ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha AF8] ♀ TOM (or) BOY ♂

    ลำดับตอนที่ #17 : ♀ TOM (or) BOY ♂ - 15

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 55


     TOM (or) BOY 

    15

     


     

     

    ราวกับทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

    แก... อย่าทำอะไรฉันนะ ฉันไม่มีอะไรให้ขโมยด้วย
    นาย.. คือที่เมื่อกี๊เราบอกว่าเป็นผู้ชาย เราแค่...พูดเล่น...นะ

    วันนี้เมนส์มา
    แม่สอนตั้งแต่เด็กว่า อย่ายุ่งกับผู้ชายแปลกหน้าอะ

    เหมือนเราเพิ่งรู้จักกัน

    มันต้องอย่างนี้สิเชลซี!!!! บอกแล้ว... กลับบ้านไปนอนร้องไห้เหอะเต๋า 
    โอ๊ย! ไอ้กรรมการบ้าเอ๊ย สองลูกเลยหรอวะ? ฟาล์วตรงไหนเนี่ย แมนยูสำออยว่ะ
    ออกประตูไม่ได้ก็โดดลงไป
    นายมันไอ้ตัวซวยชัดๆ

    เหมือนเราเพิ่งสนิทสนมกัน

    ยกหมอนข้างให้ก็ได้
    ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกหรอกเต๋า

    เหมือนเราเพิ่งรู้สึกดีต่อกัน

    ถ้าเรา... เป็นผู้ชายล่ะ?’
    เต๋า... คือเรื่องมัน...’  

     

    เรื่องมันเหมือนว่า.. ผมเป็นแค่คนโง่คนนึง...

     

    ดอกไม้ที่เคยเป็นสีขาวสะอาดบบัดนี้แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลอ่อนตามกาลเวลา  มือหนาวางดอกไม้ดอกนั้นลงที่เดิม บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวเดียวในห้องเบอร์ 23 แห่งนี้ ใกล้ๆ กันมีพัดลม กาต้มน้ำ กับขนมสองสามห่อที่วางอยู่

    ทุกอย่างล้วนมีความหมายและความทรงจำ หากแต่มันกลับถูกทิ้งไว้อย่างเดียวดาย

    ไม่รู้ว่าคนที่รับ...เขาไม่ใยดี หรือไม่ต้องการ

    เต๋ายกยิ้มที่มุมปากมองมัน ก่อนจะกลับหลังหันออกมา สวิตช์ไฟดวงเดิมถูกกดปิดให้มืดสนิทอีกครั้ง  มือหนากดล็อคมันก่อนจะค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ

    ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเก็บไว้ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องนี้

    สำหรับคนให้น่ะ... ไม่อยากได้อะไรคืนหรอก

     

    - - -

     

    ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มทองเป็นประกายในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะลาลับขอบฟ้า  ในหมู่บ้านอันเงียบสงบในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน  รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าบ้านหลังสีขาวขนาดไม่ใหญ่หลังหนึ่ง หนุ่มร่างเล็กจ่ายเงินให้คนขับเป็นที่เรียบร้อยก็ลงจากรถ ยืนรอเพียงไม่นานหนุ่มตี๋ใส่แว่นลูกชายเจ้าของบ้านก็ออกมาเปิดประตูให้

    “เหมือนกูพามึงหนีตามกันมายังไงก็ไม่รู้ว่ะ”  โปเต้พูดติดตลกพลางช่วยถือกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบเดินนำเข้าไป

    นอกจากกระเป๋าใบนั้นแล้ว มีเพียงเป้ที่ใช้สะพายไปเรียนกับโน้ตบุ๊คอีกหนึ่งเครื่อง แม้ความจริงจะยังเหลือข้าวของอยู่อีกหลายอย่าง แต่คชาก็นำไปฝากไว้ที่ห้องข้างๆ ของแพรวาจนเกือบหมดแล้ว

    เหลือก็แต่ของ...ที่ไม่ใช่ของเขา

    ฝันดีที่เป็นไปไม่ได้... ตอนนี้คชาตื่นเต็มตาแล้วล่ะ

     

    “กินอะไรมารึยังจ๊ะคชา?”  เพียงแค่ก้าวเข้ามาภายในบ้านหลังเล็กหลังนี้ ผู้เป็นแม่ของโปเต้ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่น  คชายกมือขึ้นสวัสดีหม่าม๊าที่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของตนพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดคุยกับหม่าม๊าของโปเต้เหมือนกับทุกครั้งที่เขามาที่บ้านหลังนี้

    “เต้... ไปจัดห้องใหม่ให้เพื่อนไป”  ส่วนป่าป๊าที่เพิ่งกลับบ้านมาไม่นานหลังจากนั้นก็พูดสั่งลูกชายของตนอย่างเต็มที่จนคชาต้องรีบบอกปัด  “ผมนอนห้องเต้ดีกว่าครับ อยู่แค่อาทิตย์เดียวเอง”

    ห้องนอนของโปเต้เป็นที่อาศัยของคชาอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้  ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่าห้องเช่าเบอร์ 23 นัก  หลังจากที่เดินตามเจ้าของห้องเข้ามา คชาก็นั่งลงอย่างคุ้นเคยพลางเริ่มหยิบข้างของเครื่องใช้จำเป็นออกมาจัดวาง 

    “กูอยู่ไม่เกินอาทิตย์หรอก... สิ้นเดือนนี้หอเฟรมก็ว่างแล้ว”  เขาเอ่ยเรียบๆ

    “โห... มาอยู่กะกูแค่ไม่กี่วันก็จะไปหาไอ้เฟรมต่อละ ใจง่ายนะมึงอะ”

    “เออ... จะให้กูอยู่บ้านมึงไปตลอดรึไงล่ะไอ้นี่”  คนพูดหันไปทำปากเป็ดใส่เพื่อนซี้ที่กำลังจัดที่นอนให้อยู่ ฟูกนิ่มถูกลากมาไว้ข้างๆ เตียงนอนของเจ้าของห้อง

    “มึงนอนกะไอ้เฟรมสองคนพอไหมวะ?”  โปเต้พยักเพยิดหน้าไปทางฟูกขนาดไม่ใหญ่นักที่เพิ่งเอามาปู  ที่จริงมันเหลือเฟือสำหรับคนคนเดียว แต่เพราะวันนี้เฟรมนึกอยากมานอนค้างด้วยเขาเลยถาม  คชาทำท่าคิดอย่างชั่งใจ กำลังจะบอกอีกคนว่าไม่เป็นไร หากแต่ก็ถูกชิงพูดเสียก่อน  “กูไปเอามาอีกอันละกัน เดี๋ยวพวกมึงได้เสียกันในห้องกู”

                “ทะลึ่งละไอ้เต้”

    “ทะลึ่งอะไร กูหมายถึงได้เสียใจเพราะนอนเบียดกัน”

    โปเต้ใช้นิ้วชี้ดันแว่นตาพลางยิ้มกริ่ม คชาไม่ตอบทว่าขมวดคิ้วทำหน้าย่นใส่ หากแต่พออีกคนเดินจากไป ใบหน้านั้นก็เผยรอยยิ้มบางเบาออกมา หากแต่ดวงตากลับดูไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น

     

                เฟรมมาถึงในเวลาไม่นานหลังจากนั้น เกมเพลย์สเตชั่นถูกหยิบขึ้นมาวางเตรียมพร้อมเล่น  ถึงแม้จะมีจอยสติ๊กเพียงแค่สองอัน ทว่าทั้งสามก็สนุกไปกับมันแม้จะต้องสลับกันเล่น

                “เล่นท่าอะไรวะไอ้เต้”

                “ท่าน้ำนนท์มั้ง”

                “หรอ.. คิดว่าท่าพระจันทร์ซะอีก”

                “แต่กูว่าพวกมึงท่าจะบ้าแล้วว่ะ”

                เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะแม้เกมที่เล่นจะเป็นเกมต่อสู้... กว่าทั้งสามคนจะได้เข้านอนก็เป็นเวลาย่างเข้าวันใหม่เสียแล้ว  เครื่องเกมถูกเก็บเข้าแบบลวกๆ  โปเต้หันไปจัดที่ผ้าห่มของตนเองให้เรียบร้อย คชาลุกไปเข้าห้องน้ำ ส่วนเฟรมกำลังสวดมนต์

    “ชา... มึงย้ายมากะทันหันแบบนี้ มีเรื่องอะไรรึเปล่าวะ?”  เสียงทุ้มของโปเต้ตะโกนถามเพื่อนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล  คชาที่ล้างมืออยู่ยืนนิ่งทบทวนคำถามนั้น

    “ไม่มีอะไร”  คำตอบสั้นๆ ถูกกล่าวออกไป

    “มันต้องมีดิ... เกี่ยวกับไอ้เด็กบัญชีคนนั้นใช่ไหมวะ?”  คนในห้องน้ำค่อยๆ เงยหน้ามองตัวเองในกระจก แม้เขาจะล้างมือเสร็จแล้วแต่ยังกลับปล่อยให้น้ำไหลผ่านมือต่อไป  เขาไม่อยากเดินออกไปตอบคำถามนี้พลางมองหน้าคนถามไปด้วย

    “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”  คชาตอบด้วยคำพูดเดิมๆ อีกครั้ง

    “ปากแข็ง... แพรวาบอกว่ามันต้องเกี่ยวกับเด็กบัญชีคนนั้นแน่ ใช่ไหมไอ้เฟรม?”

    “เออ... วันนี้ตอนเย็นกูไปส่งแพรวาที่หอมา เจอไอ้นั่นเดินออกมาจากหอด้วย / ต้องไปหามึงแน่ๆ เลยว่ะไอ้ชา”

    ร่างเล็กที่เดินออกมาจากห้องน้ำพอดีถึงกับชะงักมองเพื่อนทั้งสองเมื่อได้ยินอย่างนั้น  “มึงมั่วแล้ว”  เขายังตอบปฏิเสธสั้นๆ อีกเช่นเคย

    “มั่วอะไร เห็นอยู่กับตา... แพรบอกด้วยว่าเคยเห็นแกอยู่กับไอ้หมอนั่นบ่อยๆ”

    “เดี๋ยวนี้สนิทกับแพรวาจังนะเฟรม...ไปส่งที่หอด้วย กุ๊กกิ๊กกันรึเปล่าวะ?”

    “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยไอ้ชา”  เฟรมพูดขึ้นอย่างคนรู้ทัน หากแต่ใบหน้ากลับขึ้นสีแดงจางๆ  “เป็นมึงมากกว่าที่กิ๊กกั๊กกะไอ้เต๋านั่น... วันนี้ในคาบมันเกิดอะไรขึ้นวะ?”

    ใบหน้าเพื่อนทั้งสองหันมามองเขาด้วยสายตาคาดคั้น... หากแต่นัยน์ตานั้นเจือปนด้วยความเป็นห่วงเอาไว้  คชารู้ดีว่าเพื่อนๆ ต่างพากันเป็นห่วงแค่ไหน  แต่เรื่องนี้...เขาจัดการเองได้

    “กูเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว พวกมึงไม่ต้องห่วงหรอก”

    คนตัวเล็กพูดพลางเดินไปปิดไฟในห้องนอนสีขาวลงจนมืดสนิท  ก่อนจะล้มตัวลงนอนพลางคลี่รอยยิ้มจางๆ ในความมืดนั้น เขาเอื้อมมือไปตบบ่าเจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะหันไปหาเพื่อนซี้อีกคนที่ล้มตัวลงนอนข้างๆ กัน

                “ขอบใจมากนะ... ไอ้เต้ไอ้เฟรม”

     

    - - -

     

                สนามกีฬาในร่มของมหาวิทยาลัยในยามเย็นเริ่มคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา คงเพราะผลพวงจากกีฬาเฟรชชี่ที่ต้องแข่งขันกันหลายรายการ ทั้งบาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล ว่ายน้ำ ยูโด หรือแม้แต่มวย ทุกสนามในเวลานี้จึงเต็มไปด้วยนักศึกษาที่ทั้งกำลังแข่งขันและกำลังซ้อมกันอยู่อย่างขะมักเขม้น

                “ไอ้เบน... ตั้งใจเล่นหน่อยสิวะ! เอะอะก็วิ่งไปหาบอสตลอด ไม่ตั้งใจซ้อมมันเสียเวลาคนอื่น อยากแพ้เหมือนบอลเมื่อวานหรือไง”

                “กูไปขอกำลังใจจากแฟนหน่อยไม่ได้รึไง เขาเพิ่งหายงอนกูเนี่ย  หงุดหงิดมาจากไหนวะไอ้เต๋า เป็นไรของมึงวะ!?”

                หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งปะทะคำพูดด้วยภาษาไทยคล่องปรื๋อกับเพื่อนร่างสูงที่ยืนทำหน้าเครียดใส่ตรงหน้า ...เขาก็แค่วิ่งช้านิดเดียว แวบไปหาบอสที่ข้างสนามเสียหน่อยแค่นี้ และที่สำคัญมันก็เป็นเพียงแค่การซ้อมกีฬาบาสเกตบอลสำหรับเตรียมแข่งขันในวันศุกร์ซึ่งก็อีกตั้งหลายวัน  ส่วนไอ้เรื่องการแข่งขันฟุตบอลเมื่อวานที่แพ้ ก็สมควรอยู่หรอกเพราะดันไปเจอกับทีมคณะวิทย์กีฬาที่มีตัวเก็งทีมชาติอยู่หลายคนน่ะสิ

                “ช่วงนี้มึงเป็นอะไรวะ?”  เบนถามต่อเมื่อเห็นอีกคนกำลังพยายามสกัดกลั้นอารมณ์พุ่งพล่านที่เขาไม่ทราบสาเหตุเอาไว้ ...ไอ้เต๋าคนนี้น่ะ เป็นเพื่อนกับเขามาก็ตั้งแต่มัธยม นับครั้งได้เลยที่มันจะอารมณ์เสียใส่คนอื่นอย่างไร้เหตุผลแบบนี้ ปกติมันใจเย็นจะตาย

                “เออ... กูอารมณ์ไม่ค่อยดี”  เสียงทุ้มเอ่ยออกมา หันไปมองหน้าแฟนเพื่อนที่เพิ่งเดินมาสมทบก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะปลีกตัวออกไป

                เหมือนเกินไป... ทรงผมใหม่ของบอส ทำให้เขานึกถึงใครอีกคน.... เพียงเท่านั้นอารมณ์ความหงุดหงิดบางอย่างมันก็ถูกระบายออกมาแบบนี้ ทั้งที่สะกดมันมาได้ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา

                สุดท้าย สองขาของเขาก็นำพาเข้ามาในห้องน้ำ เขาสบตาคู่คมของตนเองในกระจกบานใหญ่ น้ำเย็นๆ จากก๊อกน้ำถูกปล่อยให้ไหลผ่านมือหนาคู่นั้น ก่อนจะใช้มันวักน้ำใส่หน้าตัวเองแรงๆ ราวกับจะให้สายน้ำดับความรู้สึกของตัวเองลง

                ใจนึง... เขายังโกรธ ยังเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด หากแต่อีกใจมันกลับทั้งคิดถึง ทั้งเป็นห่วง

                สามวันแล้วที่คนคนนั้นจากไป... ย้ายจากห้องนั้นแล้วไปอยู่ที่ไหน? ป่านนี้จะทำอะไรอยู่?

                “เล่นไรวะไอ้เต้!

              “อ้าว มึงบอกร้อนนี่”

              “ไม่ได้บอกให้สาดน้ำใส่ซะหน่อย เปียกไปทั้งตัวหมดแล้ว”

                สองเสียงที่คุยกันดังก้องในห้องน้ำนั้นทำเอาคนที่ก้มลงล้างหน้าต้องนิ่งค้างเพื่อเงี่ยหูฟังให้แน่ใจ

    “ก็ไหนบอกอยากอาบน้ำไง”

              “เออ กูอยากอาบน้ำ แต่ไม่ได้อยากโดนสาดน้ำใส่ว้อย นี่ไม่ใช่สงกรานต์นะไอ้เต้”

    และเมื่อเสียงนั้นเริ่มดังเข้ามาใกล้... ก็ยิ่งชัดเจนว่าหนึ่งในเสียงนั้นเป็นของใครคนนึงที่เขาคิดถึงแทบตลอดเวลา  ใบหน้าขาวจัดเงยขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของใครคนนั้นผ่านกระจกสะท้อนตรงหน้า คนตัวเล็กสวมชุดกีฬาอย่างคนมาออกกำลังกาย เนื้อตัวเปียกชุ่มอย่างที่ว่าในบทสนทนาเมื่อครู่

    เพียงไม่กี่เมตรถัดมา ที่ชายืนอยู่จากตรงนี้

                เพียงไม่กี่วินาทีถัดมา ที่แววตาคู่นั้นประสานมองเขาผ่านกระจกเช่นเดียวกัน  และแววตาสดใสคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งเฉยได้ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ  ก่อนจะเสมองไปในทิศอื่นเหมือนไม่เคยมีเขาอยู่ในสายตา

                ราวกับว่าไม่มีตัวตน ราวกับไม่ใช่คนรู้จักกัน

                “กลับบ้านกันเหอะว่ะเต้”

                “เออๆ”

                สองคนเดินออกจากห้องน้ำนั้นไปแล้ว เขาทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังบางนั้นไป  เสื้อสีน้ำเงินหมายเลข 3 กับคำว่า ‘KACHA’ บนเสื้อ คงจะเป็นคำตอบได้

                ไม่มี ชาค่ะ อีกต่อไป... จะเหลือก็เพียง คชา

                และเสียงหัวเราะแว่วๆ ที่ได้ยินลอยมาก็ทำให้เขารู้ว่า คชาคนนั้นมีความสุขมากเพียงใด

                เขายืนมองใบหน้าอันเรียบเฉยของตนเองในกระจก.... หมดห่วงไปได้ คชาไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลยกับการไม่มีคนชื่อ เต๋า อยู่ในชีวิต

    ดีจังนะ ...สักวันเขาเองก็คงจะยิ้มออกมาแบบนี้ได้เหมือนกัน

                สักวัน...

     

                แต่เต๋ากลับลืมนึกไป... แม้แต่กระจกเงาที่สะท้อนภาพทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา ภาพของมันยังกลับด้านซ้าย-ขวาเสมอ

    นับประสาอะไรกับภาพตรงหน้านี้เล่า

     

    - - -

     

                เพราะการพบกันอย่างไม่คาดฝันมันทำเอาเขาไม่ทันได้ตั้งตัว  ใบหน้าเฉยชาและเจ็บปวดของอีกคนยังคงติดตรึงอยู่ในโสตประสาท  มันน่าเศร้าที่ภาพสุดท้ายในความคิดเราไม่ได้มีแม้แต่รอยยิ้มให้กัน  เต๋าคงยังโกรธเขามากเรื่องนั้น ซึ่งมันก็สมควรแล้ว

                แต่การที่เขาเลือกจะหลีกหนีและหมางเมิน มันก็สมควรแล้วเหมือนกัน... การรักเพศเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรอก และเขาก็คิดว่าอีกคนคงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี

                ก่อนที่มันจะลุกลามมากเกินไป เขาจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม

                ถ้ารู้ว่ายิ่งใกล้ยิ่งทำให้รัก... แล้วจะอยู่ใกล้กันไปทำไม

                “ชา... เป็นไรวะ?”

                “เปล่า”

                ตะเกียบในมือซ้ายยังคงทำหน้าที่คีบเส้นในจานได้เป็นอย่างดี  คนตัวเล็กสูดเส้นราเมนในชามเข้าปากพลางมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย

                วันนี้ เขากับเพื่อนๆ มาหาอะไรกินกันต่อเพราะโปเต้ทนหิวรอไปกินที่บ้านไม่ไหว คนอื่นๆ ก็หิวเพราะออกกำลังกายกันอย่างเต็มที่  และเขาที่ไม่ใช่คนมีปากมีเสียงอะไรก็เออออตามเพื่อนไปเหมือนทุกครั้ง มารู้ตัวอีกที... ก็มานั่งอยู่ในร้านอาหารร้านนี้แล้ว

                และมันเป็นร้านเดิม ร้านเดียวกับที่เคยมาด้วยกันวันนั้น...วันที่ฝนตกชุ่มฉ่ำในหัวใจ

                “ชา... เป็นไรวะ? มีความหลังกับร้านนี้รึไง?”  เฟรมเป็นฝ่ายถามขึ้นมา และมันก็เรียกสติจากคนที่ใจกำลังหลุดลอยได้เป็นอย่างดี  “เดี๋ยวนะไอ้เต้...ร้านที่มีคนเห็นไอ้ชามากินกับหนุ่มบัญชีมันร้านนี้รึเปล่าวะ?”

                “ไม่รู้ว่ะ แต่กูว่าชัวร์... นี่มึงกับไอ้เต๋ายังไม่เคลียร์กันอีกหรอวะ? วันนี้เจอกันในห้องน้ำก็ไม่เห็นทักทาย”

                “อะไรนะชา... เจอเต๋าด้วยหรอ?”  แพรวาซักขึ้นอย่างสนอกสนใจ จะว่าไป...แพรวาอาจจะเป็นคนที่รับรู้เรื่องนี้มากที่สุดแล้วก็เป็นได้

                “อือ ก็เจอกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”  เขาบอกปัดไป... มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่ใช่หรอ? แค่มองหน้ากันแปปเดียวแล้วก็เดินออกมา ไม่มีบทสนทนาหรือแม้แต่คำพูดสักคำ

                “ชา... มีปัญหาอะไรบอกแอ้นได้นะ”  หญิงสาวฉีกยิ้มหวานให้แก่เพื่อนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงหน้า  และมันก็ทำให้คนได้รับต้องส่งยิ้มบางๆ กลับไป  แต่นั่นกลับดูน่าหงุดหงิดในสายตาเพื่อนคนอื่นๆ ซะเหลือเกิน... มัวแต่นั่งอมพะนำบอกปัด แล้วก็ทำท่ายิ้มเศร้าๆ แบบนี้เนี่ยนะ

    ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างคาดคั้น  ใบหน้าหวานทำเสมองไปที่กำแพงไม่ไกล โพสอิทมากมายเรียงรายกันอยู่บนกำแพง  บ้างก็ให้กำลังใจ ชื่นชมอาหารของทางร้าน  แต่บ้างก็ดูจะเขียนเป็นการส่วนตัวไปสักหน่อย เขียนบอกรักนักร้องขวัญใจบ้างล่ะ บอกรักแฟนบ้างล่ะ

                ดีนะ... ที่วันนั้นเขาไม่ได้เขียนอะไรแปะลงไป เพราะดูจะเป็นการสร้างความทรงจำให้มันมากมายไปกว่าเดิม

                คชาทำเมินคำถามที่เพิ่มขึ้นจากเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ แสร้งทำเป็นอ่านกระดาษใบเล็กสีแสบตาเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ  ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย

                ไม่สมัครวันนี้ วันอื่นก็ได้... รออยู่นะ  - TAO’

                แน่ใจจริงหรอ...ว่าไม่เกี่ยว?

                โพทอิทสีเขียวมะนาวอันนั้นแม้อ่านเพียงรอบเดียวเขาก็จำมันได้ขึ้นใจ... ไม่รู้ว่าวันนั้นอีกคนแอบไปเขียนมันเมื่อไหร่ แต่ก็คงเป็นหลังจากที่ให้ใบสมัครอันนั้นกับเขาล่ะมั้ง

                นึกดูแล้ว... มันน่าเศร้าพิกล

                “เป็นไรอีก ดูทำหน้าเข้า”

                “กูจะงอนแล้วนะ มีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อนฝูงเนี่ย”

                เพื่อนๆ กลุ่มเดิมยังคงสังเกตสังกาคนตัวเล็กที่ทำหน้านิ่งได้เป็นอย่างดี  คชายิ้มบางๆ ให้กับทุกคนราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร  หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับไม่ยิ้มด้วยเลย 

                “ชา... มีอะไรรึเปล่า? อยากให้แอ้นช่วยไหม?”

                แอ้นถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง  คชายิ้มรับ หากแต่ขมวดคิ้วและจ้องมองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด

                “มี... แอ้นช่วยอะไรเราหน่อยสิ”  และคำตอบนี้ทำเอาทุกคนบนโต๊ะต้องหันมาฟังอย่างใจจดใจจ่อ เพราะในที่สุด เจ้าตัวปัญหาก็ยอมแพล่มออกมาสักที

                ร่างเล็กสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะผ่อนมันออกมาอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ  สมองนึกทบทวนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาอีกที

                เขาแน่ใจ...

                “แอ้น... เป็นแฟนกับคชาได้ไหม?”

                แน่ใจ... ว่านี่เป็นทางออกที่ดีแล้วจริงๆ

     

               

               

     


    TBC

    คชา... ทำแบบนี้เห็นใจคนอ่านหน่อยเซ่! (ได้ข่าวว่าแต่งเองนะ)
    อยากแต่งตอนที่คชากะเต๋าคืนดีกันแล้วอะ ทำไงดี 5555
    ฝากติดตามตอนต่อไป อย่าเพิ่งเลิกอ่านกันนะ แหะๆ


     
    มีคนวาดรูปมาให้นานแล้ว แต่คราวที่แล้วลืมลง ขอบคุณมากๆ นะค้า น่ารักมาก เต๋ายิ้มแฉ่งเลย กราบน้อง @vivee_hippo งามๆ T^T

    เจอกันใหม่ ตอนหน้า เมื่อเราแต่งเสร็จจ้าาาาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×