คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : . . .b e l i e v e . . . CHAPTER : 11
CHAPTER 11
"ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อ แต่วีบอกก่อนเลยนะคะว่ามันคือเรื่องจริง" เสียงในห้องเริ่มเงียบลงและรอคอยคำพูด
ย้อนกลับไปในสมัยประถมของวี หลังจากที่ต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ปูซานด้วยสาเหตุบางอย่างของครอบครัวเมื่อประมาณห้าปีที่แล้ว ในห้องเรียนห้องหนึ่งซึ่งสร้างด้วยไม้ ภายในห้องมีเก้าอี้ไม้หนักๆที่ถูกขีดเขียนด้วยดินสอระบายอารมณ์ของใครต่อใครมาไม่รู้เท่าไหร่
..หน้าห้องเป็นกระดานดำมีชอล์กหลากหลายสีวางอยู่เต็มไปหมดจนบางครั้งเธอเองก็หยิบมันไปเล่นกับเพื่อน ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความปกติแต่แล้ววันหนึ่งเธอก็พบกับบางสิ่งที่เธอไม่แน่ใจว่านั่นคืออะไรกันแน่ ระหว่างที่ครูสอนอย่างจริงจังอยู่นั้นมีเด็กตัวเล็กๆ หน้าขาวๆ ผมยาวๆ ใส่กระโปรงน้ำเงิน เอี๊ยมแดงคนหนึ่งล้อเลียนการกระทำของครูอยู่ เด็กผู้หญิงนั้นทำท่าเลียนแบบครูที่กำลังสอนอยู่หน้าชั้นเรียน
มันดูตลก เมื่อเด็กเหมือนจะเป็นวัยเดียวกันกับวีในตอนนั้นจะสามารถล้อเลียนคุณครูที่เรียกได้ว่าดุที่สุดได้ลง และเด็กคนนั้นเลียน แบบได้เหมือนมาก เพียงแต่วีไม่สามารถได้ยินเสียงเธอในตอนนั้นได้เลย แต่สิ่งทำให้ทุกคนเริ่มมองว่าเธอไม่ปกติ คือเมื่อเด็กคนนั้นทำตามครูในท่าที่ดูตลก วีจึงหลุดหัวเราะออกมา สุดท้ายเธอก็โดนไปคาบไม้บรรทัดที่นอกห้องแต่สายตาของวีก็ยังเห็นเด็กคนนั้นเลียนแบบครูอยู่ไม้บรรทัดหลุดออกมาหลายครั้งแต่นานๆเข้าวีก็เริ่มจับจังหวะได้จนไม้บรรทัดไม่ร่วงลงพื้นเพราะการคาบไม้บรรทัดไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวอย่างแน่นอน แต่วีก็ไม่ได้เห็นเพียงอย่างเดียว
..เธอยังสามารถที่จะได้ยินเสียงอีกด้วย แต่ยังไม่มีสักครั้งที่เธอจะได้ยินพร้อมกับมองเห็นถ้าไม่ถอดจิตซึ่งการถอดจิตนั้นทำได้ยากเหลือเกินสำหรับวี เซนส์ในด้านการฟังของวีมันเริ่มทำให้วีกลายเป็นคนเงียบๆ และพูดน้อยหลังจากการที่ได้เป็นคนสนุกสนานมานาน พักหลังๆวีเริ่มมานั่งกลางห้องแถวริมหน้าต่างแทน..
..ใครบางคนในห้องเรียนห้องใหม่ที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หน้าตาของเธอเป็นยังไงวีไม่รู้เพราะไม่เคยเห็น ชื่อเสียงเรียงนามหรือที่มาวีก็ไม่เคยรู้เพราะเธอไม่เคยบอก สิ่งเดียวที่รู้นั่นก็คือ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงและชอบเล่านิทานเป็นชีวิตจิตใจ
ในทุกๆวันที่วีกลายเป็นคนพูดน้อยเงียบขรึมหลังจากไม่มีเพื่อนคบ นั่งเรียนหนังสือ เธอคนนั้นจะโผล่มาเกือบจะทุกวัน และเริ่มหานิทานสารพัดเรื่องเท่าที่เด็กน้อยคนนี้จะเคยรู้และฟังมาก่อนตายมาเล่าให้วีฟัง
...ประโยคแรกเวลาที่จะเล่านิทานของใครหลายๆคน 'กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว' เธอคนนี้ก็เช่นกันและเริ่มประโยคด้วยคำนี้ทุกๆครั้งที่เล่าหลังจากพูดประโยคนั้นแล้วเธอก็เล่าไม่หยุดอีกเลย ไม่สนใจว่าใครจะฟังหรือไม่ แน่นอนว่าเมื่อวีเริ่มทำเป็นไม่สนใจเธอ เสียงของเธอก็จะดังขึ้นเรื่อยๆจนวีแก้วหูแตกไปสามครั้งในปีการศึกษานั้น
แต่สิ่งที่ทำให้วีทนไม่ได้มากที่สุดไม่ใช่เพราะเธอทำให้วีต้องเลือดตกยางออกแต่ยางใด เพียงแต่เธอชอบเล่าตอนจบเรื่องผิดๆถูกๆ จนบางทีวีก็เพิกเฉยไม่ได้ ลืมตัวจนเผลอเถียงออกไป...
"สโนไวท์ไม่ได้ถูกคนแคระจูบแล้วกลายเป็นกบนะ ต้องถูกเจ้าชายจูบแล้วฟื้นสิ"
"ตอนจบซินเดอเรลล่าไม่ได้กลายเป็นรถฟักทองซะหน่อย ต้องได้แต่งงานกับเจ้าชายต่างหาก"
หลายครั้งเข้า...แม่ของเธอจะได้ยินรายงานจากครูประจำชั้นแนะนำให้ไปหาหมอ จนแม่เธอเริ่มไม่ไว้วางใจ จนหลังๆเมื่อแม่รู้อะไรบางอย่างที่วีไม่รู้ และเริ่มพยายามซักถามเธอหลายครั้งแม่ก็เริ่มเข้าใจและไม่ดุวีอีก จนกระทั่งวีจบชั้นประถมศึกษา กับการเรียนที่ดูโหดร้ายผ่านมาได้ สุดท้ายวีก็ต้องย้ายมาเรียนที่โซลแต่บ้านของวีก็ยังอยู่ที่ปูซานเช่นเดิม วีไม่ได้เรียนโรงเรียนประจำ เธอจึงหาเช่าห้องแถวนั้นอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทคนเดียวของเธอ ‘ยูริ’ เพื่อนคนที่เธอคิดว่าจะเป็นคนแรก และคนสุดท้ายที่จะสามารถอยู่กับเธอ และเข้าใจเธอได้
"ทุกคนคงไม่มีใครเชื่อวีหรอก มันคงเป็นเรื่องตลกสำหรับทุกคนมากกว่า ไม่มีใครเข้าใจวีจริงๆหรอก แม้กระทั่งยูริ..." เสียงตัดพ้อจากเด็กวัยสิบห้าดูเศร้า
"เชื่อสิ ไม่เขื่อได้ไงอ่ะ เรื่องพวกนี้ คือว่า...พวกเราก็เจอมาหมดแล้วล่ะ" หลังจากคนขี้กวนพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นโดยที่วีได้แต่นั่งงง
“เขื่อ....เขื่ออะไรของนายฮะ?? หิวมะเขือหรือไง นายนี่มันจริงๆเล้ยย.. แอบโดดเรียนคาบเกาหลีอีกแล้วใช่ไหมล่ะเนี่ยย?? พูดผิดพูดถูกประจำ นี่จะให้ฉันต้องส่งยองแจไปเฝ้านายที่โรงเรียนเลยไหม...” เสียงของจูเนียร์บ่นขึ้นมาเพราะไม่ไหวกับนิสัยของตาคนติ๊งต๊องนี่...
"แล้วทำไมต้องเป็นยองแจล่ะ??"
"อ้าวทำไมล่ะ นายเกลียดยองแจหรือไง" คนที่เพิ่งจะบ่นไปเมื่อไม่นานถาม..
"ไม่ๆ ไม่ได้เกลียดนะ"
“งั้นแปลว่านายชอบยองแจ แค่นี้จบ"
"อารายอ่า สองคนนี้มีอะไรกันหรือเปล่าคะเนี่ยย เล่าให้ฟังหน่อยจิ น้าา" วีส่งสายตาวิ้งๆให้พี่ๆ
.
.
.
“…” แต่ก็ไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับจากวัตถุชิ้นใดบนโลก..
เมื่อคนที่ไม่สามารถอาศัยอยู่กับความเงียบได้นานอย่างแจ็คสัน รู้สึกเริ่มทนไม่ได้ขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจ พูดเปลี่ยนเรื่องทันที..
“เอา..ล่ะ..นะ..เดี๋ยว..ฉัน..จะ..เล่า..ให้..ฟัง..เอง.. คือ..เรื่อง..มัน..เป็น..อย่าง..นี้.....”คนเพิ่งโดนแซวค่อยๆเริ่มพูดอย่างช้าๆ เน้นๆ ทีละคำ เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะพูดผิดซ้ำอีก..
................................
..เมื่อประมาณปีที่แล้วไม่นานมานี้ทั้งเจ็ดคนถูกจับมาซ้อมด้วยกัน จากที่ตอนแรกแยกกันซ้อมเป็นห้องๆแต่ตอนนี้ทุกคนก็ต้องย้ายมาซ้อมกันเป็นทีม ต้องทำความรู้จัก ต้องเข้าใจกันและต้องตั้งใจซ้อมให้ดีที่สุด แม้ในตอนนั้นจะไม่มีวี่แววว่าจะได้เดบิวต์ก็ตาม ทุกคนก็ย้ายมานอนในหอเดียวกันแต่นอนกันคนละห้องไม่มีรูมเมทเหมือนในตอนนี้
..ยองแจผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ตื่นสายมีนิสัยการนอนที่แย่ เพราะทั้งชอบร้องเพลงก่อนนอน และหลับลึกแบบสุดๆ ยองแจชอบบอกว่าจริงๆแล้วไม่ได้หลับเพราะว่าเวลาเคลิ้มๆวิญญาณก็ออกจากร่างล่องลอยไปไหนต่อไหน รู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า และ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในทุกสถานการณ์เหมือนรับมือไว้หมดแล้ว จนได้รับอีกฉายาว่าเป็นน้องที่ไม่เหมือนน้องเพราะดูแลตัวเองทุกอย่าง ใช่ว่าจะมีใครเชื่อเรื่องแบบนี้หรอกนะ เพราะยองแจเป็นคนที่ชอบพูดแบบเล่นๆทำอะไรให้ไม่คาดคิดเสมอ แต่อย่างแรกที่ทำให้ทุกคนเชื่อคือ...
...ในคืนวันศุกร์หลังซ้อมเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว วันนั้นเป็นวันที่ถือได้ว่าทุกคนซ้อมหนักกว่าทุกวัน เพราะถูกชานซองมักเน่ชราจาก 2pm แกล้งปรับเวลาให้ช้าไป 2 ชั่วโมง ซึ่งปกติเหล่าเมมเบอร์จะเลิกซ้อมกันในเวลาสี่ทุ่มของทุกๆวันแต่ในวันนั้นนาฬิกาถูกปรับ เมื่อออกมาข้างนอกจึงรู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ทุกคนต่างตกใจและรีบไปอาบน้ำนอน.. เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้าไปช่วยเชียร์ลุงผัก ในงานประชุมประธานค่ายของแต่ละค่าย และ รอรับรางวัลประธานค่ายดีเด่น ซึ่งลุงผักย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามนอนดึก และ รีบตื่นแล้วไปพร้อมกัน เหล่าเมมเบอร์จึงดูร้อนรนเป็นพิเศษทั้งๆที่รู้ว่าลุงผักเป็นคนใจดี แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจริงจัง
..ใครบางคนที่กำลังจะเคลิ้มหลับไป
“ไม่นะ!! วันนี้แจจะรีบนอน ไม่แกล้งฮยองแล้ว”ร่างใสใสของยองแจพูดเมื่อหันไปมองร่างของตัวเองที่กำลังนอนอยู่บนที่นอนเพราะทุกวันยองแจจะคอยไปแกล้งฮยองทั้งหลายเสมอ บางครั้งก็แกล้งเดินทะลุตัวเพื่อให้รู้สึกหวิวๆ เบาหูตอนนอนบ้าง ใช้พลังในตอนนั้นไขนาฬิกาปลุกบ้างจนหอพักวุ่นวาย และมักจะเจอปัญหาจริงๆในทุกๆเช้าเพราะยองแจไม่ยอมตื่นมารับความผิดแต่รู้ตัวดีทุกอย่าง และคอยบอกอยู่เสมอว่า ขอโทษ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
...แต่ในวันนี้
'ตึ้ก..ตึ้ก..ตึ้ก..'
เสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกจนทำให้ยองแจไม่มีสมาธิที่จะกลับเข้าร่างและเริ่มสนใจที่จะเดินออกไปจากห้องด้วยความกังวล
“ตอนดึกๆเด็กฝึกและศิลปินห้ามออกจากห้องไม่ใช่หรอ แล้วนั่นใครน่ะ..” ยองแจเดินทะลุห้องออกไป เห็นเงาชายคนหนึ่งในชุดสีดำเดินมองซ้ายมองขวาแล้วตรงไปที่โต๊ะ ยองแจรีบวิ่งตามไปทันทีในร่างใสใสของวิญญาณ
'แคว้ก..ครืดดด...' เสียงบางสิ่งดังขึ้นด้านหน้าของชายปริศนาเหมือนมีบางสิ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ..
ยองแจตัดสินใจที่จะเดินไปด้านหน้าของชายปริศนาคนนั้นแล้วรวบรวมสมาธิเปิดไฟ ร่างของชายปริศนาคนนั้นถูกเปิดเผยทันที บวกกับสิ่งที่ทำให้ยองแจแทบจะไม่เชื่อสายตา ..
...
.
.
.
.
เพราะสิ่งที่เขาเห็นมันคือ...
..
.
.
แจ๊คสันกำลังฉีกถุงขนมออก แล้วยืนกินมันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนเข้านอนแจ๊คสันเป็นคนบอกเองว่านี่ดึกพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไม่ต้องกินแล้ว
'คนเราต้องกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน' วลีนั้นทำให้ยองแจรู้สึกซึ้งใจและฮึกเหิมมุ่งมั่นขึ้น มาแต่ตอนนี้ชายคนนั้นกลับแอบหนีออกมากินขนมข้างนอกทั้งๆที่ผิดกฎ
..เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น แจ๊คสันก็รู้สึกตกใจไม่น้อยแต่สิ่งที่ทำให้แจ๊คสันรู้สึกสบายใจขึ้นมาคือเสียงแว่วๆของใครบางคนที่มาพร้อมกับสายลมอ่อนๆพัดผ่านตัวเขาไปชั่ววูบ แต่คำๆนั้นแทบจะทำให้แจ๊คสันสำลัก...
"ไหนบอกว่าคนเราต้องกินเพื่ออยู่ไงล่ะฮยอง" แจ๊คสันจึงเชื่อว่ายองแจนั้นสามารถถอดจิตได้จริงและสิ่งที่ย้ำไปกว่านั้นคือตอนเช้าในรถยองแจเล่าให้เมมเบอร์ทุกคนฟังเรื่องที่แจ๊คสันแอบออกไปกินขนมข้างนอกคนเดียว หลังจากนั้นทุกคนก็รู้สาเหตุของการเกิดเรื่องแปลกๆในหอพักในสไตล์ของยองแจ
..เมื่อเล่าจบทุกคนก็ต่างหัวเราะกับความรั่วของแจ๊คสันในตอนนั้นเขาไม่ต่างไปจากตอนนี้เลยจริงๆทั้งความบ้าและสติที่ขาดหาย แต่ประเด็นต่างๆก็เริ่มเข้ามาอีกครั้งเมื่อแบมแบมเกิดความสงสัย
"แล้วทำไมยูริถึงมาคบกับวีล่ะ"
"วีก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คงเป็นเพราะวีเป็นเด็กติ่งแล้วก็ติ่งวงนี้มั้งคะ เอ จะว่าไปในห้องก็มีเยอะอยู่นะคะ เพราะตอนนั้นวีเป็นเมนพี่เจบีมั้งคะ" เด็กน้อยตอบออกไปอย่างใสซื่อ
"ตอนนั้นวีเป็นเมนเจบี แล้วตอนนี้วีเมนใครล่ะ" คนแมนถามบ้าง
"ก็เมนพี่เจบีไงคะ" เด็กน้อยตอบอย่างไม่คิดเหมือนลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท
"เจบีฮยองคนเดียวเองหรอ??" เสียงของร่างเล็กพูดลอยๆแต่ก็ทำให้วีคิดได้และรู้สึกว่าถ้าไม่รีบบอกว่าเป็นเมนแบมสงครามได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
"อ้อ..!! วีเมนบีแบมค่ะ..เกือบไปแล้ว" ประโยคสุดท้ายเผลอติดออกมาจากปากวีเบาๆแน่กลับมีบางคนได้ยิน ใช่แล้วจะมีใครที่จะฟังจนจบและเก็บรายละเอียดได้มากขนาดนี้ คนๆนั้นคือยูคยอม
"เกือบไปแล้วอะไรหรอวี..." ยูคยอมถามเมื่อได้ยินประโยคที่ฟังแล้วไม่เข้าใจแต่เมื่อคิดทบทวนไปมาเขาก็กลับหัวเราะมันออกมาเองโดยที่วียังไม่ทันจะพูดอะไร...
'หงืด' ..
...
...
เสียงของใครบางคนกำลังเปิดประตูออกมา
(เดี๋ยวนะ..นี่เสียงเปิดประตูหรออ??..ประตูขึ้นสนิมป่าว? ถถถถ)
.
.
.
"อาทิตย์หน้าเราจะไปถ่ายทำที่เกาะร้างนะ ไปกันทั้งค่ายเลย " เสียงของลุงผักที่ดูเหมือนคิดสนุกพูดขึ้น ทุกคนต่างพูดเป็นคำเดียวกันว่า
"ฮะ!! เกาะร้าง"
"ใช่! เกาะร้าง เราจะไปที่นั่นในอาทิตย์หน้านี้เพื่อจัดฉยองการเดบิวต์ครบ 1 เดือน ของพวกนายไง มันต้องสนุกมากแน่ๆ ต้องเอาอะไรไปบ้างนะ ตุ๊กตาหมีเอาไปด้วยท่าจะดีแฮะ..." ลุงผักเริ่มบ่นพึมพำแล้วเดินออกจากห้องไปภายใต้ความตกตะลึงของทุกคนในห้อง
"น่าสนุกดีนะ ได้ไปหลายๆที่ด้วย เราอาจจะเจอริ..." ร่างเล็กยังพูดไม่ทันจบคนร่างสูงก็รีบเอามือปิดปากคนที่นั่งข้างๆแล้วดึงมาซบไหล่ทันที
"สองคนนี้มีอะไรหรอ แบมนายจะพูดอะไร" ออมม่าพูดเมื่อเห็นอะไรแปลกๆ
"ปะ..เปล่า..ครับ เมื่อกี้แบมแค่บอกว่าถ้าไปเราอาจจะเมื่อยแล้วก็ทำหน้าเหมือนปวดคอ ยูคเลยดึงมาซบไหล่ไง แบมฮยองหายเมื่อยยังครับ" บทละครเริ่มขึ้น คนใสใสเริ่มยักคิ้วส่งกระแสจิตบ้าง เมื่อร่างเล็กเริ่มเงียบเมื่อที่ปิดปากก็กลายเป็นมือมาบีบที่คอเพื่อคอแทน (ใครเขานวดคอกันแบบนี้ฮะ..? ) จนดูเหมือนยูคจะฆ่าแบมโดยการบีบคอเพราะมือของเขาสั่นไปหมด
"โอ๊ะ.!.อ๋าย..ไอ..ไอ้.อวอก.."(โอ้ย!หายใจไม่ออก) ยูคยอมปล่อยมือทันทีแล้วบอกขอโทษอยู่หลายครั้ง เมื่อหน้าของยูคยอมไปใกล้แบมแบม ร่างเล็กจึงกระซิบบางอย่าง
"หน้าฉันเหมือนคนปวดคอมากนักหรือไง..."
---------------------------------------------------------------------------------------------
โปรดติดตามอ่านกันต่อไปว่าแบมจะหายปวดคอหรือไม่..ถถถ
twitter : @abp_nn
facebook : ABP'nn
hashtag : #ฟิคบีลีฟ
ไปละน้าา
ปย๊งง!!
ความคิดเห็น