ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #67 : มฤตยู คู่มรณะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 163
      15
      21 พ.ค. 62

    ปลายักษ์หลายตัวที่อยู่ในน้ำ ต่างกระโดดขึ้นจากน้ำ ทุกคนไม่แปลกใจที่มันสามารถ

    กระโดดได้เพราะเป็นสัตว์ที่นี่อาจมีธรรมชาติเหนือความคาดหมายของทุกคนอยู่แล้ว  แต่

    แปลกใจที่ทำไมมันพึ่งคิดจะมากระโดดในตอนนี้ เพราะในเมื่อมันนคิดจะกระโดดทำร้าย

    พวกเขา ทำไมไม่ถือโอกาสที่พวกเขาอยู่กลางลำน้ำเพราะพวกเขาจะหลบเลี่ยงได้ยาก

    กว่าตอนที่ อยู่บนฝั่งแบบนี้ ทั้งหมดถอยกรูด เข้าใจว่าปลาที่กระโดดน่าจะคิดว่าทำร้าย

    พวกเขา แต่ทุกคนก็แปลกใจ ปลาพวกนั้นการโดดของมันกลับลอยสูงจนน่าแปลกใจไม่มี

    ตัวใดเข้ามาใกล้พวกเขา ต่างกระโดดข้ามหัวพวกเขาไปลอยสูงเข้าไปในทรงพุ่มของ

    ต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ ทุกคนมองตามไปด้วยความแปลกใจ และทุกคนยิ่ง

    ประหลาดใจขึ้น เมื่อมีสายที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ ที่ทุกคนเข้าใจว่าน่าจะเป็นเถาวัลย์หรือราก

    ของต้นไม้นั้น หรือเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ทุกคนรู้ว่ามันต้องเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ต้นนี้

    แน่ หลายเส้นสายมีความเคลื่อนไหวและ ปลายสายนั้นทุกเส้นสัมผัสเข้ากับหางปลาทุกตัว

    ที่กระโดดขึ้นไป ทุกคนสังเกตุได้เพราะเมื่อหางปลาสัมผัสกับปลายสายเส้นนั้น สายมันก็

    ห้อยลงมาและมีปลายักษ์อยู่ที่ปลายสายเถาวัลย์นั้นแทบทุกอัน 


    " คุณพระช่วย มันช่างเหมือนกับรากไม้แมงมุมนั่นเลยที่เราหลงเข้ามาครั้งแรก "


    แสงดาวอุทาน ภาพที่เคยเห็น เธอจำได้เพียงแต่ว่าตอนนั้นมันเป็นแมงมุมยักษ์ แต่ขณะนี้

    มันเป็นปลา แต่ที่เธอแปลกใจปลาเหล่านั้นมันพึ่งกระโดดขึ้นไปจากในแม่น้ำ 

    ยังไม่ท้นที่ทุกคนจะกล่าวอะไร ทุกคนก็ต้องตกใจ สิ่งที่ทุกคนกลัวอยู่เมื่อครู่นี้ตอนนี้มันเริ่ม

    เป็นความจริง ปลาที่ห้อยอยู่ทั้งหมดนั้น พุ่งเข้าหาพวกเขาทันที ทั้งที่มีสายติดอยู่ที่ปลาย

    หางของมัน สังเกตุได้ว่าสายนั้นมันยืดหยุ่นและยาวออกมาได้ตามแรงพุ่งเข้ามาหาทุกคน

    ของฝูงปลา ทั้งหมดพยายามล้มตัวลงเลี่ยงหลบคมเขี้ยวของปลายักษ์ ที่สังเกตุได้ว่ามันอ้า

    ปากหมายจะฝังคมเขี้ยวเข้ากับร่างของทุกคนแน่ เพียงแต่เป้าหมายไม่ได้เป็นเป้านิ่ง ให้

    มันทำสำเร็จได้ ตอนนี้สายตาที่มีความแม่นยำด้วยความพิเศษ ในการมองเห็นที่เหนือความ

    ปรกติ ทำให้ทุกคนเบี่ยงร่างกายหลบได้ทันทุกครั้งที่มีปลายักษ์ตัวใดตัวหนึ่งพุ่งเข้ามา  

    เมื่อพลาดเป้าหมาย ปลายักษ์เหมือนถูกดึงกลับเหมือนสายนั้นมีสปริงค์อยู่ มันเด้งขึ้นไป

    และถูกส่งพุ่งกลับมาอีกครั้ง แต่ทุกคนดูมั่นใจในสายตาตนเองมากแล้วตอนนี้ พวกเขา

    หลบได้ทุกครั้งและพยายาม ก้มบ้างหลบบ้างถอยห่างออกไปจากต้นไม้ และฝูงปลายักษ์ที่

    พุ่งเคว้งอยู่ในอากาศ หวังว่าระยะที่ห่างออกไปจะทำให้สายที่ส่งฝูงปลายักษ์นั้นอาจไม่มี

    รัศมีที่ไกลไม่สามารถส่งร่างปลายักษ์เข้ามาถึงได้ และทุกคนก็เข้าใจถูกฝูงปลาที่พุ่งเข้า

    มาเริ่มมาไม่ถึงร่างทุกคนขณะที่ทุกคนถอยห่างออกมา


    " โอ๊ย หัวใจจะวาย มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ต้นไม้กับปลา ประสานพลังกันจะกินพวกเรา นี่ถ้าเรา

    หลบคมเขึ้ยวฝูงปลานี่ไม่ได้  เราอาจถูกพวกมันทั้งฝูงรุมกินเอา และเนื้อของพวกเราต้องนำส่งต่อ

    ไปตามเถาวัลย์นั่น และไปเป็นอาหารต้นไม้อีกทีแน่ "


    จามิกรตั้งข้อสังเกตุ


    " คงใช่ แต่น่าพิศวง จริงจริง ปลาพวกนี้ทำไมมันถึงยอมลงไปหาอาหารในน้ำและถ้าได้คงนำกลับ

    มาให้กับต้นไม้ และมันคงต้อนพวกเรามา เพราะเห็นว่าเป็นอาหารมื้อใหญ่ หวังจะมารุมกินพวกเรา

    ที่ฝั่ง ดีนะที่สายตาพวกเราดีกว่าปรกติ เห็นได้ชัดเลย เราเลยหลบพวกมันได้ "


    อัครชัย กล่าว


    " แต่จามาคิดอีกที่นะ บางทีปลาพวกนี้อาจไม่ได้เป็นสัตว์อย่างที่พวกเราคิด มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง

    ของต้นไม้ต้นนี้ก็ได้ มันอาจจะแบ่งส่วนของมันไปหาอาหารไกลไกล และเมื่อต้องท่องไปในแม่น้ำ

    มันจึงทำสภาพให้เหมือนกับปลาเพื่อลงไปหาอาหารในน้ำได้ "


    จามิกร ตั้งข้อสังเกตุด้วยความสงสัยอีก


    " แต่ที่พวกเรากินนั่นมันเนื้อปลาชัดชัดเลยนะ จา ยังไงก็มองเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ไม่ได้ "


    แสงดาวกับเห็นแย้ง เพื่อนสาวเพราะเธอมีเหตุผลประกอบ


    " เอาเถอะมันจะเป็นอะไรก็ช่าง เราคงอย่าหาข้อยุติและฟันธงกันเลย ที่นี่คงใช้ตรรกกระและ

    ธรรมชาติบนโลกเรามาตัดสินคงไม่ได้หรอกจะปวดหัวเปล่าเปล่า ยังไงเราก็รอดมาได้แล้ว ถึงเรา

    เถียงกันไปก็หาข้อพิสูจน์ไม่ได้หรอก "


    อัครชัย เริ่มตัดบท เพราะเขาเห็นว่าดูจะปวดหัวแน่ถ้าจะมาบอกว่าความสงสัยความคิดของ

    ใครผิดหรือถูกเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในที่แห่งนี้  ดูจะเสียเวลาและกังวลกับความคิดเสีย

    มากกว่า 


    " จริงอย่างพี่หมอว่าล่ะแสงดาว จา อะไรก็เป็นได้ที่นี่ จะปวดหัวกันแน่ถ้าเรามาคิดเรื่องความน่าจะ

    เป็นแบบนี้เป็นแบบนั้นแบนนี้กัน "


    ดุจปรายกล่าวเตือนสติ


    " แล้วที่นี่จะทำยังไงกันล่ะ สายน้ำยังไม่ใหลลงไปตะวันออก แสดงว่าเราจะต้องตามสายน้ำนี้ลงไป

    ทางไต้อีก ที่นี่พวกเราจะเดินไปหรือล่องแพถ้าล่องแพเราก็ต้องทำแพใหม่ "


    กานต์แสดงความคิดเห็น หลังจากที่ได้ข้อสรุปในเรื่องปลาต้นไม้นั้นแล้ว 


    " คิดว่าน่าจะต่อแพอีกนะ บนบกนี่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรทีน่ากลัวอีกหรือเปล่า ดูต้นไม้ที่นี่ใหญ่และแฝงไว้

    ด้วยความน่ากลัวอย่างประหลาด เดี๋ยวจะเป็นอย่างต้นที่ปลาไปติดอยู่นั่นอีก ในน้ำที่เห็นนอกจาก

    ปลานั่น พวกเราก็ยังคงไม่เจออะไร แล้วปลานั่นก็ยังติดอยู่กับต้นไม้อยู่ มันยังไม่ลงไปในน้ำอีก ใน

    น้ำน่าจะปลอดภัยกว่าว่าไม๊ "


    อรัญถามความเห็น


    " ผมเห็นด้วยนะ กับอรัญ เรากลับไปทางน้ำดีกว่า เดินทางได้ไวกว่าด้วย พวกเราไม่เสียกำลังมาก 

    เพียงแต่เราอาจจะทำแพให้มันใหญ่และหนาขึ้น เพื่อไม่ถูกอะไรโจมตีง่ายง่ายแบบเดิม "


    อัครชัยกล่าว ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งหมดเดินท่องเลียบลำน้ำลงมาเพื่อหาต้นไม้ที่จะ

    สามารถตัดเอามาเป็นเเพอีกครั้ง และทุกคนก็ได้เจอกับกลุ่มต้นไม้ประหลาดกลุ่มหนึ่ง ที่มี

    ลำต้นใหญ่แต่ไม่มีใบเลย แต่ทุกคนสังเกตุได้ว่ามันไม่ใช่ต้นไม้ตายเพราะสังเกตุลำต้นมัน

    ยังสดอยู่ แต่มีรูปลักษ์ที่ประหลาด


    " เอ๊ะต้นไม้กลุ่มนี่แปลกนะ ไม่มีใบเลยมีลำต้นข้างปลายเรียวยาวมองเหมือนแส้ม้าขนาดยักษ์

    ตั้งอยู่บนดิน และปลายสายต้นของมันงอลงมาเกือบถึงพื้น และมันอยู่ได้ยังไงไม่มีใบสังเคราะห์ "


    จามิกร ตั้งข้อสังเกตุพร้อมบรรยายลักษณะ


    " ต้นไม้ที่นี่มันคงไม่ต้องมีใบก็ได้หรอกมั้งจา ดูอย่างไอ้ต้นที่มีปลาที่ปลายนั่นสิ มันหากินได้ ถึงจะ

    มีใบและรากก็คงมีประกอบไปอย่างน้้น แต่เรื่องหาอาหารคงเป็นส่วนเถาวัลย์ที่ติดปลานั่นมากกว่า "


    กานต์ ตอบแฟนสาว


    " สงสัยจะจริงอย่างพี่กานต์บอกนะจา แต่ปลายต้นเถาต้นนี้มันมีขนาดใหญ่มากเลยนะ ถึงมันจะมอง

    เหมือนเถาวัลย์ที่ติดปลายตัวปลาต้นนั้น ถ้าเถาวัลยัเส้นใหญ่ขนาดนี้ มันต้องติดกับปลาฉลามหรือ

    ปลาวาฬ นั้นละมั้ง " 


    แสงดาวกล่าวอย่างติดตลก


    " ช่างเหอะทุกคนอย่างที่บอกแหระจะสงสัยอะไรที่นี่คงได้คำตอบยาก ว่าแต่ตรงนี้โล่งดีนะ เราใช้

    แถวนี้เป็นที่ทำแพไม๊ท่อนไม้ก็ไปเอาจากที่อื่น มารวมกัน "


    อัครชัยแสดงความคิดเห็น 


    " เออดีดี "


    ทั้งอรัญและกานต์เห็นดีด้วย ทุกคนแยกย้ายกันไปเป็นคู่คู่ สรรหาไม้ที่ตัดมาขนาดพอที่

    ประมาณได้ว่าใหญ่กว่าครั้งที่แล้ว และความใหญ่ก็ทำให้ทุกคนสามารถนำมาได้ครั้งละ

    ท่อนเท่านั้น 


    " พอไม้คนละท่อน หกท่อนแล้ว "


    แสงดาว กล่าวพร้อมกับวางท่อนไม้ที่แบกอยู่ลงร่วมกับทุกคนที่เอามาได้ก่อน


    " ถ้าเป็นแพแล้วยังเล็กไป อย่างน้อยซักสิบท่อน งั้นเดี๋ยวสองคู่ไปหามาอีกสี่ท่อนก็ได้ ผมกลับจา

    จะไปหาเถาวัลย์กันเอง "


    กานต์กล่าว  และทุกคนก็ไปหาของตามหน้าที่ที่แบ่งกันอีกครั้ง ไม่นานทั้งหมดก็กลับมา

    และได้ของมาตามที่ประสงค์ครบครัน  

    ทั้งหมดกุลีกุจอเตรียมจะมัดมันรวมเข้าด้วยกัน  ระหว่างที่อรัญพยายามยกไม้ขึ้นไปมัด

    เลียงกัน พลันสายตาที่มองขึ้นไปของเขาก็สังเกตุเห็นสิ่งปรกติ ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มต้นไม้

    ประหลาดไม่มีใบที่อยู่รอบรอบตัวพวกเขา 


    " เอ๊ะทำไม ปลายต้นไม้รอบรอบตัวเรานี่มันเคลื่อนไหว "


    คำกล่าวของอรัญทำให้ทุกคนก็เริ่มสังเกต จริงอย่างอรัญบอกไม้ประหลาดเริ่มเคลื่อนไหว

    โดยเฉพาะส่วนปลายของมันทุกต้น เริ่มขยับเคลื่อนไหวและเลื้อยไปมา ทุกคนคิดว่าไม้

    พวกนี้อาจจะเข้าทำร้ายทุกคน พวกเขาพยายามหาทางที่จะหลบเลี่ยงในขณะที่ปลายต้น

    ของมันหันมา แต่ทุกคนก็ประหลาดใจ ไม้ทุกต้นมันกลับเริ่มหยูดเคลื่อนไหวและทุกปลาย

    ไม้ได้หันไปทางแม่น้ำ และสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น 


    " ตกใจหมด อยู่อยู่ก็มาเคลื่อนไหวแบบนี้ ยิ่งระแวงอยู่ "


    ามิกรกล่าว และเธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก คนอื่นอื่นก็ดูผ่อนคลายลง


    " เมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็ประกอบแพกันต่อเุถอะ ต้นไม้พวกนี้ก็แปลกนึกจะขยับก็ขยับ  ไม่เข้าใจมัน

    จริง จริง ทำไมมันจะต้องหันยอดไปทางแม่น้ำ หรือว่ามันจะดูดไอน้ำมาใช้เป็นอาหาร "


    อัครชัยกล่าว เขาและทุกคนเห็นอาการแปลกแปลกของต้นไม้ นึกสงสัยเหมือนกันว่ามันจะ

    เป็นอย่างที่อัครชัยสงสัยหรือเปล่า และขณะที่ทุกคนกำลังจรดจ่อไปที่แม่น้ำนั้น พลัน

    ทั้งหมดก็ต้องสะดุ้งสุดตัว ที่ในแม่น้ำนั้น มีสิ่งหนึ่งพุ่งพรวดขึ้นมาจากแม่น้ำนั้น ร่างนั้นมัน

    ดูเผินเผิน เหมือนงูที่มีขนาดใหญ่และยาวมาก มันพุ่งลอยเข้ามาใกล้ทุกคน ด้วยความ

    ตกใจทำให้ทุกคนตกตะลึงจนก้าวขาไม่ออก จนกระทั้งท่อนไม้ในมืออรัญหลุดมือลงบน

    พื้นเกิดเสียงดังขึ้น ทุกคนจึงได้สติ 


    " งะ งะงูยักษ์ ชะชะช่ายไหม "


    แสงดาวอุทาน สิ่งที่เธอเห็นเธอสงสัยว่าจะเป็นงูแน่ เพราะมีเกร็ดสีเขียวเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่

    เธอไม่แน่ใจคือเธอมองเห็นว่าร่างยาวนั้นกลับมีครีบเลียบไปกับลำตัว และทันทีที่มันพ้นน้ำ

    ขึ้นมา ที่ก็เห็นครีบที่เป็นหางของมันด้วย 


    " มะ ไม่ใช่ งูมันเหมือนปลา เอ๊ะไม่ใช่สิ มันเหมือนพญานาค ไอ้ตัวนี้พญานาค "


    จามิกรกล่าวอย่างตื่นตระหนก ถึงเธอจะไม่เคยเห็นตัวจริงของพญานาคมาก่อนและไม่

    แน่ใจว่ามันจะมีจริงหรือเปล่า แต่สิ่งที่จามิกรเห็นในขณะนี้ มันเหมือนภาพในรูปหรือใน

    หนังที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายเรื่อง เพียงแต่ตัวมันใหญ่มากกว่าสิ่งที่สื่อออกมาจากหนังทุก

    เรื่องแน่  ร่างยาวยักษ์พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ และพุ่งต่ำลงมาที่มนุษย์อยู่ เท่านั้น ทั้งกลุ่มก็

    แตกฮือ แบบไม่คิดชีวิต และก็เป็นโชคดีที่ทุกคนหนีได้ทัน เพราะมีไอร้อนและสารละลาย

    อย่างหนึ่งพวยพุ่งออกจากปากร่างยาวยักษ์เข้าไปจุดตรงที่ทุกคนอยู่ ก่อนที่จะแตกวงออก

    กันมา และเป็นผลให้ต้นหญ้าขนาดเล็กบริเวรนั้นถูกแผดเผาให้แห้งไปในทันที


    " โอ๊ะ "


    ดุจปราย อุทาน ด้วยความรีบเร่งจากการหนีดุจปรายสะดุดกอหญ้าเสียหลักล้มลง ทำให้

    อรัญที่กำลังจะถลันไป ต้องรีบหยุดเเละรีบเข้ามาช่วยแฟนสาว  ดุจปรายรู้ว่ายิ่งช้าเท่าไร

    อันตรายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เธอ รีบส่งมือให้แฟนหนุ่มพยุง และเห็นว่าทุกคนได้เข้ามารวม

    กันแล้วและพยายามจะเข้ามาช่วยเธอ  ขณะที่รออรัญเข้ามาดึงมือเธอนั้น ดุจปรายมอง

    เห็นสิ่งผิดสังเกตุ ผู้พยายามเข้ามาช่วยเธอตอนนี้ ดูจากสายตาแล้ว มันไม่ได้มีแค่ ห้าคน 

    แต่เธอมองว่ามันมีจำนวนมากกว่านั้น และร่างที่เพิ่มมาเดินออกจากแนวป่าเพิ่มมาเรื่อย

    เรื่อยด้วย  ยังไม่ทันได้บอกทุกคน เธอรู้สึกได้ว่ามีลมอุ่นอุ่นมาประทะแผ่นหลังของเธอ เธอ

    รู้ได้ทันทีว่ามันน่าจะเกิดจากอะไร และลมอุ่นนี้คงจะร้อนขึ้นในไม่ช้า ดุจปรายกระเสือก

    กระสนหนึก็พอดีกับอรัญเอื้อมมือ เอื้อมมาถึงและเขาดึงดุจปรายออกไปจากจุดนั้นได้ทัน

    เวลาพอดี และเป็นดังคาด ทันทีที่ร่างดุจปรายพ้นไปพื้นทีที่ร่างดุจปรายล้มอยู่เมื่อครู่นี้ ถูก

    แผดเผา ด้วยไอร้อนทันที  

    อรัญซึ่งช่วยแฟนสาวของเขาได้ทัน ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อดุจปราย

    เขย่าแขนเขาอย่างแรงและร้องบอก


    " พี่อรัญดูนั่นสิข้างหลัง "


    อรัญหันไปตามคำบอกของแฟนสาว ครั้งแรกเขาไม่ทันได้สังเกตุอะไร แต่ไม่ช้าเขาก็

    สังเกตุได้ว่ากลุ่มคนข้างหลังเขามี จำนวนที่มากกว่าปรกติและนั่นหมายความว่ามันไม่ได้มี

    แต่พวกเขาแล้ว อรัญดึงดุจปรายไปรวมกับพวกของเขา มันดูไม่ยาก เพราะร่างคนที่มา

    ใหม่ ดูแล้วไม่มีเสื้อผ้าบังกาย เมื่อทุกคนมารวมกันจามิกรจึงถามทุกคนขึ้น 


    " คนพวกนี้มาจากใหนมาได้ไง หลายสิบคนด้วย ทำไมเราไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าจะมีมนุษย์

    จำนวนมากอยู่ที่นี่ "


    ดุจปรายที่เห็นคนจำนวน นี้เดินออกมาจากแนวป่า  จึงได้ตอบ


    " ปรายเห็นเดินออกมาจากในป่านั่น"


    " มาได้ยังไง แล้วทำไมไม่มีใครที่บอกเรา  รู้เลยว่ามีคนอยู่แถวนี้ แต่พวกเขามาทำไม หรือมาช่วย

    พวกเรา "


    อัครชัยต้องข้อสังเกตุ

    ดูเหมือนความคาดเดาของอัครชัยจะถูก ร่างมนุษย์สิบกว่าร่างเดินออกไปเผชิญหน้ากับ

    พญานาคตัวยักษ์ ซึ่งตอนนี้ชูหัว แลบลิ้นอยู่ และนั่นทำให้ทุกคนได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว

    ต้นไม้ที่ที่คนสงสัย ว่าทำไมมันถึงมึยอดที่แปลก ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้ว เพราะปลายยอด

    ของต้นไม้ไม่มีใบทุกต้นนั้น  ตอนนี้ได้ยึดโยงอยู่ตามส่วนต่างต่างของร่างกายยาวยักษ์นั้น 

    ซึ่งมันคงไม่ต่างกับฝูงปิรันย่ายักษ์ ที่ยึดติดกับต้นไม้ต้นนั้นที่ทุกคนเห็นแน่

    พยานาคยักษ์มองร่างมนุษย์ที่เข้าไปหา คราวนี้ดูมันลังเลพอสมควร มันมองร่างมนุษย์ ที่

    กระจัดกระจายกันลายล้อมร่างยักษ์มันไว้ สังเกตุได้ว่ามันพ่นพิษสงค์ของมันไปที่ร่าง

    มนุษย์ร่างหนึ่ง แต่ทว่าร่างนั้นกลับไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าร่างที่ถูกพิษนั้น ดู

    มีสีดำขึ้น แต่ร่างนั้นยังคงยืนและย่างสามขุมเข้าไปหา พยานาคยาวยักษ์นั้นได้ และทันใด

    ร่างยาวยักษ์ก็สะบัดลำตัวกวาดเอาทุกสิ่งที่อยู่บนพื้น ทั้งร่างมนุษย์ที่เข้าไปและขอนไม้

    กระเด็นไปคนละทิศละทาง แต่กระนั้น ร่างมนุษย์ที่เริ่มทรงตัวได้ก็ลุกขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะ

    หวาดกลัวร่างยาวยักษ์แม้แต่น้อย

    เห็นเช่นนั้น แสงดาวรู้สึกสบายใจขึ้น ที่เห็นว่ามีคนมาช่วยดึงความสนใจจากพยานาคยักษ์

    ที่เธอคิดว่าถ้าไม่มีพวกนี้มาพวกเธอคงอาจจะเสียท่าไปแล้ว แต่ความคิดของเธอก็ต้อง

    สะดุดเมื่ออัครชัยเอื้อมมากระตุกมือเธอ


    " ไป แสงดาว ไม่เข้าท่าแน่ "


    อัครชัยกล่าว แสงดาวแปลกใจว่าแฟนหนุ่มของเธอหมายถึงอะไร สถานการณ์ตอนนี้ดู

    แล้ว ถึงยังมองไม่ออกว่าพยานาคยักษ์กับกลุ่มคนที่สู้กับมันนั้นจะเป็นผลเช่นไร แต่พยา

    นาคยักษ์นั่นก็ไม่ได้หันมาสนใจพวกเธอแล้ว แล้วแฟนหนุ่มของเธอจะให้รีบไปอีกทำไม

    เธอจึงกล่าวเพื่อเตือนสติแฟหนุ่ม


    " เขาอุตส่ามาช่วยพวกเรานะพี่หมอ จะทิ้งเขาได้หรือเผื่อเขาแย่ พวกเราจะช่วยพวกเขาได้บ้าง จะ

    หนีเอาตัวรอดไม่ใจจึดใจดำไปหน่อยเหรอ "


    " ไม่ใช่ มันไม่ได้มาช่วยพวกเรา มันมาแย่งอาหารของมันมากกว่า พวกนี้มันไม่ใช่คนอย่างพวกเรา 

    เราหรอก "


    คำตอบของอัครชัย ทำให้แสงดาวตกใจ ต้องมีอะไรที่แฟนหนุ่มของเธอมองเห็นอะไรซัก

    อย่างที่ทำให้เขาคิดแบบนี้แน่ แสงดาวไม่ถามเหตุผลให้เสียเวลาอีก เธอทำท่าจะขยับตาม

    แรงดึงของแฟนหนุ่ม แต่ทันใดร่างเธอกับถูกร่างมนุษย์ที่มาใหม่ฉุดร่างไว้  

    แสงดาวถึงรู้ว่าแฟนหนุ่มของเธอเข้าใจถูก เพราะทันทีที่เธอหันไปมองร่างมนุษย์ที่ดึงเธอ

    ไว้ เมื่อเผชิญหน้ากันอย่างจัง เธอสังเกตุเห็นฟันของมัน ดูแหลมคมและเรียงกันเหมือนฟัน

    ของสัตว์กินเนื้ออะไรซักอย่าง ดูน่ากลัวยิ่งนัก เธอเริ่มสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมเพราะรู้

    ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว มันจับเธอไว้ค่อนข้างแน่น เเสงดาวก็พยายามสะบัดเต็มที่ และ

    ทันใดอัครชัยก็ใช้เท้ากระโดดถีบ เจ้ามนุษย์ประหลาดเพื่อช่วยแฟนสาวอีกแรง คราวนี้จึง

    ทำให้มนุษย์ประหลาดเสียท่าจำเป็นต้องปล่อยร่างแสงดาวและกระเด็นไปกองอยู่กับพื้น 

    ร่างนั้นล้ม อีกร่างหนึ่งก็พยายามเข้ามา แต่คราวนี้อัครชัยออกแรงวิ่งและลากร่างแฟนสาว

    ตามมาด้วย ซึ่งทั้งหมดตอนนี้ก็พยายามช่วยตัวเองและคู่ของตัวเองออกมาจากพวกมนุษย์

    ประหลาดได้เช่นกัน  อัครชัยออกนำแต่ไม่รู้จะพาแฟนสาววิ่งไปทางทิศใหน ได้แต่รวมกับ

    ทุกคนไว้ พวกมนุษย์ประหลาดเป็นฝูงเพิ่มจำนวนออกจากชายป่าเข้ามาอีก ทำให้มีทาง

    เดียวคือต้องฝ่าไปทางทิศที่มีมนุษย์ประหลาดอยู่เป็นจำนวนน้อย นั่นคือหนีไปทางแม่น้ำ

    พวกอัครชัย ถูกกวาดต้อนไปจนมุมอยู่ริมน้ำ ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี และ

    ทันใด กานต์ก็เริ่มคิดว่าน่าจะมีทางออก เพราะขณะนี้พวกเขาได้หยุดอยู่ที่กองท่อนไม้ที่

    พญานาคยักษ์กวาดจนกระเด็นมาตกไว้แถวนี้ และมีท่อนหนึ่งกำลังทำท่านจะลอยน้ำไป 

    ทำให้กานต์คิดได้ เขามองหน้าทุกคนและมองไปที่ขอนไม้ ทุกคนเข้าใจทันที ไม่มีทาง

    เลือกทุกคนเร่งทั้งยกและเข็นท่อนไม้ลงน้ำทันที และพยายามเกาะท่อนไม้ไว้เพื่อพยุงตัว

    ให้ลอยไปในน้ำ ไม่นานทุกคนก็พยุงตัวเองพร้อมทั้งถึบน้ำให้ท่อนไม้ไกลออกมาจากฝั่งให้

    มากที่สุด ฝูงมนุษย์ประหลาดไม่สามารถมาคว้าตัวทุกคนได้ทัน และโชคดีที่มันไม่กล้าลง

    มาในแม่น้ำ พวกเขาจึงดูเหมือนน่าจะปลอดภัยแน่ 


    " โหเกือบไปแนะ พวกมันเป็นมนุษย์แบบใหนกัน พี่หมอเห็นฟันมันใช่ใหมถึงรู้ว่ามันไม่ใช่มนุษย์

    อย่างพวกเรา"


    ่แสงดาวถอนหายใจและถามแฟนหนุ่มทันที่ที่ท้องสองพยุงตัวบนท่อนไม้อันเดียวกันได้


    " ใม่ใช่เพราะเห็นฟันมันหรอก แต่เห็นที่หัวมันมีรูต่างหากล่ะ เลยคิดว่ามันต้องเป็นแบบเอาส่วนนั้น

    ไปห้อยกับต้นไม้ต้นใดแน่แน่ เช่นเดียวกับพวกปลาปิรันย่ายักษ์และพญานาคยักษ์นั่นไง  และพวก

    เราคงเป็นเหยื่อที่มันน่าจะเอาไปเป็นอาหารเหมือนพญานาคยักษ์กำลังทำ มันเลยเข้ามาขัดขวาง

    พญานาคยักษ์ไงเพื่อแย่งพวกเราไป "


    อัครชัยอธิบายเหตุผล ด้วยเสียงค่อนข้างดังเพื่อให้ทุกคนที่เกาะท่อนไม้อยู่ใกล้ไกล้ได้ยิน

    ด้วย


    " โหต้นไม้ที่นี่ทำได้ถึงเพียงนี้เชียว ส่งปลาบ้าง พญานาคบ้าง และยังมีมาในรูปคนได้อีก เพื่อมาล่า

    อาหาร ดีนะที่มาในรูปคนนี้มันยังไม่รู้จักลงน้ำมาหาอาหาร ไม่อย่างนั้น พวกเรา แย่ ย"



    และยังไม่ทันที่แสงดาวจะพูดได้จบประโยค



    " ตู้ม "



    เสียงอะไรสักอย่างหนึ่งหล่นลงในน้ำด้านหลังพวกเขา ทำให้ทุกคนต้องหันไปมอง และได้

    เห็นสิ่งนั้น โดยเฉพาะปลายครีบหางของมันก่อนจะมันจะจมมิดลงมาในน้ำ


    " มนุษย์พวกนั้นมันลงน้ำไม่ได้ แต่พญานาคยักษ์ตัวนั้น มัน มะมันกลับลงมาในน้ำแล้ว "


    อรัญกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก 

    ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวอย่างหลึกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีพวกมนุษย์แปลกแปลกที่

    เข้ามาขัดขวางการล่าเหยื่อในน้ำของพญานาคยักษ์ได้ และหนำซ้ำพวกเขาก็ยังไม่ได้อยู่

    บนแพ ให้พอจะหาทางต่อสู้หรือหลบเลี่ยงได้ ขอนไม้ที่เกาะก็ดูไม่เป็นหลักซักเท่าไร เพียง

    ได้แค่พยุงร่างของทุกคนไม่ให้จมในน้ำได้เท่านั้น ทุกคนพยายามตะกุยน้ำเพื่อให้เคลื่อนที่

    ห่างออกไป แต่ก็รู้ดีว่ามันคงไม่เร็วพอที่จะหลบหนีร่างใหญ่ยาวที่ชำนาญการว่ายน้ำได้

    อย่างรวดเร็ว  หัวใหญ่โตมีหงอน ผลุบขึ้นผลุบลงมุ่ง ตรงมายังร่างทุกคน

    ที่ตะเกียกตะกายตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด  และไม่ช้าหัวใหญ่โตของ

    พญานาคยักษ์ ก็ชูอยู่เหนือขึ้นไปบนร่างของทุกคน และมันช่างใจอยู่เท่านั้นเองว่า

    ตอนนี้มันใจใช้ร่างของคนใดคนหนึ่งเป็นเหยื่อของมันก่อน 

    เห็นเช่นนั้นทุกคนหมดแรงที่จะตะเกียกตะกายหนี แรงพลังที่มีอยู่เมื่อกี้นี้หมดสิ้นไปหมด 

    เหมือนถูกมนต์สะกดให้ ยอมสดุดี หรือคิดว่าจะพยายามยังไงก็คงไม่พ้นเงื้อมือมัจจุราจ 

    ยาวยักษ์นี้ เป็นแน่แท้

    ร่างยาวยักษ์ คำรามเบาเบา ทุกคนรับรู้ได้เพราะว่าไออุ่นที่สัมผัสได้บนส่วนหัวที่โผล่พ้นขึ้น

    มาเหนือน้ำของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ว่ายน้ำแล้วทั้งหมดตาจรดจ้องไปข้างบนที่มีหัวของ

    พญานาคชูอยู่บนนั้น


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " ไหวไม๊ท่าน ดูท่าทางของท่านไม่ค่อยดีเลย "


    เดฟโดร์นกล่าวขณะที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วอยู่ และมีร่างของปู่อินทร์ที่เกาะหลังมาด้วย 

    ผลของการวิ่งมาหลายชั่วโมง ปู่อินทร์ซึ่งไม่ได้วิ่งด้วยก็จริง แต่เขาก็เกาะอยู่ในลักษณะ

    ของการขี่หลังของมนุษย์เดฟโดร์นมา ได้รับแรงทั้งเหวี่ยงทั้งกระแทกกระทั้น เขาก็รู้สึก

    เมื่อยขบไปทั้งตัวแล้วเหมือนกัน จึงแสดงอาการเมื่อยล้าจนพวกเดฟโดร์นสังเกตุเห็นได้


    " เมื่อยไปทั้งตัวเหมือนกันเเหละพวกท่านโดยเฉพาะตรงขาอ่อนและน่อง มันคงจะเสียดสีกับลำตัว

    ของท่านจนแสบและคงพองแล้ว "


    ปู่อินทร์ยอมรับ ทั้งที่แต่เเรกรู้สึกเกรงใจและไม่อยากเป็นภาระให้เดินทางล่าช้า แต่เขาก็

    ทนไม่ไหวจริงจริง


    "นี่ก็เย็นมากแล้ว เราเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้วเหลือเวลาอีกสองวัน ที่มัลติทอร์จะทำงาน น่าจะ

    ทันอยู่ ถ้าท่านไม่ใหวเราก็น่าจะพักก่อนเถอะ "


    มนุษย์เดฟโดร์นกล่าวพร้อมทั้งส่งสัญญาณ ให้พวกเดียวกันหยุดวิ่ง พร้อมทั้งค่อยค่อยวาง

    ร่างปู่อินทร์ลงอย่างแผ่วเบา ปู่อินทร์รู้สึกเหมือนตะคริวกินไปทั้งร่างเมื่อถูกวางลงเขากลับ

    ไม่สามารถพยุงร่างกายให้ยืนอยู่ได้ จึงค่อยค่อยเอนลงนั่ง


    " ดูท่าทางแล้วท่านเป็นเอามากจริงจริง อย่างว่าแระร่างกายของท่านไม่ได้เคยเกาะอะไรอาศัยเดิน

    ทางมาอย่างรวดเร็วแบบนี้ เป็นวันวัน ดูอาการแล้วท่านจะไม่ใหวเอานะ "


    มนุษย์เดฟโดร์นตั้งข้อสังเกต ปู่อินทร์ได้แต่ฟังเขายังไม่ได้กล่าวตอบโต้หรือแสดงความ

    คิดเห็นอะไร ตอนนี้เขารู้สึกสนใจไปกับขาที่เกิดอาการแสบร้อนของเขามากกว่า เขาก้มลง

    ไปดูมัน เนื้อส่วนที่แสบร้อนนั้น มันมีสีคล้ำหม่น และแบนแนบเหี่ยวย่น พร้อมทั้งพุพองเป็น

    ตุ่มน้ำใสใส ต้นเหตุขออาการปวดแสบปวดร้อนสุดจะบรรยาย


    " นั่นไงแผลนั่นอุกฉกรรจ์จริงจริง พรุ่งนี้ท่านคงเดินทางในลักษณะนี้ไปอีกไม่ใหวแน่ "


    มนุษย์เดฟโดร์นกล่าวอย่างเป็นห่วงและรู้ถึงลักษณะอาการบาดเจ็บของปู่อินทร์ว่ารุนแรง

    แค่ใหน ปู่อินทร์ไม่ตอบจริงอยู่อาการเขาตอนนี้ไม่เหมาะกับการที่จะเดินทางอีก แต่ความ

    คิดเขาก็จะเห็นแก่ตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ เขารู้ว่ายังมีอีกหลายชีวิตที่จะต้องรอดถ้าเขาได้

    พยายามร่วมเดินทางไปให้ถึงที่นั่นได้ เพราะสถาการณ์นาทีชีวิตนั้นมันก็งวดเข้ามาทุก

    ขณะแล้ว


    " เราจะฝืนเดินทางต่อไปอีกในวันพรุ่งนี้ คิดว่าถ้าได้พักซักคืน อาการอาจจะดีขึ้นก็ได้ "


    ปู่อินทร์ กัดฟัน กล่าว


    " อาการแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะหายได้ในวันเดียวคืนเดียวหรอก ถึงพวกเราไม่รู้ถึงร่างกายของมนุษย์

    อย่างท่าน แต่ก็พอมองออก เนื้อหนังส่วนนั้นคงจะเสียไปหลายวัน จึงจะกลับมาเป็นปรกติได้ " 


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว  ซึ่งปู่อินทร์ก็ได้แต่มองหน้า เพราะรู้ว่าสิ่งที่มนุษย์ดาวเดฟโดร์

    พูดนั้น เป็นเรื่องจริงอยู่และมนุษย์ดาวเดฟโดร์นก็กล่าวต่อ


    " บางทีพวกดาวเราก็แปลกใจเหมือนกัน ร่างกายพวกท่านก็บอบบางเปื่อยนุ่มอย่างนี้ ทำไมถึงมี

    วิวัฒนาการชีวิตอยู่มาได้ไม่รู้กี่กัปปี บางทีพวกมนุษย์อย่างพวกท่านน่าจะมีกำเนิดมาก่อนมนุษย์ดาว

    เราด้วยซ้ำไป แต่ทำไมไม่มีอะไรทำให้พวกมนุษย์อย่างพวกท่านสูญพันธ์ได้ และเเม้แต่สัตว์ที่ใหญ่

    โตแข็งแกร่งอย่างพวกไดโนเสาร์ที่เกิดมาบนโลกเดียวกันกับเจ้ามันกลับสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แต่

    พวกท่านกับมีอายุที่นานกว่าและยังไม่มีวี่แววว่าจะมีอะไรมาทำอะไรพวกมนุษย์อย่างพวกท่านได้

    อีก " 


    " คงเป็นเพราะมนุษย์โลกอย่างพวกเราเลือกที่จะอยู่กันอย่างไม่ทำร้ายพวกเดียวกันเหมือนมนุษย์ที่

    ดาวของท่านมั้ง อย่างที่พวกท่านเล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านทำร้ายกันเอง พวกท่านก็คงไม่เดือดร้อน

    เหมือนตอนนี้ " 


    ปู่อินทร์ตอบ


    " คงจริงอย่างเจ้าว่า คงเป็นเพราะพวกดาวเรามัวแต่แก่งแย่งกันเป็นใหญ่อยู่ตลอด  จึงไม่มีความ

    สงบสุข ต้องสูญเสียล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่ถิ่นฐานก็พลอยมีผลกระทบไปด้วย พื้นที่

    ถูกอาวุธ ทำลายล้างเสียจนไม่สามารถเพาะปลูกอะไรที่เป็นอาหารได้ ไม่เหมือนที่นี่และมิติโลก

    ของท่าน "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว



    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    อรัญและดุจปรายพยายามใช้เท้าตีน้ำเพื่อดันขอนไม้ที่เกาะมาด้วยกันหนี เพราะดูทีท่า

    แล้ว ว่าทั้งสองน่าจะเป็น จุดหมายแรกของเจ้าพยานาคยักษ์เพราะอยู่ใกล้ที่สุด และมอง

    เห็นสายของมันจับจ้องมาที่ทั้งสอง แต่รู้สึกว่าการเคลื่อนที่ของท่อนไม้ในน้ำไม่ได้ไปห่าง

    จากร่างยาวยักษ์ซักเท่าไรนัก เนื่องจากมันก็คงว่ายตามทั้งสองมาอยู่ตลอด และตอนนี้ทั้ง

    สองรู้สึกได้ว่ามันคงจะล๊อกเป้าหมายมาที่ทั้งสองเพื่อเป็นเหยื่อของมันอย่างแน่แท้แล้ว

    เพราะดูมันไม่ค่อยสนใจคนอื่นอื่นที่กระจายกันหนีห่างออกไป หัวหงอนใหญ่ของมันเริ่มบิด

    ไปมา ทำท่าเหมือนพญางูใหญ่ที่พยายามจะเข้าฉกเหยื่อยังไงยังงั้น และแล้วพยานาค

    ยักษ์ก็ชูหัวให้สูงขึ้นไปอีก และฉับพลันมันก็อ้าปากที่ใหญ่โตของมันและพุ่งส่วนหัวของมัน 

    เข้าหาร่างของของทั้งสอง  ซึ่งทำให้อรัญและดุจปรายต้องหลับตาปี๋เพราะรู้สึกสยดสยอง

    กับเหตุการที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

    ไม่เฉพาะทั้งสองที่จะขวัญเสีย ทุกคนก็เหมือนกันถึงจะกรรเชียงหนีออกมาได้ และรู้ตัวว่า

    ไม่ได้เป็นเป้าหมายแรกในครั้งนี้ แต่ทุกคนก็สังเกตุเหตุการอยุ่ตลอด รู้ว่า ดุจปรายและ

    อรัญกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่ไม่รู้จะเข้าช่วยเหลือทั้งสองอย่างไรได้ แรงกระเพื่อม

    ของน้ำตามแรงว่ายน้ำด้วยความแรงของร่างยาวยักษ์ทำให้คลื่นกระแทก พวกเขาห่าง

    ออกมาไม่สามารถที่จะว่ายไปช่วยทั้งสองได้ พวกเขาได้แต่มองและหวังว่าน่าจะมีปาฏิหาร

    อะไรอีกอย่างที่เคยเป็นมา

    แต่ดูความหวังจะมีเพียงน้อยนิดเพราะทุกคนเห็นในขณะนี้พยานาคยักษ์ ได้พุ่งปากของ

    มันเขางับร่างของอรัญและดุจปรายทั้งแล้ว ร่างทั้งสองพร้อมทั้งท่อนไม้ที่ทั้งสองเกาะอยู่

    ถูกพญานาคยักษ์ใช้ปากของมันงับและยกขึ้นเหนือน้ำ แต่ดูเหมือนมันยังไม่พยายามกลืน

    อรัญและดุจปรายลงไปในลำคอของมัน คงเพราะมันติดท่อนไม้ มันพยายามสะบัดหัวและ

    สลัดเอาท่อนไม้ในปากของมันออก และให้เหลือแต่ร่างของมนุษย์ทั้งสอง ซึ่งตอนนี้ทุกคน

    สังเกตุได้มาร่างกายทั้งสองมีสีแดงเริ่มออกมา นั่นคือเลือดทั้งสองคงจะถูกคมเขี้ยวของมัน

    เข้าแล้ว จากการงับครั้งนี้ 

    อัครชัยตัวชาจากภาพที่เห็น เขาหันไปมองแฟนสาว แสงดาวกำลังตกตะลึกกับภาพ

    สยดสยองที่ได้เห็น น้ำตาของเธอใหลออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ส่วนจามิกรกำลังเบือนหน้า

    หนีภาพนั้น โดยมีกานต์ใช้มือลูบหัวเพื่อปลอบเธอ และเขาก็ไม่อยากเห็นภาพนั้นเช่นกัน

    แต่ก็ได้แต่ชำเลืองตามองดูภาพเหตุการนั้นและพยายามทำใจ 


    " โอ๊ค ฟู่ ฟ่อ" 


    แต่ทันใดทั้งสี่ก็ได้ยินเสียง เสียงขู่หรืออะไรซักอย่างดังขึ้น พวกเขาทั้งสึ่หันไปมองซึ่ง

    ทั้งหมดเข้าใจว่าน่าจะเป็นเสียงของเจ้าพญานาคยักษ์แน่ ทุกคนเข้าใจถูกภาพที่เห็น 

    พญานาคยักษ์ ที่กำลังชูคออยู่นั้น มันกลับร้องลั่น และเมื่อมันอ้าปากร้อง ร่างของอรัญและ

    ดุจปราย พร้อมทั้งท่อนไม้ที่อยู่ในปากนั้น ก็ได้ล่วงหล่นลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่างในทันที

    พวกของอรัญแปลกใจที่เห็นเจ้าพญานาคยักษ์มีอาการเช่นนั้น พวกเขาเห็นมันส่ายหัวไป

    มาและพยายามจะม้วนส่วนหัวไปทางหางของมัน และทันใดพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งใน

    ทันทีที่พญานาคยักษ์ ได้ยกส่วนหางของมันยกขึ้นและฟาดลงไปในน้ำอีกครั้ง ถึงจะเป็น

    ช่วงเวลาแค่แป๊บเดียวแต่ทุกคนก็ได้มองเห็นสิ่งผิดปรกติ มีอะไรแปลกปลอมอย่างหนึ่ง

    เกาะอยู่ที่ส่วนหางของพญานาคร่างยักษ์นั้น 


    " ปลา ปิรัญญ่านั่นนี่ทั้งฝูงเลยมันกัดอยู่ที่หางพญานาคนั่น มันมาช่วยพวกเรา " 


    กานต์อุทาน


    " ใช่ใช่ นั้นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้พญานาคมันเจ็บปวดจนปล่อยร่างของอรัญและดุจปรายไง ได้

    โอกาสแล้วพวกเราเข้าไปช่วยสองคนกันเถิด "


    อัครชัย กล่าวเร่งเร้าเขาเห็นโอกาสที่จะช่วยทั้งสองแล้ว ทั้งสี่พยายามถึบขาใสท่อนไม้ให้

    เข้าไปใกล้ร่างของอรัญและดุจปรายที่กำลังลอยตุ๊บป่องอยู่ ทั้งหมดไม่รู้ว่าอาการของทั้ง

    สองบาดเจ็บถึงเพียงใหน แต่ยังใจชื้นขึ้นที่ยังเห็นร่างของทั้งสองยังไม่จมลงไป แต่กระแส

    น้ำที่ใหลทำให้ขอนไม้ของทั้งสี่ไม่สามารถใช้แรงกันส่งมันทวนน้ำขึ้นไปได้พอดีกับร่าง

    ของอรัญและดุจปราบได้ใหลตามกระแสน้ำลงมาพวกเขาจึงได้ขยายามพยุงขอนไม้ตี

    กรรเชียงเข้าไปหา และเมื่อเข้ามาใกล้จึงได้รู้ว่าทั้งสองยังมีสติอยู่ที่ลอยน้ำอยู่ได้เพราะขา

    ของทั้งสองยังตีน้ำอยู่ได้ในส่วนไต้น้ำ แต่เห็นได้ว่าทั้งสองอ่อนล้าเต็มทีเหมือนกัน และเมื่อ

    เข้าไปไกล้ได้ทั้งสี่จึงช่วยกันพยุงทั้งสองมาเกาะไว้ที่ท่อนไม้ได้ พยานาคยักษ์ไม่สนใจ

    มนุษย์ทั้งหมดแล้ว มันยังคงใช้ปากไล่งับกับฝูงปิรัญย่าที่มากัดหางและส่วนลำตัวของมัน 

    แต่ฝูงปิรัญญ่าที่เข้ามากัดมัน ถึงจะตัวเล็ก แต่ก็มีจำนวนมาก ตัวแล้วตัวเล่าถูกคมเขี้ยว

    ของมันงับจนขาดครึ่ง แต่ร่างกายมันหลายส่วนก็เว้าแหว่งไปเช่นกัน ดังนั้นสัตว์จากต้นไม้

    ทั้งสองจึงไม่มีเวลาสนใจพวกมนุษย์


    " ไปเถอะเราต้องรีบล่องไปก่อนที่พวกมัน พวกใดพวกนึงจะเป็นฝ่ายชนะ และหันมาสนใจพวกเรา "


    อัครชัยกล่าวเร่งอีกครั้ง พร้อมทั้งเอามือไปดันท่อนไม้และร่างของอรัญให้เคลื่อนออกตาม

    น้ำที่ใหลลงไป 


    " โอ๊ย "


    อรัญร้องลั่น เมื่อมือของอัครขัยสัมผัสต้นขาของเขา ส่วนนั้นมีบาดแผลจากคมเขี้ยวของ

    พญานาคยักษ์ที่ตอนงับอยู่  อัครชัยไม่ได้ตั้งใจเพราะไม่รู้ว่ามีแผลอยู่ตรงนั้น เมื่ออรัญส่ง

    เสียงร้องด้วยความเจ็บเขาจึงก้มไปมองดูบาดแผลนั้น เขามองเห็นเนื้อส่วนนั้นมีแผลบาด

    เจ็บอยู่ใหญ่พอสมควร แต่เขาไม่รู้ว่ามันมีความลึกของบาดแผลนั้นแค่ใหน มองเห็นได้มี

    เลือดสีแดง ใหลออกจากบาดแผลบริเวรนั้นไหลเจือปนไปกับน้ำ


    " เป็นไงแผลใหญ่ไม๊ "


    เจ้าของบาดแผลไม่กล้ามองแผลตัวเองได้แต่ถามจากอัครชัย


    " เจ็บมากไม๊ล่ะทนใหวใหม ดูไม่ออกว่ามันลึกแค่ใหนแต่ยังดีที่บาดแผลมันเปิดได้ ไม่ต้องระเเวง

    เลือดครั่งข้างใน แต่ต้องระวังการติดเชื้อเท่านั้น เกาะไม้ไปเฉยเฉยนะ อย่าตีน้ำ การใช้กำลังจะ

    ทำให้เลือดออกใหญ่ เดี๋ยวจะทำให้เสียเลือดมาก "


    อัครชัย กล่าว


    " ไหวไหว เจ็บจี๊ด ว่าแต่ปรายล่ะหมอดูซิ ปรายเป็นไงมั่ง "


    อรัญอดเป็นห่วงแฟนไม่ได้ แต่เขาก็อุ่นใจเมื่อไปยินเสียงดุจปรายที่อยู่ขอนไม้ใกล้ ใกล้

    กล่าวบอก 


    " ปรายไม่เป็นไรมากพี่ เขี้ยวของมันงับติดเข้ากับท่อนไม้พอดี ปรายตัวเล็กเลยไม่โดนเขี้ยวมัน แต่

    จุกหน่อยที่หล่นลงมาในน้ำ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว "


    เมื่อได้ยินเสียงแฟนสาวเช่นนั้นอรัญก็โล่งใจ ที่จริงแล้วเขาก็มีอาการเจ็บแผลพอสมควร

    เหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกความจริงกับอัครชัย เพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงเพราะตอนนี้

    เป็นช่วงเวลาที่กำลังหนึเอาตัวรอด แต่ที่ไม่ยอมขัดคำสั่งอัครชัยช่วยกันตีเท้ากระทุ้งน้ำ

    เพื่อให้ขอนไม้เคลื่อนที่ไปได้เร็วนั้น เขารู้ว่าอัครชัยเข้าใจถูกและรู้ตัวว่าบาดแผลของเขานี้

    อุกฉกรรจ์แค่ใหน





















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×