ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    ลำดับตอนที่ #6 : บุคคลสำคัญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 52


    บุคคลสำคัญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1


     

    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)

    "ผู้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 1"

             อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1889 ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย ติดชายแดนเยอรมนี พ่อและแม่ของฮิตเลอร์ (อาลัวส์และคาร่า) มาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน แต่พ่อเป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน จึงก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาษี และมีลูกติดมา 2 คน ทำให้ฮิตเลอร์มีพี่น้องถึง 5 คน แต่โตขึ้นมาเหลือรอดอยู่ 2 คน คือฮิตเลอร์และน้องสาว  พ่อฮิตเลอร์เป็นคนที่เข้มงวดมาก และนิยมใช้ความรุนแรงลงโทษหากลูกไม่เชื่อฟัง ฮิตเลอร์จึงเป็นเด็กเรียนดีในตอนต้น เพื่อนๆ ยกย่องให้เป็นผู้นำ ทั้งยังเคร่งศาสนา จนใครๆ คิดว่าโตขึ้นมาจะเป็นนักบวช แต่พอขึ้นเรียนชั้นสูงขึ้น วิชาต่างๆ ก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสอบไม่ได้ที่ 1 พ่อเริ่มเกรี้ยวกราด เพราะกลัวลูกจะเข้ารับราชการไม่ได้ ส่วนเพื่อนๆ ก็เริ่มไม่ต้องการให้เป็นหัวหน้า ความกดดันต่างๆ ทำให้ฮิตเลอร์เบี่ยงไปสนใจการต่อสู้

                        ครูชั้นมัธยมฯ คนเดียวที่ฮิตเลอร์ชื่นชอบ คือลีโอโพลด์ พอตช์ ซึ่งเป็นคนนิยมความสำเร็จของเยอรมนี จึงมักเล่าถึงชัยชนะต่างๆ ของเยอรมันเหนือฝรั่งเศส  ฮิตเลอร์พานชอบเยอรมันไปด้วย โดยมีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ

    สำหรับวิชาที่ฮิตเลอร์สนใจมากอีกวิชาคือศิลปะ ซึ่งทำให้ทะเลาะรุนแรงกับพ่อ เพราะไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้ลูกเป็นศิลปิน ศึกพ่อลูกสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1903 เมื่อพ่อฮิตเลอร์เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากทางการเงิน แต่ฮิตเลอร์ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิม จนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียน

    ต่อมาในช่วงอายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ และใช้เงินเดินทางไปกรุงเวียนนา หวังว่าจะไปเรียนวิชาศิลปะที่นั่น ฮิตเลอร์คิดว่าตนเองมีความสามารถทางศิลปะที่เหนือชั้ น แต่พอไปถึงจริงกลับถูกสถาบันวิชาการศิลปะเวียนนาปฏิเ สธใบสมัคร จากนั้นจึงย้ายไปสมัครที่โรงเรียนสถาปัตยกรรม แต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า

              หลังจากนั้นฮิตเลอร์ย้ายจากเมืองเบราเนาไปกรุงเวียนนา โดยใช้เงินบำนาญมรดกของพ่อดำรงชีวิตในเมืองหลวง

              ในปีค.ศ.1909 ซึ่งเป็นปีที่ควรเกณฑ์ทหาร ฮิตเลอร์กลับไม่ยอมรับใช้กองทัพออสเตรียของตัวเอง เพราะแค้นอยู่ลึกๆ ที่สถาบันการศึกษาออสเตรียไม่เปิดโอกาสให้เรียน นอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี
              หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ฮิตเลอร์ ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มชีวิตทางการเมือง โดยก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนาซี มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคมนิยม
       
          ในปี 1933 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและหนึ่งปีถัดจากนั้นตั้งตนเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ สร้างกองทัพยึดคืนแคว้นไรน์ และในปี 1936 ร่วมมือกับเผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีบุกยึดออสเตรีย ชาติเกิดของตนเอง ตามด้วยเชโกสโลวะเกีย

    --------------------------------------------------------------------------

     

    จักรวรรดิวิลเฮล์ม ที่ 2 (Kaiser Wilhelm II)

    ปี 1859-1941

    จักรวรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี ทรงครองราชย์ในปี 1888 พระองค์ทรงรับการฝึกตามธรรมเนียมจากกองทัพปรัสเซียน (Prussian Army) พระองค์ทรงเชื่อฝังใจว่าเยอรมนีควรเป็นมหาอำนาจของโลก ทรงสนับสนุนการสร้างกองทัพบกและกองทัพเรือ ทรงปลดผู้นำที่แข็งแกร่งอย่าง ออตโต วอน บิสมาร์ค ในปี 1890 โดยแต่งตั้งเหล่านายพลของพระองค์เองในช่วงสงคราม เนื่องจากพระองค์เป็นบุคคลในกองทัพจักรวรรดิเยอรมนี พระองค์ทรงจำต้องสละราชสมบัติ เมื่อกองทัพเยอรมนีสะดุดลงในปี 1918 และเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก พระองค์ทรงย้ายไปประทับที่เมืองดูร์น (Doorn) ในฮอลแลนด์ และประทับอยู่ที่นั่นจนสิ้นพระชนม์

    --------------------------------------------------------------------------
     
     

    เดวิด ลอยด์ จอร์จ (David Lloyd George)

    ปี 1863-1945

    เดวิด ลอยด์ จอร์จ มีชื่อเสียงด้านสุนทรพจน์ เขาเข้าร่วมการเมืองโดยเป็นสมาชิกสภาพรรคลิเบอรัล (Liberal MP) ในปี 1890 ตั้งแต่ปี 1908-1914 เป็นผู้ตรวจการของกระทรวงการคลัง และเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในปี 1915 เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างปี 1916-1918 เขาพยายามแยกนโยบายการสงครามออกจากการทหารแต่ก็ไร้ผล เขาถูกติเตียนเรื่องการนำรบของเฮกในยุทธการลุ่มแม่น้ำซอมม์ และยุทธการปาสส์ของดาลล์ เป็นผู้สนับสนุนสงครามอย่างแข็งขัน ทำให้ได้รับเลือกเป็นผู้นำสูงสุดเป็นสมัยที่สอง ตั้งแต่ปี 1918-1922

    --------------------------------------------------------------------------



    พระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ 2 (
    Czar Nicholas II)

    พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 กษัตริย์รัสเซีย ในปี 1914 พระองค์เป็นคนพูดน้อยและขี้อาย ทรงปกครองอาณาจักรที่เต็มไปด้วยชนชาติหลากหลายเกือบ 150 ล้านคนโดยเผด็จการซึ่งมีสังคมคล้ายชนบทสมัยกลาง ที่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการอุบัติขึ้นของสงครามอุตสาหกรรม พระองค์ไม่สามารถปลุกเร้าความเป็นผู้นำหรือเปลี่ยนแปลงการเมืองที่สำคัญได้ ในปี 1917 เกิดการจราจลโดยพลเรือนซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติในรัสเซีย พระองค์และครอบครัวถูกปลงพระชนม์ในปีถัดมา



    นายพล พอล วอน ฮินเดนเบิร์ก (General Paul von Hindenberg)

    ปี 1847-1934

    นายพล พอล วอน ฮินเดนเบิร์ก อายุ 66 ปี ในปี 1914 แม้เขาจะเกษียณแล้ว แต่ก็ถูกขอให้กลับมาบัญชาการกองพลที่ 8 ของเยอรมนีที่แนวราบฝั่งตะวันออก ระหว่างปี 1914-1916 ได้โดยประสบผลสำเร็จ เขาได้เป็นวีรบุรุษหลังจากนั้น และได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาธิการในปี 1916 เขาปิดฉากการสังหารหมู่ที่แวร์เดิง และสร้างแนวป้องกันฮินเดนเบิร์ก แต่การบุกที่ล้มเหลวในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1918 นำไปสู่การสงบศึกในวันที่ 11 พฤศจิกายน แม้จะแพ้ แต่เขาก็กลับได้เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐไวมาร์ ในปี 1925 ฮินเดนเบิร์กโด่งดังจากการตัดสินใจที่นำความหายนะมาสู่เยอรมนี คือ การแต่งตั้ง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี เป็นผู้นำประเทศ ในปี 1933 เป็นการตัดสินใจที่ผลักดันให้โลกเข้าสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง ฮินเดนเบิร์กเสียชีวิตในปี 1934

    --------------------------------------------------------------------------


     
    โทมัส วูดโรว์ วิลสัน (Thomas Woodrow Wilson)

    ปี 1856-1924

    โทมัส วูดโรว์ วิลสัน เกิด 28 ธันวาคม 1856 เป็นนักวิชาการอเมริกัน ซึ่งหลงใหลวรรณกรรมและการเมือง จึงตัดสินใจเข้าสู่อาชีพการเมือง วิลสันได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก จากพรรคเดโมแครต ในปี 1910 และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 1912 สี่ปีต่อมาเขาได้รับเลือกอีกสมัย ในช่วงระหว่างสงคราม เขาพยายามรักษาความเป็นกลางของสหรัฐอเมริกาแต่ไร้ผล เมื่อถูกกระตุ้นโดยการที่เยอรมนีวางอุบายกับเม็กซิโก และยุทธการเรือดำน้ำที่ไร้ขอบเขต วิลสันจึงประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อเดือนเมษายน ปี 1917 เขาเริ่มเคลื่อนพลของกองทัพสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายพล เปอร์ชิง (General Pershing) หลังสงครามเขาเป็นศูนย์กลางเจรจาเพื่อจัดตั้งสันนิบาตชาติได้สำเร็จ แต่กลับแพ้การเลือกตั้งในปี 1920

    --------------------------------------------------------------------------
     


    นายพล โจเซฟ จาร์ค จอฟฟรี (General Joseph Jacques Joffre)

    ปี 1852-1931

    นายพล โจเซฟ จาร์ค จอฟฟรี ที่จริงเป็นคนสมถะ แต่กลับเป็นผู้นำของฝรั่งเศศในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปี 1916 เขารับราชการในสงคราม ฟรังโก-ปรัสเซียน (Franco-Prussian) ในปี 1870-1871 และในปฏิบัติการทางทหารเกี่ยวกับอาณานิคมหลายครั้ง เขายังเป็นวิศวกรทหารอีกด้วย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น จอฟฟรีอายุ 63 ปี แต่กลับเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงของประวัติศาสตร์ที่สำคัญนี้ นายพลจอฟฟรี สามารถหยุดการรุกคืบของเยอรมนีได้สำเร็จ ณ ยุทธการที่ 1 ที่มาร์น ในเดือนกันยายน ปี 1914 จากนั้นเขากลับมีบทบาทในสงครามน้อยลง และในปี 1916 หลังยุทธการที่แวร์เดิง เขาถูกปลดออกจากราชการ

     --------------------------------------------------------------------------

     

    นายพล อองรี ฟิลิปป์ เปเทน (General Henri Philippe Petain)

    ปี 1856-1951

    ถ้าเปรียบเทียบกับนายพลท่านอื่นๆ นายพล อองรี ฟิลิปป์ เปเทน เป็นผู้ที่รอบคอบในแง่กลยุทธ์และสนับสนุนยุทธวิธีการตั้งรับอย่างแน่นหนาแทนการโจมตีโดยกองทหารราบซึ่งมี่ที่สิ้นสุดและสูญเสียมากกว่า เขาใช้ยุทธวิธีนี้ที่แวร์เดิง ในปี 1916 ต่อมาในปี 1917 เมื่ออายุได้ 61 ปี เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพฝรั่งเศสแทนนายพลนิเวลล์ (General Nivelle) แต่นายพลเปเทน กลับเป็นประเด็นการโต้เถียงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ช่วยเยอรมนีปกครองฝรั่งเศส ส่วนที่โดนนาซียึดไปภายใต้การปกครองระบบวิชี (Vichy regime) ช่วงเวลานั้นเขาพัวดันกับการส่งคนฝรั่งเศสเชื้อสายยิวไปสู่ความตาย แม้เขาจะต้องโทษประหารชีวิตในปี 1945 แต่ประธานาธิบดี ชาร์ลส เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) ให้เปลี่ยนเป็นโทษที่เบากว่า

     --------------------------------------------------------------------------



    นายพล อีริค วอน ลูเดนดอร์ฟ (General Erich von Ludendorff)

    ปี 1856-1937

    ในปี 1914 วอน ลูเดนดอร์ฟ เป็นแม่ทัพภาคของกองทัพที่ 2 ของเยอรมนี คุณสมบัติในฐานะนักกลยุทธ์ ทำให้เขาเข้ารุกรานเบลเยียมได้สำเร็จ โดยเฉพาะการยึดเมืองลิแอจ ในฐานะเสนาธิการของนายพลฮินเดนเบิร์ก เขาเป็นผู้เคลื่อนทัพเยอรมนีในการทำสงครามทั้งหมด และเป็นผู้เริ่มนโยบายยุทธการเรือดำน้ำ ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าสู่สงคราม ภายหลังที่เยอรมนีพ่ายแพ้ วอน ลูเดนดอร์ฟ ย้ายไปอยู่สวีเดน ซึ่งเขาดำรงอาชีพเป็นนักเขียนสดุดีความสามารถของกองทัพเยอรมนีที่มีชัย วอน ลูเดนดอร์ฟ กลับเยอรมนีในปี 1920 เขามีส่วนในแผนที่ล้มเหลวของฮิตเลอร์ในการเชิดชูพรรคนาซีในเมืองมิวนิก แม้กระนั้น เขายังคงเป็นตัวแทนให้นาซีและอยู่ในสภาไรห์สตาก ตั้งแต่ปี 1924-1928 เขาเสียชีวิตในปี 1937 โดยมีอดอร์ฟ ฮิตเลอร์อยู่ในกลุ่มผู้โศกเศร้า

    --------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×