ลำดับตอนที่ #73
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #73 : กำแพงลับแล
" มิน่าล่ะว่าแล้ว ว่าเคยเห็นต้นไม้แบบพวกเจ้าที่ใหน ที่แท้เคยเห็นเกาะอยู่ตามต้นไม้โดยทั่วไปนี่เอง ที่เจ้ากล่าวมา มัน
ก็เป็นที่มาของพวกเจ้า แต่ตอนนี้พวกเราอยากรู้ว่าทำไมพวกเจ้าถึงได้มาคิดที่จะทำร้ายหรือจับตัวพวกเรา และทั้งพวก
มดพวกนั้นด้วย หรือว่าพวกเจ้าไม่พอใจอาหารที่ได้จากต้นไม้นั่นแล้วจึงได้คิดมาเอาพวกเราเป็นอาหารแทน "
ปลวกทหาร กล่าวถาม.
" มิได้เป็นเช่นนั้น ความตั้งใจของพวกเรากาฟีระไม่เคยที่จะเปลื่ยนแนวทางการใช้ชีวิตมาเป็นแบบนี้ ที่ต้องมาเป็นเช่นนี้
เกิดจากความผิดพลาด เพราะการที่เราเคยเป็นต้นไม้น้ำ ทำให้เรายังพอมีพวกต้นไม้น้ำที่ยังสื่อสารกันอยู่ พวกข้า
ยอมรับ เคยบอกกับพวกซารีที่เป็นต้นไม้ไต้น้ำที่ยังเคยสื่อสารกันอยู่ ว่ามีพวกสัตว์และมนุษย์บนโลกอยู่แถวนี้ ไม่นึกเลย
ว่านั่นจะทำให้ความโลภของพวกซารีกระทำการอันอำมหิต กับพวกกาฟีระของพวกเราเช่นนี้ เพียงเพื่อต้องการเอาพวก
มดหรือพวกท่านไปเป็นอาหาร "
ต้นไม้ประหลาด อธิบาย
" อย่างไรที่เรียกว่าพวกเจ้าถูกกระทำการอันอำมหิต พวกข้าเห็นว่าเจ้าก็ปรกติดีและยังเหนือกว่าใครด้วยมีอาวุธคือ
ไฟฟ้าแรงสูงที่ปล่อยออกจากร่างกายได้อีกด้วย จะเสียหน่อยก็แค่อย่างเดียวที่ต้องใช้แสงแดดในการเคลื่อนไหว ซึ่ง
ดวงอาทิตย์ดับก็ไม่ได้มีบ่อยบ่อย พวกเจ้าพิเศษอย่างนี้ จะเรียกว่าถูกกระทำได้อย่างไร "
แมงเม่ายักษ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
" สิ่งที่พวกเจ้าเห็นมันก็เพียงภาพภายนอกของพวกเรา พวกเจ้าไม่รู้อะไร แต่เดิมพวกเรากาฟีระก็มีธรรมชาติทุกอย่าง
เช่นข้าตอนนี้ พวกเราไม่มีกระแสไฟฟ้าในตัวแบบพวกข้าที่อยู่รอบรอบนี้ ความพิเศษที่พวกเราได้รับ ต้องแลกกับตก
เป็นผู้อยู่ไต้อำนาจที่สั่งของพวกซารียะ ไม่สามารถขัดขืนได้ พวกเราที่ตกอยู่ในอำนาจของมันตอนนี้ที่พวกท่านเห็น
ทั้งหมดติดเชื้อชนิดหนึ่งที่พวกซากีระและพวกต้นไม้บกนามมัจเจและโอ๊คคาระร่วมกันสร้างขึ้นมันประกอบด้วยอะไรบ้าง
ข้าก็ไม่สามารถรู้ได้ และเมื่อเกิดการติดเชื้อพวกเราก็เหมือนถูกพวกมันสะกดจิตให้เชื่อคำทุกคำที่พวกซารียะสั่ง
และเมื่อพวกเราได้รับเชื้อ ทันทีที่ร่างของตัวที่ติดเชื้อ สัมผัสถูกกัน เชื้อนั้นก็จะติดต่อถึงกันในกลุ่มกาฟีระอีกด้วย และ
นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่เหมือนพวกที่บุกมาอยุ่ตอนนี้ ข้ายังไม่ติดเชื้อ เพราะก่อนนี้ข้าอยู่บนต้นไม้ใหญ่แถวนี้กับพวกท่าน
พวกนั้นยังเข้ามาถึงตัวข้า ข้าจึงยังไม่ติดเชื้อ ดังนั้นจึงเคลื่อนไหวแม้ไม่มีแสงแบบนี้ได้ต่างจากพวกที่ติดเชื้อ และถ้ามี
แสงเมื่อไรพวกท่านก็จะได้เห็นว่าร่างของข้ายังคงเป็นสีเขียวไม่ได้เป็นสีดำอย่างกับพวกนั้น "
ต้นไม้ประหลาด อธิบาย
" ดูแล้วเจ้าพูดก็ดูมีเหตุผล แต่จะให้พวกเราเชื่อสนิทใจได้อย่างไร เจ้าอาจจะพูดจริงหรือโกหกก็ได้ รูปร่างเจ้าไม่ต่าง
กับพวกนั้นแม้แต่นิด มันอาจเป็นแผนของเจ้าก็ได้ เพื่อถ่วงประวิงเวลารอให้มีแสงอาทิตย์ขึ้นมาให้พวกเจ้ามีฤทธิ์ขึ้นมา
ก็ได้ ที่เจ้าไม่เป็นอะไรเหมือนพวกนั้น เจ้าอาจจะเป็นระดับหัวหน้าของพวกมันเลยก็ได้ เจ้ามีอะไรมาพิสูจน์มากกว่านี้
ไม๊ ว่าคำพูดของเจ้าเป็นจริง "
อัครชัย ถามขึ้น
"ข้าคิดอยู่แล้วว่าพวกท่านจะต้องไม่เชื่อ ที่จริงอยากจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เหมือนกัน แต่ข้าก็กลัวตัวเองจะต้องติด
เชื้อไปด้วย และนั่นมันก็จะทำให้นอกจากต้องเชื่อฟังพวกซารีแล้ว อายุผู้ติดเชื้อก็จะสั้นลงมามากด้วย ข้าถึงได้บอก
ว่ามันอำมหิตกับพวกเรามากไง ดังนั้นข้าขอเลือกทางพิสูจน์ดีกว่า ถึงจะยังไม่แน่ใจตอนนี้ว่าสิ่งที่พวกกาฟีระรุ่นก่อนเล่า
สู่กันมานั้นมันจะจริงไม๊ แต่ถ้ามีจริงข้าขอทำหน้าที่พาพวกท่านทั้งหมดหลบซ่อนจากพวกติดเชื้อเมื่อพวกมันหาข้าและ
พวกท่านไม่เจอ พวกเราก็จะไม่เกิดอันตราย "
ต้นไม้ประหลาด กล่าว
" ที่เจ้าพูดมันจะเป็นไปได้หรือ เจ้าคิดหรือว่าจะมีที่หลบซ่อนที่ใหญ่พอจะให้พวกเราและพวกปลวกยักษ์เป็นล้านล้าน
ตัวเข้าไปหลบซ่อนจนพวกนั้นไม่เห็นได้ ดูไปดูมาแล้วทีแรกเหมือนอยากจะเชื่อคำพูดเจ้า แต่ตอนนี้พวกเราว่าเจ้านี่คง
เพ้อเจ้อไปแล้วล่ะ หรือว่าเจ้าติดเชื้อไปแล้วด้วยตอนนี้ ถึงได้มีความคิดประหลาดแบบนี้ "
อรัญ กล่าว
" แล้วถ้าข้าทำได้ล่ะ ข้าไม่ได้เสียสติ และข้าก็มั่นใจว่าพวกกาฟีระที่อยู่ที่นี่มาก่อนต้องไม่โกหก เนี่ยอีกไม่กี่นาทีข้าก็จะ
พิสูจน์ให้เห็นได้แล้ว "
ต้นไม้ประหลาด ยังคงยืนยันคำพูด
" นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ อย่าว่าแต่ที่หลบซ่อนใหญ่ใหญ่เลย หรือถ้ามันมีที่ที่เจ้าว่าจริง เวลาแค่ไม่กี่นาทีจะเคลื่อนพล
จำนวนมากมายขนาดนี้ไปได้ทันได้ยังไง หรือว่าที่พวกเราสงสัยจะเป็นจริงเจ้าพยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุดเพื่อพวก
เจ้าจะได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทัน "
อรัญกล่าว เขายังมองไม่เห็นทางหลบอย่างที่ต้นไม้ประหลาดบอก
" เรื่องนี้เราคุยกันแล้วว่าข้าไม่ได้ติดเชื้ออย่างพวกมันจะช่วยพวกมันทำไม ให้เวลาข้าอีกไม่เกินห้านาทีนั่นคือรอเวลา
ดวงอาทิตย์ถูกบังสนิท ถ้าข้าพิสูจน์คำพูดของข้า ถ้าข้าทำไม่ได้ ขอให้พวกท่านทำอะไรกับข้าได้เลยจะฆ่าจะแกงก็ตาม
ใจ "
ต้นไม้ประหลาดกล่าว มันเอาชีวิตมันเป็นประกันคำพูด
" เอาเถอะพี่อรัญ ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก ถึงยังไงตอนนี้เราก็ยังไม่มีวิธีอื่นอยู่ดีไว้รออีกซักนิดเนี่ยพระอาทิตย์จะถูกบัง
เกือบเต็มดวงแล้ว บางทีมันอาจจะมีอะไรที่เกิดขึ้นแบบประหลาดประหลาดที่เราคิดไม่ถึงก็เป็นได้ ถ้าไม่มีจริงเราค่อยว่า
กัน "
ดุจปราย กล่าวกับแฟนหนุ่ม
" ก็ได้นี่เห็นแก่ปรายนะ ให้เวลาเจ้าจนมืดสนิทเท่านั้น ยิ่งรอเวลาตอนมืดสนิทนี่ข้าก็ยิ่งมองไม่เห็นทางใหญ่ จะเดินทาง
กันได้ยังไง "
อรัญ กล่าวเขายังคงคาใจอยู่ แต่เมื่อกล่าวกับดุจปรายไปเช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องรักษาคำพูด
" ขอบคุณที่พวกท่านยังเชื่อใจข้าอยู่ ดังนั้นข้าขอซักซ้อมหน่อยล่ะกัน ทันทีที่คำพูดข้าเป็นจริงพวกท่านทั้งหมดต้อง
เชื่อฟังคำสังข้าสักพักนึง อย่าได้มีร่างใดฝ่าฝืนมิเช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ "
ต้นไม้ประหลาด กล่าว ทุกคนงุนงงอยู่แต่ไม่ได้กล่าวอะไร เพราะเวลาอันใกล้จะพิสูจน์คำพูดต้นไม้ประหลาด
อยู่แล้ว จึงมองดูแต่ดวงอาทิตย์ลุ้นอยู่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถึงไม่ค่อยเชื่อ คำต้นไม้ประหลาดนักก็ตาม
ดวงจันทร์ขณะนี้เขาบดบังแสงอาทิตย์เกือบจะสมบูรณ์แล้วและเมื่อเป็นระยะสุดท้ายของการบัง จึงบังเกิด
เป็นคล้ายลำแสงที่เป็นแหวนเพชรตรงหัววงกลมของดวงอาทิตย์ น่าแปลกที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังมืดมิดเมื่อมี
ปรากฏการเช่นนี้มันกับส่งเเสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็หายไปและมืดสนิท ทุกคนละสายตาจากดวง
อาทิตย์ที่มืดมิด ตอนนี้ทุกคนคิดว่าไม่มีอะไรที่พิสูจน์คำพูดที่เป็นไปได้ของต้นไม้ประหลาดแล้ว
แต่ระะหว่างที่ทุกคนที่ทุกคนหันมา
" นั้นไง พวกข้าไม่ได้หรอกกำแพงเเสงปรกฎขึ้นแล้ว "
เสียงต้นไม้ประหลาด ลั่น ทำให้ทุกคนแปลกใจ ทุกคนตาไม่ฝาดสถานที่ที่พวกเขาอยู่นี้ ตอนนี้มีแสงสีเเดง
เรืองมองเห็นเป็นแนวยาว คล้ายกำแพง ที่ซ้อนสลับกันหลายชั้นและมันทอดยาวคุมพื้นที่ทั้งหมดที่เป็นที่อยู่
ของทุกคนและทัพปลวกยักษ์ตรงนี้ทั้งหมด
" เร็วเข้าพวกเรามีเวลาไม่กี่นาที ก่อนที่แสงวงเเหวนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ทุกร่างแทรกผ่านกำแพงแสงเข้าไปเมื่อเราเข้าไป
อยู่ในกำแพงเเสงนี้แล้ว มองจากข้างนอกเข้ามาจะมองไม่เห็น แต่เราอยู่ข้างในสามารถมองเห็นอะไรที่อยู่ข้างนอกได้ "
ต้นไม้ประหลาด ร้องสั่งอีกครั้ง ครานี้ทั้งพวกอัครชัยทั้งหมดเร่งทำตามพร้อมมีการถ่ายทอดคำสั่งไปจาก
ปลวกทหารให้ฝูงปลวกยักษ์ทั้งหมดทำตามที่ต้นไม้ประหลาดกล่าวอีกด้วย แม้ว่ายังไม่รู้ว่าคำต้นไม้ประหลาด
นั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่เพราะมันอาจจะดูเป็นเรื่องประหลาดมากเกินไป แต่แสงประหลาดนี้ก็ดูน่าพิศวง มัน
ก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้นมาได้ มันยังเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งหมดจึงไม่รีรอที่จะทำตาม
เพียงแค่แทรกตัวผ่านกำเเพงแสงเข้าไปมันไม่ได้กินเวลามากนัก ทุกคนเข้าใจว่ามันน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
หลังแทรกเข้ามาแต่ทุกคนคิดผิด ที่ทุกคนรู้มันเหมือนการที่เดินผ่านแสงไฟที่ส่อง เมื่อตัดแสงผ่านไปแล้วก็
ไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแสง มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปทุกคนเริ่มสงสัย และต้นไม้ประหลาดคงเข้าใจความ
คิดทุกคนดี มันจึงกล่าวกับทุกคน
" อย่างตัดแสงกลับออกมานะ นั่นหมายถึงพวกท่านจะออกมาข้างนอกกำแพงการมองเห็นเหมือนเดิม เดี๋ยวประตูแสงจะ
ปิดแล้ว "
ปลวกทหารยักษ์ได้ยินต้นไม้ประหลาดกล่าว จึงแจ้งคำสั่งไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าคราวนี้มีปลวกยักษ์บางตัว
ตัดสินใจด้วยตัวเองก่อนที่จะได้ยินคำสั่งและเมื่อได้ยินว่าต้องทำอย่างไรมันจึงเร่งจะกลับแทรกเข้าไปใน
กำแพงแสงอีกครั้ง
แต่ทันใด ดวงจันทร์ที่บังดวงอาทิตย์อยู่จนสนิทมันก็เริ่มคลายออกจนแสงจากมุมปรากฏเป็นแสงคล้ายหัว
วงแหวนก็สว่างแว๊บขึ้นอีกครั้ง และเมื่อมีแสงสว่างที่จ้าขึ้นจากการคายออกของการบังทุกคนก็เห็นว่ากำแพง
แสงที่เกิดขึ้นตอนที่ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์อยู่จนมืดมิดนั้นได้หายไปแล้ว
" พอแสงอาทิตย์มาแล้วกำแพงแสงที่เจ้าบอกก็หายไปด้วย แล้วที่นี้พวกเราก็อยู่โล่งโจ้งแบบนี้ แล้วเจ้าบอกได้ไงว่า
พวกเรากำลังหลบซ่อนให้พวกนั้นมองไม่เห็นได้ "
แมงเม่ายักษ์ถามขึ้น
" ไม่ต้องห่วงหรอกการที่พวกเราแทรกผ่านประตูกำแพงเข้ามาแล้ว ถึงแสงอาทิตย์จะสว่างจนมองไม่เห็นกำแพงในตอน
นี้ แต่พวกเราก็จะอยู่ในที่ลับแลที่อะไรที่อยู่ข้างนอกมองไม่เห็น ไปจนกว่าจะถึงรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ประตูแสงจึงจะ
สลายไป "
ต้นไม้ประหลาด กล่าวตอบ
" แล้วเราจะต้องยืนนิ่งนิ่ง ขยับเขยื้อนไปใหนไม่ได้เลยหรือไง เพราะมองไม่เห็นกำแพงเดี๋ยวอาจจะพลาดหลุดไปนอก
กำแพงอย่างที่เจ้าบอก และมันต้องอยู่แบบนี้นานแค่ใหนกัน "
อัครชัยถามขึ้น เขารู้สึกเกร็ง
" ไม่จำเป็นหรอก เมื่อเราเข้ามาแล้วถึงแสงอาทิตย์ได้ส่องโดนกำแพงแสงจนเรามองแสงนั้นไม่เห็นแล้ว แต่พวกเราก็จะ
ยังอยู่ในกำแพงแสงตลอด โดยกำแพงมันจะยืดหยุ่นและติดตามร่างพวกเราไปได้ทั้งหมด แม้แต่เวลาที่เราจะเดินไป
ทางใหน จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ "
ต้นไม้ประหลาดกล่าว นั่นทำให้ทุกคนคลายอาการเกร็งลงและขยับเดินเข้ามาหากัน
" ถ้าไม่ได้เป็นจริงอย่างเจ้าพูดล่ะ เนี่ยมันเริ่มกลับมาสว่างเหมือนเดิมอีกแล้วนะ และนั่นพวกต้นไม้สีดำนั่นเริ่มมี
กระดุกกระดิกแล้ว "
ปลวกทหาร ยังหวั่นเพราะตอนนี้เหมือนเหตุการณ์กลับมาเหมือนเดิม และพวกปลวกทั้งหมดก็ยังอยู่ใน
วงล้อมของต้นไม้ประหลาดสีดำที่เริ่มจะขยับได้แล้ว
" แล้วพวกท่านจะได้เห็นว่า ข้าพูดถูกใหม เพราะถึงตอนนี้พวกกาฟีระที่ติดเชื้อนนั้นมันจะเริ่มกลับมีฤทธิ์เพราะได้รับ
แสงแดดอีกครั้งแต่พวกมันจะงงเป็นไก่ตาแตก เพราะมองไม่เห็นพวกเราอยู่ที่นี่ "
ต้นไม้ประหลาด ยังคงกล่าวยืนยัน
ปลวกทหาร พร้อมทั้งพวกมนุษย์ ยังคงไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่เชื่อร้อยเบอร์เซนต์ว่าจะเป้นอย่างที่ต้นไม้
ประหลาดยืนยัน เพราะความที่ต้นไม้ประหลาดอ้างถึงกำแพงแสงที่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรซักอย่างถ้าไม่เป็น
จริง พวกต้นไม้ประหลาดสีดำที่กำลังชาร์จไฟให้ตัวเองอยู่กรุ้มรุมพวกเขาพินาศแน่
" ดูสิทุกคนจากมันแค่กระดุกกระดิกเมื่อกี้ ตอนนี้มันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ระยะห่างกันแค่นี้เป็นไปได้หรือมันจะมองไม่
เห็นพวกเรา ได้เตรียมแผนสองกันไว้ใหม ถ้าเจ้านี้กรุเรื่องเพื่อมาหลอกพวกเรา "
จามิกรกล่าว
" แต่ปรายคิดว่ามันไม่ได้หลอกพวกเรานะ ปรายมาคิดคิดดูมันมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน "
ดุจปราย แสดงความคิดเห็น
" ทำไมปรายคิดอย่างนั้นล่ะเราจะเชื่อใจได้ยังไง พวกนี้มันเป็นพวกเดียวกัน มันจะมาเห็นพวกเราและปลวกดีกว่าได้ยัง
ไง ที่จริงพวกเราก็ไม่ได้เตรียมแผนไว้จริงจริง ถ้าไอ้ต้นไม้มันโกหก "
อรัญกล่าว กับแฟนสาว
" เชื่อใจสาวเหนือสิ ปรายมีเหตุผล ต้นไม้มันบอกและย้ำหลายครั้ง ว่าเราเข้ามาอยู่กำแพงลับแล ทำให้ปรายพึ่งคิดได้ที่
นี่กับโลกเราเป็นมิติคู่ขนานกัน จากการที่ปรายเกิดที่ภาคเหนือและท่องเที่ยวอยู่แถวภาคนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ พอจะมอง
ออกว่าตรงนี้มันน่า จะอยู่ตรงส่วนใหนของโลกและประเทศของเรา เราล่องเดินทางจากหุบเขามนุษย์นอนลงมาทางไต้
เฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อย มาได้ประมาณสามร้อยกว่ากิโลได้ มันตรงกันกับที่ปายคิด ว่าที่นี่ตอนปายอยู่ที่โลกและ
ประเทศเราปรายเคยมาฝึกงานที่โรงพยาบาลที่นี่ จนจำได้ภูมิประเทศตรงนี้ได้ขึ้นใจ ถึงที่นี่มันจะมีแต่ต้นไม้ แต่แนว
ภูเขาก็ยังเป็นเหมือนที่โลกและประเทศเรา และมีเรื่องเล่าถึงการหลบซ่อนของคนโบราณที่หายไปบริเวรนี้อยู่บ่อยบ่อย
จนที่นี่ได้ชื่อว่า เมืองลับเเล "
ดุจปราย กล่าว
" ลับแลหรือ แถวนี้น่าจะเป็นลับแลใช่ใหม จริงสิ จาเคยได้ยินมาเหมือนกัน เรื่องประหลาดที่เป็นเรื่องเล่าสืบ
ต่อกันมาของเมืองนี้ที่อยู่ในประเทศเรา มันอาจจะเป็นแบบนี้นี่เองมีสถานที่ลี้ลับที่อยู่แล้วคนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้
และไม่ได้อยู่คนละมิติกันดัวย "
จามิการกล่าวอย่างตื่นเต้น
" อย่าพึ่งตื่นเต้นกัน ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงตามเรื่องบอกเล่า หรือจะเป็นที่ต้นไม้นี่มันกุขึ้นมาก็ยังไม่รู้ พวกต้นไม้
ประหลาดมีไฟฟ้าที่กำลังฟื้นนี่ไงจะเป็นตัวพิสูจน์ ถ้าพวกมันไม่เห็นพวกเราจริง มันก็อาจจะไป แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่าง
ที่ต้นไม้บอก และอะไรจะเกิดขึ้น
อัครชัยยังคงระแวง ต้นไม้ประหลาดขณะนี้ดูมีการเคลื่อนที่คล่องแคล่วขึ้นเนื่องจากมันได้รับแสงอาทิตย์ที่
คลายการบดบังออกจนขณะนี้เกือบจะเต็มดวงแล้ว การเสียดสีและกระทบของร่างสีดำที่หนาแน่นทำให้ทุก
คนมองเห็นประกายไฟสีม่วงแกมเขียวซ้อตกันอยู่ตลอดเวลา และพวกมนุษย์และพวกปลวกที่คิดว่าขณะนี้
พวกมันน่าจะพร้อมในการทำสิ่งที่ทุกคนกลัวแล้ว และก็เป็นจริงร่างนั้นเริ่มเคลื่อนไหวจากทุกทิศขึ้นมาและ
ย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อของมัน
" เปรี๊ย "
เสียงประกายไฟช๊อต ทำให้ทุกคนถึงกับสะดุ้ง ปลวกที่เป็นปราการอยู่ด้านหน้าสองสามตัวต้องประกายไฟ
แรงสูงจากต้นไม้สีดำมรณะที่ลุยดาหน้ากันเข้ามา เป็นไปตามคาดปลวกร่างยักษ์ อวัยวะแขนขาถูกช๊อตจน
ร่างใหม้เกรียมและชิ้นส่วนอวัยวะหลุดรุ่ยกระจัดกระจาย
" แกหลอกพวกเรา "
เหตุการที่เกิดขึ้น ทำให้ปลวกทหารถึงกับสบถคำขึ้นมาด้วยความโกรธ
" นั่นไงพวกเราก็สงสัยอยู่แล้ว "
อัครชัยกล่าวเสริม
" ไม่จริง ข้ารู้มาแบบนี้จริงจริง ทำไมมันกลับตาลปัตรเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ ทำไมบรรพบุรุษข้าต้องหลอกข้ามาแบบนี้
ด้วย "
ต้นไม้ประหลาดยังคงแก้ตัว
" เรื่องมันเป็นอย่างนี้แล้วจะทำไง พวกมันเข้ามาจะถึงตัวแล้ว หาทางกันดีกว่า "
แสงดาว ร้องกล่าวเตือนสติทุกคน
" แต่ยังไงก็ต้องลงโทษมัน และพวก เอามันโยนเข้าไปในกลุ่มพวกมัน ให้พวกมันช๊อตหรือไม่ก็ติดเชื้ออย่างที่พวกมัน
บอกเลย "
แมงเม่ายักษ์ เสนอความเห้นด้วยความโกรธ
ปลวกยักษ์ผู้ที่จับตัวต้นไม้ประหลาดอยู่ก็อยู่ในอารมโกรธเคืองเช่นกันเมื่อได้รับคำสั่งต้นไม้สีเขียวประหลาด
และพวกอีกสองสามร่างก็ถูกโยนออกไป ร่างของมันและพวกลอยละลิ่วไปตามแรงเหวี่ยงและปลิวไปสวนทาง
กับฝูงต้นไม้ประหลาดสีดำที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
" อย่าทำกับข้าแบบนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงจริง"
และยังมีคำกล่าวที่แว่วมาจากต้นไม้นั้น และมันรู้ว่าจะมีชะตากรรมอะไรที่น่าจะเกิดขึ้นกับมัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" พวกมันไปขนมดยักษ์นี่มาจากที่ใหน "
ปู่อินทร์กล่าวกับพวกเดฟโดร์นและพวกไอซ์โดร์น เขาแปลกใจ ที่เห็นต้นไม้ประหลาดสีดำ ช่วยกันลำเลียง
ร่างมดที่มีขนาดใหญ่ ยังความเเปลกใจให้ยิ่งนัก และดูพวกต้นไม้ประหลาดมันไม่ได้สนใจพวกของเขามาก
นัก ยังคงทำหน้าที่กันอยู่อย่างเดียว และใช้เส้นทางเดินทางต่อกันไปยาวเหยียด โดยใช้เส้นทางห่างจากที่
ปู่อินทร์พวกเดฟโดร์นและไอซ์โดร์นอยู่ไปไม่ไกลนัก
" อะไรกัน ข้างบนนี่มีตัวแปลกแปลกแบบนี้ด้วยเหรอ"
หัวหน้าไอซ์โดร์น กล่าวมันไม่เคยเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างนี้มาก่อนเนื่องจากคิดว่าตัวเองเคยอยู่แต่ใน
ถัำไต้ดินเสียเป็นส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นสิ่งที่อยู่บกบกที่มีรูปร่างแปลกประหลาดแบบนี้
" แปลกพวกข้าก็อยู่บนบกที่นี่มาหลายปี ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่มีลักษณะอย่างนี้ แต่ไอ้ตัวที่ต้นไม้มันขนมา น่ะยังเคยเห็น
ผ่านตาบ้าง ข้าสำผัสได้พวกต้นไม้นั่นมันมีกระแสไฟในตัวนับแสนโวลต์เลย ถ้ามันบุกเข้ามา พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ
มันแน่ "
หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าวอย่างแปลกใจ
" ท่านว่าท่านเคยเห็นพวกมดยักษ์แบบนี้หรือ เห็นที่ใหนกัน ตอนที่พวกเรามาไม่เคยรู้ว่ามีมดยักษ์แบบนี้และจำนวนมัน
มากมายขนาดนี้ ไม่มีพวกต้นไม้ที่ใหนเล่าให้ฟังด้วย "
ปู่อินทร์ ถามหน้าเดฟโดร์นอย่างสงสัย
" ข้าเคยเห็นพวกมันไปทางทิศเหนือค่อนไปทางตะวันตกนิดหน่อย พวกมันมีอานาเขตอยู่แถวนั้น แต่ไม่เคยเห็นพวกมัน
ออกมานอกอานาเขตแถวนั้น ที่เห็นนี้ข้าเข้าใจว่าพวกมันน่าจะถูกจับมา ที่จริงแล้วแถวนั้นมันไม่ได้มีแต่สัตว์แปลกแค่
แบบนี้ มันยังมีสัตว์อีกแบบหนึ่งด้วย "
หัวหน้าเดฟโดร์นตอบ
" เหรอ ยังมีสัตว์มากกว่าแบบพวกมดยักษ์นี้อีกหรือ "
ปูอินทร์ รำพึง
" ใช่ พวกนั้นก็มีเยอะเหมือนกัน แต่ทั้งสองพวกนี้ส่วนมากจะอยู่ในรูดิน แปลกทำไมถึงถูกจับมาได้ แล้วพวกต้นไม้ดำดำ
นั่นมันจะเอาสัตว์พวกนี้ไปทำอะไร "
หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกตอย่างสงสัย
" รู้แต่ว่าพวกมันต้องเอาไปแบบไม่ดีกับสัตว์พวกนั้นแน่มันถึงได้ช๊อตสัตว์นี่จนนิ่งไปหมดแบบนั้น ว่าแต่ท่านรู้จักสัตว์
พวกนี้หรือไง ถึงได้เรียกชื่อมันถูก ที่โลกมนุษย์ของท่านมีสัตว์แบบนี้อยู่ด้วยหรือ "
หัวหน้าไอซ์โดร์นแสดงความเห็นและถามปู่อินทร์ด้วยความสงสัย
" จะว่ามีก็ไม่เชิงนะ ที่โลกมนุษย์มันมีสัตว์ลักษณะแบบนี้ แต่ตัวมันเล็กมาก เล็กกว่านี้เป็นหมื่นเป็นแสนเท่าล่ะมั้ง แต่มัน
ตัวแบบนี้แหระ แต่ยังอยากเห็นสัตว์อีกอย่างที่ท่านเดฟโดร์นพูดถึงเหมือนกัน มันจะใหญ่ยักษ์แบบนี้ใหม และมันเป็นตัว
อะไรกันแน่ "
ปู่อินทร์กล่าว
" มันก็ตัวใหญ่ประมาณแบบนี้แหระ แต่รูปร่างไม่เหมือนกับตัวพวกนี้มันดูจะอ้วนอ้วนและอุ้ยอ้ายกว่าตัวแบบนี้ ด้านหน้า
มันมีเขาโค้งอยู่สองอัน "
หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าวอธิบายลักษณะ
" สงสัยจะเป็นควายแน่เลย แปลกแล้วควายทำไมมาหลงอยู่ที่ในติยากิออได้ ถ้ามีมดตัวขนาดนี้และมีควายตัวที่มีขนาด
เท่าเท่ากัน พวกมดยักษ์มันก็คงไม่ปล่อยควายเอาไว้แน่ สัตว์พวกนี้มันเป็นสัตว์กินเนื้อ และมีพละกำลังที่เกินตัวมาก
พร้อมบางสายพันธ์ก็มีพิษอีก แต่แปลกใจที่ท่านบอกว่ามันมีรู วิวัฒนาการของควายที่นี่จะทำให้ขนาดควายลงไปอยู่
ในรูเชียวเหรอ หรือคงไม่ใช่ควาย อยากเห็นจังว่าสัตว์อีกอย่างมันเป็นตัวอะไร "
ปู่อินทร์กล่าว พร้อมขมวดคิ้วอย่างงงง
" ท่านไม่ต้องงงแล้ว ตอนนี้ข้าเห็น พวกดำดำนั่นมันแบกอะไรมาที่แปลกจากที่พวกมันพามา ถึงมันมีแค่ครึ่งตัวแต่ก็
พอมองออกคงเป็นอย่างที่ท่านเดฟโดร์นบอกหรือเปล่า มันมีเขาแหลมด้วย ใช่ตัวนั้นไม๊ "
หัวหน้าไอซ์โดร์นกล่าว พร้อมทั้งชี้นิ้วให้ดู ซากปลวกยักษ์ที่พวกมดยักษ์ยังไม่ได้ทำอะไร แต่มันได้ถูกต้นไม้
ประหลาดโจมตีเสียก่อน ซากนั้นจึงถูกนำมากับพวกมดยักษ์ด้วย และเมื่อเข้ามาในระยะใกล้ที่สายตาพอจะ
มองชัดปู่อินทร์ก็สังเกตุรูปร่างนั้น
" ปลวกนี่นา มิน่าท่านถึงบอกว่ามันอยู่ในดิน ปลวกกับมดที่นี่ตัวใหญ่มาก แล้วมันมาอยู่จนมีขนาดใหญ่โตกันแบบนี้ได้
ยังไง สัตว์แบบนี้ที่โลกเราก็มีเหมือนกันอีกนั่นแหระ ที่โลกเราตัวมันเล็กมาก เหมือนกับมดพวกนั้น "
ปู่อินทร์อธิบาย
" เหรอ อืม มันมาแค่ครึ่งตัว ไอ้ตัวนี้คงตายแน่นอน มัน แต่ เอ๊ะ "
ระหว่างกล่าวอยู่จู่จู่คำพูดของหัวหน้าเดฟโดร์นก็สะดุด ทำให้ปู่อินทร์แปลกใจ จึงถามขึ้น
" มีอะไรหรือท่าน หรือว่าท่านสงสัยว่าร่างกายที่มีครึ่งหนึ่งของปลวกยักษ์นั่นมันยังไม่ตาย ร่างมันขยับเขยื้อนหรือ
ท่าน "
" ไม่ใช่ แปลก ตอนที่พวกดำดำพาร่างนี้มันผ่านไป ข้าได้กลิ่นมนุษย์ "
หัวหน้าเดฟโดร์นตอบ พร้อมทั้งทำจมูกฟุดฟิต
" จะเเปลกได้ไง ท่านก็ต้องได้กลิ่นสิ ก็มนุษย์ยืนหัวโด่อยู่นี่ไง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นมนุษย์ "
ปูอินทร์กล่าว ยังไม่ทันที่หัวหน้าเดฟโดร์นจะกล่าวอะไร หัวหน้าไอซ์โดร์นก็กล่าวขึ้นก่อน
" ใช่ สัมผัสพวกเราก็ได้กลิ่นเหมือนกัน กลิ่นมนุษย์ แต่ไม่ใช่กลิ่นท่านนะ มีกลิ่นมนุษย์ที่แตกต่างจากท่าน ร่างสัตว์ครึ่ง
ท่อนนั่นคงสัมผัสเขากับมนุษย์ที่ใหนซักแห่งแน่ "
" จริงหรือท่าน "
ปู่อินทร์อุทาน
" จริงท่าน สัมผัสพวกไอซ์โดร์นและเดฟโดร์นอย่างพวกเราได้กลิ่นมนุษย์เหมือนกัน และเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย
ไม่ใช่กลิ่นซากมนุษย์ที่ตายแล้ว เจ้าตัวประหลาดเขาโง้วนี้ต้องไปเจอมนุษย์อย่างท่าน ที่ใหนซักแห่งแน่ "
หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าว
" โอ นี่มีมนุษย์หลงเข้ามาอีกแล้วหรือนี่ และยังมีชีวิตอยู่ด้วย ถึงพวกข้าจะตายกันไปหมดแล้ว แต่ข้าก็จะได้พบกับ
มนุษย์อีก น่าตื่นเต้นมาก แต่ว่า..เอิป เออ ถึงตอนมันสัมผัสกับปลวกยักษ์ ตอนนั้นเขายังอาจจะมีชีวิตอยู่ เป็นไปได้ใหม
ทั้งมดยักษ์ปลวกยักษ์แบบนี้ เขาอาจจะตายหลัง ที่ได้สัมผัสกับปลวกยักษ์ตัวนี้แล้ว "
ปูอินทร์ตื่นเต้น แต่เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เขาก็อ่อนลงและพยายามหาคำถามเพื่อความแน่ใจว่าเขาควรจะ
ดีใจต่อได้หรือไม่
" เป็นไปได้ทีเดียว ข้าก็คิดอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนั้นเช่นกัน พวกมนุษย์ดูอ่อนแอเกินไปท่าเทียบกับสัตว์ท่าทางดูร้าย
สองอย่างนี้ ว่าแต่ท่านคิดว่าพวกท่านตายไปหมดแล้ว ตอนนี้ข้าพอมีหนทางพิสูจน์แล้วล่ะ ท่านจะลองใหม"
หัวหน้าเดฟโดร์นตอบพร้อมมีความคิดอย่างหนึ่งที่ปู่อินทร์ยังไม่เข้าใจ
" ได้สิข้าอยากรู้ แต่ทำไมท่านถึงอยากจะมาพิสูจน์ตอนนี้ ถ้ามีทางจริงทำไมปล่อยให้ข้าอยากรู้อยู่ตั้งนาน ท่านจะพิสูจย์
ยังไงกัน "
ปู่อินทร์ กล่าว
" งั้นท่านส่งมือมาสิ "
หัวหน้าเดฟโดร์นสั่ง ปู่อินทร์ทำตามพร้อมส่งมือมาให้อย่างงงงง เขาเองไม่รู้ว่ามือของเขาจะบอกอะไรได้บ้าง
หัวหน้าเดฟโดร์น จับมือนั้นเอาเข้าไปใกล้ที่จมูกมัน ลมหายใจอุ่นทำให้ปู่อินทร์รู้ว่าหัวหน้าเดฟโดร์นกำลังสูด
ดมมือนั้น สักครู่มันก็ปล่อยมือปู่อินทร์ลง พร้อมกับกล่าว
" เมื่อไม่นานนี้พวกของท่านคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ "
ปู่อินทร์ได้ยิน เขาจึงกล่าวตอบกับไปทันที
" ใช่สิท่าน พวกข้าทั้งหมดตอนที่พวกท่านจับข้าแยกออกมามาพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทุกคน แต่หลังจากนั้นต่างหากที่
สงสัยว่าพวกเขาได้จากข้าไปแล้ว ท่านคงได้กลิ่นไอชีวิตพวกเขาที่มือข้าใช่ใหมจึงคิดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ "
" นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ข้าอยากจะบอก กลิ่นในมือท่านมีกลิ่นหนึ่งมันตรงกับกลิ่นที่ผ่านไปเมื่อกี้นี้ นั่นหมายถึงพวกท่าน
คนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่มาได้ อีกนาน จนถึงเวลาที่เจอกับสัตว์ตัวที่พากลิ่นของเขาไปนี้ สิ่งที่พวกเราสงสัยว่าพวกเขาตาย
กันไปหมดแล้วตั้งนานแล้ว พวกเราอาจจะคิดผิด อาจมีคนใดคนหนึ่งรอด หรืออาจจะทั้งหมดเพียงแต่ร่างสัตว์ตัวนั้นมัน
สัมผัสได้แค่ร่างของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้นเอง "
หัวหน้าเดฟโดร์นอธิบาย
" จะ จะ จริง หรือนี่ "
ปูอินทร์อุทาน
" จริงสิ กลิ่นชีวิตบอกอย่างนั้น เขาหรือพวกเขามีชีวิตอยู่มาได้นานจนเราคาดไม่ถึง ไม่น่าเชื่อเขาจะอยู่ในภาวะป่าที่
อันตรายแบบนี้ได้ พวกมนุษย์อย่างพวกท่านแกร่งเกินกว่าที่เราคาดถึงจริงจริง "
หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าว ปู่อินทร์นิ่งอย่างใช้ความคิด และความหวังก็เริ่มมีสะดุดอยู่ในใจ
" อย่างนั้นถ้าเกิดพวกเขา มีชีวิตอยู่ก็แปลว่าพวกเขาคงอยู่ต้นทางที่ตัวประหลาดนี้จับพวกมดยักษ์และปลวกยักษ์มาใช่
ใหม บางทีพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตรอดอยู่ก็ได้ เพราะขนาดที่พวกเราสงสัยว่าพวกเขาตายไปตั้งนาน เขายังมีชีวิตอยู่มา
ได้ถึงเพียงนี้เลย "
ปู่อินทร์กล่าว อย่างมีความหวัง
" ใช่ แต่ถ้าเป็นต้นทางที่ข้าเคยเห็นพวกมัน สัตว์ทั้งสองอย่างนี้อาศัยอยู่ มันก็ไกลจากที่นี่มาก น่าจะใช้เวลาเดินทาง
ด้วยความเร็วอย่างพวกข้าซักสองถึงสามวัน ถ้าท่านอยากรู้เรื่องนี้ เราไปพิสูจน์กันไม๊ "
หัวหน้าเดฟโดร์น เสนอ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" มันมาแล้วไง อาหารของปิเยข้าและพวกปิเยข้า ปิเยกาฟีระมันนำมานั่นแล้ว "
ปิเยซารียะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความดีใจ ที่เห็นต้นไม้ประหลาดช่วยกันลำเลียงร่างมดยักษ์ใกล้เข้ามา
และจวนจะถึงชายทะเลที่อยู่ของพวกมันแล้ว การวางแผนร่วมกันปิเยโอ๊คคาระ และปิเยมัจเจ ในการ
ประสานพิษที่ได้จากปิเยดอกจากไต้ทะเลหลายชนิดเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งสลักพิษส่งต่อให้กับร่างปิเยกาฟีระ
พร้อมทั้งแพร่ขยายเป็นเชื้อติดต่อเข้ากับพวกปิเยกาฟีระแทบจะทั้งหมด ทำให้ปิเยกาฟีระ ต้องยอมทำตาม
คำสั่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้สิ่งที่จะได้มาซึ่งยาถอนพิษเมื่อมันทำสิ่งที่ถูกใช้ให้ทำสำเร็จ แต่พวกปิเยกาฟีระไม่รู้
เลย ว่าปิเยซารียะและพวกไม่สามารถคิดค้นยาถอนพิษนี้ได้ทัน เพราะไม่มีความตั้งใจจะถอนพิษร้ายในร่าง
ปิเยกาฟีระ แต่แรกแล้วด้วย กว่าที่พวกกาฟีระจะรู้ว่าถูกหลอกใช้ ก็ต่อเมื่อพวกปิเยกาฟีระทำทุกอย่างที่ปิเย
ซารียะสั่งนั้นสำเร็จแล้ว ปิเยซารียะจึงตั้งใจว่าจะบอกสิ่งอัปยศแก่พวกปิเยกาฟีระ
" พวกปิเยเรานี่เก่งจริงจริง สามารถนำสัตว์ที่อยู่ไกลออกไปนับพันกิโลเอามาเป็นอาหารได้ อย่างนี้ถ้าทุกอย่างตรงนี้
สำเร็จหมด ปิเยข้าขอพาปิเยกาฟีระไปที่ชายทะเลฝั่งตะวันออกได้ใหม ความแค้นของปิเยข้าจะได้ชำระซะที "
ปิเยมัจเจ กล่าว
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้สิ ยังมีพวกปิเยกาฟีระ หน้าโง่อีกเยอะที่พอจะให้ปิเยเจ้าเอาไปใช้ได้ และไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกอย่าง
ตรงนี้เสร็จหมดหรอก ปิเยเจ้าเร่งเอาไปทำการก่อนได้เลย เพราะอีกไม่นานพวกมันก็จบสิ้นทั้งหมดแล้ว "
ปิเยซารียะ กล่าวอย่างอารมณ์ดี
" ขอบใจปิเยท่านมาก เห็นทีปิเยเราและปิเยท่านโอ๊กคาระคงต้องเร่งขอตัวไปก่อน อยากขจัดเสี้ยนหนามคาใจแย่แล้ว
คราวนี้คิดว่าพวกปิเยติอากอมันไม่รอดแน่ "
มัจเจ กล่าว
" ดี ขออวยพรให้ปิเยเจ้าและปิเยโอ๊คคาระโชคดี การใดที่พวกปิเยเจ้าไม่เคยสำเร็จ มาครานี้พวกปิเยเจ้าโชคดีที่มาเจอ
ปิเยข้าแล้ว พวกปิเยเจ้าจะได้จบปัญหาได้เสียที ไปทำให้สำเร็จและรีบกลับมาฉลองความสำเร็จที่นี่ ปิเยข้าจะรอพวก
ปิเยเจ้าและคอยฟังข่าวดีด้วย "
ปิเยซารียะ กล่าว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" เหตการณ์น่าจะปรกติแล้ว ปิเยท่านตะเคียน่า เห็นทีพวกปิเยเราคงต้องกลับไปตะเนยาเสียที ทีนั่นจะเสียหายขนาด
ใหนไม่รู้ ปิเยข้าชักอย่างเห็นซะแล้ว สิ"
ปิเยติอากอกล่าวชักชวน หลังจากที่หลบมาอยู่ชายฝั่งทะเลได้นานนับเกือบอาทิตย์ ตอนนี้ปิเยติอากออยาก
กลับไปเคยอยู่เต็มทนแล้ว ยิ่งพอพวกปิเยที่ส่งไปสืบได้แจ้งข่าว และ เขาทราบข่าวว่าพวกของมัจเจถูกลาวา
ร้อนแห่งภูเขาตะเนยา สังหารไปจนเกือบหมดสิ้นที่เหลือต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ชายทะเลอีกด้านหนึ่งด้วย
จำนวนที่เหลือเพียงไม่กี่ร่าง นั่นยิ่งทำให้ ติอากอยิ่งคลายความกังวลต่อสถานการณ์ที่อาจจะถูกขัดขวางใน
การกลับไปที่ตะเนยา ด้วยนั้น จึงทำให้เขาเห็นว่าเวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่สมควรที่จะกลับที่สุดแล้ว
" อืมปิเยข้าเห็นด้วย เวลานี้เหมาะที่สุด ที่ก่อนหน้านี้ปิเยข้าคัดค้านมาตลอดเพราะห่วงสถานการที่อาจจะเกิดอันตราย
จากพวกมัจเจมัน ตอนนี้รู้แล้วว่าพวกมัจเจมันคงไม่มีกำลังมาทำอะไรพวกปิเยเราได้แล้ว "
ปิเยตะเคียน่ากล่าว
" ถ้าอย่างนั้นปิเยข้าเตรียมเคลื่อนพลเลยนะ ปิเยท่านทั้งสอง ปิเยข้าก็อยากกลับไปเต็มทนเหมือนท่านติอากอเหมือน
กัน พวกปิเยเราก็เหมือนกัน เห็นบ่นกระปอดกระแปดมาสองสามวันแล้วว่าอยากกลับ จะมีก็แต่พวกปิเยอิสลาทิสเท่านั้น
ดูมันเริ่มคุ้นชินกับน้ำทะเลแล้ว ไม่รู้ปิเยมันอยากกลับหรือเปล่า"
ปิเยทาร์กล่าว
" น้ำทะเลยังไงก็คงสู้น้ำจึดไม่ได้หรอก ปิเยท่าน ปิเยข้ารู้ดี ถึงมันจะมีความกว้างใหญ่กว่ากัน แต่พวกปิเยอิสลาทิสไม่
ชอบมันมากกว่าน้ำจืดแน่ อันนี้ปิเยทาร์ท่านไม่ต้องห่วง "
ปิเยหิรินร่างหนึ่งแสดงความคิดเห็น
" ถ้าอย่างนั้นปิเยข้าก็หมดห่วง ปิเยหิรินส่งข่าวไปให้พวกปิเยข้ารับข่าวปิเยเรามีเวลาให้ทุกร่างเก็บสัมภาระและเตรียม
ตัวออกเดินทางสามชั่วโมง พวกปิเยเราจะกลับตะเนยากัน "
ปิเยทาร์ ออกคำสั่ง ทันที่ที่คำสั่งถูกถ่ายทอดไป มีเสียงเฮลั่น ปิเยทั้งหมดดีใจที่จะได้กลับบ้านเสียที ถึงรู้ว่าที่
นั่นมันอาจจะคงเป็นแค่ซากปรักหักพัง แต่พวกปิเยทั้งหลายคิดว่ามันอาจจะบูรณะขึ้นมาใหม่ได้ เพื่อให้
เหมาะกับเป็นถิ่นที่อยู่ต่อไป ปิเยทั้งหมดต่างเร่งกุลีกุจอเก็บสัมภาระอย่างรวดเร็วพวกปิเยยังคิดว่าเวลาที่ให้
เก็บของมันมากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะด้วยใจที่ร้อนรนนั่นเอง
ไม่นานของทุกสิ่งทุกอย่างถูกเก็บเรียบร้อยพร้อมจะเดินทาง แต่ปิเยทาร์ยังถือเอาเวลาเดิมที่สั่งไป เผื่อ
อาจมีปิเยใดล่าช้าเพราะถือเอาเวลาที่ได้รับคำสั่งนั้น จนเเสงแดดแรงกล้าขึ้นและใกล้ได้เวลาที่ปิเยทาร์
กำหนด ทุกปิเยใจจรดจ่อที่จะได้รับคำสั่งสุดท้ายให้เคลื่อนทัพ ได้เวลาแล้วปิเยทาร์มองไปดูความพร้อมอีก
ครั้งและเมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงมองไปจุดหมายที่ยอดเขาตะเนยาที่มองเห็นไกลอยู่ลิบลิบ และจะชี้
มือไปทางนั้นเพื่อออกคำสั่ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น