนแล้วก็ไม่นึกติดขัดอะไรเลย เวียงพิงค์พอจะนึกจินตนาการภาพออกทีเดียว
“ลุงยศเล่าให้ฟังว่า พี่วัศย์เคยผ่านการฝึกนักรบรีคอน เป็นหลักสูตรการฝึกที่โหดที่สุดหลักสูตรหนึ่งของกองทัพไทย ลุงเคยเอารูปให้ดูด้วยนะ เท่อย่างนี้เลย”
ที่จริง สมัยก่อนไหมซีก็ไม่ได้เจออวัศย์บ่อยนักเพราะเมื่อพ่อแม่แยกทาง อวัศย์อยู่กับแม่ นาน ๆ ครั้งพ่อจะรับตัวมาเยี่ยมเยียนที่นี่
เรื่องราวของอวัศย์ ไหมซีจึงได้รับรู้ผ่านลุงเขยเป็นส่วนมาก โอกาสพบกันน้อย ตอนเด็ก ๆ ยังพอมีเจอะเจอกันบ้าง แต่หลังจากอวัศย์สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้ก็ไม่ค่อยจะได้เจอ
ต่อมาช่วงที่เขาออกจากราชการมาอยู่ที่นี่ ไหมซีก็ไม่ได้อยู่บ้าน เพราะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ หล่อนกลับบ้านทีจึงจะได้พบปะกัน แต่ไหมซีกลับรู้สึกผูกพันกับอวัศย์มาก คงเพราะฟังเรื่องราวของเขาผ่านทางลุงเขยมาตั้งแต่เธอยังตัวกะเปี๊ยก
เวลาลุงยศคิดถึงพี่วัศย์ อยากพูดถึง หรือมีเรื่องภาคภูมิใจในตัวลูกชายไม่รู้จะอวดกับใคร ก็ต้องมาอวดกับไหมซีนี่แหละ มีหล่อนคนเดียวที่นั่งฟังเรื่องของพี่วัศย์ได้เป็นวัน ๆ ไม่มีเบื่อ
เวียงพิงค์ได้ฟังประวัติคร่าว ๆ ของอวัศย์แล้วก็นึกทึ่ง ถ้าไม่ติดว่าไหมซีบ่นหิว ชวนกลับไปกินข้าวที่บ้าน หล่อนคงจะได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นี้จากไหมซีอีกมาก
++++++++++++++++++++++++++++++
|
ความคิดเห็น