คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 5 เรื่องที่ขำไม่ออกในสงครามโลกครั้งที่ II (ตอนที่ 3) เกมโหด (เนื้อหารุนแรงไปนิด)
การสังหารหมู่นานกิง (Nanking Massacre)
เหตุการณ์การฆ่า การทรมาน การข่มขืน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ คงไม่มีคราวไหนที่ยิ่งใหญ่ และเลวร้ายเท่ากับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองแล้ว
ที่ยุโรป ตะวันตกต้องยกให้กองทัพนาซี ฮิตเลอร์ ที่กระทำกับชาวยิว ชาวโปลด์ ตายเป็นบือ
แต่ทางตะวันออก.... เราต้องยกให้กองทัพญี่ปุ่น กองทัพลูกพระอาทิตย์ กองทัพของจักรพรรดิ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกองทัพที่โหด เหี้ยม ที่สร้างความเลวร้ายที่สุดให้กับแผ่นดินของประเทศนั้นๆ อย่างประมาณค่ามิได้
ในช่วง ปี ค.ศ. 1931 ถึง 1945 14 ปีเต็มๆ ถือได้ว่าเป็นเวลาแห่งความหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแต่ละประเทศในเอเซีย ที่ญี่ปุ่นบุกเข้ามา และกระทำการโหดร้ายให้โลกกระบือ
แต่ไม่เพียงชาวจีนที่เป็นเหยื่อโหดของลูกพระอาทิตย์ แม้แต่เชลยชาวตะวันตกและประชาชนประเทศพื้นเมืองนั้นก็ตกเป็นเหยื่อแสนโหดด้วยเช่นกัน
ที่สิงห์โปร์ มีรายงานว่าทหารและพลเรือนชาวอังกฤษตลอดจนชาติยุโรปอื่นๆ มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกนำตัวมาทรมานทรกรรมเพื่อความสนุกสนานของกองทัพญี่ปุ่น
ทำไมต้องสนุกสนาน ไม่มีอะไรมากหรอก เนื่องจากความกดดันในกองทัพ โดยเฉพาะทหารระดับพลทหารนั้นต้องเป็นพวกรองรับอารมณ์ของนายทหารรุ่นใหญ่อยู่เสมอๆ ไม่ว่าการต้อนรับใช้ การพินอบพิเทา สารพัดจะเอาใจ จนนายทหารระดับสูงเกิดเห็นใจ(แบบไม่เข้าเรื่อง) เลยให้ลูกน้องตนได้ผ่อนคลายบ้างสนุกสนานบ้าง วิธีที่ดีที่สุดก็ให้พวกทหารหนุ่มๆ ไร้อันดับ เหล่านี้ ไปหาความสุขจากการข่มขืนและสังหารชาวบ้านบ้าง เพื่อเป็นการปลอบประโลม!???
โดยการทรมานสุดฮิต และขึ้นชื่อที่สุดในหมู่ทหารญี่ปุ่น คือ “เกมไข่ระเบิด”
วิธีเล่นก็ง่ายๆ คือจับชาวตะวันตกมาแก้ผ้า แล้วนำมาขึงไว้กลางแดดจ้า มือทั้งสองข้างตอกตรึงติดกับพื้นด้วยตะปูขนาดใหญ่จนขยับไปไหนไม่ได้ ส่วนขาสองข้างก็ถูกตรึงไว้บนพื้นเช่นกัน
จากนั้นก็ทุเรศสักนิด เพราะมีการดึงหนังอัณฑะให้แผ่ตึง พร้อมกับใช้ไม้ไผ่ชุบน้ำทำการขึง หนังอัณฑะให้แผ่ตึงที่สุดเท่าที่ทำได้
เมื่ออยู่กลางแดด ตลอดจนไม้ไผ่ชุบน้ำที่ถูกแดดเผาจนความชื้นหดหายไป ย่อมทำให้ไม้ไผ่เกิดอาการตึงตัว รวมทั้งอุณหภูมิที่สะสมความร้อนจนเดือดพล่านภายอัณฑะที่ถูกแผ่ตึงจนน้ำหล่อเลี้ยงภายในเดือดสุกกลางแดด สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอาการ “ระเบิด” ขึ้นภายในถุงอัณฑะ
การระเบิดทำให้ลูกอัณฑะทั้งสองฉีกผนังอัณฑะออก มาในอากาศพร้อมกระเด็นหวืดลอยขึ้นสูง และทำให้เชลยชายรายนั้นเจ็บปวดทรมานจนถึงแก่ความตายในที่สุด
เกมนี้เป็นเรื่องสนุกของญี่ปุ่นเป็นอย่างมากเพราะมีการพนันขันต่อว่า ลูกอัณฑะลูกไหนจะระเบิดก่อนและพุ่งไปทิศทางไหนอย่างสนุก
ที่เกาะเบอร์เนียก็มีเกมสนุกแสนอัปยศเหมือนกัน เกมนี้มีชื่อว่า “โซ่มนุษย์”
เกมก็เล่นง่ายๆ เอาเชลยศึกที่ถูกับมาแก้ผ้าและมาเรียงตัวกันเป็นแถวเรียงเดี่ยว เรียงกัน เรียงกัน จากนั้นกองทัพญี่ปุ่นก็สั่งให้เชลยศึกเหล่านั้น “เสพเวจมรรค” ถ้าใครไม่ทำตามก็ถูกตัดหัว ณ ที่แห่งนั้น แม้ตายแล้วก็ต้องสวมอีก......เป็นแถวๆ เรื่อยไป
ถ้ามีผู้ทำ “โซ่มนุษย์เวจมรรค” ไม่สำเร็จ จู่ๆ มีการหลุดเมื่อใดละก็ จะถูกตัดหัว เช่นกัน
ว่ากันว่าร่างที่หัวขาด และเลือดที่พุ่งกระฉูดที่กลิ้งโคโล่ลงไปเปื้อนขี้โคลนขี้ดินเป็นภาพที่แสนโหดร้ายที่สุดในโลก บางรายตายในขณะน้ำกามออกมาแบบไม่หยุดนานเป็นนาทีก็มี
ผลงานชิ้นเอก ก็เห็นไม่เกินคดีที่นานกิง
การสังหารหมู่นานกิง (Nanking Massacre) หรือรู้จักกันในนาม "การข่มขืนที่นานกิง" เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการที่ทหารกองทัพจักพรรดิญี่ปุ่นเข้าบุกยึดเมืองนานกิงไว้ได้ในวันที่ 13 ธันวาคม 1937 เป็นส่วนหนึ่งในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และต่อมาคือส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง
แน่นอนมีประชาชนชาวนานกิงตายนับล้านคนเพราะทหารญี่ปุ่นในเวลานั้น แต่ฆ่าเฉยๆ มันไม่สนุก ทหารญี่ปุ่นเลยต้องฆ่าในรูปของเกมส์
เกมสนุกแต่ผู้อพยพกลัวมากที่สุด เริ่มจากทหารญี่ปุ่นจะจับผู้อพยพมัดมือมัดเท้าอย่างหนาแน่นจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ช่วยกันจับผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้โยนในบ่อน้ำที่มีความลึกไม่มากนัก
การที่เลือกบ่อน้ำไม่ลึกนักก็เนื่องจากทำให้สามารถมองเห็นเหยื่อได้ง่ายๆ และระดับน้ำตื้นๆ นี้ทำให้อาวุธที่ทหารญี่ปุ่นทิ้งไปจะได้ออกฤทธิ์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
และจากนั้นสิ่งที่ญี่ปุ่นโยนลงบ่อน้ำหรือสระน้ำตื้นๆ คือระเบิดมือครั้งละหลายๆ ลูกนี้เอง
ยิ่งน้ำตื้นเท่าไหร่ แรงระเบิดและสเก็ตระเบิดก็จะพุงเข้าสู่เป้าหมายซึ่งก็คือเหยื่อก็ดิ้นกระแด่วๆ อยู่ใต้น้ำได้มากมาย รุนแรงและหวังผลได้แน่นอนเท่านั้น
ทุกครั้งที่ระเบิดถูกขว้างลงไปพร้อมๆกันหลายๆจุดนั้นมีส่วนให้เหยื่อทั้งหลายในบ่อถูกแรงระเบิดอัดจนร่างแหลกเหลวชนิดที่เลือด เนื้อ และอวัยวะภายในถูกบีบอัดจนฉีดกระจายลอยขึ้นไปในอากาศสูงนับสิบๆ เมตร อย่างน่าสยดสยอง เป็นเกมสุดหฤหรรษ์อีกเกมหนึ่งของกองทัพที่มักเรียกร้องกันทำบ่อยที่สุด
มีเหยื่อคนหนึ่งถูกกลุ่มทหารญี่ปุ่นที่บุกเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง และจับชายคนนี้ได้ พวกกองทัพหัวเราะชอบใจเมื่อคิดค้นวิธีการที่จะเล่นสนุกกับเหยื่อคนนี้ได้
นั้นคือการเอาน้ำกรดไนตริก ราดร่างเหยื่อ
เริ่มจากการจับหนุ่มรายนั้นแก้ผ้าเปลือยล่อนจ้อน จากนั้นก็เอากรดไนตริกเข้มข้นราดรดไปที่ร่างหนุ่มรายนั้นโดยราดจากส่วนหัวมาสู่เบื้องล่าง
น้ำกรดรุนแรงกัดทั่วใบหน้าและเนื้อตัวของเหยื่อชาวจีนมีกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณ จากนั้นทหารญี่ปุ่นก็ปล่อยให้ชายหนุ่มนี้เดินสะเปะสะปะไปตามทาง เมื่อชายหนุ่มนี้แช่งด่า ก็หัวเราะชอบใจ โดยไม่ทำอะไรกับชายคนนี้ทั้งสิ้น แต่ต่างเดินตบมือ เป่าปาก ส่งเสียงเชียร์หนู่มเปลือยที่ร่างถูกน้ำกรดเซาะเว้าแหว่งไปสักพักจนกระทั้งหนุ่มนานกิงรายนี้ล้มลงและขาดใจตายไปด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในที่สุด
อีกเกมหนึ่งที่ขอนำเสนอคือเกมหนีจากหลังคาตึกที่ไฟไหม้ โดยทหารญี่ปุ่นจะต้อนเหยื่อนับร้อยๆ รายถูกบังคับให้เดินขึ้นบนหลังคาของอาคาร
พวกเขาต่างคร่ำครวญ ร้องไห้ ร้องขอชีวิต เพราะรู้ว่าซะตากรรมของตัวเองจะต้องตกอยู่ในรูปแบบใด แต่มีหรือว่ากองทัพของญี่ปุ่นจะเมตตา
เมื่อเหยื่อทุกคนถูกต้อนขึ้นไปบนหลังคาครบถ้วนแล้ว ทหารญี่ปุ่นก็ยืนจังก้าอยู่เบื้องล่างต่างพากันจุดไฟเผาอาคารแห่งนั้นจนลุกโพลง
คราวนี้เหยื่อจำนวนไม่น้อยต่างรู้ว่าพวกเขาคงต้องถูกย่างสดอยู่บนหลังคาตึกเป็นแน่ ต่างพากันกระโดตึกฆ่าตัวตายกันหลายราย
เสียงคนโดดลงมาคอหัก หลังหัก หรือพิกลพิการนั้นก่อให้เกิดความกดดันต่อพวกที่อยู่บนหลังคาอย่างมหาศาล ประกอบด้วยเสียงปืนของทหารญี่ปุ่นยิงขู่ และระดมยิงใส่ร่างเหยื่อเคราะห์ร้ายที่โดมาจากหลังคาตึกแล้วยังไม่ตายทันทีนั้นเสียดแทงบาดลึกจนถึงหัวใจ
แต่ท้ายสุด พวกที่รอความตายที่อยู่บนหลังคาที่โดนไฟเผานั้นคือพวกที่ส่งเสียงร้องด้วยความทุกข์ทรมานมากที่สุดและใช้เวลานานพอสมควรที่จะตายด้วยการถูกย่างทั้งเป็น
ภาพคนที่วิ่งพล่าน ดิ้นทุรนทุรายลุกท่วมจนตกหลังคาลงมาตายในที่สุดนั้นเป็นภาพชวนสลดหดหู่อย่างยิ่ง
ผู้หญิงนานกิงที่กำลังตั้งครรภ์นั้นแทนที่จะได้รับการยกเว้นกลับเป็นเหยื่อที่ทหารญี่ปุ่นชอบทารุณกรรมมากที่สุด
เริ่มต้นด้วยการถูกทหารญี่ปุ่นทั้งกลุ่มมาลงแขกก่อน(ข่มขืนนั้นแหละ) เมื่อสำเร็จความใคร่แล้ว จากนั้นก็สังหารให้ตายคามือ และเมื่อเหยื่อตายแล้วก็ผ่าท้องเธอออกแล้วควักเอาทารกอ่อนที่อยู่ในครรภ์นั้นออกมา
แล้วตัวอ่อน(ทารก) นั้นก็กลายเป็นของเล่นชนิดพิเศษที่ทหารญี่ปุ่นเอามาเล่นเป็นฟุตบอลกันในท้องถนนอย่างเพลิดเพลินสำราญใจ หากมีเจ้านายคนไหนผ่านมา พวกทหารเหล่านั้นก็หยอกล้อโดยใช้ดาบปลายปืนที่เสียบอยู่กับตัวอ่อนนั้นทำการโบกปลายมาคล้ายกับเป็นการทำความเคารพแบบล้อเลียน
สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาจากเจ้านายก็คือ.........รอยยิ้ม "โอ้พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก วันหลังทำแบบนี้กับสาวๆ ท้องแก่อีกน่ะจะรอดู ฮ่าๆ"
นอกจากนี้ยังมีการจัดเกมการแข่งขันสังหารโหด โดยเป็นการสนับสนุนของผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นเองน่ะเนี้ย เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้บรรดาทหารญี่ปุ่นที่นานกิงโดยเฉพาะ(แค่นี้ยังไม่พอหรือพี่)
การเล่นน่ะทำเป็นระบบเลยล่ะ มีการจัดทำ เรียบเรียง จำนวนเหยื่อที่สังหาร และทำออกเป็นรายงานเพื่อประเมินว่าใครจะเป็น "เดอะ วินเนอร์"ในการสังหารเหยื่อชาวนานกิงด้วย
การแข่งขันก็มีหลายสนาม แต่จุดที่เป็นอัปยศมากที่สุดคือสนามแข่งขันที่ ภูเขาซิจิน ถือว่าเป็นจุดที่ประณามจากทั่วโลกมากที่สุด
รายงานอัปยศระบุว่า ร้อยโทมูไก และร้อยโทโนเดะต่างทำสถิตสังหารชาวจีนในระดับ 105 และ 106 ศพตามลำดับ ทั้งสองสามารถทุบสถิติเก่าที่สนามแข่งขันอื่นที่ทำสถิต 89 และ 78 สำเร็จอย่างงดงาม
และยังมีสถิติอีกน่ะ ร้อยโททานะกะ กูนิกิชิ เป็นผู้ทำลายสถิตสังหารเหยื่อโดยใช้ดาบปลายปืน ไม่ใช้กระสุนปืนเลย เป็นจำนวนถึง 300 ศพ ไม่มีใครโค่นลงได้
และรายงานทั้งหมดได้รับการแพร่กระจายกลับไปที่ญี่ปุ่นราวกับพวกเขาเป็นนักกีฬาดีเด่นหรือซูเปอร์ฮีโร่กระนั้น
ผลงานอันสุดยอดของทหารนานกิงที่นานาชาติมักโจมตีญี่ปุ่นมากที่สุดคือการข่มขืนหมูนานกิงที่สตรีชาวนานกิงนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้รับเคราะห์มากกว่าใครๆ
แทบทั้งหมดต่างถูกข่มขืนอย่างสุดแสนทารุณก่อนที่จะสังหารอย่างเลือดเย็น หรือบางรายขอความเมตตาบ้าง หรืออาจมีการพิจารณาขอไว้ชีวิต แต่สิ่งที่ที่ตามมาของผู้รอดชีวิตคือประสบการณ์วิปลาสที่ยังหลอกหลอนจนถึงปัจจุบัน
ส่วนใหญ่นั้น สตรีนานกิงทุกเพศทุกวัยจะถูกข่มขืนราวกับสัตว์ป่า จากนั้นส่วนใหญ่จะถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกทรมานโดยใช้ดาบปลายปืนตัดเฉือนเต้านมทั้งสองข้างทิ้งไปพร้อมๆ กัน บาดแผลนั้นเห็นซี่โครงอย่างน่าสยดสยอง
บ่อยครั้งที่ทหารญี่ปุ่นจะทิ่มแทงหรือเสียบดาบปลายปืนพรวดเข้าไปหว่างขา(อวัยวะเพศ) หรือถูกคว้างอวัยวะขณะที่มีชีวิตอยู่ก็มี
บางรายเมื่อตายแล้ว พวกมันก็ย่ำยีศพอีกด้วยการทิ้ง แท่งไม้ ท่อนเหล็ก กระทั้งหัวแครอท คาไว้อวัยวะเหยื่ออย่างนั้น
ระหว่างที่เสร็จสิ้นการสังหารแล้ว กองทหารก็พากันหัวเราะชอบใจ ปรบมือดังอย่างสนุกสนานและชมมหกรรมครั้งสำคัญที่เขามีส่วนร่วมราวกับสัตว์นรกมาเกิด
ชาวนานกิงผู้หนึ่งได้คว่ำครวญถึงเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอว่า
"วันที่ 16 ธันวาคมนั้น ผมถูกกองทหารญี่ปุ่นคุมตัวไป มันไม่ได้สังหารผม แต่บังคับให้ผมทำหน้าที่เป็นพ่อครัวให้พวกมัน ขณะที่ผมเดินตามพวกมันไปตามถนนนั้น ผมเห็นชาวนานกิงที่เป็นชายเช่นเดียวกับผมนอนตายอย่างน่าเวทนานับเป็นร้อยๆศพ"
"แต่สิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้นก็คือ บรรดาศพสตรีทั้งหลายที่พอประเมินได้ จากจำนวน 8 ใน 10 คนนั้นล้วนแต่ถูกของมีคมตัดขาดกระจุย เห็นไส้และอวัยวะภายในพุ่งทะลึกออกมาแทบทั้งสิ้น พวกเธอเหล่านั้นล้วนแต่เป็นหญิงท้องแก่ที่ถูกผ่าเอาทารกอ่อนภายในออกไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งหย่อมเลือด และเต้านมของพวกเธอเหล่านั้นถูกตัดหายเหี้ยมไปหมด..........."
นี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่ง
ชายจีนอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าที่ฝังศพชาวเมืองนานกิงให้สัมภาษณ์ว่า
"ผมเห็นศพมากมายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จำวนศพนั้นมีมหาศาลนับหมื่นๆ ศพ กระจัดกระจายไปตามบึงน้ำ หรือบ่อน้อยบ่อใหญ่ กระทั้งบนกองฟางมีมากมาย ยอมรับว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ผมตะลึกจนเกือบซ็อก มันเป็นเรื่องยากที่จะบรรยายออกเป็นคำพูดได้ แต่ภาพผู้หญิงที่เห็นแต่ละคนนั้นทำให้ผมเห็นความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นก่อนที่จะสังหารเธอ ใบหน้าของพวกเธอหมองหม่น ฟันร่วงหลุดจากปาก ช่วงแก้มก็บ่บอกถึงรอยซ้ำจากการถูกของแข็งกระแทกจนกะโหลกแก้มหักร้าว เลือดที่แห้งคาปากชวนให้คิดว่าพวกเธอคงสำลักเลือดหรือไม่ก็ความเจ็บปวดสุดทรมาน"
"ผมเห็นทรวงอกเธอมีร่องรอยบาดแผลถูกของมีคมบาดจนเต้านมขาดกระจุย และมีแผลตัดลึกถึงซี่โครง ต่ำลงไปที่ช่องท้องของพวกเธอนั้นแทบทุกคนต่างก็ถูกของมีคมแทงทะลุแล้วคว้านไปมาทำให้ ตับ ไส้ พุง และพวงไส้ของพวกเธอหลุดจากร่างอย่างน่าสยดสยอง ส่วนที่ท้องน้อยนั้นมีรอยแผลจากดาบปลายปืนกระหน่ำแทงไปทั่ว"
นี้ก็อีกรายโหดไม่แพ้กัน
"ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1938 นั้น ครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกจำนวน 14 คนถูกสังหารโหดโดยน้ำมือทหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะบุตรสาวคนเล็กวัย 14 นี้ถูกลบหลู่และสังหารให้ได้อย่างทารุณมากที่สุด"
"เด็กคนนั้นถูกทิ้งบนโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่นำมาต่อกัน สภาพร่างกายท่อนนั้นมีเสื้อสวมติดอยู่ แต่ท่อนร่างนั้นเปลือยเปล่า โดยที่เลือดเธอยังไหลนองท่วมโต๊ะนั้น และปริมาณเลือดมากมายนั้นหลั่งไหลออกมาจากช่องท้องและอวัยวะเพศที่ถูกดาบปลายปืนแทงเป็นสองครั้งด้วยกัน"
"ส่วนพี่สาวของเธอถูกสังหารตายคาเตียงโดยไม่มีสภาพแตกต่างกับน้องสาวเท่าใดนักส่วนมารดาเธอหรือ? เธอถูกสังหารตายคาโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโดยกอดทารกวัยขวบในอ้อมอกของเธอ ทารกน้อยนั้นถูกฟันคอขาดกระจุยด้วยใบมีดคมกริบ และช่องท้องของเด็กน้อยนั้นมีบรรดาพวกไส้และอวัยวะภายในทั้งจุกทะลักออกมานอกช่องท้องอย่างน่าเวทนา"
หนึ่งผู้เห็นเหตุการณ์เหล่านั้น เขาได้บันทึกเหตุการณ์โหดเป็นฉากๆ เอาไว้เลยว่า
"14 ธันวาคม 1937 ตอนเที่ยง เห็นทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่ถนนเจียนยิน พวกนั้นลักพาตัวสาวๆ ในบ้านออกมา 4 คน จากนั้นมันก็ลงมือข่มขืนมาราธอน 2 ชั่วโมงเต็มๆ "
"15 ธันวาคม 1937 ตอนกลางคืน ทหารญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่พากันกรูไปในหอพักหญิงของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ข่มขืนสาวๆ ราว 30 คนด้วยกัน โดยเด็กสาวที่หน้าตาดีบางคนถูกรุมข่มขืนโดยทหารญี่ปุ่น 6 คนรวด"
"16 ธันวาคม 1937 กลุ่มทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งบุกฉุดสาวๆ อายุตั้งแต่ 16-21 ปีไปจากมหาวิทยาลัย และย่ำยีทางเพศ ภายหลังมีสาวๆ 5 คนในกลุ่มถูกปล่อยออกมา พวกเธอบอกว่าถูกพวกมันข่มขืนต่อเนื่องวันล่ะ 6 ครั้ง ส่วน 2 คนที่เหลือไม่รู้ซะตากรรม"
"ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งติดกับกำแพงเมืองที่ ด่านซินหยางนั้น ปรากฏว่ามีหญิงชราในวัย 60 มีสภาพศพขึ้นอืด และมีร่องรอยการข่มขืนอย่างทารุณ"
"อีกจุดหนึ่งของถนนยางพี นั้นก็มีศพเด็กผู้หญิงอายุ 12 ขวบ นอนตาย กางเกงในของเธอถูกดึงฉีกขาด ลูกตาทั้งสองข้างเธอปิดสนิทในขณะที่ปากอ้ากว้างคล้ายกับร้องขอเมตตา"
"เหยื่อการข่มขืน ยังมีพวกแม่ชีหรือแม้แต่อาจารย์ระดับศาสตรจารย์ ครูสอนหนังสือล้วนตกเป็นเหยื่อของทหารญี่ปุ่นไม่มีข้อยกเว้น"
ฯลฯ อีกมากมาย
ทำไมข่มขืนแล้วต้องฆ่าด้วย นั้นก็เพราะเขาถือคติว่า "สังหารหลังข่มขืนเพื่อปิดปากมัน"
นี้คือข้ออ้างของบรรดาทหารญี่ปุ่นที่ถือปฏิบัติกันทั่วหน้า สตรีนานกิงจึงต้องรับเคราะห์ไปอย่างช่วยไม่ได้
ความคิดเห็น