ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] Like the Sunshine

    ลำดับตอนที่ #5 : Like the Sunshine :: 04

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 56


     

     Like the Sunshine

    04

     

     

     

     
     

                “รมณ์บ่จอย รมณ์บ่จอยเอ๊ย ดูซิเธอมาเชิดใส่”  โยกตัวตามเพลงที่ร้องแม้มือยังถือไม้กวาด  “รมณ์บ่จอย เมื่อเราได้มาเห็นตำตา”  อดไม่ได้ที่จะส่ายสะโพกท่าเต้นฮิตเมื่อยุคสิบปีก่อนในขณะที่กำลังกวาดฝุ่นลงที่โกยผงไปพลาง  เช้าอันสดใสในฤดูร้อน การได้มาทำงานชิลๆ ในที่ร่มลมโกรกแบบนี้ดูจะทำให้หนุ่มร่างเล็กอารมณ์ดี แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างห้องพอให้ได้แสงสว่างจากธรรมชาติ เสียงนกร้องขับขานจากไร่ดังเข้ามาเป็นระลอกในเวลาสาย

                เข้าวันที่สามในไร่เพียงตะวัน ป้าสวยให้เขามาทำความสะอาดห้องคุณเต๋าบนชั้นสอง...ห้องของชายหนุ่มเจ้าของไร่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ทั้งหมดเช่นเดียวกับด้านล่าง อันที่จริงจะเรียกว่าห้องซะทีเดียวก็ไม่เชิง เพราะเป็นอาณาเขตกว้างๆ ที่แบ่งออกเป็นห้องน้ำ ห้องนอนและห้องทำงาน

                คชาฮัมเพลงพลางกวาดพื้นพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่วางทิ้งไว้ทั่วให้เข้าที่เข้าทาง มือบางหยิบเสื้อเชิ้ตสีเข้มลายสก๊อตกับกางเกงยีนส์ที่วางอยู่ ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมก่อนที่ริมฝีปากจะเบะออก แล้วจึงจัดการโยนใส่ตะกร้าผ้าหน้าห้องน้ำ  เสร็จสรรพแล้ว ตาคู่เรียวก็หรี่ตาลงราวกับเป็นเรดาร์แสกนหาเสื้อผ้าที่หลงเหลืออยู่

                เจอเป้าหมายตรงมุมห้องก็เดินตรงไปหาพลางเอ่ยเสียงทุ้มล้อเลียนใครบางคน “นี่แน่ะ! แกมัน...ตัวปัญหา”  สองนิ้วคีบบ็อกเซอร์สีเข้มขึ้นมาก่อนจะจัดการโยนใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย

                “นี่ก็ตัวภาระ”  ยังคงทำเสียงเข้มล้อเลียน ใบหน้าหวานก็ย่นตาม สองนิ้วคีบชั้นในสีขาวก่อนจะโยนลงตะกร้าด้วยสายตาเหยียดๆ พลางบ่นพึมพำ  “ทุเรศชะมัด ขนาดกกน.ยังวางทิ้งขว้าง ไอ้ลุงเอ๊ยยยย”

                จัดการเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมาจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทางพอเป็นพิธี ขณะนั้นเองที่ตาคู่สดใสเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นวัตถุที่วางอยู่ในห้องนอน กล้องถ่ายภาพ ขาตั้งและเลนส์วางอยู่เรียงราย ไม่น่าเชื่อว่าไอ้ลุงเต๋าจะชอบถ่ายภาพกับเขาด้วย ดูท่าทางออกจะเป็นคนโหดร้ายไม่มีอารมณ์ศิลปะสักนิด

                จัดของไปพลางก็วิจารณ์เจ้าของห้องไปพลาง ตาคู่เรียวมองสำรวจห้องนอนที่เพิ่งเดินเข้ามาก่อนจะสะดุดที่รูปถ่ายในกรอบอันเล็กที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง มือบางหยิบมันขึ้นมาดู รูปถ่ายในกรอบไม้นั้นเป็นภาพของคนสี่คนกับสัตว์สี่ขาหนึ่งตัว

                พิจารณาดูแล้วคงเป็นภายถ่ายครอบครัวของไอ้ลุงเต๋าแน่ๆ  แต่ดูจากรูปท่าทางจะถ่ายไว้นานแล้ว อย่างน้อยก็สักห้าปี ดูจากเจ้าโตโต้ที่ยังโตไม่เต็มที่ และหน้าใสๆ ของไอ้ลุงเต๋าในวันวาน ดูไปแล้วยังกะคนละคนกันเลยทีเดียว

                ไม่น่าเชื่อว่าพอไร้หนวดเคราแล้วก็หน้าตาพอไปวัดไปวากับเขาได้ หากกระนั้นคนตัวเล็กที่ยังเคืองคนในรูปไม่หายจึงได้แต่ย่นปากมองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะยิ้มกระหย่องพลางเดินออกไปที่โต๊ะทำงานด้านนอก

                วิ่งดุ๊กดิ๊กกลับมาพร้อมปากกาเมจิกปลายเล็ก ไวเท่าความคิดมือก็คว้าปากกาวาดเติมหนวดลงบนรูปนั้น แม้จะเป็นการวาดทับบนกระจกใสอีกต่อหนึ่งก็ตามที

                หัวเราะสะใจให้กับผลงานตัวเองอยู่พักใหญ่สมองก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่ควร นิ้วเรียวถูลงไปบนรอยเมจิกนั่น หากหมึกก็แห้งหมดแล้ว เงยหน้ามองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างคนทำผิด ก่อนจะวางมันคว่ำไว้ที่เดิมเสียดื้อๆ

                ผ้าปูที่นอนขาวสะอาดเป็นอย่างสุดท้ายที่ทำเสร็จสิ้น หลังจากที่เด็กหนุ่มเปลี่ยนผ้าปูที่นอนผืนใหม่ที่ป้าสวยให้มาเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะลงไปเกลือกกลิ้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ ดูสะอาดสะอ้านกับเตียงนุ่มนิ่มพาลให้ใบหน้าหวานซุกลงดมอย่างชอบอกชอบใจ นี่ถ้ามีตุ๊กตุ่นตุ๊กตาวางอยู่ด้วยคชาคงคิดว่าเป็นห้องตัวเอง

                ผ้าห่มนวมนุ่มๆ ที่วางอยู่ข้างกันถูกดึงมากอด จมูกสูดกลิ่นหอมๆ ของผ้าเพิ่งซักใหม่ก่อนจะฝังหน้าซุกลงไปบนนั้น กลิ้งกอดไปมาอย่างพึงพอใจ

                คิดถึง...บ้าน...จังน้อ...

              คิดถึง...เวลานอนกลางวันตอนปิดเทอม...

              คิดถึง...ตอนเด็กๆ...ที่ม๊าห่มผ้าให้ก่อนนอน...

              สบายจัง.............................................................

                เปลือกตาบางปิดลงช้าๆ ด้วยความสบายตัว เหมือนชั่วขณะที่สมองกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา

                หากในขณะนั้น เสียงคนเปิดประตูด้านนอกเข้ามาก็พาให้เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นน้อยๆ

                เสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งดูไม่ชอบมาพากลในความคิดทำเอาหนุ่มน้อยเริ่มตื่จากภวังค์ มือบางหยิกเข้าที่แขนอย่างจังเหมือนจะให้ตัวเองตื่น ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นก็ตวัดผ้าห่มนวมถูกคลุมโปงตัวเองไว้ก่อน

                ถ้าเขานอนนิ่งๆ ผู้ร้ายคงคิดว่าเขาเป็นหมอนข้าง!

                หูจับเสียงคนที่อยู่ภายนอก ฝีเท้าทั้งสองหยุดเดินก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่ง

                “ทำไมนายถึงไม่เห็นด้วยกับการจะซ่อมเครื่องจักรเก่าในโรงงาน”

                “เรื่องนั้น ผมกลัวว่าเสี่ยบุญมีแกจะเพ่งเล็งมาที่เรา เสี่ยแกมีกิตติศัพท์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ ได้ยินว่าไร่สายลมเคยถูกขู่ฆ่าเพราะต้องการจะปรับปรุงไร่ ถึงจะไม่ทราบแน่ชัดว่าใคร แต่คนที่ดูน่าจะเสียประโยชน์ก็คงมีแค่เสี่ยบุญมี”

                สองเสียงที่คุยกันทำเอาคนที่นอนคว่ำหน้านิ่งภายใต้ผ้าห่มนวมอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ นี่มันเสียงไอ้ลุงเต๋ากับบักเฟรมนี่นา แต่ดูท่าทั้งคู่จะคุยเรื่องสำคัญมากๆ กันอยู่

                เอาไงดีวะเรา ลุกออกจากผ้าห่มตอนนี้ยังทันไหม?

                “แล้วตอนนี้คนงานคนอื่นในไร่เรา มีใครรู้เรื่องนี้บ้างรึยัง?”

                “ยังครับคุณเต๋า ก็คุณเต๋าเล่นบอกให้ผมปิดเป็นความลับ ผมจะกล้าบอกได้ไง”

                “ก็ดี... อย่าเพิ่งบอกใคร มันน่าสงสัย...ว่าไร่เราจะมีไส้ศึก”

                ได้ยินอย่างนั้น หนุ่มน้อยก็นอนนิ่งตื่นตกใจ ไม่กล้าแสดงตัวแม้หูผึ่งด้วยวิสัยอยากรู้ หากแรงสั่นจากโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมในกระเป๋าก็เบี่ยงประเด็นที่แอบฟังไปเสียสนิท คชาลอบหยิบมันออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะรีบกดปิดเสียง แต่มือยังไม่ยอมเก็บเข้ากระเป๋าทันที ด้วยเพราะกลุ่มสนทนาในไลน์ที่เด้งรัวขึ้นมา

                คชา เที่ยวไร่ลุงสนุกไหม?

                เออ...สนุก ตื่นเต้นเร้าใจจนเยี่ยวจะราดแล้วเนี่ย


                แล้วลุงหนวดที่ว่านี่เป็นไง หล่อลากดินแบบพี่บอย ปกรณ์ป่าว

                หล่อลากดินลากไส้ลากพุงลากยันวัชพืชเลยมึงเอ๊ยยยย...


                วันหลังจัดทริปพาไปเที่ยวมั่งดิ

                ให้กูเอาวันนี้ให้รอดก่อนเฮอะ!!!


              นึกตอบคำถามเพื่อนๆ ในใจหากแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนตัวเกร็ง เสียงของคนสองคนด้านนอกกลายเป็นภาพเบลอๆ ไปเมื่อคชามัวแต่จดจ่ออยู่กับโปรแกรมสนทนาตรงหน้า

                รู้ตัวอีกที สองเสียงนั้นก็เงียบลงไปเสียสนิท คชาถอนหายใจหากยังไม่วางใจนัก มือเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า หากในขณะที่กำลังจะโผล่จากผ้าห่มขึ้นมามอง เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นใกล้ๆ ก็ทำเอาแทบลืมหายใจ

                เสียงหัวใจเต้นดังขึ้นตามเสียงฝีเท้าที่ประชิดเข้ามาเรื่อย ตอนนั้นเองที่ฟูกนอนยวบลงไปด้านข้าง

                พ่อแก้วแม่แก้ว... เขาบอกเจอหมีให้แกล้งตาย แล้วถ้าเจอผู้ชายหน้าลุงต้องทำไงวะ?

                เสียงฝ่ามือตบลงบนเตียงปุๆ ทำเอาใจหายวาบ ก่อนหัวใจจะเต้นแรงกว่าเก่า เมื่อฝ่ามือนั้นเปลี่ยนเป้ามาเป็นที่อื่น


                - - ตุบ!! - -


                ไม่รู้บังเอิญหรือจงใจ แต่มันคือก้นของเขาเอง! ไม่เจ็บหรอกเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตีแรงแถมยังมีผ้านวมหนาๆ กั้นเอาไว้ แต่ตอนนี้ใจมันหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก


                - - ตุบ!!! - -


                ครั้งที่สองซ้ำลงที่เดิมแต่แรงขึ้นกว่าเก่า ร่างเล็กสะดุ้งกายน้อยๆ หากยังพยายามอยู่นิ่งเอาไว้ไม่ให้มีพิรุธนัก


                “อยากจะเล่นผีผ้าห่มรึไง?” 

                หากน้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยเย็นๆ นี่สิ ทำเอาหนุ่มน้อยสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว


                “นับหนึ่งถึงสาม...”

                เฮ้ย!!!!!!!!!!


                “หนึ่ง”

                อย่าเพิ่งเซ่!


                “สาม!


                “เฮ้ย!!!  เสียงเล็กหลุดอุทานตกใจขณะที่โผล่กายขึ้นจากผ้าห่มนวม เล่นนับข้ามเลขกันแบบนี้ไม่รู้ตกคณิตมารึไงกัน ใบหน้าหวานมองอีกคนหงอๆ หากก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อโผล่ขึ้นผิดที่ไปนิด

                ไม่รู้อีกคนมานั่งชิดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไอ้ลุงเต๋านี่มันไปโกนหนวดมาตั้งแต่ตอนไหนกัน!!!!  ตาคู่ใสมองสำรวจไปยังบริเวณเหนือริมฝีปากอีกคนที่อยู่ใกล้แค่คืบ บัดนี้มันไม่มีหนวดเข้มๆ ดังเช่นเคย พาให้คนตรงหน้าดูเด็กลงกว่าทุกวัน

                “เข้ามาทำอะไร?”  แต่นี่ไม่ใช่เวลาพิจารณาสิ่งนั้น  คชาห่อตัวลงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนั่นเอ่ยเย็นเยียบกว่าที่เคย เหมือนมีรังสีอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากเจ้าตัว มือหนากุมข้อมือเขาไว้ราวกับเป็นโซ่ตรวนป้องกันการหนี

                “ป...ป้าสวยให้เข้ามาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน กวาดห้อง แล้วก็ช่วยเก็บของ”  เจออีกคนโหมดดุแบบนี้เด็กหนุ่มก็หงอลงไปในพริบตา แววตาไร้เดียงสาช้อนมองอีกคนอย่างหวาดๆ  “ผมไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรไม่ดีนะลุง เอ้ย คุณลุง เอ้ย คุณเต๋า”

                นั่งจ้องตากันอยู่พักใหญ่กว่าชายหนุ่มจะคลายแรงที่บีบข้อมืออีกคนลง  เสียงถอนหายใจดังออกมาจากทั้งคู่ราวกับผ่านช่วงนาทีสำคัญ

                “ผม...เอ่อ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ”

                “แล้วได้ยินอะไรบ้าง?”

                “ก็แค่นิดเดียวเอง...แต่ผมไม่ใช่ไส้ศึกอะไรนั่นนะ!”  เสียงใสว่าพลางทำหน้าอ้อนวอนให้อีกคนเชื่อสุดใจ  “จริงๆ นะ... ให้สาบานเลยก็ได้ เอ้า!”  สามนิ้วยกขึ้นทันที ตาคู่ใสมองอีกฝ่ายปริบๆ  “ด้วยเกียรติของข้า ข้าขอสัญญาว่า...”

                “พอๆๆ”  ชายหนุ่มเอ่ยพลางดึงมืออีกคนลง ใบหน้าคมส่ายน้อยๆ อย่างถอนใจ  “เรื่องทั้งหมดที่ได้ยิน...ห้ามปริปากบอกใครแม้แต่คนเดียว”  แววตาคู่คมจ้องมองลึกมาที่อีกคนอย่างจริงจัง ไอ้ลุงเต๋าคราวไม่มีหนวดไม่ได้คลายความดุลงแม้แต่น้อย คชาแอบสะดุ้งถอยเมื่อใบหน้านั้นขยับเข้าใกล้มาอีกนิด

                ศีรษะกลมพยักลงหงึกหงักสองสามครั้ง  “สัญญา...ครับ”

                “ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม...”

                “ครับ...”

                “งั้นก็ออกไปได้แล้ว”

                ได้ยินดังนั้น หนุ่มร่างเล็กก็ลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ ด้วยเพราะแผลเมื่อวานที่เท้าก็ยังไม่หายดี หากพอยืนกับพื้นได้แล้ว ขาเรียวก็พยายามจ้ำอ้าวชิ่งออกจากห้องนี้โดยเร็ว

                “เดี๋ยว!”  มือกำลังจะเปิดประตูห้อง หากเสียงประกาศิตที่เอ่ยสะกดไว้ก็ราวกับคำสาปที่สะกดให้หยุดนิ่งในทันที

                ใบหน้าหวานหันไปหาอีกคนช้าๆ ชายหนุ่มก้มลงหยิบบางอย่างจากแถวพื้นใกล้ประตูห้องน้ำก่อนจะชูมันให้เห็นชัดแจ้ง  ที่ชาร์จโทรศัพท์สีขาวอันนั้น...

                เวรแล้ว แอบเอามาชาร์จแล้วลืมเก็บ!!!!


                “นี่มันหมายความว่าไง?”

                “เอ่อ...”  ร่างเล็กอ้ำอึ้ง นึกคำแก้ตัวไม่ถูก เป็นเพราะที่ชาร์จของเขาไม่ได้หาได้จากที่ไหน แต่มันมีอันเดียวในโลก ด้วยเพราะมันได้กลายร่างเป็นช้างน้อยจากลายเส้นปากกาเมจิกที่วาดลงไปบนที่ชาร์จสีขาวสนิท

                “คือว่า...”  หลักฐานคามือคาตาทำเอาคชาไปไม่เป็น... ถ้าอีกฝ่ายจับได้ว่าเขามีโทรศัพท์ราคาเรือนหมื่น เรื่องราวที่หลอกไว้ทั้งหมดเพื่อให้ได้ทำงานในไร่ก็เป็นอันต้องยุติลง

                ไม่นะ! ตอนนี้เขายังอยากอยู่กับติ๊ดชึ่งก่อน!!!


                ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะเมื่อเด็กหนุ่มจนปัญญาอธิบายไม่กล้าสารภาพออกไป ในขณะที่หนุ่มเจ้าของไร่เพียงมองอีกคนด้วยแววตาน่าปวดหัว ฝีเท้าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

                ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้า...


                “ทำไมชอบเล่นซนเป็นเด็ก อายุเท่าไหร่...สิบแปดแล้วไม่ใช่หรอ?”


                ยี่สิบเอ็ดต่างหาก... คชานึกค้าน หากก็ต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สงสัยเรื่องที่ชาร์จปริศนาเลยสักนิด

                คิดดูอีกทีก็เพิ่งนึกได้... ไอ้ลุงเต๋านี่ใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกัน!... 


                “มือบอน หยิบจับอะไรเป็นได้เรื่อง หัดอยู่เฉยๆ ไม่เป็นรึไง?” เสียงทุ้มที่เอ่ยดุๆ ทำเอาคนฟังทำปากยื่นอย่างไม่พอใจในขณะที่หลุบตาหนี ไม่เห็นรู้สึกเลยว่าที่ทำลงไปมันผิดสักนิด หรือถ้ามันผิดเขาก็ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย!

                “หรือว่าว่างงาน... อยากถอนวัชพืชแบบเมื่อวานอีกใช่ไหม?”

                “ไม่เอานะ!”  เสียงใสหลุดพูดออกมา  “ขอ..โทษ..ครับ...”  ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขอโทษออกมาในที่สุด

                “งั้นก็ไปได้แล้ว ลงไปช่วยป้าสวยทำงานซะ”  ชายหนุ่มว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ตามเคย ในขณะที่คนฟังได้แต่พยักหน้ารับ หากทันทีที่หันหลังกลับก็พลันทำปากมุบมิบล้อเลียน

     

     



                ตกบ่ายวันนั้น หนุ่มเจ้าของไร่ออกไปทำงานอะไรสักอย่างอีกตามเคย ส่วนคชาก็ยังคงทำงานบ้านไปเรื่อยเปื่อยตามที่ป้าสวยสั่ง พาเจ้าโตโต้ไปเดินเล่นอีกรอบ ตกเย็นก็มาช่วยทำอาหารให้คุณเต๋าทาน

                หนุ่มน้อยยกชามแกงส้มร้อนๆ ออกไปตั้งโต๊ะอาหาร ตามด้วยไข่เจียวสีเหลืองนวลที่ถูกหั่นแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำ

                ตาคู่ใสเพ่งมองอาหารหน้าตาน่าทานบนโต๊ะอย่างน้ำลายสอ กำลังจะเดินกลับเข้าไปกินในครัวก็จ๊ะเอ๋กับคุณลุงในสภาพไร้หนวดเสียก่อน

                ชั่วครู่ที่คชาเหลือบมองใบหน้านั้นอย่างไม่คุ้นชินนัก หนุ่มผิวขาวจัดใบหน้าใสกิ๊กตรงหน้าดูห่างไกลกับคำว่า ชาวไร่ มากโข แถมยังดูไม่ใช่ลุงเหมือนที่เคยเรียกอยู่บ่อยๆ ด้วย

                ยอมรับก็ได้...มันขาว...มันสูง...มันหล่อ!


                ขาเดินหลบอีกคนกำลังจะเข้าครัวไป หากเสียงเปิดประตูด้านหน้าก็พาให้ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเบาๆ ขึ้นมา

                ไม่ทันตั้งคำถามก็พบคำตอบ สาวขายาวหุ่นเพรียวลมราวกับนางแบบเดินตรงเข้ามาทักทายหนุ่มเจ้าของไร่ อ้อมแขนของเธอที่กอดทักทายพร้อมทั้งหอมซ้ายขวาอย่างธรรมเนียมฝรั่งทำเอาคชายืนมองตาโตด้วยความตกใจ


                อย่าบอกนะว่าโกนหนวดมาเพื่อการนี้... อี๋ ทีกับเราล่ะให้หนวดทิ่มแก้ม!


              เฮ้ย! แล้วจะเปรียบเทียบทำไมเล่า นั่นมันแค่อุบัติเหตุ!!!!!


                “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นไงบ้างคะเต๋า?”  เสียงหวานเอ่ย ใบหน้าของเธอสวยเก๋ ผิวขาวผุดผาด เรียกได้ว่าไปเป็นดาราได้สบายๆ

                “ก็เหมือนเดิมแหละครับ”  เสียงทุ้มนั่นฟังดูสุภาพ ไม่วางอำนาจเหมือนเวลาพูดกับเขาเลยสักนิด คชาได้แต่ยืนมองอย่างหมั่นไส้ปนอิจฉา ก็ผู้หญิงคนนั้นน่ะสวยจะตาย

                ระหว่างที่ยืนลอบมอง ในตอนนั้นที่แววตาเรียวสวยเฉี่ยวด้วยอายไลเนอร์หันมามองชึ้งใส่เขาราวกับจะไล่ สายตาคู่นั้นมองหัวจรดเท้าอย่างดูแคลน

                ร้ายกาจทำอย่างกับเขาเป็นเด็กเหลือขอ!  คชารีบเดินจ้ำเข้าครัวทั้งที่ใบหน้าปั้นปึ่งไม่ชอบใจ หากเสียงที่ได้ยินก็ทำให้เขาแอบลอบฟังด้วยความอยากรู้เสียไม่ได้

                “ทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นล่ะ ช่วงนี้เหนื่อยๆ หรอ?”

                “ก็ยุ่งๆ นิดหน่อย แล้วนี่กินอะไรมารึยัง อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหม?”

                “จริงๆ หงส์ว่าจะชวนเต๋าไปกินข้าวในเมือง แต่กินที่นี่ก็ได้ค่ะ”  คชาแอบหันไปมอง เธอนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มอย่างสนิทชิดเชื้อ  “แกงส้มน่าทานนะคะ แต่ไข่เจียวนี่สิ มันเยิ้มเชียว ไขมันคงสูงแย่”

                หนอย...มาวิจารณ์ไข่เจียวของเขาอีก ไม่ชอบก็ไม่ต้องกินเซ่ะแม่คุณคนสวย!!!!

               

     


                “เข้ากันอย่างกับผีเน่าโลงผุเลยเนอะติ๊ดชึ่ง” 

                เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นกับสุนัขตัวโตที่นอนให้แปรงขนอย่างสบายๆ ที่ชานเรือน  เสียงหนังฝรั่งดังแทรกออกมาจากด้านในทีละน้อย คงนั่งดูหนังพลอดรักกันอยู่สิท่า  “แหม...มาบอกไข่เจียวเรามันแผล่บ แต่ก็เห็นกินเกลี้ยงชาม ล้างง่ายเชียว”  บ่นกระปอดกระแปดมือก็ลูบขนนิ่มๆ ของมันไปพลาง  “ไข่เจียวของเราอร่อยจะตายเนอะ ถ้าไม่ใส่น้ำมันจะเรียกไข่เจียวได้ไงล่ะ ไข่เจียวบ้านไหนก็มันแผล่บๆ ทั้งนั้นแหละ”

                “ชิ...หลับทำไมล่ะติ๊ดชึ่ง ตื่นก่อนสิ เรายังบ่นไม่จบเลย”  ใบหน้าหวานย่นมองเจ้าสัตว์สี่ขาตัวโตที่นอนหลับตาพริ้มนอกเรือนก่อนจะเบะปากออกมา 

                “บ่นคนเดียวก็ได้...ดูดิ๊ ผิวเรายังไม่ขาวเหมือนเดิมเลย เพราะเจ้านายแกเลยนะ ทำเราตัวดำไม่หาย แล้ววันนี้ยังขู่จะให้เราไปถอนวัชพืชอีก”  ว่าพลางลูบศีรษะเจ้าโตโต้แผ่วเบา

                “คนอะไรตัวก็ขาวแต่ใจดำ ลองใช้อีกรอบสิ คราวนี้จะไปฟ้องปวีณา!

                “เป็ด!

                “ชิ เรียกเราอีกแล้ว ใช้งานเข้าไป ใช้ๆๆๆ สั่งๆๆๆๆ”  บ่นกับสุนัขทิ้งท้าย หนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นยืน มือยังถือแปรงแปรงขนสุนัขในมือก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มเจ้าของไร่นั่งอยู่กับคุณหงส์ที่โซฟาไม้รองเบาะสีขาว ท่ามกลางเสียงจากโทรทัศน์ตรงหน้า

                “ไปเอาน้ำมาให้ฉันหน่อยสิจ๊ะเป็ด”  คุณหงส์ว่า  “ขอน้ำแร่ อุณหภูมิห้องนะจ๊ะ”  น้ำเสียงหวานของเธอดูช่างไม่จริงใจเพราะมันขัดกับแววตาที่มองจิกมาเหลือเกิน

                ไม่ชอบ...แต่ทำอะไรไม่ได้  คชาเพียงหยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินเข้าครัวไปหยิบให้อีกคนตามสั่ง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน หนุ่มน้อยก็ถือถาดใส่น้ำเปล่าสองแก้วออกมาเสิร์ฟให้คนทั้งสอง

                “หนังเรื่องนี้สนุกจังเลยนะคะ จะว่าไปเราไม่ได้ดูหนังด้วยกันนานแล้วนะเต๋า”

                “ก็ตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับพี่หงส์”

                พี่หงส์??? ...เดี๋ยวนะ ยัยคุณหงส์นี่แก่กว่าไอ้ลุงเต๋าอีกเรอะ! สะใจแปลกๆ ...กร๊ากกกกกกกกกกกกกก

                โชคดีที่ไม่หลุดหัวเราะออกมา ริมฝีปากลอบยิ้มในขณะที่หูเงี่ยฟังทั้งคู่คุยกัน เสิร์ฟน้ำเสร็จสรรพ มือก็หยิบถาดเปล่าค่อยๆ เดินออกไปเก็บเข้าที่... มาถึงตอนนี้ ไอ้แผลที่ฝ่าเท้าก็ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปถึงจะเริ่มทุเลาลงก็ตาม

                “โอ๊ะ!”  แต่ไอ้นิสัยซุ่มซ่ามนี่สิ ไม่เคยจะทุเลาเลย


                ขาเดินสะดุดเตะแจกันไม้อันใหญ่บนพื้นจนได้ เพราะเดินใจลอยแท้ๆ เชียว  คชานั่งแหมะลงกับพื้น มือกำลังจะยกแจกันวางให้เข้าที่ก็มีอีกคนเดินเข้ามาทำแทนเสียก่อน

                “ทำอะไรไม่รู้จักระวัง”  นั่นไง...ไอ้ลุงเต๋ามันว่าเขาอีกแล้ว!  “เดินแค่นี้ก็หกล้มชน ดีที่ยังเป็นแจกันไม้”  ใบหน้านั้นหันมามองเขาอย่างดุๆ อีกตามเคย คชาเพียงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง แอบเห็นสายตาจิกๆ ของคุณหงส์นั่นที่มองมาแต่ไกล

                “แผลเก่าหายดีรึยัง? ไม่ใช่ยิ่งซ้ำมันเข้าไปใหญ่”  พูดพลางก้มลงสำรวจผ้าพันแผลที่เท้าซ้ายของอีกคน ในตอนนั้นที่คชาสังเกตเห็นแววตาไม่ชอบใจจากคุณหงส์ที่ทวีคูณกว่าเดิม

                “เต๋าคะ...หงส์ว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย”  เสียงหวานนั้นเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจจากทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของเธอแม้เรียบนิ่งเก็บอาการแต่ก็ดูไม่พอใจเท่าไร หากเมื่อเป็นอย่างนั้นคชายิ่งนึกสะใจ

                โอ๊ะโอ... นี่เขากำลังทำตัวขัดขวางทั้งคู่อยู่รึเปล่าน้า...

                “โอ๊ย!”  แกล้งร้องออกมาไม่ดังนักขณะกำลังจะทรงตัวขึ้นยืน ตาเรียวแอบเหลือบมองคุณพี่หงส์ที่ว่าก็ยิ่งสนุกเมื่อเห็นเธอทำตาเขียวปั๊ดใส่

                “นี่ยังไม่หายใช่ไหม ได้เปลี่ยนผ้าพันแผลทายาบ้างรึเปล่า?”  อีกคนว่าพลางยื่นมือหนามาช่วยประคองคนเจ็บให้ลุกขึ้นยืน  สัมผัสที่ว่าทำเอาคชาเผลอยกมือเกาศีรษะ เหลือบมองหน้าอีกคนอย่างเก้อๆ  “เปลี่ยนสิ ทายาแล้วด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาติ๊..โตโต้..ไปวิ่งในไร่”

                “อวดเก่ง”  เสียงทุ้มฉายแววดุตามเคย  “เจ็บแผลก็รู้จักเดินให้ระวัง ไม่ใช่ทำซุ่มซ่าม ข้าวของเสียหาย”

              เฮอะ...ที่แท้ก็ห่วงของ!

                “พี่หงส์ครับ อย่าออกไปข้างนอกเลย ตอนนี้มืดแล้ว ยุงมันเยอะ”  หนุ่มเจ้าของไร่หันไปเอ่ยกับหญิงสาวที่นั่งอยู่  “จะกลับเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ เดี๋ยวไปส่ง”

                เผลอเบ้ปากตามไม่ได้เมื่อได้ยินอีกคนหันไปเอ่ยกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงคนละโทน ขาเรียวกำลังจะเดินออกไป ทว่าฝ่ามือหนานั่นก็พยุงร่างเล็กนั้นไว้ได้ทันท่วงทีแม้ไม่ได้ร้องขอ  หากกระนั้นก็ยังมีเสียงเอ็ดขึ้นเป็นระยะตามรายทาง

     

               

                คืนนั้น... ได้ยินว่าคุณหงส์จะอยู่ค้างที่ไร่เพียงตะวันต่ออีกคืน โดยพักห้องชั้นสองข้างๆ ห้องคุณเต๋าที่ป้าสวยเพิ่งไปจัดการทำความสะอาดให้เป็นการด่วน ในขณะที่คุณเต๋าออกไปหารืออะไรบางอย่างต่อกับบักเฟรม สงสัยว่าเป็นเรื่องเดียวกับที่คุยกันวันนี้

                ถือเป็นโอกาสดีของคชา... เด็กหนุ่มเดินลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องคุณเต๋าอีกครั้ง และหลังจากหาที่ชาร์จมือถือได้ไม่นาน ก็พบที่ชาร์จสีขาวโพลนรุ่นเดียวกันที่วางไว้อยู่บนตู้ในห้องนอน 

                ถอนหายใจออกมาดังๆ พลางรีบเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงนอน  มือเปิดประตูห้องบานใหญ่ก่อนจะแทรกตัวออกไป แล้วปิดมันโดยเร็วพลัน

                “มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ จ๊ะพ่อเด็กเป็ด?”  สะดุ้งโหยงเมื่อพบว่าหันมาเจอบุคคลที่สาม ยัยคุณหงส์เหินหาวมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้!

                “ผม...ลืมของ”  เอ่ยนิ่งๆ ให้มีพิรุธน้อยที่สุด หากกระนั้นเธอยังคงถามต่ออย่างสอบสวน

                “ในห้องของเต๋า?”

                “ช่ายยยยยย”  ว่าพลางมองหน้าอีกคนอย่างเหนือกว่า  “ผมลืมถุงยาง เอ้ย ลืมถุงยาไว้น่ะครับ”

                “เด็กวิปริต!!!!!”  เธอตวาดใส่ด้วยเสียงแหลมระคายหูจนเด็กหนุ่มต้องยกมือขึ้นปิดหู หากใบหน้าหวานยังกลอกตาใส่อย่างทะลึ่งทะเล้นไม่ระอา

                “วิปริตอะไรครับ ผมแค่ลืมถุงยา”  เสียงใสว่าพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  “คุณหงส์เนี่ยน้า คิดอะไรไม่เข้าท่าเลย...คิดมากเดี๋ยวหน้าเหี่ยว แก่ไวนะครับ”  ขมวดคิ้วพลางมองหน้าเธออย่างเป็นห่วงเป็นใย  “เป็ดไปแล้ว ฝันดีครับคุณหงส์”  หนุ่มน้อยว่าแล้วก็ผิวปากเดินจากไป สลับกับร้องเพลงขึ้นอย่างอารมณ์ดี

     

                “พอทราบอายุขวัญตา น้องเอยพี่มานั่งทำตาปริบๆ...”

     

                “ป้าอายุสามสิบ...สามสิบ ทำไมยังสวยยยยยยยยยยยยยยยย”

               

     

     

     


     

    TBC



    นี่มันฟิคอะหยังนิ 555 ดูมีหลายรสชาติแปลกๆ นะ แต่หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูน้องเป็ด แอบเพ้อกับลุงเต๋าบ้างนะคะ 555 แต่เวลาในเรื่องแทบไม่สคิปข้ามเลยนะเนี่ย 1ตอน1วันคืออะไร๊ (เหมือนทอมออบอยตอนแรกๆ เลย) จะจบที่กี่ตอนเนี่ย 55555
    ป.ล. ชอบฉากคชาคุยกะหมา
    ป.ล. ฉากแรกลุงเต๋าแอบตีก้นน้องเป็ดดดดดดดด #อยากทำบ้าง #ผิด
    ป.ล. = ไปละ ฝากอีกเรื่องด้วยนะคะ Library's Diary อ่านรอเรื่องนี้อัพได้ หรือใครรอเรื่องนั้นก็อ่านเรื่องนี้อัพได้ (เล่นงี้เลยหรอ 555)

    ขอบคุณทุกคน อ่านแล้วคิดเช่นไรแสดงความเห็นได้นะจ๊ะ ^^ 
    @rainbobow

      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×