คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Like the Sunshine :: 01
Like the Sunshine
01
เรื่องมันเริ่มขึ้นในปิดเทอมหน้าร้อนวันหนึ่ง
ภายในบ้านหลังเล็ก ลูกชายคนโตของบ้านกำลังทำความสะอาดห้องนอนของตนอย่างเหนื่อยหน่าย เสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ดังแทรกเบาๆ ตลอดกิจกรรม รายการทีวีช่วงสายวันธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจ ตั้งแต่ปิดเทอมมาเขาก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากไปเที่ยวกับเพื่อน บ่อยซะจนผู้เป็นแม่ยื่นคำขาด วันนี้เขาต้องอยู่บ้านแล้วก็เก็บกวาดข้าวของให้เรียบร้อยให้แม่เห็นก่อนที่จะไปต่างประเทศสามสัปดาห์
ใช่แล้ว... มันคือการไปต่างประเทศที่ยาวนานที่สุดของหม่าม๊า ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็งที่เขาไม่ได้ไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเกรดเทอมนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไรนัก หรือบางทีมันอาจมาจากการเที่ยวหนักไปหน่อยในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาก็ได้ แม้จะไม่ได้เที่ยวกลางคืนเสเพลให้วุ่นวาย แต่ก็ออกจากบ้านไม่เว้นแต่ละวัน
จากความรู้เดิมแต่ประถม จำได้ลางๆ ว่าต้องทำจากบนลงล่าง คนตัวเล็กจึงเอื้อมเช็ดฝุ่นบนตู้ใบใหญ่ในห้องนอน แม้แต่จุดเล็กๆ ก็คงต้องทำให้เรียบร้อยเพราะรู้ดีว่าหม่าม๊าของตนละเอียดลออเพียงใด
มือถือผ้าขนหนูอันใหม่ที่ซับน้ำบิดหมาดๆ เช็ดมันลงไปแบบสะเปะสะปะ เขย่งเท้าอีกที เช็ดไปฝุ่นก็ตลบไป
‘ห้องฝุ่นจับยังกะหมอกลง’ คำพูดที่หม่าม๊าเปรยเอาไว้ แล้วเขาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริง
ฝุ่นที่นอนตัวอยู่บนตู้คลุ้งขึ้นมาทันทีเมื่อปัดไปโดนมัน... คชายิ่งรีบกวาดมือเช็ดมันไปมา ก่อนจะพบว่าวัตถุชิ้นใหญ่ตกลงมาเบื้องล่าง อัลบั้มภาพเล่มหนาเปื้อนฝุ่นเปิดกางออกที่หน้าหนึ่งตรงใจกลาง แรกเริ่มเดิมทีเขาตั้งใจจะปิดมันลง หากแต่ภาพเบื้องหน้าดึงดูดสายตาเขาไว้ไม่น้อย
ตัวเขาในวัยเด็ก... เด็กชายนนทนันท์คนนั้นกำลังอุ้มลูกสุนัขสีขาวขนฟูในอ้อมแขน จำได้ลางๆ ว่าวันนั้นเขาเพิ่งได้มันมาเลี้ยงเป็นวันแรกจากคนรู้จักของคุณแม่ที่ทำฟาร์มสุนัข รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าทำให้คชาหวนนึกว่าวันนั้นเขามีความสุขมากเพียงไร
‘ติ๊ดชึ่ง!...ให้มันชื่อติ๊ดชึ่งนะม๊า ดูสิมันส่ายหางดิ๊กๆ ใหญ่เลย’ เขาในวันนั้นเอ่ยขึ้นทันทีที่เพลงติ๊ดชึ่งของเกิร์ลกรุ๊ปค่ายอาร์เอสถูกเปิดขึ้นในทีวีพอดิบพอดี
‘ต๊องน่ะเฮียคชา’ เจ้าน้องชายเสียงยังไม่แตกหนุ่มเอ่ยขึ้นขัด อ้างเหตุผลว่ามันตลกเกินไปแล้วเจ้าติ๊ดชึ่งก็เป็นสุนัขเพศผู้
‘ชื่อน่ารักจะตาย... ติ๊ดชึ่ง ติ๊ดๆ ตะลิดติ๊ดชึ่ง…ดึงดึ๊งดึ๊งจ๊ะดึ๊งดึ่ง...’ ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ร้องเพลงตามโทรทัศน์ที่เปิดมิวสิควิดีโออยู่
‘ม๊า...เฮียคชาบ้าไปแล้ว ไม่เอาชื่อนี้นะ ชื่อเจ้าขาวเหมือนหมาของชินจังดีกว่า’
‘เจ้าขาว...เชยชะมัด’
‘ติ๊ดชึ่งก็ติงต๊องเหอะเฮีย’
สุดท้ายแล้ววันนั้น...สองพี่น้องวัยสิบสามและสิบเอ็ดขวบเถียงกันไม่มีใครยอม จนกระทั่งผู้เป็นแม่ต้องทำการตัดสินด้วยวิธีสุดยุติธรรม
‘เป่ายิ้งงงงงงงงงงงง...ฉุบ!!!!!’
คชาในวันยี่สิบเอ็ดยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น เด็กสองคนทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กนิดเดียว ลูกสุนัขสีขาวขนฟูน่ารักเสียจนคชาหอมมันไปหลายต่อหลายครั้ง วันนั้นเขาเห่อมันซะจนขอแม่ปูที่นอนของมันไว้บนพื้นในห้องนอนตัวเอง
เขาปรายตามองไปที่เดิมของที่นอนเจ้าติ๊ดชึ่งในวันนั้น บัดนี้ถูกแทนด้วยวีดีโอเกมเครื่องเก่าที่แม่ซื้อให้ทดแทนหลังจากมันถูกคนอื่นรับไปเลี้ยงแทน
เพราะมันตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถอยู่ในบ้านหลังเล็กได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อนของแม่อีกคนจึงรับมันมาเลี้ยงไป... เด็กชายนนทนันท์ร้องไห้งอแง ตาปูดบวมเมื่อกลับบ้านมาไม่เห็นมัน ลูกสุนัขสายพันธุ์ฝรั่งหน้าตาน่ารักน่าชังเหมือนชื่อถูกคนอื่นพรากไปเสียแล้ว
วีดิโอเกมเครื่องใหม่ที่เขาเคยร้องอยากได้ถูกมาแทนที่หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น และถ้าคุณคิดว่ามันมาแทนที่เจ้าติ๊ดชึ่งได้ล่ะก็...
คุณคิดถูกแล้วล่ะ!!!
เด็กอายุสิบสามขวบธรรมดาคนนึงจะต้องการอะไรไปมากกว่าของเล่น ยิ่งเป็นวิดีโอเกมรุ่นใหม่ยิ่งนำไปพูดอวดเพื่อนที่โรงเรียนได้อย่างไม่อายใคร
แล้วเขาก็ลืมมันไป...อย่างง่ายดาย
ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าติ๊ดชึ่งจบลงไปตั้งแต่วันนั้น... แม้เขาจะไม่ได้คิดถึงมันแทบตาย แต่ลึกๆ ก็ยังอยากรู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าวันนั้น เพื่อนแม่คนนั้นไม่ได้มาเอามันไป...ป่านนี้ชีวิตของเขาจะเป็นยังไงกัน???
เย็นวันนั้น คชาหยิบอัลบั้มรูปปกแข็งไปถามเอากับแม่ว่าตอนนี้มันอยู่ไหน... คำตอบของแม่คือรูปในแผ่นก่อนหน้า ภาพเด็กชายคชาตัวจ้อยยืนยิ้มแฉ่งโดยเบื้องสู้แสงอาทิตย์กับไร่ทานตะวัน
‘ไร่เพียงตะวัน’ ป้ายบอกชื่อเอาไว้อย่างนั้น...หากแต่เอาตามตรง ความทรงจำเกี่ยวกับที่นั่นแทบจะเป็นศูนย์ ตอนนั้นเขาคงเด็กซะจนลืมเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว
สมองนึกทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่เขานึกออกเพียงอย่างเดียว ...แสงแดดอุ่นๆ ที่ทอประกาย...
ความทรงจำที่ตกหล่นไปถูกรื้อฟื้นเก็บเกี่ยวขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนพยายามดีกวนตะกอนในน้ำ
ความสงสัยทั้งหมด...กำลังจะถูกคลี่คลายในการตัดสินใจครั้งต่อมา
ลองคิดดูสิ น่าสนุกจะตาย... ไปผจญภัยในไร่ทานตะวัน!
- - -
แสงแดดร้อนระอุที่ส่องแยงตา แม้เพียงไม่นานเหงื่อก็ไหลย้อย ร่างเล็กยังคงแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่เอาไว้กลางแผ่นหลัง นึกถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปวนลูปเรื่อยๆ ราวกับฟังเสียงที่อัดซ้ำไปซ้ำมา
ทางข้างหน้าเป็นดินแห้งๆ คลุ้งฝุ่น ปากทางเข้าไร่เพียงตะวันดูจะเป็นระยะทางยาวไกลกว่าที่คิด หากแต่สมองที่กำลังตระเตรียมแผนการในใจจึงทำให้สิ่งอื่นหมดความสำคัญ
- - กึก - -
จนกระทั่งเท้าสะดุดเข้ากับหินก้อนใหญ่ ร่างเล็กไปนอนบนพื้นร้องโอดโอย มือจับข้อเท้าก็พบว่ามีเลือดไหลออกมาซิบๆ เนื้อตัวคลุกฝุ่นคลุกดินเสียจนมอมแมน แล้วยังแขนที่ถูกกิ่งไม้ข้างทางบาดอีก
ไม่เจ็บสาหัสแต่รอยฟกช้ำเล็กน้อยตามร่างกายก็ทำเอาคนตัวเล็กเกิดอาการเซ็ง นี่มันจะเป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่า?
ไร้สาระ... เขาทำลายความคิดนั้นลงในเวลาชั่วอึดใจ ตัวยังนั่งกับพื้น ปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออกไปจากกระเป๋าเป้สีเข้ม
“ฮัลโหล...เรียบร้อยแล้ว”
เสียงทุ้มต่ำที่ได้ยินทำเอาร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมอง แผ่นหลังชายคนนึงที่แต่งตัวปอนสุดๆ กำลังคุยโทรศัพท์...ไอโฟน
ไม่เข้ากันสุดๆ... เขานึกในใจอย่างนั้น
“ครับ..ห้าแสน” ได้ยินเท่านั้นคนตัวเล็กยิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ชายร่างสูงเสื้อแขนยาวลายสก๊อตสีน้ำเงินกับรองเท้าโทรมๆ มองดูยังไงก็ไม่ได้เป็นมากกว่าคนงาน ใบหน้าที่ถูกปิดเกินกว่าครึ่งด้วยผ้าขาวม้ามีไรหนวดโผล่ออกมายิ่งให้ความรู้สึกน่ากลัว
อายุเท่าลุงและคงเป็นโจรในคราบคนงานอย่างไม่ต้องสงสัย ห้าแสนอาจจะเป็นจำนวนเงินที่ลุงคนนั้นยักยอกมาให้นายใหญ่ของมันอีกทีนึง ส่วนโทรศัพท์ราคาแพงนั่น บางทีอาจจะขโมยมาด้วยก็ได้
ยิ่งคิดชีพจรยิ่งเต้นแรง สมองรีบประมวลผลการตัดสินใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆ ก้าวไปด้านหลังไม่ให้ชายคนนั้นรู้ตัว...
ยังไงลุงก็คือลุงวันยังค่ำ ถึงจะตัวสูงกว่าเขานิดหน่อยแต่พละกำลังน่ะสู้คนหนุ่มไม่ได้หรอก
“โอเค...หน้าไร่ ผมจะรออยู่หน้าปากทาง”
สิ้นคำพูดนั้น คชาโถมก็ใส่มันทั้งตัว หวังให้ล้มหน้าคะมำ หากแต่ไม่เป็นไปตามฝัน เมื่อลุงนั่นดันหันหลังกลับมา
เลยกลายเป็นว่า... เขาผลักอีกคนลงไปพร้อมกับนอนทับไว้ทั้งตัวพอดิบพอดี ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เกิดขึ้นฉับพลัน คชาไม่ได้รู้สึกอะไรนอกเสียจากกลิ่นเหงื่อของคนแปลกหน้ากับหนวดแข็งๆ นั่น
ตาลุงคนนั้นไม่ได้ร้องโอดโอยเมื่อล้มลงไปนอนกับพื้นและมีใครที่ไม่รู้จักทับเอาไว้ ศีรษะที่กระแทกเข้ากับพื้นเข้าอย่างจังดูจะทำให้เกิดอาการมึนไปเล็กน้อย ทว่าตาคู่นั้นก็เบิกกว้างทันทีที่ระลึกถึงเหตุการณ์
“แก...เสร็จแน่ ฉันรู้หมดแล้วว่าแกเป็นโจร” คชาพูดขู่ พยายามจับข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น แม้จะรู้สึกถึงความแข็งแรงได้ก็ตาม
“นายเป็นใคร?” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยออกมาเย็นยะเยียบ ทรงพลังขัดกับภาพลุงหนวดเคริ้มเบื้องหน้า
“ฉันเป็น...” คนตัวเล็กมีท่าทีอึกอัก “อย่าหลอกถามให้ยากเลย จะมาคิดบัญชีคืนรึไง ผมไม่โง่นะ” คชาร่ายยาว หากแต่ไม่เห็นท่าทีใดๆ ผ่านแววตาคู่นั้นที่ลอดออกจากผ้าขาวม้า
“สารภาพผิดมาตรงๆ เลยดีกว่า” เสียงเดิมพูดอย่างเป็นต่อ
“กับนาย?”
“ใช่”
“นายเป็นใคร แล้วฉันทำอะไร?”
“กวนตีนนะลุง เห็นชัดๆ ว่าขี้ขโมย”
“ใครลุง?” เสียงทุ้มถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาคู่นั้นเรียบนิ่งจนมองไม่ออก
“เออ...ผมก็ไม่อยากนับญาติกับขโมยหรอก” คชาเอ่ย ก่อนจะลุกตัวจากลุงตรงหน้าทั้งๆ ที่ยังจับข้อมือเขาไว้แน่น “ลุกเลย เดี๋ยวผมจะพาไปสารภาพผิดกับเจ้าของไร่เอง”
คชาลากตัวคนแปลกหน้าเข้าไปในไร่ มือยังกำข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่นจนเริ่มชื้นเหงื่อ ลมแรงปะทะเข้ามา ลุงคนนั้นเดินตามไปอย่างสบายๆ พลางพ่นเสียงเบาๆ ในลำคอ
“หึ...”
เพียงไม่กี่นาทีที่เดินตรงเข้ามา ไร่ทานตะวันกว้างสุดลูกหูลูกตาก็พาเอาคนตัวเล็กเบิกตากว้างมองมัน... ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่มาที่นี่ มือที่กำรอบข้อมืออีกคนบีบกระตุกอย่างตื่นเต้น
รูปถ่ายสีซีเปียใบนั้น...ยังไงก็ไม่สู้ของจริง
คชาพยายามเก็บอารมณ์ตื่นเต้นในใจเอาไว้ แล้วกวาดตามองหาบ้านพักของเจ้าของไร่แทน...
อา..ทางนั้น...
เขายกยิ้มดีใจ... จับโจรยักยอกเงินครึ่งล้านมาให้แบบนี้ เขาต้องรับเรามาเป็นลูกจ้างทำงานในไร่แน่ๆ
คชาดึงตัวพาลุงโจรเดินเข้ามาในบ้านหลังนั้น บ้านสองชั้นสีขาวดูอบอุ่นน่าอยู่ดี และทันทีที่เดินเข้าไป ก็พบหญิงชราคนนึงภายในนั้น
“นั่นใครคะเนี่ย?” หญิงชราในชุดเสื้อคอกระเช้าเอ่ยถาม
“โจรครับป้า // เด็กที่ไหนก็ไม่รู้” สองเสียงที่เอ่ยพร้อมกัน แต่เหมือนว่าเสียงทุ้มต่ำจะกลบอีกเสียงนึงไปเสียสนิท
“ทำไมเนื้อตัวเลอะเทอะอย่างนี้คะ?” คชาปล่อยมืออีกคนออกในตอนนั้น ป้าคนเดิม(ที่คงเป็นยายได้แล้ว)เดินมาปัดฝุ่นที่เนื้อตัวลุงโจรที่ว่าออก ผ้าขาวม้าที่คาดหน้าถูกดึงออกไป
“ไปทำอะไรมาคะเนี่ยคุณเต๋า?”
...คุณเต๋า...
คนตัวเล็กหันไปมองอีกหน ก็พบว่าลุงโจรคนนั้นอันตรธานหายไป เหลือเพียงชายผิวขาวจัดหนวดครื้มอายุประมาณเลขสามกำลังส่งสายตาเย็นชามองมา
“แล้ววันนี้รถไถคันใหม่มาส่งรึยังคะ? หลายแสนเชียว”
“คงใกล้แล้วครับป้านุ่ม...ยืนรออยู่ดีๆ ดันมีเด็กเวรที่ไหนไม่รู้เข้ามา”
เด็กเวรที่ว่า...เริ่มหน้าชา ฟังๆ ดูแล้ว...ยิ่งแสดงว่า ไอ้ลุงที่ใส่เสื้อเหมือนจะไปตัดอ้อยซ้ำยังพันหน้าด้วยผ้าขาวม้า...
เป็นเจ้าของไร่???
บ้าเอ๊ย!!! ซวยฉิบ!!!
เห็นสถานการณ์ดังนั้น รอยยิ้มเจื่อนๆ จึงส่งไปให้คนทั้งคู่ โดยเฉพาะหญิงชราที่มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้เพราะไม่อยากได้ศัตรูเพิ่มขึ้นอีกคน
“นาย เป็น ใคร?” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบนิ่งทว่าชนให้ขนลุกพิกล คชาอ้าปากจะพูดทว่าเสียงดันหาย “หวังว่าคงฉลาดพอ”
ได้ยินอย่างนั้น คนตัวเล็กก็แทบจะยกมือขึ้นมาทึ้งศีรษะแรงๆ อย่างชอบทำ หากแต่มือดันเกร็งทำอะไรไม่ออกแล้ว
นอกจากประนมมันขึ้นมา ก่อนจะไหว้บุคคลทั้งสอง...
“สวัสดีครับ ผม...ชื่อเป็ด” ประวัติลวงโลกที่ถูกท่องทบทวนไปมาถูกเอ่ยขึ้นจนได้ “อายุสิบแปด ชีวิตสิ้นไร้ไม้ตอก อับจนหนทางแล้ว มาขอ...ทำงานที่นี่..ครับ”
คนตรงหน้ายืนนิ่ง ตาคู่คมที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ยิ่งทำให้อีกคนเกร็งยิ่งขึ้นไปใหญ่
“ทำอะไรได้บ้าง?”
“ทุกอย่างครับ..แล้วแต่จะสั่งเลย” ตั้งแต่เกิดมา...คชาเชื่อเลยว่าไม่เคยอยู่ในสภาพหงอขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ยอมก้มหัวให้คนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่นาที หรือการพูดอะไรแบบนี้ “เห็นใจผมเถอะครับ ผมไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ นะ...คุณ..เต๋า”
แต่เอาน่า...เพราะมันก็แค่ละคร
“บ้านอยู่ไหน? แล้วพ่อแม่ล่ะ?”
“บ้าน...อยู่บ้านเด็กกำพร้า” เขาเอ่ยเสียงเศร้า ทักษะการเล่นละครตบตาครั้งสมัยเล่นละครที่คณะถูกดึงมาใช้เมื่ออีกคนทอดเสียงที่ลดความคุกรุ่นลง
“พ่อแม่...ไม่อยู่แล้ว” ไม่อยู่เมืองไทยนะ...
“หรอ” แววตาของคุณเต๋าคนนั้นดูจะสนอกสนใจเรื่องแต่งมิใช่น้อย
“ครับ...ให้ผมทำงานที่นี่เถอะ ผมเพิ่งจบม.6 มาอยากจะหางานทำเรียนต่อมหาลัยกับเขาบ้าง” เนื้อเรื่องที่ท่องมาเป็นวรรคเป็นเวรยังไงก็ต้องพูดให้หมด “ทำงานที่ร้านอาหารก็ถูกเบี้ยวเงินกดขี่สารพัด จะหางานที่อื่นเขาก็ไม่รับ ผมมันจบแค่ม.6 เอง”
“งานที่ร้านอาหาร? งานอะไร?”
“ล้างจานครับ”
“งั้นหรอ” ใบหน้าขาวคมขมวดคิ้ว เหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่าง
“ดีเลยค่ะคุณเต๋า พอดีเลย ป้าจะได้กลับไปเลี้ยงหลานได้สบายใจเสียที คุณเต๋ารับเด็กนี่เข้ามาทำงานเถอะค่ะ” หญิงชราที่ได้ฟังเรื่องราวของเป็ดผู้น่าสงสารยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “ดูสิคะคุณเต๋า เจ้าเป็ดน้อยดูท่าทางไม่มีที่ไปแล้ว”
เจ้าเป็ดน้อยที่ว่าหันไปมองควับ... ถึง ‘เป็ด’ จะเป็นฉายาสมัยมัธยมแต่มาถูกเรียกเอาซะน่ารักขนาดนี้ยังไงก็ไม่ชิน ทว่าเจ้าเป็ดน้อยคนนี้ก็ส่งรอยยิ้มบางๆ ให้แก่คุณป้าไป… ท่าทางจะได้พรรคพวกมาคนนึงแล้ว
“ก็ได้...ฉันจะให้นายมาทำงาน” เสียงทุ้มเอ่ยดังกังวาน เรียกเสียงหัวใจในอกเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
“แต่ไม่ใช่ที่นี่ นายต้องไปทำงานที่ไร่”
“ได้ครับคุณเต๋า” คำตอบตกลงออกมาจากปากทันทีทันใด
“หึ... งั้นงานแรก...ถอนวัชพืช”
“ครับ” คชายิ้มกว้าง ง่ายกว่าที่คิด...แค่ถอนวัชพืชเรื่องกล้วยๆ แค่นี้ใครก็ทำได้ เรียนมาตั้งแต่ป.2 ในวิชาก.พ.อ.
“วันนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก ถอนแค่แปลงข้างหน้าแปลงเดียวก็พอ”
“ได้ครั...” ปลายเสียงหายไปเสียดื้อๆ เมื่อสมองประมวลผลคำพูดนั้นเสร็จ รอยยิ้มมุมปากที่ส่งมาอย่างท้าทายทำเอาเขาต้องกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ
แปลง เดียว ก็พอ...
บ้านพ่องเส่ะ!!!! แปลงเดียวของมึงถอนทั้งชาติก็ไม่หมดว้อยยยยยยย
TBC
คนแต่งขี้จุ๊อะ บอกจะมาต่อหลังทอมจบ แล้วนี่อาร๊ายยย 55 (พอดีคิดพลอตได้อะเลยมาก่อน)
พอเข้าใจเนื้อเรื่องกันแล้วใช่ไหมว่าจะมาแนวไหน
ยังไงฝากคอมเม้นท์กันหน่อยนะจ๊ะ เพิ่งลงเรื่องใหม่ อยากรู้ฟีดแบคอะ ชอบไม่ชอบยังไงปรับปรุงตรงไหน ไรแบบนี้
ว่าแต่รู้จักเพลงนี้กันม้าย ติ๊ดชึ่ง - Zigzag (ตั้งแต่สมัยสิบปีก่อนแน่ะ)
และภาพประกอบ...น้องหมาติ๊ดชึ่ง (กำลังเหนื่อยเพราะโดนเด็กชายคชาฟัดตั้งแต่วันแรก)
ความคิดเห็น