ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #26 : TOM (or) BOY - 24

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 55


      TOM (or) BOY  

    24

     

     

     

     

     

    โดนทิ้ง...

    คนตัวเล็กโบกมือลาแพรวาที่เพิ่งขึ้นแท็กซี่ไปเมื่อครู่นี้  ปกติถ้าไปไหนด้วยกันแล้วกลับดึกๆ เขากับเฟรมต้องเป็นคนไปส่งแพรวาที่หอก่อนเสมอ แต่วันนี้ต่างออกไปด้วยเฟรมกลับขอนแก่นไปแล้ว ส่วนแพรวาก็กลับไปนอนที่บ้านแถบชานเมืองเนื่องด้วยได้หยุดสามวันหลังสอบเสร็จ...

    ใครๆ ก็กลับบ้านกลับช่องกัน มีแต่เขาที่นอนเหงาอยู่หอคนเดียว

    คชาที่ปฏิเสธการไปค้างบ้านโปเต้เมื่อสิบห้านาทีก่อนเริ่มนึกเสียดายขึ้นมาเมื่อพบว่าหยดน้ำจากเบื้องบนค่อยๆ กลั่นตัวลงมาเปาะแปะๆ  แท็กซี่คันก่อนหน้า ถ้าเขาโดดขึ้นไปด้วยตอนนี้คงนั่งตากแอร์เย็นสบายบนเบาะนุ่มๆ แล้ว

    แต่เพราะพรุ่งนี้เป็นวันศุกร์นี่สิ... คชาเลยไม่อยากไป

    วันศุกร์...ที่ใครบางคนบอกจะกลับมา

    คชาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหยดน้ำกลายเป็นหยาดฝนเม็ดใหญ่ ลมพัดแรงเสียจนร่างเล็กเกือบปลิว สภาพตอนนี้อย่าต้องให้พูดเลยว่าจะสะบักสะบอมแค่ไหน  ทั้งเนื้อตัวเปียกปอนผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไปหมดซะจนไม่นึกจะหยุดฝีเท้าลง

    คงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้

    เอาวะ... เป็นไงเป็นกัน  อีกนิดก็ถึงหอแล้ว

     

     

    แต่คชาคงลืมไปว่า... ตัวเองไข้ขึ้นง่ายแค่ไหน

    เก้าโมงเช้าวันศุกร์ในห้องหมายเลข 603  คนตัวเล็กตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มๆ เตียงเดิมเช่นเคย  แต่ที่วันนี้แตกต่างไปกว่าทุกวันคงเพราะอาการร้อนๆ หนาวๆ  ปวดหัวตึ้บๆ  แถมลมหายใจก็ไม่ปกติเอาเสียเลย

    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นไข้หวัด

    ถึงจะเพลียจนไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน หากแต่มือถือเจ้ากรรมดันร้องปลุกขึ้นมาเสียก่อน เสียงของมันยังบาดหูเช่นเดียวกับสามสี่วันที่ผ่านมาที่คชาตั้งไว้เพราะกลัวตื่นไปสอบไม่ทัน

    มือเล็กเอื้อมคว้ามันเพื่อกดปิด หากแต่สมองก็ระลึกต่อได้ว่ายังมีเพื่อนร่วมหออยู่ทั้งคน

    ตาเรียวเบิ่งมองหาเบอร์จากรายชื่อก่อนจะกดโทร

    “มีไรวะชา โทรมาแต่เช้า”  ปลายสายว่า

    “โทษทีว่ะที่มาปลุก ว่าแต่ห้องแกมียาปะวะเฟรม?”  แม้แต่เสียงก็บ่งบอกว่าคนพูดป่วยแค่ไหน “กูเป็นไข้ว่ะ”  คชาพูดต่อ

    “ห้องกูอะมีอยู่ แต่ตอนนี้กูอยู่ขอนแก่น มึงลืมไปแล้วรึไง?”  เฟรมว่าด้วยเสียงเอือมระอาเล็กๆ... คงเพราะหงุดหงิดที่ถูกโทรปลุก

    “เออ จริงด้วยว่ะ กูเบลอ งั้นแค่นี้นะ ง่วง”

    “เออ...”  จริงๆ แล้วเหมือนเฟรมจะพูดบอกลาต่อ หากแต่คชาที่ยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  มือกดปุ่มตัดสายก่อนจะค่อยๆ วางมันลงบนหัวเตียงเหมือนเดิม

    ตอนนี้ร่างกายมันเพลียจนไม่อยากจะทำอะไรแล้ว

                ขอชัทดาวน์ตัวเองก่อนนะ... สวัสดีชาวโลกทุกคน


     

    - - -


     

    เคยอยู่ในอาการยิ้มไม่หุบบ้างไหม?

                ร่างสูงที่นั่งเบาะหลังสุดของรถแวนคันใหญ่ยังคงนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่เงียบๆ คนเดียว  สี่ห้าวันที่ผ่านมาได้ไปเที่ยวตั้งเยอะก็ยังไม่รู้สึกดีเท่าวันกลับ

                อยากให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ เต๋าไม่ได้กำลังอ่านมันอยู่อีกรอบนึงหรอก หากแต่สมองจำข้อความที่ได้รับเมื่อคืนจนขึ้นใจแล้วต่างหาก

    วันนี้วันศุกร์แล้วนะคชา...

                ถึงฝ่ายนั้นจะส่งช้ามาหน่อย แต่อย่างน้อย เขาก็รู้สึกว่า เรากำลังเข้าใกล้กันอีกก้าวนึง

                รอยยิ้มเหมือนได้รับชัยชนะยังคงอยู่เมื่อเต๋าเข้าสู่โหมดส่วนตัว แม้มือจะเล่นเกมในไอโฟนสีขาวฆ่าเวลาแต่ในใจยังคิดถึงแต่เรื่องเดิมที่หยุดคิดไม่ได้สักที

                เกมนี้จะแพ้หรือชนะเขาไม่รู้ แต่เต๋าสู้ยิบตา

               

                รถแวนคันสีกรมท่าแวะจอดปั๊มน้ำมันเวลาสิบโมงเศษ เต๋าลงไปเดินซื้อของฝากพอได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง กำลังคิดอยู่ว่าจะขนมที่ซื้อมาจะพอให้น้องสองคนรึเปล่า  หากแต่พอขึ้นรถไป เต๋าก็ลืมทุกอย่างหลังจากหยิบมือถือขึ้นมาดู

                คชาเป็นไข้ ฝากดูมันที เฟรม

                อยากจะตอบกลับไปเต็มแก่ว่าไม่ต้องฝากก็ดูอยู่แล้ว แต่ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้เขายังอยู่เมืองชลแวะซื้อของฝากอยู่เลย

                ในใจนึกขอบคุณที่ไอ้หยีติดธุระพอดีเลยต้องออกจากที่พักตอนเช้า ถ้าไม่อย่างนั้นมีหวังได้กลับถึงบ้านตอนเย็นย่ำค่ำแน่ๆ  นิสัยเจ้าพวกนี้ยิ่งชอบเที่ยวจนวินาทีสุดท้ายด้วยน่ะสิ

    สำหรับตอนนี้ เต๋าเลยทำอะไรไม่ได้ นอกจากภาวนาให้คนป่วยที่กรุงเทพฯ อย่าเป็นอะไรหนักเลย

    จากที่อารมณ์สบายๆ กลายเป็นร้อนรน ปลาหมึกแห้งกับข้าวหลามหนองมนต์ที่ซื้อไปฝากคงจะไม่พอเมื่อเต๋าวิ่งลงไปซื้อยากับเจลลดไข้มาเผื่อตอนไปถึง  ตอนนี้เต๋าอยากให้เข็มนาฬิกาหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม

    “แหม...ขาดกันไม่ได้เลยนะ”  เสียงล้อๆ ของเดียร์ดังขึ้นมาจากเบาะแถวหน้าเมื่อเต๋าบอกให้คนขับอย่างน้ำแข็งเร่งความเร็วอีกนิด... “อยากกินชานมล่ะสิท่า”  ปลาเสริม... ตั้งแต่วันที่พาคชาไปเดินแถวคณะ ก็มีสองสาวนี่แหละที่ตามติดตลอดมา

    พวกเธอเลยชอบล้อมาตั้งแต่วันนั้น ซึ่งอันที่จริงเต๋าก็ไม่ได้รู้สึกกระดากหรือเขินอายอะไรสักนิด ติดจะชอบด้วยซ้ำไป

    แต่ไม่ใช่ตอนนี้...

    “คชาป่วย ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงมั่ง”  เต๋าตอบชัดๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

    “อ้าวหรอ”  เสียงใครสักคน

    “เออดิ ไม่รู้ไปทำดิท่าไหนถึงไข้ขึ้น”  เสียงทุ้มเอ่ยตอบ  ถึงใจความจะฟังดูตำหนิ หากแต่น้ำเสียงที่เอ่ยก็เจือไปด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปกปิดใดๆ

    ตอนนี้เต๋าอยากมีประตูวิเศษ คอปเตอร์ไม้ไผ่ หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้ได้เจออีกคนเร็วๆ

     

    แต่สุดท้าย สิ่งที่เต๋าทำได้คือการนั่งรอ รอ และก็รออยู่บนรถตู้คันเดิม  และวินาทีที่มันเคลื่อนมาจอดหน้าหอพักสูงสิบห้าชั้นตามคำบอกของเขา  ร่างสูงก็แทบจะกระโจนออกมา  ขายาวก้าวฉับๆ เข้าตึกไปแลกบัตรกับลุงยามก่อนจะเข้าหอพักไปโดยสะดวก  เป้าหมายคือห้องเบอร์ 603 ที่แม้เขาไม่ค่อยได้มาทว่าจำตัวเลขได้ขึ้นใจ

    หลังยังแบกเป้สัมภาระใบใหญ่ ในมือขวามีของฝาก ส่วนมือซ้ายถือถุงยากับเจลลดไข้ หัวใจเต้นตุบๆ ที่จะได้เจอหน้าอีกคนหลังจากไม่เจอมาหลายวัน

    หน้าห้อง 603 …เต๋ายืนอยู่ด้านหน้าประตูสีน้ำตาลอันเงียบสงบ เคาะสองสามทีไม่มีเสียงตอบรับจึงลองเปิดเข้าไปดูเผื่อบังเอิญไม่ได้ล็อค

    และมันก็เปิดได้!

     

    หากแต่วินาทีที่เต๋าเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็รู้ว่าความบังเอิญไม่มีอยู่จริง

    “บอกแล้วไง ถึงหวัดจะเกิดจากไวรัส ไม่ต้องกินยาก็หายเองได้ แต่ก็ควรกินเพื่อบรรเทาอาการ”  เสียงไม่คุ้นหูของใครสักคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงเอ่ยขึ้น ชายนิรนามที่เห็นเพียงแผ่นหลังกำลังหยิบแก้วน้ำกับยา

    ไอ้นี่มันเป็นใคร?

    “โอเคคร้าบ กินก็กิน... เออ จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน มีเพื่อนเป็นหมอ งั้นจองตัวไว้เลยละกัน รักษาฟรีตลอดชีพ โอเค๊”  คชาพูดตอบ ยอมรับยานั่นจากอีกคนกลืนลงคอ

    “รักษาตลอดชีวิตอะได้ แต่ใครเขาพูดแบบนี้กัน อยากป่วยรึไงเล่า ฮ่าๆๆ”

    “เออ จริงด้วย ฮะๆๆๆ”

    แล้วไหนใครป่วยกัน?

              เสียงหัวเราะนั้นแม้จะเบาๆ ทว่ากลับดังก้องในใจใครอีกคน  เต๋ายืนมองสองคนที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตร เสียงปล่อยของที่มือขวาลงดังขึ้นขัดจังหวะคนทั้งคู่... ของฝากจากระยองจะมีความหมายอีกต่อไปหรอ?

                ก่อนเต๋าจะวางถุงที่มือซ้ายไว้ใกล้ๆ ตามมา... ยากับเจลลดไข้ก็คงไม่สำคัญอีกต่อไป

                “กลับมาเมื่อไหร่หรอเต๋า?”  คนป่วยบนเตียงที่เพิ่งรู้ถึงการมาของอีกคนเอ่ยทักขึ้นตอนนั้น  เสียงใสติดจะป่วยๆ ยังดึงความสนใจเอาไว้ได้อยู่  ใบหน้าหวานหันมาถามพร้อมมอบรอยยิ้มบางๆ ให้

                แต่คชารู้ไหม... ตอนนี้เต๋าไม่ต้องการมันเลย

                ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง...กับที่ยิ้มให้ไอ้หมอนั่น

                “เพิ่งกลับมา”  เต๋าตอบสั้นๆ กลับไป

                “หรอ...”  คชาเอ่ย รอยยิ้มดูเจื่อนลงเมื่อเห็นท่าทีอีกคน  “เออ นี่ปอนะ อยู่ห้องข้างๆ เราเอง”  ก่อนที่เสียงใสของคนตัวเล็กจะเอ่ยขึ้นต่อ  “ปอ...นี่เต๋า”  หันไปบอกเพื่อนข้างห้องที่บัดนี้มานั่งประจำเป็นคุณหมอข้างเตียง  ฝ่ายปอก็พยักหน้ารับพร้อมกับหันไปทักทายเพื่อนใหม่อย่างอารมณ์ดี

                แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ยิ้มกลับมาให้ก็ตาม

                “คือเรามีไข้นิดหน่อยน่ะเต๋า...แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอก ดีที่มีปอมาดูให้”  คชาพูดขึ้น แค่อยากอธิบายสาเหตุการมาของอีกคน  “เดี๋ยวก็คงหายแล้วแหละมั้ง”  จริงๆ เพิ่งกินยาเม็ดแรกไปแต่ไม่อยากให้อีกคนเป็นห่วง...วงเล็บว่าในกรณีที่เต๋าเป็นห่วงน่ะนะ

    “ปอเขาเรียนหมอไง ถึงจะปีหนึ่งเหมือนกันก็เหอะ แต่มีความรู้ใช้ได้เลย คิดว่าคุณหมอมาเอง  ฮะๆๆๆ”

                “เฮ้ย ไหนตอนแรกยังไม่ไว้ใจให้รักษาอยู่เลย กลับคำนี่นา”  หนุ่มผิวสีเถียง  ก่อนจะลงเอยด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนทั้งคู่

                ใครจะรู้สึกยังไงไม่รู้ หากแต่คนมองกลับกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศนี้เต็มทน... คนเดียวไม่เหงาเท่าสามคน คำนี้คงจะจริง

                ยิ่งเห็นว่าอีกสองคนอยู่ใกล้ชิดกันแค่ไหน...เท่านี้เต๋าก็แทบจะร้อนเป็นไฟลุก มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น ตอนนี้เต๋าอยู่ในอารมณ์ขั้นสุดแล้วจริงๆ

    ประตูวิเศษ คอปเตอร์ไม้ไผ่ หรืออะไรก็ได้...เขากำลังต้องการมันอีกครั้ง


                “หายไข้แล้วนี่ งั้นไปนะ”  สุดท้ายก็กลั่นคำนี้ออกมาได้หลังจากนิ่งอยู่นาน  เขาหันหลังให้คนทั้งคู่...ใครมาเจอเข้าตอนนี้อาจจะมีชกเพราะพิษความหึง

                “จะไปไหนอะเต๋า?”  และเสียงใสติดจะอ้อนๆ ก็รั้งเขาไว้  “ไม่อยู่เป็นเพื่อนเราก่อนหรอ?”  อีกครั้งและอีกครั้ง

                ขายาวๆ ของคนที่ยืนอยู่ไม่ก้าวถอยหลัง เขาเพียงหันหน้ากลับไป  “เพื่อนมีเยอะแล้ว”  คำพูดสุดท้ายก่อนจะก้าวฉับๆ ทิ้งคนทั้งสองไว้ตรงที่เดิม


                หึง... เต๋าลืมไปเสียสนิท คำนี้คงไม่มีสิทธิ์ใช้เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน

                เข้าข้างตัวเองไปใหญ่แล้วไอ้เต๋า... คิดว่าที่ผ่านมาเขามีใจให้แกรึไง?


                คำว่า ชอบแค่สักคำ คชายังไม่เคยพูดมันเลย

     



     


                บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนจากแดดอ่อนๆ กลายเป็นฟ้าครึ้มเมื่อใครบางคนเดินจากไป  แผ่นหลังนั้นไปไวเกินกว่าบุคคลที่สามอย่างปอจะตามได้ทัน และที่สำคัญ... คือคนป่วยที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงเมื่อปอกลับเข้ามา

                ฟ้าครึ้มแล้ว ฝนก็ตกเป็นธรรมดา

                คนตัวเล็กที่นั่งสะอื้นอยู่บนเตียงค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น ไข้ที่ยังรุมๆ ดูจะพาให้ทุกสิ่งแย่ขึ้นไปอีก... ใครจะคิดว่าการรอคอยที่จะเจอใครบางคนจะทำให้จุดจบสุดท้ายเป็นแบบนี้ เมื่ออยู่ดีๆ อีกคนก็เดินจากไปโดยแทบไร้คำลา

                คชาทำอะไรผิด..เต๋าโกรธอะไรอยู่..หรือว่าไม่ชอบเขาแล้วหรอ..แค่ไม่กี่วันคนเราก็เปลี่ยนใจได้แล้วรึเปล่า?

                เหมือนกับที่เต๋าเลิกชอบแพรวา ตอนนั้นมันก็ง่ายเหมือนกันนี่นา... ง่ายกว่านี้ด้วยซ้ำไป

                ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง จะหาคำตอบก็ไม่ได้ จะขยับตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด... คชาที่นั่งสะอื้นค่อยๆ ถูกจับไปกอดปลอบโดยว่าที่คุณหมอที่ขยับมานั่งใกล้ๆ

                แต่หมอน่ะ...รักษาได้แค่โรคทางกายเท่านั้นแหละ

                “ฮึกๆ ฮือ~”  หากแต่เสียงสะอื้นไห้ที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกได้เป็นอย่างดี  ศีรษะเอนซบลงบนบ่าอย่างต้องการที่พึ่ง แม้คนที่เขาต้องการจะไม่อยู่ในเวลานี้ แต่คชาก็ต้องการใครสักคนช่วยปลอบใจ

                เหมือนจะเป็นการร้องไห้อย่างจริงจังครั้งแรกในรอบปี คชายังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ปล่อยให้มันไหลออกมาโดยไม่คิดจะห้ามจนตาบวมหูอื้อไปหมด ตอนนี้เสียงสะอื้นเริ่มหายไปแต่แทนที่ด้วยแผ่นหลังอันสั่นเทาแทน

    ในขณะที่ฝนกำลังเริ่มซา ทว่าวินาทีต่อมา...ฟ้าก็ผ่าลงอีกครั้ง

    ไร้เสียง เปรี้ยง หากแต่มีเสียง ปัง!’ เมื่อประตูถูกเปิดเข้ามา  ฝีเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามาในห้อง ตามด้วยเสียงหมัดหลุนๆ ซัดเข้าที่ข้างแก้มว่าที่คุณหมอเข้าอย่างจัง

                - - พลั่ก!!! - -

                “เป็นหมอใช่ไหม งั้นไปรักษาตัวเองก่อนละกัน”  เสียงทุ้มของคนที่เพิ่งกลับเข้ามาใหม่เอ่ยแค่นั้นก่อนจะดึงตัวอีกคนให้ลุกออกมา

                “โทษที... แต่คนนี้ของกู!

                ร่างสูงจัดการดึงไอ้หมอออกไปหน้าห้องก่อนจะล็อคประตูเรียบร้อยแล้วย่างสามขุมกลับมาหาคนบนเตียง  แต่พอเห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ไอ้หมอนั่นแล้วเต๋าก็อดจะหงุดหงิดไม่ได้

                “โธ่ว้อยยยยยยยย”  ระบายออกมาเป็นคำพูดเสียงดังจนอีกคนหันมามองด้วยความตกใจ  ทว่าบรรยากาศในห้องกลับเงียบลงอีกครั้งเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อมา 

                แม้คชาจะหยุดร้องไห้ไปแล้วเพราะความตกใจแต่คราบน้ำตายังคงอยู่  เต๋าเดินเข้าไปหาอีกคน ไม่มีกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้า มีเพียงนิ้วมือที่ปาดน้ำตาออกให้

                “ขอโทษ”  เต๋าพูดเท่านั้น...ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้

                “ขอโทษเหมือนกัน”  คนตัวเล็กพูดเสียงอู้อี้ในลำคอ  “ขอโทษ...ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจ” ทั้งที่ผ่านมาแล้วก็เมื่อกี๊เลย...

                เต๋าไม่พูดอะไรต่อนอกจากคว้าอีกคนมากอดไว้แน่นๆ  มือยกขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “คิดถึงนะชา”

                บ่อน้ำตาแตกอีกครั้งเมื่อได้ยินคำนั้นออกมา... คชาซบหน้าลงบนอกอีกคนให้มันช่วยซ่อนน้ำตาแห่งความดีใจนั้นเอาไว้

                “คิดถึงเหมือนกันไหม?”  เสียงทุ้มเอ่ย เต๋ายิ้มรับเมื่อเห็นคนในอ้อมอกพยักหน้าลงสองสามที  “อือ”  คชาขานรับอู้อี้ในลำคอ

                หลังจากนั้นไม่นานนัก คชาก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นอีกครั้ง  คชาผละออกจากอีกคน ส่งยิ้มให้ โดยมีนิ้วมือหนาที่ตามมาปาดคราบน้ำตานั้นออก

                “เต๋า...เมื่อกี๊หึงหรอ?”  คชาถามขึ้นด้วยท่าทีลังเล

                “ยังจะถาม”  พูดพลางผละอ้อมแขนออก นิ้วมือค่อยๆ ไล้ที่รูปตาบวมๆ ของอีกคน

    “แต่เรากับปอไม่ได้อะไรกันนะ เราก็แค่...”

    “อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้”  เต๋าเอ่ยขัดขึ้นทันที ดวงตาคู่โตเพ่งมองดวงหน้าอีกคนแน่วแน่  ฝ่ามือลูบแก้มนวล  แล้วจึงค่อยๆ เคลื่อนริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากมน  “ตัวร้อน”

    ไม่หยุดแค่นั้นเมื่อริมฝีปากอิ่มยังคงเลื่อนมาประทับลงบนเปลือกตาทั้งสอง ทับลงบนตาคู่บวมราวกับจะปลอบประโลม  ก่อนจะย้ายมาที่แก้มทั้งสองที่ขึ้นสีแดงจางๆ ไม่รู้เพราะพิษไข้ หรือเป็นเพราะคนตรงหน้ากันแน่

    ฝ่ามือหนาค่อยๆ ลดลงมาจากแก้มมาที่ลาดไหล่  เต๋าค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้อีกคน ก่อนจะส่งมอบจูบให้ผ่านริมฝีปากซีดๆ ของอีกคน  หากแต่เพียงแค่แตะเบาๆ ก็ถูกอีกคนดันออกมาเสียก่อน

    “เดี๋ยว..ติดไข้..หรอก”  คชาเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น

    “ถ้าติดจากชาก็เอา”  ว่าแล้วมือก็รวบแขนอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากนั้น ลิ้นหนาไล้ลิ้มแตะชิมจากกลีบปากนุ่มก่อนจะกวาดต้อนเข้าไปด้านใน  จนคนป่วยที่ขืนตัวเอาไว้ในทีแรกค่อยๆ จำยอมตาม

    ได้จูบกัน..จริงๆ..แล้วหรอ

    เหมือนห้วงแห่งความฝันที่เขากำลังหลุดลอยไป คชาหลับตาลงก่อนจะปล่อยใจไปกับคนตรงหน้านี้  มารู้อีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังกำลังทาบบนที่นอนของตัวเอง  ตาคู่เรียวปรือมองอีกคนก่อนจะตกใจเมื่อเห็นอีกคนขึ้นมาอยู่บนเตียงด้วยกันแล้ว

    “เต๋า...จะทำอะไร?” 

    “แล้วคิดว่าทำอะไรล่ะครับ?”  ร่างสูงตอบกลับ ใบหน้าหล่อเหลามองดูเจ้าเล่ห์เสียจนคชาเริ่มสับสนในตัวเอง

    จะทำ...แบบนั้น...จริงหรอ?

    ไม่ทันที่คชาจะเอ่ยห้าม  ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ก้มลงมาที่แก้มใส หากแต่ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าสูดกลิ่นสบู่จางๆ  เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้นเสียก่อน  เต๋าผละออกแล้วหันไปดู

    และจึงได้รู้... มันไม่ใช่ทั้งโทรศัพท์ของคชาและของเขา

    ร่างสูงก้าวลงจากเตียงตรงไปที่โทรศัพท์เครื่องนั้นอย่างหัวเสีย แต่อย่าคิดเลยว่ามันจะขัดจังหวะได้แบบในละคร!

    มือหนาจัดการกดปิดเสียง แล้วกลับไปหาคนของเขาบนเตียงอีกครั้ง

                “คนป่วยต้องออกกำลังกายนะ เหงื่อออกจะได้หายไข้”  เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น  ตรรกะอะไรแบบนี้เหมือนคชาจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ออกกำลังกายบนเตียงมันมีที่ไหนกันเล่า

                “เต๋า...”  เอ่ยชื่ออีกคนเมื่อนึกคำเถียงไม่ออก  “โอ๊ย มันจั๊กจี้”  พยายามห้ามมือหนาที่กำลังเลื้อยมาแถวช่วงเอว  หากแต่ริมฝีปากที่ประกบกันอีกครั้งก็ทำให้อารมณ์ของคนป่วยเริ่มเคลิบเคลิ้ม จูบครั้งนี้ไม่ได้หวานละมุนแบบคราวแรกหากแต่รุ่มร้อนด้วยแรงอารมณ์ เนิ่นนานจนพอใจเต๋าจึงถอนจูบออกมา แล้วส่งตาคู่คมมอง

                และสายตานั้น... ทำให้คชารู้สึกเหมือนจะถูกกินไปทั้งตัว

                มันทำให้คชานึกถึงคำพูดคนเมาในโทรศัพท์เมื่อวันก่อน แน่นอนว่าเขายังจำได้ดี หากแต่วินาทีนี้ไม่มีใครเมา... ท่าทีของเต๋าแน่วแน่เสียจนเขาสั่นคลอนไปหมด

                “เต๋า...เคยทำกับใครแบบนี้มาก่อนรึเปล่า?”  เสียงใสนั้นเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ  สมองยังนึกไปถึงคืนนั้น ยังคิดไม่ตกว่าเต๋าจะไปทำอะไรใครเข้ารึเปล่า

                “อยากรู้หรอ?”  อีกฝ่ายถามกลับ เห็นคชาทำหน้าติดจะอายก็แอบอมยิ้ม  “ไม่เคยหรอก”  กระซิบข้างหูให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น  “คชาจะเอาครั้งแรกของเต๋าไปเลยนะ”  ทำเสียงน่าสงสารแต่ยิ้มหน้าบานเสียยิ่งกว่าอะไร

                ทว่าคนที่อยู่ข้างใต้กลับทำหน้าเหรอหรา ด้วยเข้าใจไปแล้วว่า...

                “ไม่กลัวเจ็บหรอเต๋า...”  เสียงนั้นไม่มีความมั่นใจใดๆ เลย  “ให้เรา...ใส่...”  ไม่กล้าพูดต่อไปมากกว่านั้น เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งอาย  “เราก็..ไม่เคย”  ทั้งกับผู้หญิงแล้วก็ผู้ชาย  “เรา...ทำ..ไม่เป็น”

                เต๋าแทบจะหัวเราะออกมาดังๆ เมื่อได้ยิน... มาถึงขั้นนี้ คชายังคิดได้หรอว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายกระทำ!

                “ไม่เป็นไรนะ... น้องชาค่ะทำไม่เป็น แต่เต๋าทำเป็น”  มือข้างหนึ่งประคองดวงหน้าหวาน อีกข้างเริ่มเลื้อยไปแถวสะดือจนชายเสื้อยืดสีขาวเริ่มร่นขึ้นมา  “นอนเฉยๆ ก็พอนะคะชา”

                ในขณะที่เต๋ากำลังทาบทับบนร่างของอีกคน  โทรศัพท์เครื่องสีดำยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างต่อเนื่อง  ทว่าเพราะไม่มีเสียงจึงกลายเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบฉากชิ้นนึงที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย

                แต่เสียงเคาะที่ประตูน่ะสิ ของจริง!

                ประตูบานเดิมถูกเคาะรัวๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทุบปึงปังเสียงดังจนเต๋าต้องลุกออกไปเปิดดูด้วยความรำคาญ 

    “มีอะไร?”  เต๋าถามคนเคาะ... ไอ้หมอหน้าช้ำห้องข้างๆ มันยังไม่เข็ดหรือไง?

                “มาเอาโทรศัพท์”  ปอพูดเท่านั้นเต๋าก็รีบคว้ามันมาส่งคืนเจ้าของ

    หากแต่รับโทรศัพท์คืนเสร็จแล้ว คนมาใหม่ยังไม่จากไปง่ายๆ  “นี่นาย... เราไม่ได้คิดอะไรกับคชานะ”

    “เออ”  เต๋าขานรับส่งๆ หากแต่ไม่ทันจะพูดต่อ

                - - พลั่ก!!! - -

    แก้มขาวซีดของร่างสูงถูกชกเข้าเสียเต็มแรง เต๋าไม่ร้องโอดโอยแต่ทำหน้าเหยเกพลางเอามือลูบมันเบาๆ

    “ถือว่าหายกัน”  คนชกพูดพลางสะบัดมือเล็กน้อย ส่งยิ้มสวยเห็นฟันให้ตามแบบฉบับ  “อ้ะ ยาแก้อักเสบ”  ยื่นให้อีกคนแล้วก็เดินออกไป โดยไม่ลืมจะกล่าวทิ้งท้ายกับอีกคนที่กำลังลุกขึ้นจากเตียง

    “พักผ่อนเยอะๆ นะคชา... อย่ายอมให้ใครรังแก”

                เห็นสายตาเชิงล้อเลียนที่มองมา คนตัวเล็กก็ค่อยๆ ยกมือจัดผมยุ่งเหยิงแก้เก้อ ก่อนจะโบกมือลาเพื่อนข้างห้องคนดีที่เพิ่งกลับไป

                บุคคลที่สามเดินออกไปแล้ว คชาก็รีบเดินมาหาอีกคน  “เจ็บมากไหม?”  มองสำรวจใบหน้าที่ขึ้นรอยช้ำๆ แล้วพาไปนั่งก่อน  เจ้าของห้องหาผ้าขนหนูกับน้ำอุ่นๆ มาเพื่อประคบให้  ตอนนั้นที่คชาเอ่ยขึ้นเบาๆ เหมือนเกรงใจ

                “ดีแล้วเนอะ อย่าเพิ่ง..เลย... เดี๋ยวเต๋ายิ่งเจ็บเข้าไปใหญ่”

                ห๊ะ! ว่าไงนะ!?
                          

                แม้จะขัดใจ แต่เต๋าก็ไม่ได้ท้วงติงคำพูดนั้น ตาคู่คมเอาแต่มองดวงหน้าหวานที่ยังคงเอียงอาย แล้วจึงไล่อีกคนไปนอนพักแต่โดยดี

                เรื่องแบบนี้ สักวันคชาจะรู้เอง

               

     

     


     



    TBC

    นี่มันตอนอะไรเนี่ย กรี๊ดดดดดด 55555 หลายอารมณ์จัง อ่านแล้วงงไหม
    เคลียร์แล้วว่าปอไม่ได้ชอบคชาแบบนั้น ดราม่าทั้งหมดจงพลันหายไป 
    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ คนแต่งสอบยังไม่เสร็จเลยล่ะ อีกสามวิชา จันทร์อังคารพุธ TT^TT
    เจอกันใหม่ตอนหน้า เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น (อ้าว)
    ป.ล. มีใครแอบคิดไหมว่า ฉากนี้มันต้อง nc แน่ๆ  ก๊ากกกกกก อย่าเลยน่า มันยังเร็วไป อิอิ คชายังเข้าใจผิดอยู่เลย ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก

    ติชมเสนอแนะกันได้น้าทุกๆ คนนนนนนนนนนนน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×