ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #79 : เงาอหังการ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 57
      13
      12 เม.ย. 63

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    " คืนนี้แล้วสินะ   ที่อาจจะเป็นคืนสุดท้าย  ที่พวกเราจะอยู่ที่นี่  ถ้าพรุ่งนี้พวกเราไปปราบพวกปิเยมัจเจ

    ได้  สำเร็จ ตามคำของท่านติอากอ พวกเราอาจได้หาทางกลับไปโลก เฮ้อคิดถึงบ้านจังคิดถึงพ่อถึงแม่ด้วย "


    ดุจปรายกล่าวอย่างมีความหวัง ไม่เจาะจงว่ากล่าวกับใครในขณะที่มนุษย์ทั้งเจ็ดนอนอยู่รวมกันและ

    นอนหงายแหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งขณะนี้มีดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าเต็มไปหมดดูสวยงามยิ่งนัก 

    ซึ่งเป็นคืนที่ ปิเยติอากอตั้งความหวังไว้ว่ารุ่งเช้าจะยกขบวนเข้าไปปราบปิเยมัจเจให้จงได้


    " แต่ว่า พี่ก็อดคิดไม่ได้ ว่าพวกเราจะไปปราบพวกมัจเจได้ง่ายดายอย่างนี้จริงหรือ   ไม่รู้นะพวกเราได้รับรู้ทุก

    ครั้งเกี่ยวกับความร้ายกาจ ของต้นไม้ปิเยมัจเจ ที่กระทำคนอื่นเสียมากกว่า ไม่อยากบอกนะว่าพวกเราก็ต้อง

    เผื่อใจไว้มั้ง  "


    อรัญ กล่าวกับแฟนสาวน้ำเสียงเขาดูจริงจัง และมีความกังวลอย่างที่เขาพูดจริงจริง


    " แต่ข้าว่า ครั้งนี้มันคงมีโอกาสมากจริงจริง จำนวนพวกเราและพวกต้นไม้ รวมทั้งพวกมนุษย์ต่างดาวนั่นมันมี

    จำนวนเยอะมากจริงจริง ในขณะที่พวกเราก็รู้พวกปิเยมัจเจนั้นมันกลับถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ถึงพวก

    มันคงรวมรวมเอาต้นไม้ต้นเล็กเดิมเดิมนั่นมานำพิษอีก พวกเราก็คงรู้และหาทางรับมือกับพวกมันได้ และตอน

    นี้ปิเยมัจเจมันคงรวบรวมต้นไม้พิษเป็นจำนวนมากเหมือนเดิมคงไม่ได้ ได้ข่าวว่าต้นไม้นั้นก็หนีขึ้นไปทางเหนือ

    เป็นจำนวนมาก ไม่อยู่เป็นเครื่องมือให้พวกปิเยมัจเจอีกแล้ว "


    ปู่อินทร์ที่ นอนถัดออกไปไม่ห่างแสดงความคิดเห็น


    " ก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีนะปู่ บางทีผมอาจคิดมากไปเองก็ได้ถ้าอย่างนั้นไม่คิดอะไรแระ นอนกอดแฟนดีกว่า 

    พรุ่งนี้หวังว่าจะได้ไปกอดอีกทีที่บนโลกนะ "


    อรัญ สรุป แต่ไม่วายกล่าวอย่างขี้เล่นให้ดุจปรายหมั่นไส้ ทำไมต้องประกาศให้คนอื่นรู้ด้วยว่าจะทำ

    อะไร

    เมื่ออรัญกระชับวงแขน ดุจปรายก็แสร้งงอนและนอนหันหลังขวับ


    " ทำไมไม่หันขึ้นไปบนท้องฟ้าล่ะที่รัก ข้างบนมีดาวเต็มไปหมดสวยมากด้วย มามะถ้าไม่รู้ดาวชื่ออะไร แฟน

    หนุ่มคนนี้จะบอกให้ "


    อรัญยังคงกล่าวสัพหยอก และใช้มือรุกรานไปทั่วร่างดุจปราย ดุจปรายรู้สึกได้ว่าพลาดที่หันหลังให้

    เขา เพราะตอนนี้มือของอรัญอ้อมมาซุกซนที่ร่างกายส่วนหน้าของเธอ เธอจึงแกล้งศอกเขาเบาเบา


    " หันมาทางนี้ก็มีดาว  ดาวบนฟ้านั่นมีเยอะแยะ จะอยากรู้ชื่อไปทำไม เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กลับโลกแล้ว"


    ดุจปราย กล่าวด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกนิดหน่อยพองาม


    " ดาวที่กำลังจะตกดินนั้นไม่สวยหรอก และดวงมันก็คงไม่ใหญ่ด้วย ไม่เหมือนดาวที่อยู่บนท้องฟ้าตั้งฉากกับ

    เรา ดูสิ มีหลายดวงและบางดวงต่อกันเป็นสายด้วย "


    อรัญยังคงกล่าวแหย่ เพื่ออยากเอาชนะแบบไม่เเข็งขันนัก


    " ไม่ดูจะดูทางนี้ ดาวเป็นสายทางนี้ก็มี "


    ดุจปรายยังคงรั้น ที่จะยอมตามแฟนหนุ่ม และไม่ใช่แค่กล่าวเพียงอย่างเดียวคราวเธอกลับผุดลุกขึ้น

    นั่งหันหลังให้อรัญ 

    อรัญแปลกใจ และสงสัยอาการของแฟนสาวของเขาสงสัยว่าเธอหัวเสียเรื่องอะไร การหยอกกันเช่น

    นี้สำหรับคนที่รักกันและสนิทกันมาก ดูน่าจะเป็นเรื่่องที่เล็กน้อย มีหลายครั้งที่อรัญระลาบละล้วงกับ

    ร่างกายดุจปรายมากกว่านี้แต่เธอก็กลับไม่เคยมีอาการเช่นนี้  ถึงเขาจะเห็นว่าไม่ปรกติ แต่อรัญก็

    รู้สึกผิด เขาลุกขึ้นนั่งและรั้งร่างของเธอเข้ามาหาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับกล่าวเสียงแผ่ว


    " ขอโ่ทษนะ ตามใจแล้วกันจะดูดาวทางทิศใหนก็ ไม่โกรธกันนะ นอนต่อเถอะ "


    แต่ดุจปรายขึนร่างไว้พร้อมพยายามแกะมือเขาออก


    " เดี๋ยวก่อน โกรธเกิดที่ใหนล่ะ ปรายลุกขึ้นมาสังเกตุว่าปรายเห็นดาวเป็นสายตรงขอบฟ้านั่น เหมือนมัน

    เคลื่อนไหวได้นะ และถ้ามองไม่ผิดมันจะกำลังเคลื่อนมาทางนี้ด้วย "


    อาการและคำกล่าวของดุจปราย ทำให้ทุกคนสะดุดพวกเขาลุกขึ้นนั่งและมองไปยังทิศตะวันตก ตาม

    ที่ดุจปรายกำลังมองสิ่งนั้นอยู่  ไม่ช้าสิ่งที่ดุจปรายเห็นก็ได้รับการรับรอง จากสายตาอันเฉียบคมของ

    กานต์


    " จริงด้วยมีดาว เอ๊ะไม่ใช่สิมันเลียบมากับพื้นเหมือนดวงไฟหลายหลายด้วยมากกว่า ดูมันเหมือนอะไรที่เป็นสี

    เขียวอ่อน หรือเป้นสีเรืองแสง ไม่เคยเห็นมาก่อน ท่าไม่ค่อยดีแล้ว มันมาทางทิศที่พวกมัจเจมันอยู่ด้วย "


    กานต์ที่สายตาดีที่สุดร้องบอกทุกคน  เสียงอื้ออึงของมนุษย์ทำให้พวกดาวโดร์นเริ่มสงสัย และผู้เป็น

    หัวหน้า ได้เข้ามาสมทบ และทันทีที่หัวหน้าเดฟโดร์นสังเกตุเห็นสิ่งปรกติ


    " อะไรน่ะ "


    หัวหน้าเดฟโดร์นถามขึ้นด้วยความสงสัย  มันเองก็ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเหมือนกัน  แต่หัวหน้าเดฟ

    โดร์นก็ไม่ได้รับคำตอบจากพวกของอัครชัย เพราะพวกเขาก็ไม่รู้จักสิ่งนี้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อ

    เป็นการไม่ประมาท สิ่งที่มาต้องได้รับการแจ้งให้ทั้งหมดระวังตัว 

    แสงไฟสีเขียวประหลาดเริ่มเข้ามาใกล้เข้ามาเรื่อยเรื่อย มันดูฉวัดเฉวียนไปมาอยู่ตลอดไม่คงที่ และ

    เมื่อเข้ามาใกล้จนทั้งหมดเห็นได้ชัด


    " มันเหมือนปลาหมึกและแมงมุม ผสมกัน แต่ไม่มีหัวหรือตัวมีแต่ขา " 


    กานต์กล่าวจากสิ่งที่เริ่มเห็นชัด ทุกคนเห็นอย่างที่กานต์บอกเช่นกัน แสงไฟประหลาด สว่างวาบ

    เรืองแสงอยู่บน สิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นขา หรือหนวดของสิ่งนั้นแต่ละอัน  ทุกคนยังคงมองไม่ออก แต่

    ติอากอ ไม่รอที่จะทนสงสัยสิ่งนั้นอยู่ได้  เขาเร่งให้ปิเยเข้าไปสำรวจสิ่งที่มาใหม่ทันที 

    เมื่อได้รับคำสั่งลูกน้องต้นไม้ ได้แทรกร่างออกไปเป็นแนวหน้าของการสำรวจไปเผชิญหน้ากับสิ่ง

    ที่มาตามคำสั่งของติอากอทันที สิ่งนั้นหยุดเดินเข้า ในขณะที่มีปิเยสวนออกไป มันหยุดเคลื่อนมา

    ข้างหน้า แต่สิ่งที่คล้ายหนวดของมันยังเคลื่อนใหวอยู่ขยับอยู่กับที่

    ปิเยแนวหน้าไม่กลัว มันพร้อมที่จะทำตามคำสั่งที่ติอากอสั่งมา สิ่งตรงหน้าต้องได้รับการพิสูจน์ว่าน่า

    จะเป็นอะไรกันแน่ แต่ปิเยมันหารู้ ว่ามันจะได้ทำตามคำสั่งครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้าย

    ไม่รู้ว่าผู้ที่มา ขยับตัวกระโดดเข้าหา หรือ ปิเยของติอากอจะถลันเข้าไป  เมื่อร่างทั้งสองเข้าประทะ

    กันที่มีขายาวหลายขาได้ใช้ขอของมันห่อหุ่มร่างของปิเยแนวหน้าของติอากอ ไว้  และทุกคนก็ต้อง

    ตะลึง ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนต้องถอยกรูด เพราะร่างสองร่างเมื่อกี้นี้ ในความมืดที่พอเห็นได้จาก

    แสงเรืองสีเขียวของตัวประหลาด บัดนี้ร่างปิเยแนวหน้าของติอากอ นั้นหายไป เห็นได้ชัดว่าทันที่ร่าง

    เข้าประทะ ร่างปิเยแหลกเป็นจุลอย่างเห็นได้ชัด ร่างนั้นขณะนี้เป็นเพียงกองขี้เถ้าหรือกองดินซัก

    อย่างหนึ่งกองอยู่ไต้ร่างของตัวประหลาดนั้น


    " มันคืออะไรทำไมร้ายกาจอย่างนี้  " 


    ปิเยตะเคียน่ากล่าว พร้อมทั้งถอยห่างสิ่งนั้นออกมาอีก


    " ปิเยข้านึกออกแล้วว่าเคยเห็นที่ใหน ท่านพี่ ไอ้ตัวนี้แหละที่ปิเยข้าเคยบอกว่าอย่าไปอยู่ริมน้ำเพราะพวกมัน

    ลากพวกปิเยข้าลงไปกินในน้ำทางไต้หลายร่างแล้ว แล้วนี้มันขึ้นมาอยู่บนบกนี้ได้ยังไง "


    ปิเยทรานส์ กล่าวกับปิเยทาร์ ผู้เป็นปิเยพี่ ปิเยทาร์สังเกตุคลับคล้ายคลับคลาตั้งแต่แรกอยู่เหมือนกัน

    ว่าสิ่งนี้ต้องเคยเห็น แต่เนื่องจากความมืดทำให้เขาเห็นไม่ชัด พอเห็นมันขยับร่างกายตอนที่เข้าทำ

    ร้ายปิเยแนวหน้าของติอากอ จึงจำได้  แต่ปิเยทรานส์ ก็ยังเคยได้เห็นตัวประหลาดนี้อย่างผิวเผิน 

    ตอนนี้ในกลุ่ม มีผู้ที่รู้จักตัวประหลาดนี้ได้เป็นอย่างดี


    " มันคือปิเยน้ำ ซารี  ที่ปิเยมัจเจนั้นประกาศว่าให้การสนับสนุนพวกปิเยมัจเจนั้นไง และเป็นปิเย ที่ปิเย

    ประการียะให้พวกปิเยเรามาคอยสังเกตุการณ์ไง แต่ทำไมพวกปิเยซารีขึ้นมาบนบกได้ไกลจากน้ำทะเลขนาด

    นี้ได้ และนี่ถ้าปิเยข้าจำไม่ผิด นี่มันปิเยซารียะ หัวหน้าของพวกปิเยซารี ทั้งหมดด้วย  ปิเยซารียะผู้นำปิเยซารี

    นับแสน ที่แม้แต่ปิเยประการียะ ก็ยังไม่กล้าที่จะปราบพวกปิเยมันโดยตรง แม้มีไพร่พลที่มากกว่าหลายเท่า

    ก็ตาม "


    ปิเยโกการียะ กล่าวบอกกับทุกคน ถึงจะรู้จักสิ่งนี้ดี แต่โกการียะมันก็รู้สึกตื่นเต้น ที่เห็นอะไรแปลก

    ประหลาดเช่นนี้ โดยเฉพาะ เเสงสว่างที่เกิดขึ้นในร่างปิเยซารียะพร้อมทั้งนึกไม่ถึงว่าปิเยน้ำลึก ที่ไม่

    เคยอาศัยอยู่บนบกเลย จะเดินทางขึ้นมาบนแผ่นดินได้ลึกขนาดนี้ และปิเยซารียะนี่ทำได้ไง โดย

    สรีระแล้วปิเยโกการียะคิดว่า ถ้าต้องขึ้นมาบนบกปิเยซารียะไม่น่าจะรอดมาได้ถึงเพียงนี้ 


    " นะ นะ นั่นมันหลังกลับแล้ว "


    ปู่อินทร์กล่าวลั่น นั่นยิ่งทำให้ทั้งหมดแปลกใจเข้าไปใหญ่ ดูจากเมื่อกี้แล้วทั้งหมดคิดว่า ต้นไม้น้ำ

    ประหลาด นามซารียะ น่าจะแผลงฤทธิ์อะไรได้อีกมากกว่านี้ แต่มันกลับหันหลังเดินกลับไปทางเดิม

    แต่นั้นก็ยังไม่มีใครกล้าตาม เพราะยังตะลึงกับพิษสงที่ปรากฎตรงหน้าเมื่่อสักครู่อยู่ 


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " หัวหน้ากลับมาแล้ว พวกปิเยเราเป็นห่วงแทบแย่  จู่จู่ท่านก็อยากออกไป และไม่ให้พวกปิเยเราตามไปด้วย 

    นึกยังไง ตอนเย็นยังบอกให้พวกปิเยเราห้อมล้อมป้องกันปิเยท่านที่ระแวงปิเยบกสองร่างนั้นอยู่เลย แต่ทำไม

    ถึงอยากออกไป ปิเยท่านไม่ระแวงปิเยนั่นแล้วเหรอ ถึงออกไปปิเยเดียวได้ "


    ปิเยซารี ผู้ซึ่งเป็นลูกน้องของปิเยซารียะกล่าว ในขณะที่เห็นผู้นำสูงสุดของมันกลับเข้ามา ปิเยมัน

    ไม่รู้ว่าผู้นำของมันไปใหน เพราะก่อนไป ถูกห้ามไม่ให้ตามไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ กำชับอย่างดีว่าต้อง

    ป้องกันตัวมัน อย่าให้ใครเข้ามาใกล้ได้ แต่เมื่อเป็นคำสั่งผู้นำสั่งที่เปลี่ยนแปลงไปพวกมันจึงต้องทำ

    ตามอย่างเคร่งครัด ได้แต่นึกสงสัยอาการของผู้นำและเมื่อปิเยซารียะกลับมา ลูกน้องจึงได้ถามด้วย

    ความอยากรู้


    " ปิเยข้าไม่จำเป็นต้องตอบปิเยเจ้าก็ได้มั้ง ปิเยข้ามีเหตผลของปิเยข้าที่ไม่จำเป็นต้องบอกใคร "


    ปิเยซารียะ กล่าว ปิเยซารีผู้เป็นลูกน้องถึงกับต้องหยุดเมื่อได้ยินคำตอบ รู้ดีว่าหัวหน้าของมันมักจะ

    พูดคำใหนเป็นคำนั้น ได้แต่แปลกใจกับอาการของหัวหน้า แต่ไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก


    " เอาล่ะ พวกปิเยเจ้าจะไปใหนก็ไป ไม่ต้องมาดูแลปิเยข้าแล้ว พรุ่งนี้ปิเยข้ามีงานใหญ่ต้องทำ และก็พวกปิเย

    เจ้าด้วย "


    ปิเยซารียะ กล่าว ปิเยซารี ปฎิบัติตามทันที แต่ในใจยังคลางแคลงกับอาการของผู้เป็นหัวหน้าอยู่

    ตลอด

    จวบจนกระทั่งรุ่งเช้า


    " เอาล่ะตื่นมาทำหน้าที่กันได้แล้ว " 


    เหล่าปิเยซารีถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงปลุก และเมื่อพวกมันหันไปทางเจ้าของเสียงที่อยู่ริมน้ำ 

    พวกมันก็แปลกใจ


    "  ปิเยเจ้ามีอำนาจอะไรมาสั่งพวกปิเยข้า "


    ปิเยซารีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นรองหัวหน้าอันดับหนึ่งของปิเยซารีกล่าวอย่างหัวเสีย รู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่

    ปิเยมัจเจ มาปลุกเรียกและออกคำสั่งกับพวกมัน เพราะแต่เดิมปิเยมัจเจและปิเยตะเคียน่ารู้สึก

    ต่ำต้อยกว่าในสายตาพวกมัน ด้วยอารมณ์โกรธมันจึงคิดว่าน่าจะมีอำนาจในการลงโทษปิเยมัจเจ 

    มันถลาเข้าไปเกือบจะถึงตัวมัจเจ แต่ทว่ามันก็ต้องหยุด รู้สึกได้ว่าส่วนท้ายร่างของมันถูกจับดึงไว้ 

    เมื่อถูกดึงมันก็หันหลังกลับมามอง ฉับพลันมันก็ต้องสลด เพราะสิ่งที่มันมองเห็น หัวหน้าปิเยซารียะ

    ของมันนั่นเอง ยังไม่ทันที่มันจะพูดอะไร มันรู้สึกได้ว่าร่างของมันถูกกระชากจับดึงและเหวี่ยงขึ้นไป

    ในอากาศอย่างแรง ร่างนั้นปลิวหวือและหล่นลงไปในน้ำน้ำทะเลและจมมิดหายไป


    " ปิเยท่านเอิบ ทำไม ปิเยท่านต้องลงโทษปิเยเขาหนักเช่นนี้ ปิเยเขาก็แค่ เออ"


    ผู้เป็นรองหัวหน้าซารีในลำดับถัดไปกล่าวถามขึ้นอย่างรู้สึกแปลกใจ ที่เห็นอาการของผู้เป็นหัวหน้า

    กระทำกลับลูกน้องแบบนั้น จริงอยู่ เขาถือวิสาสะที่จะเข้าทำร้าย ปิเยมัจเจอยู่โดยไม่มีการขอ

    อนุญาติก่อนก็จริง แต่มันก็สมควรแก่เหตุ การที่ปิเยมัจเจมาออกคำสั่งแบบนั้น โดยวิสัยแล้วถ้าเป็น

    ปิเยซารียะผู้เป็นหัวหน้าเห็น อาจจะเดือดดาลจนปิเยมัจเจได้รับผลกระทบมากกว่านี้ แต่ทำไมคราว

    นี้หัวหน้าซารียะ กับแสดงอาการปกปัองอย่างเห็นได้ชัด


    " พวกปิเยเจ้าไม่ต้องมาถาม ปิเยข้าบอกไว้เลย ต่อไปนี้พวกปิเยเจ้านอกจากจะก้าวล่วงกับท่านมัจเจไม่ได้

    แล้ว พวกปิเยเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งท่านมัจเจ อีกด้วย ไม่ต้องมาถามเหตุผล "


    เสียงปิเยซารียะกร้าว  เหล่าปิเยซารีรู้สึกตกใจ กับคำกล่าวของผู้เป็นหัวหน้าซารียะ รู้สึกได้ว่าคำพูด

    ของผู้เป็นหัวหน้าดูจะยอมต่อปิเยมัจเจอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคำกล่าวเรียกก็ดูอ่อนน้อมถ่อมตนผิด

    ปรกติวิสัยก้าวร้าว และข่มปิเยมัจเจมาตลอด


    " ฮ่า ฮ่าฮ่า พวกปิเยเจ้าได้ยินแล้วใช่ใหม ว่าหัวหน้าของปิเยเจ้าต้องการให้พวกปิเยเจ้าปฎิบัติตัวกับปิเยข้า

    อย่างไร ทีนี้จะมีปิเยใหนขัดคำสั่งหรือมีปฏิกริยาอะไรกับปิเยข้าอีกใหม ใหนลองบอกมาซิ "


    ปิเยมัจเจกล่าวโอหัง แต่คราวนี้เหล่าปิเยซารีเงียบกริบและสงบนิ่ง มีเพียงบางปิเยแอบลอบมองผู้

    เป็นหัวหน้าอย่างรู้สึกแปลกใจ และเมื่อทุกอย่างดูสงบแล้ว ปิเยมัจเจก็กล่าวต่อ


    " ดีมาก  ทีนี้ก็ไปทำตามคำที่ปิข้าจะสั่งได้แล้ว ตอนนี้ปิเยข้าต้องการ มะกะพู สักแสนร่าง พวกปิเยเจ้าไป

    นำมาให้ปิเยข้าได้แล้ว "


    คำกล่าวของปิเจมัจเยยิ่งทำให้เหล่าปิเยซารีตกใจ คราวที่แล้วพวกมันได้ไปนำ มะกะพูพิษ มา แค่

    สองร่างพวกมันต้องสังเวยชีวิตไปมากกว่าห้าร่าง แต่คราวนี้มัจเจจะให้เอามาเป็นแสน ลูกน้องเฝ้าดู

    อาการผู้เป็นหัวหน้า แต่มันกับพบว่าปิเยซารียะผู้เป็นหัวหน้ากลับนิ่งเฉย ความอดรนทนไม่ใหวของ

    ซารียะผู้เป็นรองหัวหน้าอันดับสอง ทนไม่ใหวอีกครั้ง มันจึงกล่าวกับผู้เป็นหัวหน้าของมัน


    " ท่านซารีะยะ มะกะพูพิษนับแสน จะนำมาได้ยังไง พวกปิเยเราต้องเสียชิวิตมากเท่าไร  และยิ่งไปกว่านั้นถ้า

    พวกปิเยเราต้องนำมาจริงจริง มันจะทำให้เวหนเปิด และนั่นพวกปิเยน้ำทั้งหลายก็อาจจะต้องตายทั้งหมด "


    คำกล่าวของรองหัวหน้าปิเยซารีถูกต้อง เหล่ามะกะพู ที่มีจำนวนอยู่นับหลักแสน ได้ปิดทางเวหนซึ่ง

    เป็นรูของรอยต่อน้ำขนาดใหญ่ ที่เป็นอุโมงน้ำอยู่ไต้ดินเชื่อมระหว่างฝั่งทะเลต่างๆ ด้วยความที่มะกะ

    พูมีพิษร้ายแรงและมีจำนวนมากทำให้ไม่มีสิ่งที่อยู่คนละฝั่งน้ำไต้ดินไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายหรือเหล่า

    ปิเยน้ำลอบผ่านเข้ามาหากันได้ พร้อมทั้งพวกมะกะพู ก็ได้ช่วยกันปรับสภาพน้ำที่จะปนเปื้อนกันและ

    กันทำให้เป็นพิษ  จะทำให้พวกปิเยน้ำทั้งหลายไม่มีอากาศไต้น้ำอยู่ได้ เพราะตอนนี้มะกะพูได้ดูดซับ

    พิษของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดไว้ที่ตัวของมัน แต่ถ้าพวกมะกะพูหายออกมาจากปากเวหนเป็น

    จำนวนนับแสนแล้วนั้น น้ำจะเข้าผสมกันและเกิดเป็นพิษทันที


    " ได้โปรดเถอท่านซารียะ โปรดพิจารณาด้วย "


    รองหัวหน้าอันดับสองของเหล่าซารียะกล่าวอ้อนวอนอีกครั้ง แต่ก็ต้องสะอึกเมื่อได้ยินคำสั่งผู้เป็น

    หัวหน้า


    " ใครให้ปิเยเจ้าแสดงความคิดเห็น ปิเยข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ พวกปิเยเจ้าเหล่าซารีทั้งหมดต้องฟังคำสั่ง

    ท่านมัจเจ "


    ครานี้เหล่าปิเยซารียะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และก็ได้แยกย้ายกันออกมาโดยไม่มีใครกล้าปริปากอีก 

    รองหัวหน้าปิเยซารียะอันดับสองก็ออกมาเช่นกัน มันรู้สึกสับสนว่าจะต้องทำเช่นไร และทำให้มัน

    นึกถึงรองหัวหน้าอันดับหนึ่งซึ่งถูกขว้างร่างออกมาจากผู้เป็นหัวหน้า มันมุ่งตรงไปยังจุดที่คาดว่า

    ร่างผู้เป็นรองหน้าหน้าอันดับหนึ่งของซารีจมอยู่ ด้วยความอยากหาผู้ปรึกษา และความห่วงระคน

    กัน มันก็รู้สึกผิดสังเกตุที่รองหัวหน้าอันดับหนึ่งได้ตกลงไปและหายไปไม่โผล่มาอีก และเมื่อมันมา

    ถึงจุดมันกับพบว่าไม่มีร่างปิเยที่ถูกขว้างมาตรงนั้น  มันหัวเสียเล็กน้อยเพราะคิดว่ารองหัวหน้า

    อันดับหนึ่งคงหนีไปแล้วด้วยความกลัว แต่หารู้ไม่ว่าไต้ร่างของมันที่เหยียบย่ำอยุ่ตอนนี้ มีฝุ่นผงร่าง

    ที่แหลกละเอียดของผู้ที่มันกำลังจะมาหากระจายอยู่จนทั่วไต้น้ำ เพราะทันที่ที่ร่างนี้ถูกจับและเหวี่ยง

    มาร่างนั้นได้ถูกพิษที่อยู่ในตัวหัวหน้าซารียะ ทำให้แตกเป็นฝุ่นผงในขณะที่ร่างกำลังจมลงในน้ำ

    ทันที โดยที่ไม่มีใครสังเกตุเห็น



    " ปิเยเจ้านี่แน่จริงๆ ครานี้ปิเยข้าขอนับถือ "


    ปิเยโอ๊คคาระกล่าวกับปิเยมัจเจ หลังจากเหล่าปิเยซารียะล่องน้ำจากไป  คำกล่าวของปิเยโอ๊คคาระ

    หมายความถึงการที่ปิเยมัจเจพลิกสถานการณ์ กลับมาเป็นผู้ควบคุมเหล่าปิเยซารียะได้  การที่มัจเจ

    วางแผนสกัดพิษที่ร้ายแรงของ มะกะพูผนวกเข้ากับพิษที่ปิเยพิษเซลล่าเคยสอนการสกัดให้ และ

    แอบใส่เข้าไปในใจกลางร่างของหัวหน้าปิเยซารียะเพื่อควบคุมมันให้อยู่ไต้อำนาจและเป็นเครื่อง

    มือ  สังหารศัตรูของปิเยมัจเจ โดยที่มันไม่ได้รู้เลยว่ามัจเจมีเรคารียะที่ล่องหนหายตัวได้ 

    แม้มันจะตั้งปราการการระมัดระวังตัวขั้นสูงสุดเพราะไม่ไว้ใจมัจเจ  แต่เรคารียะก็แอบหายตัว

    เข้าไปสลักพิษเข้าร่างของปิเยซารียะได้ นั่นจึงทำให้ปิเยซารียะ ต้องตกอยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    ของมัจเจ และยังได้ลูกน้องที่พร้อมปฏิบัตตามคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้านับแสนเพิ่มมาอีกด้วย มัจเจ

    ทดลองส่ง ปิเยซารียะขึ้นบกไปและทดลองใช้พิษกับร่างปิเยของติอากอ มันได้ผล ทั้งการทดลอง

    เดินทางบนบกซึ่งไม่ใช่สิ่งถนัดของปิเยซารียะ แต่เมื่อถูกบังคับมันก็จำต้องฝืนทำแม้ร่างกายมันจะ

    ต้องบุบสลายแค่ใหนก็ตาม พร้อมทั้งทดลองใช้พิษอันร้ายกาจกับร่างปิเยฝ่ายติอากอ แต่มัจเจเห็น

    ว่าถ้าปิเยพิษเพียงหัวหน้าซารียะเพียงร่างเดียวมันอาจน้อยไป มันจึงต้องการ มะกะพูพิษอีกมาก 

    เพื่อมาสกัดและสลักเข้ากับร่างเหล่าซารี เพื่อทำเป็นกองทัพพิษนับแสน ที่จะไปกวาดล้างติอากอ

    และพรรคพวกให้สิ้นซากเสียคราวเดียว และมัจเจก็ไม่สนว่าถ้าสารพิษในน้ำมาปนเปื้อนกันจะทำให้

    อะไรเสียหาย ถ้าจะต้องนำมะกะพูมา ตามจำนวนมากอย่างที่มันสั่ง มันสนแต่ว่าคราวนี้มันต้องได้

    ชัยชนะ  นั่นจึงเป็นสิ่งที่ปิเยโอ๊คคาระกล่าวชื่นชมปิเยมัจเจในครั้งนี้อย่างเต็มใจ



    "  ฮ่าฮ่า ฮ่า ปิเยท่านก็ชมปิเยข้าเกินไป  นี่มันเป็นแค่การพิสูจน์ให้ปิเยท่านเห็น ว่าอยู่ได้สบประมาทปิเยอย่าง

    ปิเยข้า ครั้งนี้จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ปิเยท่านเตรียมรับตำแหน่งประมุขที่ใหนซักแห่งที่บนโลกได้เลย 

    เพราะเราจะต้องก้าวเหยียบซากของพวกติอากอไปยังโลกและ ที่นี่เมื่อปิเยเราไม่อยากอยู่แล้วมันจะต้อง

    ย่อยยับไป ทั้งบนบกและในน้ำ " 


    ปิเยมัจเจกล่าวอย่างภูมิใจ


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    เหล่าปิเยซารีนับแสนว่ายน้ำลงสู่ไต้ท้องทะเลลึก โดยไต้การนำของหัวหน้าซารียะพวกมันรู้ว่ากำลัง

    จะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและต้องสูญเสียไพร่พลเข้าสังเวยการกระทำครั้งนี้อีกเป็นจำนวนมาก แต่นั่น

    พวกปิเยซารียังประเมินความเสียหายได้ไม่หมด สิ่งที่พวกซารียังไม่รู้คือ มะกะพูพิษที่พวกมันจะ

    ต้องเสี่ยงไปน้ำมา จะใช้มาเป็นสิ่งที่จะสลักเข้ากับร่างพวกมันทุกร่าง และเอาไปเป็นเครื่องสังหารพิษ

    ที่บนบก นั่นคือการฆ่าตัวตายอย่างชัด เพราะเมื่อร่างประกอบไปด้วยพิษใด้ในช่วงเวลาหนึ่ง ร่าง

    พวกมันจะไม่สามารถทนต่อพิษที่รุนแรงของมักกะพูได้  และนั่นคงเป็นตอนที่พวกซารีทำงานถวาย

    ให้กับมัจเจเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นเอง พวกมันจะตายหรือไม่ตาย ปิเจมัจเจก็คงไม่สนใจ

    แต่มีปิเยหนึ่งรู้สึกสัมสนต่อการปฏิบัติตามในครั้งนี้ รองหัวหน้าอันดับสองของปิเยซารี มันคิดกลับ

    หน้าหลังหลายตลบขณะว่าน้ำรวมมากับเหล่าปิเยซารีอื่นอื่น มันรู้สึกว่าครั้งนี้หัวหน้าซารียะ ใช้คำสั่ง

    ที่ไร้เหตุผลเกินไป และดูเหมือนหัวหน้าจะไม่เป็นตัวของตัวเองต้องกระทำตามใจของปิเยมัจเจอีกที

    และการกระทำครั้งนี้ความเสียหายต้องเกิดวิบัติอย่างใหญ่หลวงแน่นอน คิดเช่นนั้นมันจึงไม่อยากมี

    ส่วนร่วมด้วยแล้ว เห็นทีมันต้องทำอะไรซักอย่างหนึ่ง คิดได้เช่นนั้นมันเริ่มว่ายกรรเชียงออกห่างจาก

    หัวหน้าซารียะอย่างเรื่อยเรื่อยห่างออกไปแบบไม่ให้ผิดสังเกต  

    แต่ผู้เป็นหัวหน้าซารียะมีหรือว่ามันจะไม่ทันสังเกตุ ยิ่งกระทบกระทั่งกันมาตอนเริ่มออกเดินทางมันก็

    แอบมองพฤติกรรมของลูกน้องรองของมันอยู่เหมือนกัน เมื่อเห็นว่าการเดินทางมีการเปลี่ยนแปลง

    ผิดสังเกตุ มันจึงเรียกเหล่าซารีใกล้ๆออกติดตาม รองหัวหน้าอันดับสองของมันทันที


    "  พวกปิเยเจ้าซักยี่สิบร่างตรงนี้ ถ้าพวกปิเยเจ้าร่างใดสังหารผู้ที่กำลังพยายามหลบหนีศึกและขัดคำสั่งปิเยข้า

    ในครั้งนี้ได้ ปิเจเจ้าจะได้ตำเเหน่งของที่ปิเยข้าเคยให้กับปิเยมัน ร่างนั้น"


    ปิเยซารียะ กล่าวอย่างเฉียบขาด สิ้นคำสั่งปิเยนับยี่สิบร่างก็กรูกันว่าน้ำพุ่งทะยานตามรองหัวหน้าอัน

    ดับสองปิเยทันที 

    และเมื่อรองหัวหน้าอันดับสองสังเกตุได้ว่าผู้เป็นหัวหน้าซารีได้สังเกตุเห็นการหลบหนีของเขาแล้ว  

    ถึงไม่ได้ยินว่าผู้เป็นหัวหน้าซารียะกล่าวกับปิเยซารีที่กรูกันตาม เขามานับยี่สิบร่าง แต่รองหัวหน้า

    อันดับสองซารี ก็รู้ว่าพวกที่ตามมาไม่ประสงค์ดีแน่ และเมื่อครั้นจะหยุดเพื่อต่อสู้ จำนวนหนึ่งต่อนับ

    ยี่สิบ ถึงจะพอมีฝี่มืออยู่บ้างขั้นระดับเกือบเป็นหัวหน้า แต่จำนวนที่มีเพียงหนึ่งคงไม่สามารถสู้ผู้ที่มี

    จำนวนนับยี่สิบได้แน่ คิดเช่นนั้นการทะยานหนีจึงเลือกเป็นสิ่งที่มันต้องกระทำ ถึงจะล่วงหน้ามาบ้าง 

    แต่การว่ายน้ำลึกทำให้มันไม่ได้เปรียบในการหนีเท่าไร ปิเยซารีบางร่างที่ตามมาว่ายน้ำได้ไวกว่า

    เขา และระยะติดตามก็กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยเรื่อย และเมื่อเห็นจวนตัว คิดว่าถ้าอยู่ไต้น้ำแบบนี้คง

    โดนรวบได้แน่ ไวเท่าความคิด มันทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำทันที คราวนี้ดูเหมือนได้ผล ระยะห่างการ

    ติดตามดูห่างออกไปทันที กอปรกับความระล้าระลังชั่งใจที่เห็นรองหน้าหน้าอันดับสองเปลี่ยนเส้น

    ทางว่ายน้ำไปในทิศทางที่ผิดแปลกไป พวกซารีที่ติดตามทั้งยี่สิบร่างจึงต้องหยุดปรึกษากัน และเมื่อ

    มารวมกันครับ พวกปิเยซารีที่ติดตามก็ลงความเห็นว่าถึงรองหัวหน้าอันดับสองของซารีจะเดินทาง

    ไปทางใหนก็ตามคำสั่งหัวหน้าซารียะก็ต้องให้ตามไปสังหารให้ได้อยู่ดี และนั่นการติดตามก็เกิดขึ้น

    อีกครั้ง

    เหนื่อยแทบใจจะขาด รองหัวหน้าอันดับสองของปิเยซารีพยุงร่างขึ้นเหนือผิวน้ำ มันรู้ดีว่าตอนนี้

    ระยะห่างน่าจะพอสมควร แตมันรู้ไม่นานพวกซารีหนุ่มหนุ่มที่ว่ายน้ำเก่งคงจะตามมันทันในไม่ช้า 

    เขาไม่เคยที่จะต้องเร่งว่ายน้ำไวขนาดนี้มาก่อนเลยรุ้สึกอ่อนแรงเหมือนกัน การที่จะว่ายน้ำหนีอยู่นี้

    ไม่ว่าจะบนผิวหน้ำหรือไต้น้ำ ไม่นานเขาต้องถูกจับได้แน่  คิดเช่นนี้เขาพยายามมองหาทางหนี่อื่น

    ไม่นานเขามองเห็นยอดภูเขาที่อยู่ลิบลิบเขารู้ว่าที่นั่นต้องเป็นพื้นที่ที่มีแผ่นดินแน่ ยังคิดไม่ออกว่าถ้า

    เขาอยู่ชายแผ่นดินแล้วจะช่วยให้การติดตามล่าดีขึ้นอย่างไร แต่คิดว่ามันน่าจะมีทางออกดีกว่าหนี

    ว่ายน้ำวนเวียนอยู่ในน้ำแบบนี้แน่ คิดเช่นนั้นเขาออกว่ายไปในทางทิศที่มองเห็นยอดภูเขาสูงทันที

    ยอดภูเขาที่เขาเห็นไกลมันใหญ่มาก นั่นคือทำให้ระยะทางที่ว่ายน้ำเข้าไปหามันไกลมากด้วย กิน

    ระยะทางหลายกิโลเมตร แต่มันก็เป็นผลดีสำหรับตัวรองหัวหน้าอันดับสองซารี เมื่อใกล้เข้าสู่แผ่น

    ดิน เกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง กระแทกกระทั้น ปิเยน้ำผู้ผ่านประสบการณ์มากทำให้มันล่องฝ่า

    แนวเกลียวคลื่นไปได้อย่างรวดเร็วกว่ากลุ่มผู้ติดตาม ทำให้การหนีไม่ค่อยกดันมากนัก จนรอง

    หัวหน้าอันดับสองซารียะขึ้นมาถึงชายหาด มันพักเหนี่อยและมองไปยังกลุ่มซาลีผู้ที่ติดตามมา พวก

    มันดูทุลักทุเลกับการฝ่าเกลียวคลื่น ดูแล้วทำให้มันเริ่มสงสารผู้ติดตามเหมือนกัน และเมื่อเมื่อผู้

    ติดตามเข้ามาใกล้จนสือสารกันได้รองหัวหน้าอันดับสองของซารีจึงกล่าวออกไป


    " ใยกลุ่มปิเยเจ้าจึงติดตามปิเยข้าไม่ลดละ นี่หัวหน้าซารียะต้องการให้พวกปิเยเจ้ามาจับตัวปิเยเรากลับ

    ไปใ่หม "


    ปิเยซารีผู้ติดตามพยายามทรงกายฝืนกระแสคลื่นและเมื่อทรงกายอยู่ได้ ปิเยซารีร่างหนึ่งจึงกล่าว

    ตอบ


    " มิได้รองปิเยท่าน หัวหน้าซารียะไม่คิดที่จะนำปิเยท่านกลับไป หัวหน้าให้พวกปิเยเรามาฝังท่านไว้ที่ใหนซัก

    ที่หนึ่งต่างหาก ปิเยท่านก็รู้ดีนี่ว่าหัวหน้าซารียะปิเยเรา ไม่เคยให้โอกาสปิเยใด โดยเฉพาะผู้ที่ขัดคำสั่งปิเย

    ท่าน"


    "  แล้วพวกปิเยเจ้าคิดยังไง อยากจะบอกพวกปิเยเจ้าว่าปิเยข้ารู้สึกว่าหัวหน้าซารียะเปลี่ยนไปจึงได้หลบหนี

    มาเช่นนี้ ใหนใหนหัวหน้าซารีก็คงไม่รู้ว่าพวกปิเยเจ้ามาทำการได้ผลเป็นอย่างไรเกี่ยวกับปิเยข้า พวกปิเยเจ้า

    ปล่อยปิเยข้าได้ใหม อย่างน้อยก็เห็นแก่ตำแหน่งรองหัวหน้าที่ปิเยข้าเคยมีมาเถิด"


    องหัวหน้าอันดับสองซารี อ้อนวอนที่จริงเขาไม่ได้กลัวที่จะต่อสู้ เพียงแค่ไม่อยากให้มีการต่อสู้จน

    เสียเลือดเนื้อพวกเดียวกันไปเท่านั้น



    " ไม่ได้หรอกตอนนี้ปิเยท่านไม่ใช่รองหัวหน้าซารีอีกแล้ว ตอนนี้รองหัวหน้าอยู่ในกลุ่มพวกปิเยเราที่นี่แล้ว ไม่

    นานผู้ที่สังหารปิเยท่านได้ก็จะได้ขึ้นตำแหน่งสูงเกียรตินั้น จะมีซารีร่างใดละโอกาสเช่นนี้ไปได้ยังไง ขอปิเย

    ท่านอย่าได้ถือโทษโกรธพวกปิเยเราเลยนะ ปิเยท่านก็รู้พวกปิเยเราไม่เคยมีใครฝืนคำสั่งหัวหน้าซารียะมา

    หลายพันปีแล้ว ถึงพวกปิเยเราอยากจะปล่อยปิเยท่านไป ผลร้ายก็จะมาตกกับตัวพวกปิเยเราเอง พวกปิเยเรา

    เลือกที่จะไม่เดือดร้อนและมีตำแหน่งสูงส่งด้วยดีกว่า"


    ปิเยซารีหนึ่งในผู้ติดตามกล่าว 

    ผู้ซึ่งกำลังจะเป็นอดีตรองหัวหน้าอันดับสองซารีเงียบ  อยากจะอธิบายอีกว่าตอนนี้สิ่งที่หัวหน้า

    ซารียะสั่งให้ทำนั้นในครั้งนี้จะทำให้เผ่าปิเยน้ำซารีเดือดร้อนและพบกับหายนะกันหมด แต่คงป่วย

    การที่จะโน้วน้าวเหล่าปิเยที่ติดตามกลุ่มนี้ มันเป็นปิเยซารีรุ่นใหม่ที่ไม่มีความคุ้นเคยกับเขา และ

    ไฟแรงกระเหี้ยนกระหือรืออย่างขึ้นสู่ตำแหน่งโดยไม่ลืมหูลืมตาตามประสาผู้ด้อยประสบการณ์ และ

    เมื่อไม่มีทางเลือกหลังจากการเจรจาแล้ว มันจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกทางหนีอีกครั้ง เพราะคิดว่า

    ต่อสู้ย่างไรคงสู้ได้ยาก จึงเลือกทางหนี คงจะปล่อยให้มาถูกฆ่าแกงกันแบบนี้ง่ายคงไม่ได้

    การออกเคลื่อนไหวไล่เลียบไปขอบชายทะเลที่มีคลื่นซัดสาดอยู่ตลอดจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะ

    ที่ผ่านมามันเป็นต่อในการเดินทางในลักษณะนี้ แต่คราวนี้มันคิดผิด มันลืมไปว่าพวกติดตาม

    สามารถขึ้นไปเคลื่อนไหวอยู่บนบกได้ ถึงมันจะไม่คล่องแคล่ว แต่ก็ยังไวกว่าไปขลุกขลักอยู่กับ

    เกลียวคลื่นริมน้ำ เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผัน มันตกใจเล็กน้อย และก็เปลี่ยนใจขึ้นไปบนบกบ้าง 

    การติดตามเริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ ปิเยซารีผู้ติดตามแบ่งกำลังกันเป็นสองกลุ่ม อีกกลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่

    อยู่ในน้ำเหมือนเดิม และอีกกลุ่มหนึ่งติดตามผู้ถูกไล่ล่าอยู่บนบก และติดตามมาได้อย่างกระชั้นชิด 

    คราวนี้จวนตัวจริงจริงแล้ว 

     ผู้กำลังที่จะเป็นอดีตรองหัวหน้าอันดับสองของซารีที่เดิมพันด้วยร่างไร้วิญญาณกับตำแหน่ง 

    หนีการล่าติดตามกันอยู่บนบก และผู้ที่มีอายุน้อยกว่าก็เริ่มได้เปรียบในการเดินทางบนบกอีก

    ครั้ง พวกมันใกล้จะถึงตัวอดีตรองหัวหน้ามันอีกไม่ช้า ความเหนื่อยด้วยอายุที่มากทำให้ผู้ที่กำลังหนี

    เริ่มจิตตก ผู้ไล่ล่าก็จะคว้าตัวได้ไม่ช้า จะหนีลงน้ำก็มีอีกกลุ่มหนึ่งดักรออยู่ และทันใดเบื้องหน้าก็มี

    สิ่งที่ขวางอยู่ และนั่นจึงทำให้ผู้ติดตามคิดว่าการติดตามน่าจะสิ้นสุดลงในครานี้แล้ว

    คลองแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ใหลออกมาจากแผ่นดินไหลเข้าสู่ทะเล ขวางอยู่เบื้องหน้า ทำให้การวิ่ง

    ทยานจาการหนีไปข้างหน้าต้องสะดุด อดีตรองหัวหน้ามองหาทางหนีตายอีกครั้งคราวนี้จนตรอกแม้

    กระทั้งคิดหนีไปเข้าป่า ไปทางแผ่นดิน แต่ต้นไม้หนาที่สะกันอยู่อย่างระเกะระกะ ก็คงจะเกี่ยวพันร่าง

    ของมันอยู่ตรงนั้น มันจึงไม่ใช่แพร่งที่น่าจะเลือก คราวนี้มันจึงตัดสินใจเฮือกสุดท้ายที่ทำให้พวก

    ติดตามคิดว่า มันพร้อมยอมจำนนไม่หนีแล้ว

    ผู้ถูกไล่ล่าหนีลงน้ำทะเลอีกครั้งอย่างโซเซและล้มฝังร่างจมไปกับเกลียวคลื่น

    เหล่าผู้ล่าซารี รู้สึกสะกิดใจเพียงเล็กน้อยที่เห็นอาการยอมจำนนของผู้ถูกล่า แต่ด้วยหน้าที่ที่มัน

    กล่าวมาตลอดมันจะใจอ่อนและสลดกับสิ่งที่เห็นไม่ได้  ปิเยผู้ติดตามทั้งสองกลุ่มทั้งบนบกและในน้ำ

    จึงล้อมรุมเข้ามายังร่างที่จมอยู่อย่างยอมจำนน แต่ก่อนที่ซารีทั้งกลุ่มจะถึงร่างผู้ที่นอนอยู่ เกลียว

    คลื่นลูกใหญ่ก็กระแทกเข้ากับกลุ่มทั้งหมด จนทั้งหมดเสียอาการเซไป และเมื่อคลื่นผ่านไปทั้งหมด

    ก็รวมตัวกันเข้ามาอีกครั้ง  

    แต่ทว่าคราวนี้กับพบว่าตรงนั้นไม่มีร่างที่จมอยู่ครึ่งตัวของปิเยซารีผู้เคยเป็นรองหัวหน้า ที่เมื่อก่อนนี้

    จมแช่อยู่ พวกมันพยายามเร่งค้นหาอีกครั้ง พวกมันคิดว่าเกลียวคลื่นใหญ่ต้องพัดร่างหายไปจาก

    ตรงนี้ และนั่นหมายความว่า ร่างนั้นจะต้องไปเกยตื้นอยู่บนชายหาด แต่พวกมันก็มองตามไป ไร้

    วี่แววของร่างนั้น  พวกมันมองหน้ากัน และปิเยซารีร่างหนึ่งก็แสดงความคิดเห็นขึ้น 


    " เกลียวคลื่นต้องม้วนกลับมาและดึงเขาลงทะเลไปแน่เลย ถ้าไม่มีบนบกนั่น "


    ทุกปิเยซารีผู้ล่าเห็นด้วย พวกมันไล่ลงควานหาในเกลียวคลื่นที่กำลังม้วนลงทะเลอีกครั้งทันที แต่

    ด้วยความที่น้ำหมุนของเกลียวคลื่นทำให้น้ำค่อนข้างขุ่น  ทำให้การมุดน้ำหาของพวกมันยังไม่เจอ

    ร่างของอดีตผู้นำอันดับสองผู้ถูกตามล่าอยู่ดี พวกมันกระจายกันออกตามหาเป็นวงกว้างและลึกลง

    ไปในทะเลอย่างเรื่อยเรื่อยแต่ไม่มีวี่แววจะเจอร่างผู้ถูกล่า

    ปิเยซารีผู้ล่าเข้าใจถูกว่าเกลียวคลื่นได้พัดพาเป้าหมายไป แต่พวกมันเข้าใจถูกเพียงครึ่งเดียว จึง

    ทำให้ได้ไปหาในทิศทางที่ผิดและตรงกันข้าม 

    ไต้แม่น้ำจึด รองหัวหน้าอันตับสองของซารีว่ายทวนน้ำในแม่น้ำห่างทะเลออกไป มันรู้สึกโล่งใจ

    เพราะไม่มีผู้ติดตามมา 

    การที่มันหลบหนีมาได้ครั้งนี้ เกิดจากแรงกระแทกของคลื่่นน้ำทะเล ทำให้ร่างของมันที่อยู่ตอนนั้น

    และเข้าหาชายฝั่ง และเมื่อร่างของมันสัมผัสเข้ากับน้ำจืดบางส่วน  ทำให้มันคิดบางอย่างออกได้ มัน

    รีบว่ายเข้าสู่ปากแม่น้ำจึดและมุดลงไต้น้ำจึดทันที และเป็นโชคดีที่เหล่าซารีผู้ล่ากำลังเสียหลักล้มลง

    ในเกลียวคลื่นเหมือนกันจึงไม่มีใครสังเกตุเห็น

    เหล่าซารีผู้ล่างงเป็นไก่ตาแตก ที่ในรัศมีแค่นี่ทำไมไม่สามารถเห็นตัวผู้ที่กำลังล่าได้ ทั้งที่จะได้ตัว

    อยู่รอมร่อแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ราวกับผู้ถูกล่าหายตัวไปได้อย่างนั้น 

    ยิ่งเวลาค้นหานานเท่าไร เป้าหมายที่หนีไปได้ตอนนี้ ก็ห่างออกมามากจนรู้สึกได้ว่าปลอดภัยแล้ว

    ตอนนี้ ปิเยซารีผู้ถูกล่าจากพวกเดียวกัน หยุดว่ายน้ำและขึ้นมาพักผ่อน เพราะตอนนี้ห่างจากทะเล

    ออกมาไกลจนมองไม่เห็นแล้ว และแม้แต่ลมทะเลก็พัดมาไม่ถึงตรงนี้แล้วนั่นหมายถึงกลิ่นของมันก็

    คงไม่ลอยไปถึงพวกไล่ล่าแน่ มันรู้สึกแสบร้อนร่างกายที่ต้องว่ายอยู่ในน้ำจึดที่ไม่เคยอยู่   แต่มันก็

    ยังถือว่าโชคดี แม้ร่างกายบาดเจ็บยังดีกว่าเสียชีวิตไปจากภัยการไลล่า เมื่อมันอยู่บนฝั่งมันสังเกตุ

    เห็นปิเยบกบางร่างที่เคลี่อนไหวได้ เคลื่อนห่างที่ที่มันอยู่ออกไป มันรู้ทันทีว่าพวกปิเยบกที่มันไม่รู้จัก

    นี้คงจะกลัวมัน  เพราะมันรู้ว่าเหล่าปิเยน้ำซารีอย่างพวกมัน เคยล่าเหล่าปิเยบกลงไปกินอยู่เรื่อย

    เรื่อย จึงทำให้ปิเยบกคงแสดงอาการเกรงกลัวมัน แต่นอนนี้มันอยู่แค่ร่างเดียวในแหล่งที่เป็นถิ่นของ

    ปิเยบก ความคิดของมันกลับหวาดกลัวขึ้นมาเช่นกัน มันคิดว่าถ้าปิเยยกพวกนี้เห้นมันอยู่ร่างเดียว

    เกิดอยากแก้แค้นขึ้นมา

    คิดอย่างนั้นมันจึงต้องลงน้ำไปอีกครั้งและคิดว่าคงต้องล่องทวนน้ำขึ้นไปเรื่อยเรื่อยดีกว่า หาที่ว่างๆ

    เหมาะเหมาะริมน้ำที่มีที่ว่างห่างไกลปิเยบก และค่อยพักผ่อนใหม่

    ฟากปิเยซารีผู้ล่าพวกมันสาละวนกันหาเป้าหมายจนเหนื่อยอ่อนและรู้สึกหัวเสีย ครั้งจะเลิกหาเป่า

    หมายและเดินทางกลับไปมือเปล่าคงไม่ดีแน่ ถ้าหัวหน้าซารียะรู้ว่าทำงานไม่สำเร็จ พวกมันจึงไม่

    ลดละที่จะหาเป้าไม้ในรัศมีที่น่าสังสัยต่อ


    " เหนื่อยกับคลื่นที่พัดมาไม่เท่าไร แต่น้ำจึดที่ใหลมาโดนตัวนี่สิเจ็บเป็นบ้าเลย"


     ปิเยซารีร่างหนึ่งบ่นกับปิเยซารีพวกกันอย่างหัวเสีย ขณะมันทั้งสองร่วมกันค้นหาเป้าหมายอยู่ริม

    รอยต่อปากแม่น้ำ


    " ทำได้ไงล่ะปิเยเราต้องทน น้ำจืดนั่นมันแสลงกับพวกปิเยเราถ้าเป็นไปได้ ปิเยเราก็ไม่อยากมาอยู่ใกล้หรอก 

    แต่ทำไงได้ ถ้าหารอง เอิบปิเยเขาไม่เจอ พวกปิเยเราต้องลำบากแน่ "


    พื่อนปิเยซารีกล่าวตอบ และเริ่มรับรู้ในชะตากรรมตัวเอง


    " แต่มันก็เเปลก คราบกลิ่นของปิเยเขาก็ปนอยู่กับน้ำแถวนี้ไปหมด แต่กลับความหาไม่เจอ นี่ความกดดันมัน

    มาตกกับพวกปิเยเราแล้วตอนนี้ถ้าหาซากเขาไม่เจอ แล้วจะทำไง "


    ปิเยร่างเดิมกล่าว


    " จะทำไง ปิเยเราทั้งหมดที่มาล่าสังหารครั้งนี้ ก็ต้องตกไปเป็นเป้าหมายแทนนะสิ โทษฐานทำงานไม่สำเร็จ

    และเป็นงานที่หัวหน้าซารียะเห็นว่าง่ายง่ายด้วย ให้ปิเยถึงยี่สิบร่างมาล่าสังหารปิเยเพียงร่างเดียว นี่ถ้าปิเยเขา

    สงสัยว่าพวกปิเยเราทำงานพลาด จะมีปิเยนับร้อยส่งมาล่าสังหารพวกปิเยเราอีกทีแน่ "


    ปิเยเพื่อนกันตอบ


    " โอ๊ย ไม่อยากคิด ที่จริงปิเยเจ้าไม่บอกปิเยข้าก็รู้ชะตากรรมแล้วหล่ะ ที่บ่นไปไม่ใช่ไม่อยากหา แต่มัน

    หงุดหงิดน้ำเนี่ย ไม่ใหวเจ็บเจ็บแสบแสบแบบนี้ลองเข้าไปอยู่ในน้ำจืดเลยละกัน ดูซิว่ามันจะเป็นยังไง "


    ว่าแล้วปิเยซารีร่างเดิมที่บ่นก็เดินลุยน้ำที่ปนกันอยู่สวนเข้าไปใหนปากแม่น้ำทันทีด้วยความ

    หงุดหงิด เพื่อนซารีคู่สนทนารู้สึกขัน แต่ไม่คิดที่จะตามเพื่อนซารีที่บ่นอยู่ไป เพราะรู้ดีว่าในน้ำจึดนั้น

    มีปฎิกริยากับพวกมันมากแค่ใหน 

    เป็นอย่างที่ปิเยซารีเพื่อนกันคิด เพียงครู่เดียวที่ซารีขี่บ่นเข้าไปในน้ำจึดและดำมุดดำว่าย

    มันก็ต้องรึบเผ่นกลับมา 


    " เจ็บแสบสะใจจริงจริง แต่ก็ดีนะมันล้างคราบเหม็นของตัวปิเยเราไปได้เนี่ยไม่ค่อยมีกลิ่นอะไรดูตัวเบา

    ไปเลย "


    ซารีขี้บ่นกลับมาอีกครั้งแต่คราวนี้ดูมันอารมณ์ดีขึ้นเหมือนได้ผ่อนคลาย และเข้ามาช่วยปิเยซารี

    เพื่อนกันค้นหาเป้าหมายอีกครั้ง และเมื่อมันเข้ามาอยู่ใกล้ปิเยซารียะผู้เป็นเพื่อนกับเริ่มสงสัยคำพูด

    ของปิเยซารีขี้บ่น


    " ปิเยเจ้าคิดว่าน้ำจึดมันล้างอะไรบนตัวปิเยเจ้าไปได้ทั้งหมดหรือ นี่ปิเยข้ายังได้กลิ่นของรองหัวหน้าที่อยู่บน

    ตัวของปิเยเจ้าอยู่เลย แต่กลิ่นพวกปิเยเราที่ติดตัวของปิเยเจ้าไม่มีแล้ว  มันก็น่าแปลกที่กลิ่นของปิเยเขายัง

    ติดตัวปิเยเจ้าได้ไม่หลุดไปใหน เหมือนให้รู้ว่าปิเยเขายังอยู่แถวนี้ให้พวกปิเยเราค้นหา "


    ปิเยซารีเพื่อนซารีขี้บ่นกล่าวอย่างตั้งข้อสังเกต

    แต่คำพูดของเขากลับทำให้ปิเยซารีขี้บ่นคิด


    " ใช่สิปิเยข้าก็ได้กลิ่นปิเยรองหัวหน้าเหมือนกันตอนที่พยายามใช้น้ำจึดล้างร่างอยู่ แม้แต่ตอนล้างเสร็จก็ยัง

    คงได้กลิ่นปิเยเขาอยู่ หมายความว่า ในน้ำจึดนั้นมีกลิ่นของปิเยเขาอยู่ปิเยเดียวไม่มีของพวกปิเยเรา กลิ่นของ

    ปิเยเขาอยุ่ในน้ำจึด ใช่กลิ่นของรองหัวหน้าอยู่ในน้ำจึดเพียงกลิ่นเดียว ใช่ ปิเยเขาที่ปิเยเรากำลังค้นหา ปิเย

    เขาอยู่ในน้ำจึดนั่น "

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×