ใคร......ฆ่า
รูปลักษณ์ ของคนเราบ่งบอกอะไรบ้าง พูดได้หรือไม่ว่าคนหน้าตาหน้าเกลียด พูดจาไม่น่าฟัง อาจ เป็นคนที่มีจิตใจเลวทราม และในทางกลับกัน คนหน้าตาดี จำเป็นหรือเปล่าที่จิตใจจะต้องดีด้วย ไหม
ผู้เข้าชมรวม
303
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“รูปลักษณ์” ของคนเราบ่งบอกอะไรบ้าง พูดได้หรือไม่ว่าคนหน้าตาหน้าเกลียด พูดจาไม่น่าฟัง อาจ
เป็นคนที่มีจิตใจเลวทราม และในทางกลับกัน คนหน้าตาดี จำเป็นหรือเปล่าที่จิตใจจะต้องดีด้วย
ไหม
~ใครฆ่า~
ข้อเท็จจริง:
หนังสือพิมพ์เซาเทิร์นอีฟนิ่งเซรัลด์ มกราคม 1988
ยี่สิบห้าปีนับจากอดีดถึงปัจจุบันสำหรับคดีสังหารโหด
ที่ศาลอาญาวินเชสเตอร์เมื่อวานนี้ โอลีฟ มาร์ติน อายุ 23 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 22 ถนนเลเวน
เมืองดอว์ลิงตัน ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆาตกรรมมารดา และน้องสาวของตัวเอง
อย่างโหดร้ายทารุณ โดยศาลเสนอโทษขั้นต่ำจำคุก 25 ปี ผู้พิพากษาซึ่งเรียกมาร์ตินว่า “สัตว์ร้ายที่ไม่
มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย” กล่าวว่า เธอไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นกับพฤติกรรมอันป่าเถื่อนต่อ
หญิงผู้น่าสงสารทั้งสอง การที่ลูกฆ่าแม่เป็นอาชญากรรมที่ผิดวิสัยอย่างยิ่งอยู่ และจะต้องมีบทลง
โทษอย่างอุกฉกรรจ์ ตามตัวบทกฏหมาย
ส่วนพี่ฆ่าน้อง ก็เป็นคดีที่หนักไม่แพ้กัน ผู้พิพากษาเสริมว่า “การที่โอลีฟ มาร์ติน ฆ่าบุคคล
ทั้งสอง อย่างทารุณ เป็นการกระทำที่โหดร้ายป่าเถื่อนซึ่งอภัยโทษให้ไม่ได้และจะต้องจารึกลงใน
ประวัติศาสตร์คดีอาชญากรรมว่าเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งยวด” ขณะที่ลูกขุนและผู้เข้าร่วมรับ
ฟังคำตัดสินของศาล โอลีฟ มาร์ติน กลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีความสำนึกผิดใดๆ
______
ปล.กฏหมายของอังกฤษไม่มีโทษประหาร นักโทษที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตจะมีการกำหนดโทษ
ขั้นต่ำแล้วแต่กรณี โดยเฉลี่ยประมาณ 15 20 ปี และถ้า 25 ปี ถือเป็นโทษอุกฉกรรจ์
______
ณ.อีกฟากฝั่งของเมืองเซาธ์แมป์ตัน สถาบันนิติเวชฮินด์เลย์ เวลา 9.00 น.
รอช ชื่อเต็มว่า รอซารินด์ ลีห์
รอซเป็นเจ้าหน้าที่นิติเวชประจำแห่งนี้ วันนี้งานของเธอคือหาข้อสนับสนุนคำให้การรับ
สารภาพของโอลีฟ มาร์ติน ที่กำลังถูกตัดสิน ณ.อีกฟากฝั่งของเมือง ซึ่งเป็นคดีที่กำลังมีผู้จับตามอง
เป็นอย่างมาก
“ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องมาตรวจศพที่ถูกหั่นเละ ไม่มี ชิ้นดี นี้ด้วย ผู้ต้องหาก็ยอบรับผิด
แล้ว จะต้องพิสูจน์อะไรให้ยุ่งยาก” เพราะความเบื่อหน่ายในงานที่ทำมาเกือบ 5 ปี
การชันสูตรผ่านไปโดยกินเวลา 7 ชั่วโมง รอซอัดเสียงผลชันสูตรของเธอตลอดเวลาที่ทำ
การหยิบชิ้นส่วนร่างกายส่วนต่างที่ถูกหั่น มาสำรวจพิสูจน์ เมื่อทำการชันสูตรเสร็จ เธอจำเป็นจะ
ต้องเขียนรายงานและเปรียบเทียบกับคำให้การของโอลีฟมาร์ติน เธอนั่งพักที่โต๊ะทำงานหลังเสร็จ
จากการชันสูตร เธออ่านคำให้การของโอลีฟ มาร์ติน
______
คำให้การของโอลีฟ มาร์ติน
วันที่ 9 เดือน 9 ปี 1987 เวลา 21.30 น.
ต่อหน้าจ่าฮอว์คสลีย์ จ่าไวแอตต์
อี.พี.ครูว์ (ทนายความ)
ฉันชื่อ โอลีฟมาร์ติน เกิดเมื่อวันที่ 8 กันยายน 1964 อยู่บ้านเลขที่ 22 ถนนเลเวน ดอว์ลิงตัน
เซาแธมป์ตันฉันทำงานเป็นเสมียนประจำกรมสวัสดิการสุขภาพและสังคมบนถนนดอว์ลิงตันไฮ
สตรีท เมื่อวานนี้ เป็นวันเกิดของฉัน ฉันอายุครบรอบยี่สิบสามปีบริบูรณ์ อาศัยอยู่กับแม่มาโดย
ตลอด ฉันไม่เคยใกล้ชิดกับแม่หรือน้องสาวมาแต่ไหนแต่ไร ฉันหนักเกือบสองร้อยกิโลกรัม แม่
และน้องสาวชอบล้อฉันเรื่องนี้เสมอ ตั้งชื่อเล่นให้กันว่า แฟ็ตตี้ แฮตตี้ ฉันไม่ชอบเลยที่ถูกล้อเลียน
เรื่องความอ้วน
ปีนี้ไม่มีใครจัดงานวันเกิดให้ฉัน ทำให้รู้สึกน้อยใจมาก แม่ บอกว่าฉันไม่ใช่เด็กๆแล้ว ต้อง
จัดงานเอง เมื่อวานนี้ฉันลางานหนึ่งวันเพื่อนั่งรถไฟเข้าไปเที่ยวลอนดอนทั้งวัน แต่ไม่ได้เตรียมทำ
อะไร เมื่อวานซึ่งเป็นวันเกิด เพราะคิดว่าแม่อาจจะแอบจัดงานวันเกิดให้ในตอนค่ำ แบบเดียวกับที่
ทำให้น้องสาว ในวันเกิดครบรอบยี่สิบเอ็ดปี แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราได้แต่นั่งดูโทรทัศน์กันเงียบๆฉันเข้านอนด้วยความรู้สึกเสียใจมาก แม่ให้เสื้อกันหนาวสีชมพูอ่อนเป็นของขวัญวันเกิดใส่
แล้วไม่สวย ฉันไม่ชอบเสื้อตัวนี้เลย ส่วนน้องสาวให้รองเท้าแตะใหม่เอี่ยมซึ่งถูกใจมาก
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกประหม่าที่ต้องไปลอนดอนตามลำพัง ฉันขอร้องให้ -
แอมเบอร์ น้องสาวของฉันล่าป่วยเพื่อไปเป็นเพื่อนเข้าลอนดอนด้วยกัน แอมเบอร์ทำงานที่ร้าน กลิต
ซี่ ซึ่งเป็นบูติกขายเสื้อผ้าในดอว์ลิงตันได้หนึ่งเดือน แม่โมโหมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้และสั่งห้ามเธอลา
งาน เราทะเลาะกันระหว่างอาหารเช้า
แม่โทษฉันว่าชักจูงให้แอมเบอร์เสียคน เรียกฉันว่ายายแฟ็ตตี้และหัวเราะเยาะที่ฉันขี้ขลาด
ไม่กล้าไปลอนดอนตามลำพัง แม่บอกว่า ฉันสร้างความผิดหวังให้แม่มาโดยตลอดตั้งแต่เกิด เสียง
ตะโกนของแม่ทำให้ฉันปวดหัวตุบๆ ฉันยังน้อยใจไม่หายที่แม่ไม่ยอมทำอะไรให้ในวันเกิดของฉัน
และอิจฉาที่แม่จัดงานวันเกิดให้แอมเบอร์
ฉันหยิบไม้นวดแป้งจากลิ้นชัก ฟาดแม่เพื่อให้หยุดพูดแล้วก็ฟาดซ้ำเมื่อแม่กรีดร้อง ฉันอาจ
จะหยุดฟาดตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้ แต่แล้วแอมเบอร์ก็กรีดร้องขึ้นมาอีกคนเมื่อเห็นฉันทำอะไรกับแม่
ฉันเลยต้องฟาดแกด้วย ฉันเป็นคนไม่ชอบเสียงดังๆมาตังแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉันชงชามานั่งดื่มฆ่าเวลา ตอนแรกคิดว่าทั้งคู่คงแค่สลบทั้งสองคนนอนอยู่บนพื้น แต่เวลา
ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง ฉันก็นึกสงสัยว่าแอมเบอร์กับแม่อาจจะตายแล้วก็ได้ เพราะทั้งคู่ดูตัวซีดมากและ
ไม่ขยับเขยื้อน ฉันรู้ว่าถ้าเอากระจกไปจ่อที่ปากแล้วไม่มีรอยฝ้าก็แสดงว่าตายแล้ว ฉันหยิบกระจก
จากกระเป๋าถือเอามาจ่อที่ปากของแม่และน้องอยู่นาน แต่ไม่มีรอยฝ้าเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉันตกใจมาก!ไม่รู้จะเอาศพไปซ่อนที่ไหน ตอนแรกนึกว่าจะลากขึ้นไปไว้ในห้องใต้หลังคา
แต่พวกเขาตัวหนักมาก ลากขึ้นบันไดคงไม่ไหว ต่อจากนั้นฉันก็คิดว่าเอาศพไปทิ้งทะเลจะดีที่สุด
เพราะห่างจากบ้านแค่สามกิโลเมตรเท่านั้น แต่ฉันขับรถไม่เป็น จึงคิดว่าถ้าหั่นศพให้เป็นชิ้นเล็กชิ้น
น้อยก็จะเอาใส่กระเป๋าไปทิ้งได้ ฉันเคยหั่นไก่อยู่บ่อยๆก็เลยนึกว่าหั่นแม่กับแอมเบอร์คงไม่ยาก ฉัน
ใช้ขวานที่เก็บไว้ในโรงรถและมีดแล่เนื้อจากลิ้นชักในครัว
แต่หั่นศพไม่เหมือนหั่นไก่ พอถึงบ่ายสองโมงฉันก็หมดแรงขนาดเพิ่งเฉือนหัว ขา และ
แขนได้แค่สามข้างเท่นั้น เพราะเลือดออกเยอะเหลือเกิน ทำให้มือลื่นอยู่เรื่อย หั่นไม่ค่อยถนัด ฉันรู้
ว่าอีกไม่นานเพื่อนบ้านอาจจะรู้เข้า ก็เลยคิดว่าโทรศัพท์แจ้งตำรวจดีกว่า และยอมรับสารภาพว่าทำ
อะไรลงไปพอตัดสินใจได้ฉันก็รู้สึกสบายขึ้น
ฉันไม่ได้คิดจะหนีออกจากบ้านและแสร้งทำเป็นว่าคนอื่นเป็นคนทำ ไม่รู้ว่าทำไม ฉัน
หมกหมุ่นแต่เรื่องซ่อนศพ คิดอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น ตอนหั่นศพไม่สนุกเลย ฉันต้องถอดเสื้อผ้าของแม่
และน้องออกเพื่อดูว่าข้อต่ออยู่ที่ไหนบ้าง ฉันเอาชิ้นส่วนศพมาวางเรียงกันใหม่เพื่อให้ดูดีขึ้น แต่ไม่
รู้ตัวว่าว่างสลับชิ้นกัน เพราะเลือดเยอะเหลือเกิน จนดูไม่ออกว่าศพใครเป็นศพใคร เป็นไปได้ว่าฉัน
อาจจะวางหัวแม่ไว้กับศพของแอมเบอร์ ทั้งหมดนี้ฉันลงมือทำคนเดียว
ฉันเสียใจในสิ่งที่ทำ ฉันทำไปด้วยความลืมตัว และขอยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บันทึกไว้
ในนี้เป็นความสัตย์จริง
ลงชื่อ
โอลีฟ มาร์ติน
________
หลังจากที่รอซอ่านเสร็จเธอถึงกับกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เมื่อมาดูเทียบกับผลชันสูตรที่
บอกว่า โอลีฟ ฆ่าแม่และน้องขณะที่มีชีวิตอยู่และมีร่องรอยของการใช้ขวานที่ทื่อและเต็มไปด้วย
สนิมทำให้ต้องจามข้อต่อในหลายรอบกว่าจะหั่นชิ้นส่วนได้ แต่!มีจุดที่น่าสนใจอยู่หลายจุดที่ขัดแย้ง
กันมากมาย รอซรีบหยิบมือถือของเธอขึ้นมาทันใด
“ฮัลโหล ค่ะ จ่าไวแอตต์หรือเปล่าค่ะ ฉันคิดว่าคุณเป็นคนทำคดีโอลีฟ มาร์ติน ถูกต้องหรือ
เปล่าค่ะ” รอซพูดขณะเดียวกันได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเคลื่อนย้ายศพออกไป
“เออ ...ครับ ใช่ครับ” จ่าไวแอตต์ตอบกลับมา ตอนนี้เขาอยู่ที่สถานีตำรวจ
“ คือว่า ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันนิติเวชฮินด์เลย์ เจ้าหน้าที่รอซค่ะ ฉันมีเรื่องที่คุณควร
ทราบค่ะ ฉันคิดว่าผู้ต้องหาที่คุณจับไปน่าจะไม่ใช่คนฆ่าแม่และน้องสาวของตัวเอง น่าจะมีมือที่
สามค่ะหรือไม่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอคือผู้บริสุทธิ์ ด้วยผลการพิสูจน์ทางด้านนิติเวชต่างพบข้อ
สงสัยหลายจุดค่ะที่บ่งชี้”
“แต่ขอโทษนะครับ เรียกคุณว่าคุณรอซได้ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
“คุณรอซครับ แต่ว่าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพแล้วนะครับ”
“ค่ะ ฉันรู้ ซึ่งฉันคิดว่าเธอน่าจะออกรับผิดแทนใครซักคน” รอซพูดขณะมองศพที่ถูก
เคลื่อนย้ายออกไปเหลือแต่เธอคนเดียว
“คุณบอกเหตุผลได้ไหมครับ การจะทำคดีที่ศาลเพิ่งตัดสินไปแล้วเนี้ยนะครับ คุณรู้ไหมว่า
จะทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากขนาดไหน จำเป็นจะต้องมีหลักฐานไปยืนยันหรือหักล้างข้อเท็จจริงก่อน
หน้านี้ถึงจะสามารถไต่สวนใหม่ได้นะครับ”
“ค่ะ เหตุผลที่ฉันพูดเรื่องนี้กับคุณมันค่อนข้างที่จะเออ..แบบว่ากระทบกระเทือนถึงคุณหรือ
แม้แต่ผู้ที่ร่วมทำคดีนี้ทุกคนเลยนะค่ะ คุณคิดว่าคุณต้องการจะทำไหมค่ะ” การพูดของรอซทำให้จ่า
ไวแอตต์ต้องตรึกตรองถึงผลกระทบที่จะตามมาหากเป็นจริงดังที่เธอว่าเขาผู้เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้
อาจต้องถูกปลดออก แน่นอนว่าไม่มีใครหรอกอยากจะเอาคอตัวเองไปขึ้นเคียง ถ้าหากเขาปล่อยเลย
ตามเลยเขาก็จะต้องไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบมากนัก ผู้ที่ต้องเสียมากที่สุดก็คือ หญิงอ้วน โอลีฟ มาร์
ติน
“คุณต้องการอะไรคุณรอซ”จ่าไวแอตต์ถาม
“ค่ะ คุณนี้คิดอะไรได้ไวดีเหมือนกันนะค่ะ สิ่งที่ฉันต้องการคือสิ่งที่มันไม่ยากเลยที่จ่าจะหา
มาให้ฉันได้ ฉันก็แค่ต้องการเพียงเงินเล็กน้อยเป็นค่าปิดปากสำหรับข้อมูลนี้ โดยที่ฉันจะทำลายมัน
ทิ้งทั้งหมด และทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ” สำหรับรอซการเจอหลักฐานที่สามารถจะพลิกคดีได้และส่งผล
กระทบต่อผู้คนที่เกี่ยวข้องไม่เว้นแม้แต่คำตัดสินของศาล ย่อมทำให้เธอสารมารถที่จะกอบโกยผล
ประโยชน์ได้อย่างมากมาย
“ผมเสนอให้คุณ 5 แสนดอล์ลาร์ คุณว่าไงย”
“โธ่ๆๆๆ 5 แสนหรือค่ะ จ่าค่ะ ฉันคิดว่ามีอะไรผิดไปหรือเปล่า กับคดีที่ดังขนาดนี้คุณคิดว่า
5 แสนจะพอหรือค่ะ เพื่อไม่เสียเวลา 2 ล้านค่ะ จะรับไม่รับก็อยู่ที่คุณ หากรับ คุณก็จะได้ไม่มีปัญหา
ในภายหลัง มันคุ้มหรือค่ะกับการที่จะเอาตัวเองไปแลกกับหญิงร่างอ้วนตุ๊ต๊ะน่าเกลียด แสนโงอย่าง
ยายโอลีฟนั่น” รอซพยายามที่จะหว่านล้อมจ่าไวแอตต์
“ อืม..... ก็ได้ผมรับปากคุณบอกเลขบัญชีคุณมา พรุ่งนี้ผมจะโอนเงินเข้าบัญชีคุณ และอีก
อย่างนะครับคุณรอซ ผมจะมั่นใจได้ไงยว่าคุณจะทำลายหลักฐานและปิดปากเงียบ”
“สำหรับคำถามนะค่ะจ่า ถ้าคุณไม่มั่นใจฉัน ทันทีที่คุณโอนเงินฉันจะส่งหลักฐานไปให้คุณ
ทุกอย่างเลยค่ะ...” รอซพูดจบก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที
“นังนี้มันร้ายชะมัด ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วซิ ต้องรีบกำจัด หึๆๆ คนตาย.. จะทำอะไรได้นอก
จากรอวันเน่าเฟ๊ะในสุสานซัวๆ”จ่าไวแอตต์พูดพึมพำคนเดียว
หลังจากนั้นจ่าไวแอตต์ก็สืบค้นข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อรอซ ซึ่งหาได้ไม่ยากเลยเพียงแค่
เรียกดูข้อมูลออนไลน์ที่ขึ้นตรงสู่สถานีตำรวจทุกแห่ง เพียงไม่นานจ่าไวแอตต์ก็ได้ข้อมูลทุกอย่างที่
ต้องการ
____
วันเดียวกัน เวลา 20.00 น. หน้าอพาร์ทเมนท์ของรอซ
รอซกำลังจะเดินเข้าประตูอพาร์ทเมนท์ ก็พอดีเห็นจ่าไวแอตต์ เธอจึงหยุดแล้วเดินไปหา
แขกผู้มาเยือนโดยมิได้นัดหมาย
“อ๊ะ!จ่า คุณมาทำอะไรที่นี้ค่ะเนี้ย”
“คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ผมแค่มาดูข้อมูลที่คุณกล่าวถึง เพื่อความแน่ใจ”จ่าไวแอตต์กล่าวกับ
รอซ
“ได้ค่ะ มันอยู่ในกระเป๋าฉัน แต่ว่าเราต้องไปจากตรงนี้ก่อนแถวนี้มีแต่ผู้คน”รอซพยายาม
จะชวนจ่าไวแอตต์ไปที่อื่น
“ได้ คุณว่าไงย ผมว่างั้น ก็คุณเป็นคนคุมเกมส์นี่ครับ”จ่าไวแอตต์หันหลังเดินนำไป
“อ๊ะ!เดี๋ยวก่อนสิ ค่ะ จะรีบไปไหนค่ะ” รอซร้องเรียก
“อะไรของคุณอีกคุณรอซ”
“ก็แหม คุณเป็นผู้ชาย ฉันเป็นผู้หญิง ดังนั้นคุณยืนนิ่งๆก็แล้วกัน”รอซพูดพร้อมเดินเข้าไป
คลำตามตัวจ่าไวแอตต์
“นี่คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ นี้มันที่สาธารณะ นะคุณ”
“ก็สิ่งนี้ไงยค่ะ” รอซพูดพร้อมชูปืนที่ค้นมาจากตัวจ่าได้ และค้นต่อจนไม่มีอะไรให้เธอ
สงสัย
“โธ่ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอกคุณรอซ”
“ด้วยการเผชิญหน้าต่อโลกมา20กว่าปีมันทำให้ฉันไม่ไว้ใจใครค่ะ ขอโทษนะค่ะที่มันจะไม่
อยู่กับคุณไปอย่างน้อยก็ซักครู่หนึ่ง” รอซพูดแล้วเดินนำไปยังสถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
---------
“ที่นี้แหละค่ะ ตรงนี้ อ๊ะนี้ค่ะ”รอซพูดพร้อมกับเปิดกระเป๋าหยิบหลักฐาน
“ตรงนี้เหรอครับคุณรอซ +!! มันคือที่ที่คุณจะตายยังไงยเล่า”จ่าไวแอตต์พูดพร้อมกับเอามือ
ปิดปากแล้วดันให้รอซล้มลงกับพื้นและล็อกมือทั้งสองข้างไว้ โดยที่มือทั้งสองข้างมีผ้าเช็ดหน้ารอง
อยู่เพื่อกันไม่ให้นิ้วมือติดไปอยู่บนตัวรอซ อันเป็นหลักฐานที่จะมัดตัวเขา รอซดิ้นทรมานเพียงเวลา
ไม่นานก็แน่นิ่งไป....
จ่าไวแอตต์คลายมือออกเตรียมจะลุกยืนเมื่อรอซที่แกล้งทำเป็นตาย เอาเข่ากระทุ้งจุดสำคัญ
ของจ่าไวแอตต์จนตัวงอล้มลงไปด้านข้างตัวเธอ รอซรีบหยิบปืนที่ยึดมาได้ จ่อปากปืนไปยังจ่าไว
แอตต์
“สั่งเสียโลกเดี๋ยวนี้เลยจ่า ,’คลิก’! ” รอซพูดพร้อมเหนี่ยวไกรปืน.แต่ว่า..!
“หึๆๆ นังโง่ฉันไม่โง่ใส่ลูกกระสุนมาหรอกเพราะคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ถึงแม้จะ
ผิดแผนไปหน่อย” จ่าไวแอตต์พูดพร้อมลุกขึ้นยืน
“ฉันขอโทษอย่าฆ่าฉันเลย!!” รอซพูดขอโทษ พอสบโอกาศเธอก็หยิบของจากในกระเป๋า
“โอ้ยยยยย” จ่าไวแอตต์ร้องโหยหวนพร้อมเอามือปิดตา เมื่อรอซฉีดเสปรย์พริกไทยใส่หน้า
จ่าไวแอตต์อย่างเต็มๆ รอซวิ่งหนีทันที เธอเรียกแท๊กซี่ไม่ใช่กลับบ้านหรือไปสถานีตำรวจแต่เธอไป
ยังสถานีโทรทัศน์ เธอนำหลักฐานต่างๆให้แก่นักข่าว และเธอก็ขอให้พวกเขาคุ้มครองเธอด้วย โดย
อ้างว่า เธอเพิ่งถูกตำรวจปองร้ายมา .......
วันรุ่งขึ้น
ชื่อของรอซาลินด์ ลีห์ ปรากฏหราในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ พร้อมทั้งภาพและข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับคดีโอลีฟ มาร์ติน ทั้งนี้ทั้งนั้น รอซกล่าวอ้างว่าถูกตำรวจผู้เป็นคนดูแลคดีโอลีฟ เข้าทำร้าย
ซึ่งเธอคิดว่า เขาน่าจะมีส่วนพัวพันกับการฆ่าคนตระกูลมาร์ติน เมื่อเธอนำรายการพิสูจน์ไปส่งให้
เขาดู ในเวลาไม่นานหลังคำพูดของรอซได้ออกผ่านสื่อ จ่าไวแอตต์ก็ถูกจับ พร้อมกับผลพิสูจน์
เนื้อเยื่อบางๆที่ติดมากับเล็บของรอซที่เมื่อนำมาพิสูจน์ตรงกับดีเอ็นเอเนื้อเยื่อที่ติดมากับศพตระกูล
มาร์ติน ทำให้จ่าไวแอตต์ต้องรับโทษในข้อหาฆาตรกรรมขณะเดียวกัน โอลีฟ มาร์ติน ถูกนำตัวไป
ตรวจวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้เชียวชาญด้านต่างๆ 5 คน เพื่อหาสาเหตุว่าเพราะเหตุใด เธอจึงรับ
สารภาพผิดทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานชิ้นใดเลยที่บ่งบอกว่าเธออยู่ในเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย ที่บอก
ว่าไม่มีร่องรอยของรอยเท้าใหญ่โตของเธอบนกองเลือด หรือตัวเธอที่ไม่มีแม้แต่เลือดจากศพ
กระเด็นมาเล๊อะเปรอะเปลื้อนเสื้อผ้าเธอเลยซักนิดแต่ทำไมเธอถึงสารภาพผิดให้คดีมันจบเร็วขึ้น
และคำตอบก็ปรากฏออกมาในอีกวันหนึ่ง
_______
วันที่สองหลังข่าวเผยแพร่คดีโอลีฟรอบสอง
ผลตรวจของหมอ 5 คน ที่เชี่ยวชาญหลายด้านพบว่า หญิงอันมีชื่อว่าโอลีฟ มาร์ติน ที่แท้
แล้วเธอเป็นคนหูหนวก และเธอใช้วิธีสื่อสารกับผู้คน โดยวิธีอ่านปาก เธอยังกล่าวอีกว่าเธอไม่ได้ฆ่า
ใครเมื่อเธอรู้เรื่องว่าเธอจ่าไวแอตต์ใส่ร้าย เธอบอกว่า จ่าไวแอตต์ได้ให้เธออ่านสำนวนในกระดาษ
แผ่นหนึ่งซึ่งเป็นสำนวนที่จะช่วยให้เธอพ้นผิด แต่ตัวเธออาจจะต้องรออยู่ในคุกก่อนซักระยะหนึ่ง
ซึ่งโอลีฟก็เชื่อ แพทย์ยังให้การยืนยันอีกว่าการอ่านปากของโอลีฟมีบางคำที่ผิดเพี้ยนไป เช่นคำว่า
Dead เธอเข้าใจว่าเขาพูดว่าRead ซึ่งเป็นคนละความหมายกันทำให้เธอมีความบกพร่องทางด้านการ
พูดและฟัง ดังนั้นโอลีฟ จึงถูกศาลตัดสินพ้นข้อกล่าวหาในทุกรณี
____
ณ.เรือนจำกลาง
“คุณ ไวแอตต์ มีคนมาเยี่ยม” พัศดีร้องเรียกไวแอตต์ก่อนเดินจากไปแล้วเผยให้เห็นผู้มา
เยี่ยม
“ไงยสบายดีไหมค่ะ จ่า..หึๆๆ”รอซกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“แกนังชัวร้าย แกใส่ร้ายฉัน” ไวแอตต์สบถ
“ก็แหม คุณเองนะที่เป็นคนทุบหัว นัง 2 แม่ลูกนั่น แต่อ่ะนะแบบว่าเงินประกัน 20 ล้าน ฉัน
ไม่ค่อยอยากแบ่งให้ใครหรอก คุณก็รู้นิสัยฉันเป็นไงย นอนรอในคุกไปก่อนแค่ 25 ปีเอง ถ้าฉันยัง
ใช้ตังค์ไม่หมดจะเหลือไว้ให้คุณ อ้อ! อีกอย่างนะคะที่รัก ฉันคิดถึงคุณเรียบร้อยแล้วหล่ะ เพราะฉัน
กำลังจะไปพักร้อนที่ประเทศไทยซักหน่อย บ๊าย บายนะจ๊ะที่รัก” รอซพูดจบ ส่งจูบ พร้อมโบกมือ
บ๊ายบาย....
............
บนเครื่องบิน
รอซพาโอลีฟมากับเธอด้วยเพื่อสร้างความภาพผู้พิทักษ์ความยุติธรรม ที่คนทั่วไปเรียกเธอ
พร้อมกับแสดงภาพลักษณ์ของหญิงผู้มีเมตตา แล้วพาโอลีฟไปเที่ยวด้วยกันที่ประเทศไทย
“ไงยโอลีฟ สนุกไหม สำหรับการแสดง” รอซหันไปถามโอลีฟที่นั่งข้างๆ
“ก็โอเค แต่แหม นอนในคุกน่ะฉันรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไรเลย แต่ก็อ่ะนะได้เงินประกันมา
แล้วไปใช้ให้คุ้มค่าดีกว่าจริงมั้ยค่ะแม่,แอมเบอร์”โอลีฟพูดกับหญิงสาวที่นั่งข้างหน้าสองคน
“ใช่จ๊ะลูกรัก ไม่นึกว่าหนูรอซเพื่อนของลูกจะสามารถหาศพที่เหมือนแม่กับแอมเบอร์ได้
เก่งจริงๆ” แม่ของโอลีฟกล่าวชมรอซ
“ใช่ จริงด้วยเก่งมากเลยค่ะพี่รอซ” แอมเบอร์กล่าวอีกคน
“ก็ไม่เท่าไรหรอกค่ะ มันงานหนูอยู่แล้ว”รอซกล่าวกับคุณนายมาร์ติน พร้อมหัวเราะ
“ว่าแต่ลูกเถอะโอลีฟ ลูกทำยังไงยหมอ 5 คน ถึงเชื่อว่าลูกหูหนวก และใสซื่อบริสุทธิ์ ซะ
จนเชื่อสนิทใจขนาดนั้น” คุณนายมาร์ตินหันมาถามโอลีฟด้วยสีหน้าสงสัย
“อ้อ ง่ายค่ะ ก็เพราะหมอเบ็คที่นั่งอยู่ด้านหลังนี้ไงยล่ะค่ะ เขาป็นหนึ่งในหมอที่วินิจฉัยหนู
ค่ะแม่ เป็นเพื่อนของรอซเขานะค่ะ” โอลีฟพูดพร้อมแนะนำหมอเบ็คที่นั่งอยู่ด้านหลัง ทั้งหมดก็พา
กันหัวเราะมีความสุข อย่างสนุกสนาน
“หนูขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะค่ะแม่”โอลีฟกล่าวกับแม่และทุกคนก่อนจะลุกจากที่นั่ง
แล้วเดินออกมา เมื่อเดินมาได้ไม่ไกล โอลีฟก็ทำปากขมุบขมิบพูดว่า
“หึหึ ไปเที่ยวนี้ไม่มีวันที่ฉันจะให้พวกแกกลับมาหรอก” โอลีฟพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป.....
___จบ___
ผลงานอื่นๆ ของ B.P.J. ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ B.P.J.
ความคิดเห็น