ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #29 : TOM (or) BOY - 27

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 55


    TOM (or) BOY

    27

     

     

     

     

     

     

    ปิดตาไม่ให้เห็นได้ แต่ปิดใจไม่ให้รู้สึกไม่ได้...

    บรรยากาศเฮฮาในวงเหล้าไม่ช่วยลดความรู้สึกในใจให้เบาบางลง

    ภาพคนที่เขาไม่รู้จักกำลังกอดคออย่างสนิทสนมกับใครอีกคนที่เขาคิดถึงตลอดเวลาในสถานที่อโคจรยามค่ำคืนแบบนี้ยังทำเอาจุกอยู่ข้างใน  โดยเฉพาะเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง...เสียงนั้นยังบอกเขาว่าทำรายงานอยู่บ้านเพื่อน

    โกรธไหม? แน่ล่ะ...โกรธที่ถูกหลอกซึ่งๆ หน้า ถ้าไม่ตามเพื่อนออกมานั่งดื่มก็คงไม่รู้อะไรเลย

    หึงไหม? ไม่หึงก็ไม่ใช่เต๋า...กับไอ้ปอที่นั่งอยู่ด้วยคดีเก่าก็ยังไม่เคลียร์นัก ตอนนี้ยังมีไอ้หน้าหนวดที่ไม่รู้จักมากอดคอคชากลางร้านแบบนี้ด้วย แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เคยทำ

    ทั้งโกรธทั้งหึง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความเสียใจ... ทำไมถึงต้องหลอก? ไม่อยากบอกหรือบอกไม่ได้? เราไม่สนิทใจแม้แต่จะบอกเรื่องต่างๆ ต่อกันแล้วหรอ???  ...ยิ่งคิดซ้ำยิ่งพาลไปถึงวันก่อนหน้า... ที่คชาบอกไปทำรายงานมันใช่แบบวันนี้รึเปล่า?  เขาไม่เคยไม่อยากเชื่อใจแต่พอเห็นแบบนี้หัวใจก็พลอยสั่นคลอน

    สามวันจากนารี เป็นอื่น...  ถ้าว่าตามกลอน ตอนนี้ก็ครบสามพอดี

    ท่ามกลางเสียงพูดคุยสนุกสนาน บรรยากาศที่ผ่อนคลาย เสียงหัวเราะที่ออกมาจากปากเขาในตอนนี้เหมือนกำลังถูกเค้นมาจากสมองที่สั่งการ...เคยได้ยินว่าหากเรายิ้มใจเราจะยิ้มตาม แต่ทำไมตอนนี้ไม่ยักจะจริง

                “นั่นมันคชานี่”  แฟง..เพื่อนของแอนที่มาด้วยกันเอ่ยขึ้น หมู่นี้เธอมาหาแอนที่คณะบ่อยๆ เลยได้คุยกัน  ดูเหมือนเธอจะเพิ่งเห็นคชา ส่วนเขาน่ะสักพักแล้ว  “มากับพี่ตี๋ซะด้วย...พี่ตี๋เป็นพี่ที่คณะน่ะเต๋า”

                “งั้นหรอ”  เขาตอบรับเบาๆ  หันสายตาไปมองตาม ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังดูดเหล้าปั่นในแก้วใส ท่าทางใกล้เมาเต็มที

                เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  “พี่ตี๋จริงๆ เขาฮอตมากเลยนะ พวกรุ่นแฟงกรี๊ดกันเยอะ แต่ไม่ค่อยมาคณะเลยไม่ค่อยเจอ ไม่ยักรู้ว่าสนิทกับคชาขนาดนี้” แฟงพูดมาเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะ ซ่อนรอยยิ้มบางอย่างที่คนข้างๆ ไม่มีวันเห็นมันไว้ข้างใน แอบเขยิบกายที่เบียดไหล่ออกห่างอีกคนมาสักนิดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะมองตัวเองไม่งาม เธอไม่อยากจงใจเกินไป ถึงคนจะแน่นโต๊ะและเต๋าก็นั่งในสุดก็ตามที

    สายตาคู่คมที่จดจ้องไปที่สองคนบนโต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลค่อยๆ ละออกมา  ภาพคชาที่กระซิบอีกคนเสียใกล้จนแทบจะจูบใบหูช่างบาดตาบาดใจเกินทน...

     



     

    ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของร้าน การเปิดใจยังคงไม่สิ้นสุด

    เมื่อครั้งนี้... ตี๋ถามน้องรหัสว่า กับไอ้คนนั้นน่ะ... เคย จุดจุดจุด กันรึยัง!!!’

    “บ้าหรอพี่ จะไปเคยได้ไง...”  คชากระซิบบอกพี่รหัสเสียงแผ่ว  “อย่างมากก็แค่จูบ อา...แต่จริงๆ ก็เกือบไปครั้งนึง  ปอเข้ามาพอดี”

    แน่นอนว่าในเวลาปกติ คชาไม่มีทางพูดอะไรแบบนั้น ทว่าในตอนนี้ คำพูดทุกอย่างถูกพ่นออกมาอย่างไม่กลั่นกรอง  “พี่ตี๋... เขาจะโกรธไหม ผมบอกเขาว่าไปทำรายงาน”  คชาที่ผละออกจากข้างหูพี่รหัสเอ่ยถามในเชิงปรึกษา  ใบหน้าหวานสีแดงจัดด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  “ผมโกหกเขาอีกแล้ว เขาต้องโกรธแน่ๆ เลย... แต่ผมไม่ชอบยัยนั่นเลย มาด้วยกันได้ยังไง...แล้วผมจะบอกเต๋าว่าไงดีเรื่องที่โกหก”  คนเมาพูดทุกอย่างที่คิด ซ้ำยังวกไปวนมา  “ทำไงดีพี่ ทำไงดีปอ ทำงายดี โดนโกรธแน่...”

    “เอ็งก็บอกไปสิวะ รายงานเรื่องเอทิลแอลกอฮอล์”  พี่รหัสเอ่ยติดตลก  “เนอะไอ้ปอ... หรือว่าจะเป็นรายงานวิชาเขียนข่าวเรื่องร้านเหล้าใกล้สถานศึกษาไหม... เฮ้ย หรือจะบอกว่ามาแจกแบบสอบถามพฤติกรรมการใช้ถุงยางก็ไม่เลว” 

    “เอ่อ.. พี่...”  ไม่ใช่คชาแต่เป็นปอที่เรียกชื่อออกมาอย่างปลงๆ

    ส่วนคนถามกลับไม่ฟังคำตอบสุดไร้สาระ มัวแต่นั่งดูเหล้าปั่นรสสตรอเบอร์รี่นั่นอย่างชอบใจ จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นจากแก้วน้ำเมื่อหมดไปอีกแก้ว  “พี่ตี๋... ห้องน้ำ ปวดฉี่”

    “จะถามว่าห้องน้ำอยู่ไหน? ไอ้ชาเอ๊ย มึงเมาแล้ว”  พี่รหัสว่าพลางพยุงตัวน้องลุกขึ้นมา ก่อนจะเอาแขนพาดบ่าพาคนเมาเดินไปด้านหลัง

    โดยมีใครบางคนที่มองตามไม่คลาดสายตา...

     


               

                “พี่ตี๋...ผมไม่ไหวแล้วอ้ะ”

                “ใจเย็นดิวะ ห้องน้ำเต็มอยู่...เฮ่ย จะทำอะไรวะนั่นไอ้ชา!”  พี่รหัสว่าพลางจับมือเล็กๆ ที่กำลังจะปลดซิบกางเกงลงไว้ได้ทันท่วงที  นี่ถ้าเขาไม่มาด้วยมันไม่ฉี่ตรงนี้ไปแล้วหรอวะเนี่ย  “นี่มันอ่างล้างหน้าเว้ย”

                “อ้าวหรอพี่...ฮะๆ”  คชาว่า  “แต่จริงๆ ตรงนี้ก็ได้นะ ผมไม่ถือหรอก คนกันเอง”

                พี่รหัสหน้าหนวดไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นนอกจากนับมือน้องรหัสลำยองเอาไว้กลัวมันจะรูดซิบฉี่ตรงนี้ขึ้นมาอีก  “มึงไม่ถือแต่กูถือว้อย”

                “แต่พี่ตี๋ค้าบ... ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ”

                “ใครให้ซัดไปเยอะขนาดนั้นล่ะวะ ใจเย็นๆ ใกล้ได้สุขสมแล้วมึง”

                ตี๋ว่าพลางตบบ่าน้องปุๆ  ก่อนจะจับตัวมาล้างหน้าล้างตาให้ บ่นกับตัวเองเบาๆ “นี่กูเป็นครูอนุบาลรึป่าววะ”  ทั้งพามาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้...นี่มันน้องรหัสหรือลูกกันแน่วะเนี่ย!

     

                ในขณะที่น้องรหัสหน้ามนกำลังดึงชายเสื้อพี่รหัสมาเช็ดหน้า พี่รหัสหน้าหนวดก็ปล่อยให้อีกคนทำอย่างนั้นแต่โดยดี หากแต่มือบางก็ถูกคว้าดึงไปโดยบุคคลที่สามเสียก่อน

                ใบหน้าคนมาใหม่ดุดันแสดงความหึงหวงอย่างปกปิดไม่มิด มือขาวซีดดึงร่างคนตัวเล็กที่โงนเงนเข้ามาแนบกาย มืออีกข้างกำหมัดแน่นอยากจะตั๊นท์หน้ามันไปสักที

                บทสนทนาล่อแหลมเมื่อตะกี๊ ดูเหมือนจะมีบุคคลที่สามได้ยินเข้าหมดแล้ว

                ทั้ง ผมไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ของคชา กับ ใจเย็น ใกล้ได้สุขสมแล้ว ของตี๋

                “ไอ้น้องเวรเอ๊ย...หาเรื่องให้กู”  ตี๋เอ่ยกับน้องรหัสที่ยืนหน้ามึนไม่รู้เรื่องรู้ราว  มองสีหน้านักเลงของไอ้เต๋าว่าที่น้องเขยแล้วชักจะกลัว

    คนนึงเมาเหมือนหมา อีกคนดุกว่าหมา...เออ ให้มันได้อย่างนี้!

                “มึงอย่ามาหาเรื่องพาลใส่กู ไอ้ชามันให้กูพามาเอง”  ตี๋พยายามพูดไกล่เกลี่ย ทว่าไม่ทันขาดคำ หมัดหลุนๆ ของอีกฝ่ายก็วิ่งเข้าหา ยังดีที่มือของเขาไวพอคว้ามันได้เสียก่อน ชินซะแล้วกับเรื่องชกต่ออย่างนี้

    “อย่าเล่นแบบนี้ ถึงกูขี้เมาแต่กูไม่ชอบใช้กำลัง มึงพามันกลับไปก็แล้วกัน อยากรู้ไรก็ถามมันเอง ขี้เกียจจะเสือกด้วยแล้ว”  ตี๋เอ่ยกับคนขี้ใจร้อนแล้วชักจะหงุดหงิด  จนกระทั่งเห็นมือหนาที่ค่อยๆ คลายหมัดลงก็เบาใจ นี่ถ้าตะกี๊ห้ามมือมันไม่ทันมีหวังหน้าช้ำแน่ๆ 

    ทั้งสองคนยืนมองกันแน่นิ่ง เหมือนดูเชิงว่าจะเอายังไงต่อไป ท่ามกลางแรงปะทะทางสายตาราวกับกระแสไฟฟ้าช็อตเปรี๊ยะๆ  คนเมาที่ยืนมึนอยู่นานก็เอ่ยขึ้น 

    “พี่ตี๋ ปวดอ้ะ จะแตกแล้ว” 

    เชี่ยยยยยยยยย ไอ้คช๊า!!!!!

    ยิ่งได้ยินยิ่งอยากซัดกระบาลเวรๆ ของไอ้น้องรหัสสักสองสามที พูดแต่ละคำนี่หาเรื่องให้กูชัดๆ  ดูไอ้เต๋านั่น ทำหน้าเหมือนโดนเผาบ้านก็ไม่ปาน

    ตี๋สบถเบาๆ ก่อนจะบอกไอ้หมาหวงก้างที่ยืนจังก้าเตรียมเข้าชาร์ต  “มันเมามากแล้ว ฝากพามันกลับเลยก็แล้วกัน แต่ให้มันฉี่ก่อน มันปวดฉี่อยู่ เดี๋ยวได้ราดกลางทางพอดี”  ตี๋พูดขึ้น จังหวะเดียวกับที่คนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา

    “ห้องน้ำๆ”  คชาร้องโวยวายเป็นเด็ก ชี้ห้องน้ำห้องว่าง พลางกระตุกแขนคนข้างๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร  “พาไปฉี่หน่อย”

    “อย่าเอาแต่ใช้กำลัง มันจะทำให้มึงเลือดขึ้นหน้า หัดมีสติกว่านี้”  ตี๋พูดเท่านั้น ทิ้งให้อีกสองคนมันไปจัดการกันเอง

    เรื่องนี้กูไม่เกี่ยวว้อย!!! แค่เพิ่งกลับมาไทย อยากกินเหล้าเลยชวนมันมาเลี้ยง หาเรื่องสนุกๆ คุย ไอ้เรามันก็ป๋าเห็นน้องมันไม่เคยเลยสั่งมาให้ลองหมดก็เท่านั้นเอง

    เรียนผูกต้องเรียนแก้นะไอ้ชา... ถ้ามึงรักกันจริง เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้ต้องผ่านไปได้สิวะ!


     

    - - -


     

                เหมือนสติกำลังหลุดลอยไป... คนตัวเล็กไม่รับรู้อะไรนอกจากการถูกพยุงตัวโดยใครสักคน แขนที่พาดบ่าเอาไว้ให้ความรู้สึกอุ่นใจ  ขณะนี้ภาพและเสียงต่างๆ ถูกเบลอไปหมดเหลือเพียงเสียงคุ้นเคยของคนใกล้ตัว

                ตั้งแต่  มาทางนี้...  ก้าวขาลงก่อน  ถอดรองเท้า จนกระทั่งเสียงสุดท้าย...

                “ถึงบ้านแล้ว...”  เสียงเดิมบอกกับเขาเช่นนั้น และตอนนั้นเองเขาก็นอนแผ่ลงกับที่นอนนุ่มและกลิ่นที่คุ้นเคยโดยสัญชาติญาณ

                เขาสัมผัสได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่สัมผัสตามผิวเนื้อตัว คชาปล่อยตัวเองไว้ในตำแหน่งแสนสบายอย่างนั้น ปล่อยให้อีกคนได้ทำอย่างที่ต้องการเสียเต็มที่

                สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ปาก... รสชาติขมปร่าจากลิ้นของอีกคน... คชาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น คนตัวเล็กเหมือนใจหลุดลอยออกไปที่ร้านแห่งเดิม

                “ขอบคุณนะพี่ที่เลี้ยงเหล้า...”  เสียงคนเมาที่ละเมอออกมาเรียกให้เต๋าชะงักริมฝีปากที่กำลังจะปล้นจูบรอบที่สองลง

                “เรื่องนั้นอย่าบอกใครนะ เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเรา จุ๊ๆ” 

    ความลับอะไรอีก???

    สายตาโกรธขึงทว่าแฝงความตัดพ้อใช้ทอดมองร่างคนเมาบนเตียง เต๋ากำหมัดแน่น...ปีศาจในกายกำลังพุ่งพล่าน ประกอบกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งทำให้เขาเลือดร้อน  มือขาวกระชากคนบนเตียงให้ลุกขึ้นนั่งขึ้นมา

    “ความลับอะไร!?”  น้ำเสียงร้อนรน...มือกระชับบ่าเล็กเอาไว้แน่น  “ตอบมาสิคชา!!!”  เขาถามเสียงดัง 

    “พี่...”  คนเมาหลุดเสียงละเมอ...สรรพนามที่ใช้บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายถึงเขาแต่เป็นไอ้นั่น  ยิ่งคิดถึงหน้ามันก็ยิ่งเกิดอาการอยากต่อยคน  มือกำหมัดแน่น ในขณะที่เต๋ากำลังจะเค้นเอาความจริงจากปากคนเมา เสียงที่วูบขึ้นมาก็ทำให้เลือดร้อนในกายสงบลง

    อย่าเอาแต่ใช้กำลัง มันจะทำให้มึงเลือดขึ้นหน้า หัดมีสติกว่านี้

    น่าตลกที่คำพูดนี้ถูกเอ่ยโดยคนที่เขาเกลียดขี้หน้า หากแต่มันกลับย้อนคืนมาหาเขาโดยไม่รู้ตัว  เต๋าปล่อยมือจากตัวอีกคน ลุกพรวดเดินไปเข้าห้องน้ำก่อนจะปิดประตูดัง ปัง!’

                ไม่ทันได้ยินเสียงที่ละเมอเพ้อต่อมา

    “พี่ตี๋...เต๋าต้องโกรธชาแน่เลย ทำไงดี?”


     

    - - -

               

    แสงแดดที่ส่องแยงตาทำให้เขาต้องขยับตัวหนี อาการปวดหัวแทรกขึ้นทันทีที่รู้สึกตัว เขาค่อยๆ กะพริบตาถี่ก่อนจะลืมขึ้นมองฝ้าเพดาน หันซ้ายมองขวาจึงพบว่าตนไม่ได้อยู่ในห้องตนเองแต่เป็นห้องของเต๋า

    สมองพยายามย้อนนึกเรื่องเมื่อคืนมากแค่ไหน ก็ระลึกได้เพียงตอนนั่งกินเหล้าที่ร้าน เจอเต๋ามากับเพื่อนกลุ่มใหญ่รวมถึงแฟง... นึกออกอีกที ก็จำได้ว่านอนลงบนที่นอนสบายตัว

    เหมือนห้วงความทรงจำขาดหายไป จะนึกยังไงก็นึกไม่ออกแถมอาการปวดหัวก็ยังทวีคูณ... คชานั่งขยี้ศีรษะบนเตียง ตอนนั้นเองที่ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา

    สีหน้าเย็นชาของเต๋าช่วงน่ากลัวในความรู้สึก คชารู้ตัวว่าเขาผิดหากแต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดๆ  เต๋าในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาพร้อมกับวางเครื่องดื่มขวดเล็กไว้ข้างเตียง

    “ตกลงเมื่อคืนมันเรื่องอะไร?”  อีกฝ่ายถามสีหน้าเรียบนิ่ง

    “เรา...”  ยังไม่ทันได้เรียบเรียงอะไร เพราะเพิ่งตื่นแถมยังมึนสุดๆ  “เมื่อคืนพี่ตี๋บอกจะเลี้ยงเหล้า เราเลยชวนปอไปด้วย แต่บอกเต๋าว่าไปบ้านเพื่อน...”

    คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังขมวดคิ้วจนยุ่ง...ความจริงจากปากอีกคนน่าเศร้ากว่าที่คิด คชาชวนปอแต่กลับเลือกจะโกหกเขา  “แล้วไงต่อ”  เต๋าซัก

    “ก็เจอเต๋าเข้ามาในร้าน... จำไม่ได้แล้ว”

    “แล้วไปสนิทกับไอ้นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่?”  เสียงทุ้มเอ่ยถาม หากแต่คำตอบที่ได้ยินพาลให้คิดว่าอีกคนกำลังกวน

    “พี่ตี๋หรอ? ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้นนี่”

    ไม่ได้สนิทขนาดนั้น?  “แล้วเมื่อคืนนั่นมันอะไร?”

    “อะไร?”  คชาทวนคำ ก่อนจะถามอีกคนกลับไป...  “แล้วอะไรเล่า?”

    จนปัญญาจะหาคำตอบ อะไรที่ว่ามันคืออะไรเขาไม่เข้าใจ คนตัวเล็กจึงได้แต่นั่งนิ่งๆ  คำถามที่อีกคนถามเขาเองก็ไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงดี

    เขาได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจหน่วงๆ  แววตาคู่นั้นดูตัดพ้อ สับสนและไม่เข้าใจ

    “บนโต๊ะมีกับข้าว อุ่นไว้แล้ว...แล้วนั่นก็กินแก้แฮงค์”  เต๋าพยักเพยิดไปที่เครื่องดื่มขวดเล็กข้างเตียง  หันไปหยิบหนังสือเล่มหนาใส่กระเป๋าเป้ ก่อนจะคว้ามันสะพาย

    “ถ้าจะกลับก็ล็อคประตูบ้านให้ด้วย”

    และนั่นคือประโยคสุดท้าย ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป

    คำว่า บ้านไร้ซึ่งความหมายเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง...


     

    - - -

     
     

                กว่าจะกินข้าว ล้างจาน กลับหอมาอาบน้ำ ไปถึงห้องเรียนก็เป็นเวลาเกือบเที่ยง  ว่าจะขึ้นลิฟท์ไปยังห้องเรียนหากแต่ก็เจอกับกลุ่มเพื่อนของตนเสียก่อน  ตอนนั้นเองที่เขาถูกเฟรมดันหลังให้เดินไปยังโรงอาหารแทน

                “ไอ้ชา... อย่าบอกนะว่า ที่มึงมาเอาป่านนี้มึงเสร็จไอ้เต๋าหมิงซื่อไปแล้ว”  เฟรมถามอย่างตื่นๆ  ท่าทีดูอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าอะไร

                “ห๊ะ ซันช่า...จริงดิ?”  เจมส์ถามย้ำ

                “จริงอะไรเล่า หน้ากูเขายังไม่อยากจะมอง”  คชาว่าอย่างหน่ายๆ กับความคิดของเพื่อน  “ไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหนวะ?”

                “อ้าว ทะเลาะกันหรอ?”  เฟรมลดท่าทีนั้นลง  “แต่ทำไมคอมึงมีรอยดูดวะ เนี่ย ข้างหลังเนี่ย!

                คชาขมวดคิ้ว... รอยเรยอะไรอีก? แต่จะว่าไป ตอนอาบน้ำก็เห็นอะไรแดงๆ ที่หน้าอกเหมือนกันแต่ไม่ได้สนใจ

                “ยุงกัดมั้ง คิดอะไรอกุศล”

                “ยุงตัวเบ้อเริ่มเลยสิถ้างั้น”  เฟรมว่ายิ้มๆ ตอนนั้นเองที่เพื่อนคนอื่นเดินตามมาสบทบพอดี  หากแต่ในจำนวนนั้น พี่รหัสคนดีก็เดินฝ่ากลุ่มเพื่อนของเขาเข้ามา

                “เฮ้ย..ไอ้ชา ครบ 32 ไหมมึง?”

                “ครบสิพี่”  เขาตอบพี่รหัส... ถ้าจะมีอย่างเดียวที่ขาดๆ หายๆ ก็คือใจของเขานี่แหละ มันกำลังล่องลอยสับสนอย่างบอกไม่ถูก  “แต่พี่ตี๋...เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมลืมไปหมดแล้ว”

                แม้จะเป็นเวลาเที่ยงตรง หากแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครเดินไปซื้อข้าว เมื่อทุกคนกำลังหูผึ่งฟังเรื่องราวจากพี่ตี๋อย่างตั้งอกตั้งใจ

                ถึงไม่อยากให้คนอื่นร่วมฟังด้วยแค่ไหน แต่งานนี้ท่าจะยากซะแล้ว

                ยังไง...ฟังแล้วช่วยกันหาทางแก้หน่อยนะทุกคน


     

    - - -


     

                บรรยากาศของคณะบัญชีในตอนนี้เต็มไปด้วยการจัดงานวุ่นวาย

                เวลาบ่ายสี่โมงหลังเลิกเรียน คชากำกระชับสายกระเป๋า รู้สึกเกร็งเล็กๆ ที่เดินมายังถิ่นที่ไม่ใช่ของตนเพียงลำพัง  สนามหญ้าหน้าตึกที่เขาเคยเดินผ่านกำลังถูกตกแต่งจัดที่จัดทางให้กลางเป็นซุ้มขนาดใหญ่  มาสคอตของงานรูปโลมาสีน้ำเงินตั้งตระหง่านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล  เขาจำได้ว่าเต๋าเคยพูดว่าที่คณะจะมีงาน Open House  แต่ไม่รู้เลยว่าจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้

    รู้ตัวดีว่าช่วงหลังๆ เขาให้ความสนใจในตัวอีกคนน้อยลง อาจเพราะเวลาถูกแบ่งไปให้อย่างอื่น ทั้งการบ้าน รายงาน เล่นเกมสนุกสนาน ออกกำลังกาย... ไม่รู้ว่าหลงลืมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มองดูอีกทีโลกของเราก็โคจรมาไกลกัน

    คชาเดินไปทั่วบริเวณงาน พยายามตามหาใครบางคน... จนพบว่าเต๋ากำลังนั่งอยู่กับเพื่อนตรงมุมเล็กๆ นั้น ที่นั่งใต้อาคารซึ่งอยู่ระหว่างลานคณะกับสนามหญ้านี่เอง

    เสียงหัวใจเต้นแรงอย่างตื่นเต้น... ได้เห็นคนที่อยากเจอก็จริงแต่ขากลับก้าวไม่ออก จนกระทั่งเพื่อนเต๋าคนหนึ่งที่หันมาเจอเขาเข้าพอดี... สาวผมสั้นเปรี้ยวสีแดงเพลิง เดียร์ยิ้มพลางกวักมือเรียกเขาไหวๆ ตรงกลุ่มนั้น

    เมื่อวานเดียร์ไม่ได้ไปดื่มที่ร้านกับเต๋า... ไม่รู้ว่าเธอจะรู้รึเปล่าว่าตอนนี้เขากับเต๋ายังมีเรื่องค้างคากัน

    ระหว่างที่คิดในใจว่าจะเอายังไงต่อดี... ตาคู่คมก็หันควับมาทางนี้เสียแล้ว


               

                เต๋าหมิงซื่อ... ท่าทางชื่อที่เจมส์เป็นคนริเริ่มท่าจะไม่ผิด เมื่อตอนนี้คชารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางกลุ่ม F4 ของจริง  แต่ละคนฐานะดีมีอันจะกินอย่างไม่ต้องสงสัย

                หลังจากเดินไปหาเต๋า เขาก็ถูกเดียร์ลากเข้ามาด้วย... ร้านกาแฟสตาร์บัคส์สาขาใกล้มหาวิทยาลัยถูกใช้เป็นที่ประชุมงานครั้งสุดท้ายสำหรับในวันพรุ่งนี้  มันเป็นครั้งแรกที่คชาก้าวเข้ามาที่นี่  เครื่องดื่มราคาแก้วละร้อยกว่าทำเอาไม่คิดจะกระดิกตัวไปสั่งเลย  ซ้ำแล้วยิ่งถูกจัดแจงให้นั่งข้างๆ เต๋า...เขาจะกล้าลุกไปไหนได้

                เพื่อนเต๋าแต่ละคนท่าทางดูดีเหมือนที่เคยเจอ คนไหนคุ้นหน่อยอย่างเบน เดียร์ หรือน้ำแข็งเขาก็ไม่เกร็งด้วย หากแต่ที่เหลือยังดูน่ากลัวในความคิดเขา

                โดยเฉพาะคนมาใหม่...จำได้ลางๆ ว่าชื่อ แอน เธอเดินมาพร้อมกับแฟงและนั่งลงด้วยกัน

                “พอดีเลย...แอนมาแล้ว เริ่มคุยงานกันนะ”  น้ำแข็งว่าพลางพูดคุยสิ่งที่จะถูกจัดขึ้นพรุ่งนี้ เรื่องที่เขาไม่เคยรู้อะไรด้วยเลยถูกกล่าวขึ้น มันเป็นบทสนทนาที่เขาเอ่ยแทรกไม่ได้และไม่คิดจะทำอยู่แล้ว  หลายครั้งที่บทสนทนานั้นถูกเปลี่ยนไปใช้ภาษาที่สองอย่างอังกฤษเพื่อให้เพื่อนในวงคนหนึ่งเข้าใจได้ถนัด

                นี่สินะโลกในแบบของเต๋า โลกที่เขาไม่กล้าเขามาเหยียบ ต่างจากเต๋าที่วิ่งเข้าหาโลกของเขาอยู่ตลอดเวลา... กับบรรดาเพื่อนของเขา เต๋าคุ้นเคยดีและบางคนก็ค่อนข้างสนิท ซ้ำยังขอเบอร์เอาไว้อยู่หลายคน

                “เบื่อหรอ?”  เดียร์ที่นั่งใกล้ๆ หันมาสะกิดเขาจากการอยู่ในความคิดเพียงลำพัง  ที่จริงเขาอยากจะพยักหน้าแรงๆ สักที แต่ทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ ตามมารยาทไป

                “ไม่ต้องปฏิเสธหรอก ดูก็รู้”  เธอเอ่ยต่อ  “เรายังเบื่อเลย คุยอะไรกันวนไปวนมา ขี้โม้ชะมัดไอ้น้ำแข็ง”

                คำพูดนั้นทำเอาเขาหลุดยิ้มในทันที อย่างน้อยกับเพื่อนเต๋าคนนี้เขาก็คุยได้อย่างสะดวกใจ  “ต้องอยู่นี่ถึงกี่โมงหรอ?”  คชาถามเบาๆ

                “ก็จนกว่าจะคุยเสร็จนั่นแหละ”  เธอว่า

                “ตั้งใจฟังด้วยเดียร์ อย่ามัวแต่คุย”  ตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มอันคุ้นเคยเอ่ยขึ้นมา...เสียงจากคนข้างๆ ตัวเขานี่เอง

                “รับทราบค่ะท่านรองประธานเต๋า”  คชาแอบยิ้มเบาๆ ไปกับคำพูดของเดียร์ แต่ในใจยังนึกไม่ออกเลยว่าจบการประชุมงานอันน่าเบื่อหน่ายนี่แล้วเขาจะทำยังไงต่อดี

                ก็ตั้งแต่เจอกัน... เรายังไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่า สวัสดี

                ใกล้ตัว แต่ไกลหัวใจ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

     

     

                “โอเค.. เจอกันพรุ่งนี้เจ็ดโมงครึ่ง วันนี้ไว้เท่านี้ ประชุมอีกทีเย็นพรุ่งนี้หลังเสร็จงาน”  ผ่านไปจนเวลาหนึ่งทุ่มตรงเขาจึงได้ยินคำนี้จากปากน้ำแข็ง  เวลาสองชั่วโมงครึ่งในการพูดคุยสรุปรายละเอียดทำเอาคชาแอบนั่งหาวไปหลายครั้ง

                ทุกคนเก็บข้าวของ เขาเองก็กระชับกระเป๋าใบเล็กขึ้นมา  “เย็นแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม?”  แฟงเอ่ยขึ้นในตอนนั้น  “เต๋า...ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านไหนนะที่บอกว่าอร่อย?”

                แววตาของเธอหันมามองหน้าคชาเหมือนจะส่งสาสน์ท้าทาย คำพูดเมื่อครู่ไม่บอกก็รู้ว่าเธอชวนเต๋าไปทานข้าวกลายๆ นี่เอง

                เขาเหลือบหันไปมองใบหน้าขาวคมของคนข้างๆ  เต๋ายกยิ้มออกมาเบาๆ  “อ้อ...ร้าน a ตรงย่านใกล้ๆ มหาลัย จริงๆ ไม่รับรองรสชาติเท่าไหร่หรอก เคยไปกินอยู่สองสามหนเอง”

                สองสามหนนั่นก็ไปกับเขาทุกครั้งไม่ใช่หรือไง?  คชานึกหากไม่ได้พูดอะไรออกมา

                จนกระทั่งเห็นเต๋าลุกขึ้นหยิบกระเป๋า คชาจึงลุกตาม.. ท่าทีเหมือนจะเดินไปกับแฟงทำเอาเขาไม่ชอบใจ  แม้ดูจากท่าทางเต๋าคงไม่ได้คิดอะไร แต่ในใจมันไม่ชอบเลย

    ขอ หึงสักครั้งได้ไหม?

                มือเล็กจับสายกระเป๋าเป้อีกคนเอาไว้  เอ่ยด้วยเสียงไม่ดัง  “เต๋า...กลับบ้านกัน”  คงเพราะเป็นอย่างเดียวที่อาจจะเชื่อมเราเอาไว้ได้  บ้านที่เต๋าเคยชวนเขาไปอยู่... วันศุกร์อย่างเช่นวันนี้เป็นวันที่เขาไปนอนค้างบ้านเต๋าไม่ใช่หรือไง?

                “วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่”  เต๋าเอ่ยสั้นๆ ไม่ตอบคำถามออกมาตรงๆ น้ำเสียงนิ่งเรียบยากจะคาดเดา

                “แล้วอยู่กับเราไม่ได้หรือไง?”  คชาพูดต่อ สมองถูกพักเอาไว้ ใช้หัวใจเท่านั้นที่พูดแทน  “ถ้าไม่อยากให้เราค้าง เราไม่ค้างก็ได้... แค่มีเรื่องจะพูดด้วยเท่านั้นเอง”

                ใบหน้าของเต๋ายังคงไม่แสดงอาการไหวติง หากแต่มือข้างหนึ่งยื่นมาแกะมือเขาออกจากกระเป๋าเป้ของตน

                “ถ้าอยากจับ...ก็จับมือ”  คำพูดนั้นทำเอาคนตัวเล็กขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ลอบเห็นเพื่อนของเต๋าสองคนที่จับมือกันเดินอยู่ด้านหน้า แต่ว่ากับเขามันต่างกัน

                สองคนนั้นเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย แล้วก็เป็นแฟนกัน

                แต่กับเราสองคน...

                เวลาตัดสินใจไม่ได้มีนานนัก... เสียงถอนหายใจดังขึ้น ตามด้วยขายาวที่เดินนำหน้าไป ทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง  คชาได้แต่เดินจ้ำตาม แผ่นหลังคนข้างหน้าไม่เกินไขว่คว้าแต่ยังลังเลที่จะเอื้อมมือ

    เต๋าโบกมือลาเพื่อนคนอื่นๆ แล้ว  ตอนนี้เหลือเพียงเราสองคนในบรรยากาศเงียบงันท่ามกลางความวุ่นวายของใจกลางเมือง  ทั้งสองเดินมาจนถึงสี่แยกไฟแดงที่พอข้ามไปก็จะเป็นบริเวณตรอกบ้านของเต๋า ในตอนนั้นที่เขากลับมายืนข้างๆ อีกคนได้แล้ว

    ในระหว่างที่รถยังคงวิ่งสวนกันรวดเร็ว เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาจากฝ่ามือคนข้างๆ ที่เกาะกุม  และเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนสี คชาก็ถูกอีกคนจูงมือให้ข้ามถนนมาด้วยกัน

    ระยะเวลาไม่นานเพียงเสี้ยวนาที...ทว่าตอนนี้โลกทั้งใบสว่างขึ้นทันตา

    เป็นเวลาไม่กี่วินาทีที่เดินข้ามถนน ช่วงเวลาที่หัวใจเบ่งบาน...ความอบอุ่นนั้นกำลังจะหายไป

    หากแต่ไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อมือบางกางประสานมือข้างนั้นไว้ แม้จะลังเลในทีแรกแต่ตอนนี้เขากลับบีบมันอย่างมั่นคง ราวกับจะให้สัญญาณบางอย่างกับอีกคน

                ถึงคชาคนนี้จะเป็นผู้ชาย แต่จะไม่อายกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว

    ต่อไปนี้ เขาจะจับมือนั้นไว้ ไม่ปล่อยให้ใครต้องเดินนำ

    แล้ว เราจะเดินไปพร้อมๆ กัน...เต๋าหมิงซื่อ

               

     

     

     

     

      

    TBC


    แอบมา edit ให้อ่านลื่นขึ้นนิดหน่อย แต่เนื้อหายังเหมือนเดิมจ้า



    (ทอล์กแบบเปิดใจคนแต่ง 555)

    ไม่รู้คนอ่านรู้สึกไหม แต่เราคิดมาตลอดว่าสองคนนี้มันไม่เท่ากัน มีแต่ฝ่ายเต๋าที่ทุ่มเทให้คชา  คชามัวแต่ลังเลคิดโน่นนี่ ให้เขาเป็นแฟนก็ไม่ให้ ทำอะไรก็ไม่กล้า การกระทำมันเลยออกมาแบบคลุมเครือไปด้วย ยิ่งหลังๆ ติดเพื่อนอีก เอาเข้าไป (แกแต่งเองนี่โบโบ้) ยิ่งแต่งไปยิ่งกลัวคนอ่านไม่ชอบคชาอะ จริงๆ นะ โธ่
    เลยอยากจะลบปมนี้ออกไปซะ นี่แหละนะสาเหตุที่ฟิคมันยืดยาว เพราะในภาพรวมของความรักมันมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถปะทุขึ้นมาได้ภายหลัง เลยอยากปิดมันซะ แหะๆ

    ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่ามันแต่งยาก คนแต่งคิดมากไปปะกับเนื้อเรื่อง 555 จริงๆ พลอตฟิคเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลยเนอะ แค่ผู้ชายปลอมตัวเป็นทอมย้ายมาอยู่หอหญิง แต่เราตีแผ่เนื้อเรื่องซะยาว คิดดูว่าเวลาในฟิคเพิ่งผ่านได้ยังไม่พ้นเทอมนึงเลย  ใครไม่ชอบหรือยังไงบอกได้นะคะ ไม่ว่ากัน เรารู้ว่าคนส่วนใหญ่น่าจะชอบตอนแรกๆ มากกว่าที่มันเกรียนๆ ตลกๆ หน่อย  หลังๆ มันหวานกับดราม่าตัดภาพตอนแรกๆ ไปเยอะเลยเนอะ

    สำหรับทอมออบอย  ตอนนี้คิดว่าใกล้มาถึงจุดที่จบเรื่องแล้วเราจะสบายใจละล่ะ แหะๆ (คือตอนแรก กะจะจบตอนที่เต๋ารู้ความจริงว่าคชาเป็นผู้ชายแล้วคชาไปง้อด้วยซ้ำ แต่รู้สึกว่ามันจะขาดอรรถรสไปมาก ไม่ได้อยากยืดเรื่องหรอกนะ แต่ถ้าจบตอนนั้นจะรู้สึกว่ามันยังได้อีกอะ)
    ในพลอตง่ายๆ ที่คิดขึ้นมาแต่ในรายละเอียดเปลี่ยนไปมาบ่อยสุดๆ  มันอาจจะเป็นสไตล์การเขียนของเรา (หรือเปล่า?) ไม่รู้ล่ะแต่ถนัดทำแบบนี้มากกว่า เหมือนกับที่ภาษาเน้นอ่านง่ายเป็นหลัก จริงๆ ถ้าแต่งแบบสละสลวยเป็นก็อยากจะทำเหมือนกัน แต่ทำไม่เป็นไง 55

    ยังไงขอบคุณมากที่ตามอ่านกันมานะจ๊ะ ฟิคเรื่องนี้ยาวสุดเท่าที่เคยแต่งมาในชีวิตเลย อย่าเพิ่งเลิกอ่านนะ จะจบแล้ว 555
    ขอฝากเรื่องหน้าด้วยล่ะ จะพยายามทำให้ดีกว่านี้ จะพยายามมีแก่นสารกว่านี้ จะพยายามตลกกว่านี้  555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×