คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 01
CHAPTER 01
“คุณมั่นใจแล้วเหรอคะว่าจะกลับเกาหลีอีกครั้ง”
“ทำไมละครับ”
ดวงตาคมเข้มหันกลับมามองหญิงสาวร่างบางที่นั่งพิงโซฟาด้านหลังด้วยความสงสัย หางเสียงทอดถอนที่แสดงถึงความเคลือบแคลงภายในจิตใจทำเอาหลุดยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู สองมือที่กำลังคว้าเสื้อผ้าจัดลงใส่กระเป๋าหยุดชะงักลงก่อนจะหมุนตัวลุกขึ้นเดินอ้อมกองของจำนวนมากตรงเข้าหาหญิงสาว ชายหนุ่มหย่อนตัวนั่งลงเคียงข้างร่างบางอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอื้อมสองมือออกคว้าร่างบางมากอดรัดไว้ในอ้อมแขนอย่างเอาอกเอาใจ ริมฝีปากอ่อนนุ่มส่งล้อคลอเคลียข้างแก้มอีกคนอย่างรักใคร่ สองแขนขยับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิมก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วข้างใบหูอีกคน
“ทำไมละ หึงซะแล้วเหรอคะ”
“เปล่าซะหน่อย ปล่อยนะคุณอย่ามาทำแบบนี้สิคะเดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก” ร่างบางพยายามสะบัดตัวดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนมันจะรัดแน่นมากเกินกว่าแรงของเธอ แถมยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่อีกฝ่ายยิ่งรัดแน่นมากขึ้นกว่าเดิมแถมยังถือฉวยโอกาสขโมยหอมแก้มเธอซ้ายทีขวาทีอย่างไม่เกรงใจ จากขัดขืนเลยกลายเป็นนิ่งเฉยให้อีกฝ่ายตักตวงจากเธออยู่ฝ่ายเดียว
“ไม่เห็นต้องกลัวใครมาเห็นเลยนี่ครับเจสนี่มันห้องส่วนตัวผมนะใครเขาจะเข้ามากันละ” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าหาหญิงสาวร่างบางอย่างออดอ้อนแต่กลับถูกร่างบางเอามือยื่นมาดันไว้
“แต่ว่า.....”
“เถอะน่านะเราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายอาทิตย์แถมผมยังต้องกลับไปเกาหลีอีกคิดดูสิผมไม่เหงาแย่เลยเหรอเจส...มาให้ผมชื่นใจหน่อยเถอะนะ” ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเพื่อขยับร่างกายบอบบางอ่อนนุ่มน่าสัมผัสของอีกคนให้ขึ้นมานั่งบนตักแทน ก่อนออดอ้อนคลอเคลียลูบไล้อย่างแผ่วเบาจนอีกฝ่ายชักจะเริ่มโอนอ่อนตาม
“ถ้ากลัวเหงาขนาดนั้นให้ฉันไปด้วยคนได้ไหมละคะนิชคุณ”
“หืม...ว่าไงนะครับ!!” ใบหน้าใสที่คลอเคลียอย่างเคลิบเคลิ้มหยุดชะงักเงยขึ้นสบมองเข้าในดวงตาของอีกคนอย่างค้นหา แอบตกใจที่อีกคนพูดโพล่งออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หากแต่ก็ยังสงสัยและเต็มไปด้วยคำถามที่เคลือบแคลงในคำพูดของอีกคน แม้ว่าเขากับเธอจะรู้จักกันมานานจนลึกซึ้งมากเกินกว่าเพื่อนคนหนึ่งแต่ก็มีหลายครั้งที่เขารู้สึกว่าระหว่างพวกเขาสองคนยังมีบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยกันได้อย่างสนิทใจ โดยเฉพาะเรื่องในอดีตของตัวเขาเองที่น้อยครั้งนักจะยอมเปิดปากเล่าแม้อีกฝ่ายจะเที่ยวไล้เที่ยวขื่อคอยถามอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
“ทำไมละคะหรือกลัวว่าใครบางคนที่นั้นจะรู้ว่าฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”
“โธ่...เจสครับเรื่องมันผ่านไปแล้วนะตอนนี้ผมมีคุณคนเดียวแถมคุณยังเป็นคู่หมั้นผมอีกผมไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังคุณหรอกนะ”
“จริงนะคะ...คุณรับปากนะว่าจะไม่โกหกฉัน” รอยยิ้มหวานฉีกกว้างแทนคำตอบทั้งหมด ดวงตาสีเข้มเป็นประกายแวววาวอย่างจริงจังและจริงใจจ้องสบลึกเข้าไปในดวงตาหวานของอีกคนที่จ้องมองมาอย่างลึกซึ้งราวกับต้องการสื่อความหมายและความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองที่มีให้อีกฝ่ายรับรู้
เมื่อหลายปีก่อนสำหรับชีวิตของผู้ชายที่ชื่อนิชคุณคงมีแค่งานกับชีวิตของเด็กสาวตัวเล็กที่คอยวิ่งตามความฝันให้ดูแล แต่หลังจากพบเจอช่วงเวลาเลวร้ายที่เกือบทำร้ายชีวิตของเขาและเด็กสาวให้พังลง หนทางข้างหน้าสำหรับเขามันช่างมืดมนและเคว้งคว้างมากเกินกว่าจะยืนขึ้นไหว ความรู้สึกผิดมากมายกัดกินหัวใจจนยับเยินไม่มีชิ้นดี หากแต่ในวันที่ไร้สิ้นแสงไฟในตรอกแคบอันมืดมิดกลับมีมือยื่นเข้ามาช่วยประคองและอยู่เคียงข้างให้กำลังใจกับเขามาตลอด เส้นทางที่มืดมิดกลับสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง กำลังใจมากมายที่ได้รับช่วยเยียวยาบาดแผลภายในจิตใจให้ดีขึ้น ภาพความทรงจำแห่งความสุขระหว่างเขากับเด็กสาวถูกลบเลือนแทนที่ด้วยความทรงจำใหม่ที่ทั้งอบอุ่นและหอมหวาน จนเขาเองตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เขาอยากฝากชีวิตเอาไว้....เจสสิก้า
ดังนั้นเมื่อเธอได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา คอยดูแลเขาในวันที่เขาล้มอยู่ยืนเคียงข้างเป็นเพื่อนเขาตลอดมา เขาจึงไม่ต้องการทำให้เธอต้องเสียใจหรือเสียน้ำตาเพราะความอ่อนหัดของตัวเอง และนี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องกลับเกาหลีสถานที่แห่งความทรงจำอันแสนยาวนานที่เขาจากมา เขาต้องกลับไปเพื่อจัดการลบเลือนเศษเสี้ยวของความทรงจำอันน้อยนิดที่หลับใหลอยู่ก้นบึ้งของจิตใจให้หมดไป เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงที่เป็นเหมือนชีวิตของเขา
“ได้สิครับ...ไปด้วยกันก็ดีผมจะได้แนะนำคุณให้ไอ้แทคมันรู้จักด้วยมันฟังผมเล่าเรื่องคุณให้ฟังจนแทบจะนึกภาพคุณได้อยู่แล้วมั้ง” คิ้วสวยเลิกขึ้นไปเชิงถามเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มเล่าเรื่องของเธอให้เพื่อนของเขาฟัง
“นี่คุณเที่ยวเล่าเรื่องของฉันให้คนอื่นฟังอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ คุณเป็นคู่หมั้นของผมนะ...เจสสิก้า”
.
.
ไอควันร้อนจากเครื่องเป่าผมผสมปนเปกลับกลิ่นสเปรย์เคมีที่ใช้ตบแต่งคละคลุ้งโอบรอบตัวหญิงสาวร่างบางระหงที่นั่งเอนพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ มือนับสิบล้อมพันนัวเนียหน้าหลังเติมแต่งสีสันความงามลงบนใบหน้าเนียนอย่างเร่งรีบ ดวงตาสวยเรียบนิ่งจ้องมองใบหน้าของตัวเองในกระจกนิ่งอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ นัยน์ตาคมสวยถูกกรีดด้วยสีดำเข้มจนคมกริบขัดกับริมฝีปากบางสีแดงสดที่ยกยิ้มมุมปากขึ้นราวกับกำลังหัวเราะเยาะบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มือบางโบกไปมาข้างตัวเป็นสัญญาณบอกช่างแต่งหน้าให้ถอยหลบออกไป หากแต่ท่าทางที่ลังเลกลับทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองจนต้องหันไปตวัดสายตาเฉียบคมเข้าใส่จนอีกฝ่ายล่าถอยออกไป
ลมหายใจยืดยาวถูกพ่นติดต่อกันหลายครั้งอย่างอารมณ์เสีย ร่างบางขยับตัวลุกออกจากหน้ากระจกอย่างฟึดฟัดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างแรงบนโซฟารับแขกตัวใหญ่ที่ทางร้านจัดเตรียมไว้สำหรับแขกวีไอพีอย่างเธอโดยเฉพาะ หนังสือแมกกาซีนเล่มหนาเล่มบางหลายเล่มถูกเปิดพลิกผ่านไปมาหลายครั้งแต่ดูเหมือนอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“รอนานไหมจ้ะน้องสาว” ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างร่างบางอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยทักทายหญิงสาวอย่างเป็นกันเอง หากแต่คนที่เดินตามเข้ามาด้วยกลับยิ้มแหยอย่างฝืดฝืนเต็มทนด้วยรู้ว่าอารมณ์ของอีกคนกำลังขุ่นมัวเต็มที่
“ไม่นานหรอกคะ...แต่ถ้าให้รออีกนิดก็คงใยแมงมุมชักเต็มร้านแล้วละ” เสียงหัวเราะดังลั่นอย่างถูกอกถูกใจที่โดนน้องสาวสุดรักประชดประชันของชายหนุ่มทำเอายูริที่ยืนมองอยู่ต้องส่ายหน้าอย่างระอา
“แหมฟานี่ พี่ก็รีบสุดๆแล้วนะพี่ก็มีธุระต้องทำบ้างสิคะ”
“แล้วผู้จัดการปาร์คไปไหนละคะทำไมไม่มารับฟานี่เอง” หางเสียงสะบัดใส่อย่างอารมณ์เสียพร้อมสอดส่ายสายตาหาผู้จัดการส่วนตัวที่น่าจะมาด้วยหากแต่ว่างเปล่าและไร้ร่องรอย ทำเอาไอ้อารมณ์ขุ่นมัวตอนแรกขุ่นมัวหนักมากขึ้นกว่าเดิม
“ผู้จัดการปาร์คยังไม่กลับจากทำธุระให้เธอน่ะฟานี่” แทคยอนยักไหล่ตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะคว้าหนังสือเล่มบางตรงหน้าขึ้นมาพลิกอ่าน
“อะไรนะ!! ยังไม่กลับ..พี่แทคหมายถึงเขายังทำธุระให้ฟานี่ไม่เสร็จเนี่ยนะ”
“ตามนั้นเลยละจ้ะ”
“บ้าบออะไรเนี่ยตั้งแต่เช้าจนจะบ่ายแล้วนะยังไม่เสร็จอีก...ไม่ได้เรื่อง!!!” เสียงบ่นค่อนขอดอย่างหัวเสียเรียกหางตาของแทคยอนให้เหลือบมองร่างของน้องสาวที่นั่งฟึดฟัดอย่างขัดใจกับผู้จัดการส่วนตัวของตัวเอง หนังสือเล่มบางที่อ่านค้างอยู่ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มยกยียวนอย่างกวนอารมณ์ตามสไตล์ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างนึกสนุกทำเอาคนโดนแซวได้แต่ส่งค้อนกลับให้อย่างขุ่นใจ
“เปลี่ยนผู้จัดการอีกไหมละครับคุณหนู”
“อย่ามาตลกน่าพี่แทค เดี๋ยวพวกนักข่าวก็ได้เอาไปเขียนกันสนุกปากอีกนะสิ” ทิฟฟานี่เอนหลังพิงโซฟาตัวใหญ่อย่างเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงพาดหัวข่าวแสนตลกที่พวกนักข่าวเตรียมสาดสีเต็มที่หากรู้ว่าเธอเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวใหม่อีกครั้งหลังจากเมื่อสามเดือนที่แล้ว
“ฮ่าๆๆๆ ไปเถอะฟานี่วันนี้เราต้องเข้าไปคุยธุระกับพ่อที่บริษัทไม่ใช่เหรอ” แทคยอนขยับลุกขึ้นยืนจนสุดความสูง สองมือจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางหันมาส่งสัญญาณเรียกน้องสาวที่ยังคงนั่งหน้าง้ำงออยู่บนโซฟาก่อนจะเดินนำออกไป
ใบหน้าสวยที่เคยง้ำงอแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง สายตาคู่สวยไล่มองตามหลังพี่ชายกับทีมงานสาวอย่างเลื่อนลอยก่อนที่ลมหายใจจะถูกปลดปล่อยออกมาเสียยืดยาวจนน่ากลัวว่าจะหมดลมลงเสียตรงนี้ มือเรียวบางเอื้อมออกกำสร้อยคอรูปหัวใจสองดวงที่คออย่างแผ่วเบา สร้อยคอหนึ่งเดียวแสนสำคัญที่เธอไม่เคยเลยสักครั้งจะปล่อยให้ห่างออกจากตัว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเธอไม่เคยปล่อยให้ห่างตัวแม้กระทั่งตอนทำกิจกรรมโปรโมทหรือกิจกรรมต่างๆตามตารางงานเธอไม่เคยเลยสักครั้งที่จะปล่อยให้มันหายไปจากสายตา เพราะมันคงเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอมี สิ่งเดียวที่เป็นเหมือนสายใยที่เหลืออยู่ระหว่างเธอกับคนใจร้ายบางคน บางคนที่หายไปโดยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยคำลาไม่คิดแม้แต่จะส่งข่าวคราวให้ได้รับรู้ ยังอยู่ยังสบายดีหรือไม่อย่างไร บางคนที่เป็นคนมอบสร้อยเส้นนี้ให้กับเธอในวันที่เธอเหยียบย่างก้าวเข้าวงการนี้แบบเต็มตัว บางคนที่คงลืมสร้อยคอเส้นนี้ไปจนหมดแล้วทั้งหัวใจ
“พี่จะเป็นยังไงบ้างน่ะพี่คุณ ฉันคิดถึงพี่จัง”
.
.
.
โซฟาชุดสีครีมแสนสวยกลางห้องถูกเติมเต็มด้วยผู้คนจำนวนสี่ถึงห้าคนที่มารวมตัวกันตามคำเชิญของประธานฮวัง เสียง พูดคุยที่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีคนจำนวนหนึ่งมารวมอยู่ด้วยกันกับเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกที่บ่งบอกว่าผู้คนเหล่านั้นที่นั่งอยู่กางห้องยังคงหายใจอยู่ กับเสียงขยับตัวไปมาอย่างรู้สึกอึดอัดของยูริที่ยืนอยู่ด้านหลังแทคยอน สายตาสามคู่กวาดมองกันไปมาอย่างหยั่งเชิงราวกับรอให้ใครสักคนพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดใน ตอนนี้ หากแต่ดวงตาสองดวงของหนึ่งหนุ่มผู้เป็นแขกกับหนึ่งสาวลูกสาวเจ้าของห้องกลับจ้องกันนิ่งอย่างไม่วางตา ไม่หลบตาแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเช่นกัน จนร่างบางด้านข้างชายหนุ่มที่มาด้วยกันอึดอัดมากเกินกว่าจะทนไหวเอ่ยปากแหวกความเงียบกลางห้องเรียกสายตาหลายคู่ให้หันกลับไปมอง
“เอ่อ...ขอโทษนะคะฉันว่าเราน่าจะเริ่มคุยเรื่องงานกันได้แล้วมั้งคะนี่ก็เลทมาจะชั่วโมงนึงแล้ว”
“นะ นะ นั่นสินะ” ประธานฮวังขยับตัวไปมาอย่างรู้สึกตัวก่อนขยับเสื้อสูทให้เข้าที่พร้อมดึงเอกสารสามสี่แผ่นจากซองเอกสารสีขาวออกมาวางแผ่กลางโต๊ะ ใบหน้าสูงวัยยิ้มอย่างเป็นกันเองกับหญิงสาวร่างบางที่ตนเชิญมาเป็นแขกพูดคุยด้วยในวันนี้ กระดาษสามสี่แผ่นถูกขยับลงตรงหน้าหญิงสาวที่หยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“นี่เป็นเอกสารสามสี่แผ่นสำหรับหนังสือสัญญาที่ทางคุณต้องทำกับทางเราน่ะครับ...แต่”
“คะ?”
หางเสียงทิ้งไว้เพียงเท่านั้นก่อนเลื่อนสายตาเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่เคียงข้างร่างบาง ถึงจะผ่านมาหลายปีแต่มีหรือที่เขาจะจำใบหน้าขาวใสราวกับเทพบุตรของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ ใบหน้าที่เขาต้องยอมกัดฝันปล่อยคนที่เขานึกเอ็นดูเหมือนลูกคนนึงทิ้งไปอย่างไม่มีเยื่อใยเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของลูกสาวและบริษัทเอาไว้ รอยยิ้มยกอย่างนึกขันเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายในอดีต
ไม่เปลี่ยนไปเลยนะนิชคุณ....
“มีปัญหาอะไรกับคนของฉันหรือเปล่าคะคุณฮวัง” เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปแถมยังจ้องหน้าคนรักของเธอนิ่งราวกับมีคำถาม
“อ้อเปล่านะครับ...ว่าแต่เมื่อครู่คุณเจสสิก้าบอกว่าคนของคุณ?”
“ค่ะ” มือเรียวหยิบปากกาด้ามหรูออกตวัดลายเซ็นลงบนกระดาษสองสามที่อย่างชำนาญก่อนแบ่งแยกเอกสารทั้งหมดเป็นสองส่วน หนึ่งส่วนจัดการเก็บลงแฟ้มที่เธอถือติดตัวมาส่วนอีกส่วนใส่ซองเอกสารสีขาวส่งคืนให้ประธานฮวัง ดวงตาคู่สวยกวาดมองเพื่อนร่วมวงสนทนาไล่ทีละคนจนครบก่อนยิ้มหวานส่งให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร เสียงหวานเอื้อนเอ่ยคำที่ทำเอาทั้งห้องกลับมาเงียบกริบได้อีกครั้ง คำที่ราวกับพิพากษาบางคนที่นั่งแข็งเป็นหินมานานตั้งแต่ทั้งคู่ก้าวผ่านประตูห้องมาให้แตกละเอียดราวกับโดนฟ้าผ่า
“นิชคุณเขาเป็นคนของฉันน่ะค่ะเป็นทั้งผู้ช่วยแล้วก็....คู่หมั้น”
“อะ อ้องั้นเหรอครับ ยินดีด้วยนะครับถ้ามีข่าวดีเมื่อไหร่อย่าลืมบอกกันบ้าง” แม้จะตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายแต่ด้วยความเป็นผู้ใหญประธานฮวังเลยไม่สามารถปล่อยให้อาการแบบนั้นหลุดออกไปได้นาน ทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ภายในก่อนจะยิ้มอย่างจริงใจแสดงความยินดีกับทั้งสองคน
“เอาละถ้างั้นเป็นอันว่าเรียบร้อยแล้วนะตั้งแต่วันนี้ไปคุณเจสสิก้าจะเข้ามาเป็นสไตลิสต์ส่วนตัวคอยดูแลทุกอย่างของทิฟฟานี่...เริ่มตั้งแต่งานเปิดตัวอัลบั้มใหม่นี่เลยเป็นไงครับ” ประธานฮวังลุกยืนสุดความสูงก่อนยื่นมือออกมาตรงหน้าอย่างเป็นมิตร ซึ่งเจสสิก้าก็ยอมรับมิตรภาพที่ยื่นออกมาด้วยความยินดี
“ด้วยความยินดีค่ะ”
“ฝากลูกสาวคนเดียวของผมด้วยนะครับคุณเจสสิก้า....เป็นเกียรติอย่างมากครับดีได้สไตลิสต์ระดับโลกอย่างคุณมาร่วมงาน”
“ฉันก็ยินดีค่ะที่ได้ร่วมงานกับไอดอลแถวหน้าของเกาหลีอย่างคุณทิฟฟานี่” มือเรียวยื่นออกตรงหน้าทิฟฟานี่ที่ยังคงนั่งปั้นหน้านิ่งเป็นหุ่นอยู่บนโซฟาอย่างหวังผูกมิตร แต่อีกฝ่ายกลับเงียบและนิ่งเฉยไร้การตอบรับไม่มีแม้แต้หางตาที่จะเหลือบมามองมือของเจสสิก้าที่ยื่นออกมาให้ ทำเอาเจสสิก้ารู้สึกหน้าชาไปเล็กน้อยหากแต่ยังคงพยายามเก็บอาการไว้ด้วยการฉีกยิ้มกว้างสดใสอย่างเป็นมิตรให้ดูหมือนว่าเธอไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำของหญิงสาว จนแทคยอนที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นต้องสะกิดเตือนมารยาทของน้องสาวตัวเองทิฟฟานี่ถึงยอมขยับปากออกมาบ้างแม้คำพูดจะฟังดูห้วนและไร้หางเสียงจนคนฟังหลายคนถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างนึกระอา แต่อย่างน้อยก็ดีมากพอสำหรับการเริ่มต้นในวันแรก
“ยินดีเช่นกัน....”
.
.
.
“สิก้าคะ”
แขนเรียวโดนดึงเอาไว้พร้อมเสียงเรียกจากทางด้านหลังทำเอาสายตาคู่หวานต้องหันกลับไปมองก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเสียกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ดึงเธอเอาไว้เป็นใคร เจสสิก้าหยุดเดินทันทีพร้อมหันมามองชายหนุ่มเต็มตาด้วยไม่นึกว่าเขาจะเดินตามเธอมาเร็วขนาดนี้ด้วยเมื่อกี้ก่อนเธอจะเดินออกจากห้องของท่านประธานฮวังมาก็เป็นเขาเองที่ขอตัวจากเธอเพื่ออยู่คุยกับเพื่อนของเขาโดยให้เธอเป็นฝ่ายมารอที่รถก่อน สองแขนยกขึ้นกอดอกเอาไว้อย่างหลวมๆ พร้อมมองอีกคนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไมคุยเสร็จเร็วจังละคะสิก้ายังเดินไม่ทันถึงรถเลยนะ”
“เอ่อ...พอดีคุณจะมาบอกว่าสิก้ากลับคอนโดไปก่อนเลยได้ไหมคะพอดีคุณมีเรื่องอยากคุยกับไอ้แทคมันยาวนิดนึงน่ะ” คิ้วบางเลิกขึ้นด้วยความสงสัยด้วยไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้เขาไม่เห็นจำเป็นต้องวิ่งตามมาบอกเธอก็ได้นี่น่า แค่โทรศัพท์มาบอกเธอก็พอแล้ว ดวงตาคู่สวยจ้องมองลึกเข้าไปดวงตาคมสีเข้มของอีกคนนิ่งอย่างค้นหา
“โธ่สิก้าคะอย่ามองคุณแบบนี้สิ คุณจะอยู่คุยกับไอ้แทคมันจริงๆไม่เจอกันนานเลยมีเรื่องคุยเยอะน่ะ” แขนแกร่งดึงร่างบางมากอดเอาไว้อย่างออดอ้อนจนเจสสิก้าได้แต่ถอนใจออกมาอย่างอ่อนใจกับความขี้อ้อนของอีกคนที่เธอแพ้ทางเสียทุกที
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ อย่ากลับให้ดึกนักละ”
“ไม่ดึกแน่นอนครับรับรอง ยังไงคุณก็ต้องกลับไปกินข้าวเย็นกับสิก้าอยู่แล้ว”
นิชคุณฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าหมั่นเขี้ยวทำเอาเจสสิก้านึกหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาดึงแก้มของชายหนุ่มไว้อย่างรักใคร่ ก่อนจะโดนนิชคุณขโมยหอมแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างไม่แคร์สายตาของผู้คนที่เดินอมยิ้มผ่านไปมากับภาพความน่ารักของทั้งสองคน แต่ใครเลยจะรู้ว่าในหลายสิบสายตาที่จ้องมองภาพคู่รักที่กำลังหยอกล้อกันอยู่นั้นมีสายตาเพียงหนึ่งคู่ที่ไม่ได้ยิ้มตามเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตานั้นกลับนิ่งสนิทและเหม่อลอย มือเรียวจิกกำผ้าม่านริมหน้าต่างแน่นราวกับอาศัยไว้เป็นเครื่องพยุงร่างกายที่ดูจะอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้พบเห็นภาพตรงหน้า
ดูเหมือนพี่จะมีความสุขดีมากกว่าที่ฉันคิดเสียอีกนะคะพี่คุณ.....
.
.
ขายาวจ้ำอ้าวไปตามทางเดินที่ลาดยาวของตัวตึกพลางกวาดสายตามองไปมาด้วยความคุ้นเคยเวลาที่ผ่านไปหลายปีทำให้หลายอย่างแปรเปลี่ยนไปทั้งตัวเขาเอง ทั้งตัวตึกที่มีรูปแบบบางอย่างเปลี่ยนไป ห้องหลายห้องถูกปรับเปลี่ยนตกแต่งใหม่จนบางส่วนเขาเองยังจำแทบไม่ได้ นักร้องนักแสดงหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย โปสเตอร์โปรโมทมากมายถูกติดตรึงโชว์หราให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เห็น หากแต่กลิ่นอายของความเป็นครอบครัวที่เขาได้รับตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ทีมงานและสตาฟหลายคนที่เคยร่วมงานยังคงอยู่ความเป็นมิตรที่ได้รับในวันนั้นยังคงแสดงออกผ่านการทักทายอย่างเป็นกันเองในวันนี้ในทุกแผนกในทุกส่วนงานที่เขาเดินผ่านไป ยิ่งเห็นยิ่งเจอก็อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มออกมาด้วยความคิดถึง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสองขาของตัวเองได้ก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องซ้อมที่แสนคุ้นเคยห้องนี้เมื่อไหร่ เสียงเพลงไตเติ้ลที่หลายช่องเริ่มปล่อยออกมาให้ฟังจนเริ่มคุ้นหูทำเอามือเอื้อมออกจับลูกบิดประตูไว้แน่น กระจกใสสี่เหลี่ยมขนาดเล็กบนบานประตูเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กั้นสายตาคู่คมของเขาเอาไว้ไม่ให้มองเห็นคนด้านในได้อย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่าคนที่อยู่ด้านในตอนนี้คือใคร
บานประตูที่ถูกเปิดแง้มออกเพียงนิดเพราะมือที่เอาแต่ใจของตัวเองทำเอาท่วงทำนองของเสียงเพลงที่ยังคงดังบรรเลงอย่างต่อเนื่องดังลอดออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ชัดเจนไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างบางหนึ่งเดียวกลางห้องที่ขยับแขนขาไปตามจังหวะของเพลงแม้จะดูไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรจะเป็นแต่ก็รู้ได้ว่าร่างบางกลางห้องนั้นผ่านการซ้อมมาเยอะมากพอควร เพราะด้วยท่าทางที่ดูยากและซับซ้อนกับเม็ดเหงื่อที่หยดไหลก็มากพอที่จะเป็นเครื่องบอกได้ว่าร่างบางกำลังพยายามมากขนาดไหน
โตขึ้นเยอะเลยนะคะฟานี่......
“โอ้ย!!”
ตุบ..
“โธ่เอ้ย!!” เสียงหวานสบถออกมาอย่างหัวเสียกับความไม่เอาไหนของตัวเอง ท่าเต้นไม่ลื่นไหลไปตามที่ต้องการแถมยังวนไปวนมาผิดๆถูกๆราวกับเพิ่งหัดเต้น แถมไม่สามารถพลิกด้วยในจังหวะเดิมจนล้มลงมากองซ้ำเป็นรอบที่สาม ราวกับคนไม่มีสติไม่มีสมาธิ ราวกับคนเต้นไม่เป็นยิ่งมองเห็นตัวเองในกระจกห้องซ้อมใสสภาพยับเยินตอนนี้ยิ่งหัวเสียจนอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ มือเรียวจับคลำข้อเท้าไปมาด้วยรู้สึกปวดจากอาการหกล้มซ้ำหลายรอบ แต่ด้วยความเป็นคนหัวดื้อเลยได้แต่กัดฟันพยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราเป็นไอดอลเราต้องระวังตัวตลอดเวลาถ้าเจ็บขึ้นมาแล้วกระทบกับงานใครจะรับผิดชอบ”
เสียงทุ้มเข้มแสนคุ้นหูกับสัมผัสมือแสนคุ้นเคยที่สอดช่วยประคองแขนจากทางด้านหลังทำเอาชาวาบไปทั้งตัว ไม่ต้องหันไปมองก็บอกได้ว่าเป็นใคร พยายามขืนแขนเอาไว้พลางเบี่ยงสะบัดออกให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ดูเหมือนขาเจ้ากรรมทำท่าเจ็บแปลบขึ้นมาจนเสียการทรงตัว หากไม่มีมือหนาข้างนั้นช่วยพยุงไว้เธอคงได้ลงไปกองอีกรอบเป็นแน่
“เคยบอกแล้วด้วยนะว่าถ้าเจ็บอย่าฝืนเพราะมันจะยิ่งหนักกว่าเดิมแล้วมันจะหายได้ช้า” เสียงบ่นพร้อมลมหายใจที่ถูกทอดถอนตามมาอย่างเหนื่อยใจของชายหนุ่มทำเอาเส้นอารมณ์ของทิฟฟานี่กระตุกยึกจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ พยายามกัดฟันแน่นต่อสู่กับความเจ็บที่ข้อเท้าที่ดูเหมือนจะเล่นงานเธอแบบจริงจัง
“เฮ้อพี่อุตส่าห์ดีใจที่เห็นเราโตขึ้นดูเหมือนจะโตขึ้นแต่ตัวซะละมั้งฟานี่”
“แล้วนี่พี่จะมายุ่งกับฉันทำไมกัน” เสียงตวาดหลุดดังลั่นอย่างโมโหที่โดนอีกคนมองว่าเธอเป็นเด็ก น้ำตารื้นขอบตาอย่างคุมไม่อยู่ ความโกรธความน้อยใจเสียใจที่มีต่อผู้ชายคนนี้ประดังประเดเข้ามาจนควบคุมตัวเองไม่ได้แขนข้างที่ถูกประคองสะบัดอย่างแรงจนหลุดจากการเกาะกุม และนั้นก็มากพอที่จะส่งให้ร่างทั้งร่างของเธอลงไปกองอยู่กับพื้นอีกครั้ง
ตุบ!!
“ดื้อ...นี่ก็ไม่เปลี่ยนแถมดูจะพยศมากกว่าเดิมด้วยสินะ”
“ที่นี่เป็นห้องซ้อมของศิลปินในบริษัทพี่ไม่ได้เป็นคนของที่นี่แล้วพี่ไม่มีสิทธิ์เข้ามาเดินในนี้...ออกไปซะ” ทิฟฟานี่เบือนหนาหนีสายตาคมเข้มที่จ้องมองมาที่เธอเขม็ง ก่อนออกปากไล่อีกคนเอาดื้อๆ โดยยกเหตุผลและข้ออ้างที่เขาไม่ใช่คนของบริษัท ทั้งที่รู้ดีว่าเขาเป็นผู้ช่วยของสไตลิสต์ส่วนตัวของเธอ หากแต่ด้วยน้อยใจมากมายที่มีต่อผู้ชายคนนี้ทำให้เธอยังไม่พร้อมที่จะเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ในเวลานี้
“ถ้างั้นขอใช้สิทธิ์พี่ชายเยี่ยมเยียนน้องสาวสักสิบนาทีได้ไหมละ” รอยยิ้มกว้างอ่อนโยนที่แสนคุ้นเคยลอยเด่นเต็มหน้าทำเอาหัวใจที่คอยดื้อรั้นถึงกับอ่อนยวบก็เพราะรอยยิ้มแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่ทำเอาเธอยอมแพ้ทำตามที่เขาบอกตลอดมา หากแต่บางคำพูดในประโยคกลับทำเอาจุกไปทั้งใจจนพูดแทบไม่ออก
น้องสาวอย่างนั้นเหรอพี่คุณ ฉันตอนนี้คงเป็นได้เพียงแค่น้องสาวพี่อย่างนั้นสินะ.....
ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าเนียนใสที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของอีกคนนิ่ง เมื่อเห็นว่าอีกคนลดระดับของการขัดขืนน้อยลงเลยได้แต่ลอบยิ้มอย่างรู้สึกพอใจ ก่อนขยับตัวลุกขึ้นหันหลังตรงเข้ามุมห้องจัดการเปิดตู้กระจกค้นหายาในกล่องอุปกรณ์ที่บรรจุเครื่องมือปฐมพยาบาลเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและเดินเลยไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่คาดว่าร่างบางคงพาดเอาไว้อย่างลวกๆ ตอนเข้ามาซ้อม หากแต่สายตาคู่คมที่เหลือบมองไปเห็นกระป๋องเครื่องดื่มน้ำอัดลมสามสี่กระป๋องกองอยู่ข้างเก้าอี้ทำเอาคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันจนเป็นปม มือหนาเอื้อมออกไปหยิบกระป๋องเปล่าพลิกกลับไปมาก่อนตวัดสายตาไปมองร่างบางที่นั่งกองอยู่กลางห้องอย่างไม่พอใจ
แกร๊ง...แกร๊ง...แกร๊ง
“ทำอะไรของพี่เนี่ย!!” เสียงหวานตวาดแว้ดอย่างไม่พอใจที่เห็นนิชคุณโยนกระป๋องเปล่าลงตรงหน้าเธอ
“พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอฟานี่ว่าพี่ไม่ได้ห้าม แต่เธอเป็นนักร้องนะทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองกินน้ำอัดลมวันละสามสี่กระป๋องแบบนี้ได้ยังไงกัน” ดวงตาคมเข้มจ้องหน้าทิฟฟานี่อย่างเอาเรื่อง กระป๋องน้ำอัดลมที่กำลังตกเป็นของกลางถูกยกโชว์หราให้เห็นเต็มสองตาแบบอีกฝ่ายน่าที่จะไร้ข้อโต้เถียง
“แล้วพี่จะมายุ่งทำไมพี่ไม่ได้เป็นคนดูแลฉันแล้วนะ”
“กะ ก็พี่....”
“ทำไม!! พี่ทำไมพูดมาสิฉันว่าพี่น่าจะเอาเวลาที่มายุ่งกับฉันไปตามดูแลคุณเจสสิก้าแฟนพี่ดีกว่านะ”
ชื่อแฟนสาวที่หลุดออกจากปากร่างบางราวกับเป็นสิ่งที่ช่วยดึงสติของชายหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง มือหนาวางกระป๋องเปล่าลงกับพื้นอย่างแผ่วเบาก่อนหยัดตัวลุกขึ้นยืน เปลือกตาหนาหลับลงเพียงเสี้ยววิก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งพร้อมจ้องมองไปยังร่างบางที่นั่งหน้าถมึงทึงนิ่ง โดยไม่รู้เลยว่าอาการสะดุดไปเพียงนิดเดียวเมื่อโดนเอ่ยถึงชื่อแฟนสาวทำเอาความน้อยใจของ ทิฟฟานี่ที่มีต่อชายหนุ่มตอนแรกถูกเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
คงจะรักแฟนตัวเองมากสินะพี่คุณ......
“ก็พี่แค่เป็นห่วงภาพลักษณ์ของบริษัทท่านประธานฮวังนะ กลัวว่าความไม่เอาไหนของไอดอลที่ไม่รู้จักโตและดูแลตัวเองให้ดีเสียทีอย่างเธอจะทำให้ภาพพจน์อันเลิศเลอของบริษัทที่สร้างมายาวนานต้งพังทลายลงไม่มีชิ้นดีไงละ” ผ้าขนหนูกับหลอดยาถูกโยนกองลงตรงหน้าทิฟฟานี่ หากแต่เธอหาได้รับรู้ไม่เพราะคำพูดคำจาเชือดเฉือนของนิชคุณทำเอาหูอื้อตาลายจนไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว สองมือยันพื้นเพื่อประคองให้ตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนดึงกระชากแขนแกร่งของชายหนุ่มที่กำลังจะเดินกลับออกไปหันให้มาอย่างแรง
“ไม่เอาไหน...เมื่อกี้พี่พูดว่าไม่เอาไหนอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่...”
“พี่รู้ไหมว่าตอนนี้ฉันเป็นใคร พี่ถึงมากล้าพูดว่าฉันไม่เอาไหน”
เสียงหวานสั่นพร่าหากแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธที่โดนชายหนุ่มพูดจาดูถูก หรือเพราะน้อยใจที่กำลังโดนชายหนุ่มมองว่าเธอเป็นคนที่ไม่เอาไหน กลายเป็นคนที่น่าทุเรศในสายตาของคนที่เธอพยายามอย่างสุดความสามารถในทุกทางเพื่อหวังให้เขาได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเธอและติดต่อเธอกลับมาบ้างแค่เพียงสักครั้ง แค่อยากได้ยินเสียงแค่อยากเห็นหน้าคนที่คิดถึงจนจับใจ แต่เสียงที่ได้ยินหลังจากห่างหายไปนานกลับเป็นถ้อยคำพูดจาที่ดูถูกดูแคลนเธอ แค่คิดน้ำตาร้อนที่รื้นในตอนแรกแทบจะร่วงพรูลงอย่างห้ามไม่อยู่
“รู้สิ.....รู้ดีเหมือนที่ทุกคนรู้ว่าเธอคือทิฟฟานี่ ฮวังลูกสาวท่านประธานฮวังที่ผลักดันตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นไอดอลแถวหน้าของชาติ เป็นนักร้องนักแสดงนางแบบมากฝีมือที่ผู้คนมากมายต้องการ เป็นไอดอลฝีมือดีที่ค่าตัวตีเป็นตัวเลขได้หลายหลัก แต่ไม่ว่าจะกี่ปีในสายตาของพี่เธอก็ยังเป็นแค่ยายเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ไม่รู้จักโตชอบสร้างปัญหาและทำให้คนอื่นเป็นห่วงเหมือนที่เธอทำอยู่ตอนนี้ยังไงละทิฟฟานี่”
มือหนาพยายามแกะมือเรียวบางของอีกคนที่เกาะแขนของเขาเอาไว้ให้หลุดออกไปหากแต่ดูเหมือนว่ามันจะยากกว่าที่คิดในเมื่ออีกคนกลับกำมันแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกถึงน้ำหนักของแรงบีบจากมือเล็กนั้นได้ ตาคมเข้มหันมองหน้าของอีกคนหวังบอกให้ปล่อยหากแต่หยดน้ำตาสีใสที่กำลังร่วงหล่นจากดวงตาคู่สวยของร่างบางตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มถึงกับจุกจนพูดไม่ออก ความรู้สึกเบาโหวงราวกับยืนแล้วเท้าไม่ติดพื้น สิ่งที่ตั้งใจจะพูดต่อกลับถูกกลืนลงคอหายจนหมดสิ้น ความรู้สึกผิดที่เผลอพูดไม่ดีกับอีกฝ่ายท่วมท้นจนรัดแน่นไปทั้งตัว อยากรั้งร่างบางตรงหน้ามาโอบปลอบเอาไว้เหมือนทุกครั้งที่เคยทำแต่รู้ดีว่าสถานะของพวกเขาสองคนในวันนี้ต่างกันเกินไป เลยได้แต่จำใจแกะมือของร่างบางที่เกาะกุมเขาไว้อีกครั้งด้วยกลัวว่าหากยืนอยู่ตรงนี้นานกว่านี้แม้เพียงเสี้ยวนาทีจะทนความใจอ่อนของตัวเองไม่ได้
“ฟะ ฟะ ฟา.....”
“ก็ในเมื่อพี่เห็นฉันเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงต้องทิ้งฉันไป ทำไมไม่ยืนอยู่ข้างฉัน ทำไมถึงเลือกที่จะเดินจากฉันไปแล้วให้ฉันเดินอยู่เพียงลำพัง ทำไมไม่อยู่ดูแลฉันละพี่คุณ”
จากแขนแปรเปลี่ยนเป็นลำตัว สองแขนเรียวโอบรัดเข้ารอบเอวของนิชคุณเอาไว้จากทางด้านหลังก่อนทิ้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาซบแผ่นหลังปล่อยน้ำตาให้ไหลริน ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร คำตัดพ้อต่อว่าต่อเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนที่ชายหนุ่มเลือกที่จะจากเธอไปแบบไม่บอกกล่าว แม้กระทั่งคำบอกลาก็ไม่มี ทั้งหมดถูกพรั่งพรูผ่านน้ำตาและคำพูดออกมาด้วยความน้อยอกน้อยใจอย่างไร้การควบคุม
“ทำไมพี่ถึงไม่อยู่ดูแลฉันเหมือนทุกครั้งที่พี่ทำ ทำไมพี่ไม่เลือกที่จะยืนอยู่ข้างฉันเหมือนทุกที ทำไมพี่ถึงไม่บอกฉัน”
“................................”
“ทำไมละพี่คุณ ทำไม ทำไม ทำไม บอกฉันสิ”
“พอเถอะฟานี่....” มือหนาจับดึงวงแขนเรียวที่โอบรัดรอบเอวของเขาให้ขยับออกอย่างแผ่วเบาพลางปล่อยให้มันทิ้งตัวลงข้างกายของเจ้าของอย่างเชื่องช้า ไม่ได้อย่างทำอย่างนี้ อย่างโอบปลอบเอาไว้ อย่างอธิบายทุกอย่างให้ได้ฟังให้เข้าใจ แต่ด้วยความเป็นจริงหลายอย่างในวันนี้ทำให้เขาไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้ ทำได้เพียงส่งสายตาขอโทษจากหัวใจให้อีกฝ่ายเพียงเท่านั้น
“ทุกอย่างมันจบไปแล้วฟานี่ ที่เราต้องทำวันนี้คือก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเหมือนที่เราทำมาตลอด ทำเหมือนที่เธอทำมาตลอดหลายปีก้าวไปข้างหน้าอย่าได้หยุด ก้าวต่อไปในเส้นทางที่เธอใฝ่ฝันเอาไว้ เข้มแข็งเอาไว้ ตั้งใจเอาไว้แล้วเธอจะทำได้เหมือนทุกครั้งที่เธอทำ”
ขายาวก้าวออกเดินอย่างเชื่องช้าตรงไปยังประตูทางออก ทางออกเดียวกับทางเข้าที่เขาไม่ควรจะเปิดเข้ามาอีกครั้ง ลมหายใจถูดสูดเติมลึกจนเต็มปอดก่อนเอ่ยพูดกับร่างบางที่ยังคงยืนน้ำตาร่วงหล่นอยู่กลางห้องอย่างพยายามตัดทุกสิ่งที่รบกวนจิตใจให้หมดไป
“ก้าวต่อไปอย่าได้สนใจใครแม้กระทั่งพี่เอง....ลืมไปให้หมดซะ”
เสียงประตูที่ปิดลงอย่างเงียบเชียบและแผ่วเบาราวกับเป็นสัญญาณปิดทุกอย่างให้ดับมืดลง ทั้งความรู้สึกรบกวนภายในจิตใจของชายหนุ่มทั้งเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดของร่างบาง ที่พาร่างทั้งร่างทรุดฮวบลงร้องไห้ปล่อยโฮกลางห้องอย่างลืมหาย เสียงสะอื้นดังลอดเล็ดออกมาเพียงน้อยนิดหากไม่มีเสียงเพลงที่เปิดไว้ตอนแรกคนที่ผ่านไปผ่านมาคงได้ยินและรับรู้ได้ว่าคนที่อยู่ในห้องไม่ได้มีความสุขและสนุกตามเสียงเพลงที่เปิดบรรเลงอยู่เลยแม้แต่น้อย
ลืม...ลืมเหมือนที่พี่ลืมฉันจนหมดหัวใจแล้วอย่างนั้นใช่ไหม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TO BE CONTINUE.... HAVE A GRANDE DAY ALL :))
ความคิดเห็น