ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #59 : แรงกำลังฝังพิษ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 174
      11
      14 ก.ค. 62


    "  ปิเยข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นตัวอะไร แต่ที่รู้มันติดตามปัวล่ามาจากประตูฝั่งโลกของ

    พวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าได้เห็นมันคงจะรู้จักดี พวกมันมีพละกำลังมาก สามารถใช้ปากของมันยกหรือ

    แบกอะไรทุกอย่างที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวมันได้หลายเท่านัก "


    ต้นไม้ยักษ์กล่าว 


    " ถ้ามีกำลังมาก็น่าจะเป็นมดหรือเปล่าพี่กานต์ และมันก็ชอบกินปลวกด้วยเหมือนที่โลกเรา "


    จามิกรถามแฟนหนุ่มขึ้น เธอเองศึกษาเรื่องแมลงมามากรู้ดีว่ามดน่าจะเป็นสัตว์ที่ต้นไม้ยักษ์กล่าว

    ถึง 


    " อาจเป็นไปได้ นะจา ทั้งปลวกและมดก็คงจะมุดดินมาโผล่ที่นี่ได้ตรงประตูมิติ ดินตรงนี้เพราะพวก

    นี้มักจะอยู่ในดินอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นมดที่ทำให้ปลวกยักษ์พวกนี้กลัวได้มันคงจะตัวใหญ่มากพอกับ

    พวกปลวกยักษ์นี้เหมือนกัน นี่ขนาดแค่ปลวกนะที่เราคิดว่ามันไม่น่ามีพิษสงค์เท่าใดนะมันยังใหญ่

    และร้ายกาจขนาดนี้ แตุ่ถ้าเป็นมดมันต้องมีพิษร้ายแรงด้วยแน่เลย พวกเราคงไม่ปลอดภัยแน่ถ้าไป

    ถึงที่นั่น เพราะตอนนี้พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะไปต่อกรกับฝูงมดยักษ์คงลำบากแน่ "


    กานต์ ตอบพร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตุ


    " ยังไงพวกเจ้าก็ยังมีดินที่ไพรีทรอย ที่พวกนั้นกลัว ถ้าเจ้ารู้จักวิธีที่จะใช้มันมันก็อาจจะช่วยพวกเจ้า

    ให้รอดพ้นจากสองสายพันธุ์นั้นได้ "


    ต้นไม้ยักษ์กล่าว แนะนำวิธีเอาตัวรอดกับทุกคนพร้อมทั้งกล่าวสรุป


    "เอาล่ะคิดว่าพวกเจ้าต้องรีบไปแล้ว ยังไงพวกเจ้าก็คงได้ข้อมูลไปมากพอสมควร ปิเยข้าขอให้พวก

    เจ้าเดินทางปลอดภัย "


    " เดี๋ยวก่อนสิท่าน พวกเรายังข้องใจอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของหนอนยักษ์ที่ได้พาพวกปัวล่ามานั่น มัน

    คืออะไรกันคิดว่าท่านคงพอน่าจะรู้นะ และอีกอย่างพวกเราจะหาอาหารและน้ำได้ยังไงถ้าหาไม่ได้

    อีกไม่นานเราคงหมดแรงไปต่อไม่ได้แน่ "


    อัครชัยถามขึ้นเพราะยังไม่รู้ข้อมูลเรื่องหนอนยักษ์ พร้อมทั้งกังวลเรื่องการเดินทาง


    " งั้นปิเยข้าขอตอบเรื่องอาหารของพวกเจ้าก่อนละกัน อีกไม่นานพวกเจ้าจะได้พบกับปิเยที่กินเป็น

    อาหารได้หลายอย่างและแหล่งน้ำสะอาด แต่มันยังห่างไปอีกซักสองสามวัน พวกเจ้าคงหมดแรง

    ก่อนแน่ ถ้าในความจำเป็นต้องหาอะไรกินตอนนี้ มีสะดีน่าอยู่แถวนี้มากมายโดยเฉพาะใต้รากของ

    ปิเยข้านี้ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจ มันก็พอเป็นเสบียงไปซักสองสามวันก่อนถึงแดนปิเยที่กินได้ ส่วน

    เรื่องน้ำเดี๋ยวปิเยข้าจะให้เองมันอยู่ในรากของปิเยข้ามากมายพอ เดี๋ยวปิเยข้าจะพ่นออกมาให้ "


    ต้นไม้ยักษ์ตอบ


    " ยี๋ .จะให้เรากินไส้เดือนกันเนี่ยนะ แล้วตัวใหญ่ด้วยที่มองเห็นขนาดตัวของมันเกือบเท่าแขนเรา

    เลยน่ะ จะใหวหรือพี่หมอ "


    ดุจปราย กล่าวพร้อมคอย่นด้วยความขยะแขยง


    " อ้าวนี่ยาหยีไม่รู้อะไร ที่โลกเราเขาก็กินกัน ราคาแพงด้วยนะ ตัวเล็กด้วยที่นี่ตัวใหญ่กว่าน่ากินกว่า

    เป็นใหนใหน"


    อรัญชิงตอบพร้อมสัพยอกแฟนสาว


    " พี่อรัญ กินไปคนเดียวเหอะ แค่พูดก็คอแข็งแล้ว "


    จามิกร รีบตัดบทก่อนที่อรัญจะยั่วทุกคนไปมากกว่านี้ 


    " แล้วแต่แล้วกัน ปิเยข้าบอกได้เลยว่านอกจากสะดีน่าแล้วแถวนี้พวกเจ้าคงไม่มีอะไรกินแล้ว  ลอง

    คิดเอาดูแล้วกัน ส่วนน้ำในรากปิเยข้ารับรองสะอาด เพราะตัวปิเยข้ากลั่นกรองมาอย่างดี เพราะปิเย

    ข้าก็ไม่ชอบอะไรที่สกปรกเหมือนกัน "


    ต้นไม้ยักษ์ตอบ


    " พอถึงคราวอดจริงจริงพวกเราก็คงกินมันได้เองแหระ ขนาดตอนอยู่ในศึกสงครามไม่มีอะไรกินยัง

    กินซากศพ มนุษย์ด้วยกันได้เลย ว่าแต่ท่านต้นไม้แล้วเรื่องหนอนยักษ์ล่ะว่าไงท่านยังไม่ได้บอก

    เลย " 


    แสงดาวรีบสรุป เธอเป็นทหารหญึงเรื่องการดำรงชีวิตในที่ที่คับขับ ทุกอย่างก็น่าจะนำมาเป็นอาหาร

    ได้เพื่อการมีชีวิตรอด


    " อ้าวเกือบลืมเรื่องสำคัญไป มัวแต่ฟังพวกเจ้ากลัวอาหารกัน เรื่องแองโกล่าก็อย่างที่พวกเจ้าพอรู้

    กันมาบ้างนั่นแหระ มันเคยถูกเอามาทิ้งที่ปราการไพรีทรอย จะว่าทิ้งก็ไม่เชิงเพราะปิเยที่พามาไป

    ใหนต่อไม่ได้ เพราะต้องพิษของปัวล่าสิ้นชีตะทั้งหมด  ปิเยเผ่าพันธ์ข้าที่นั่นบอกว่าร่างแองโกล่า

    ถูกปัวล่าลากเข้าไปในปราการรังของปัวล่า ทีแรกคิดว่ามันจะเอาไปเป็นอาหาร แต่หลายปีต่อมา

    พวกปิเยข้ากับพบว่ามันไม่ได้ตาย และกลับกลายมีจำนวนมากขึ้นด้วย มันคลุกคลีอยู่กับปัวล่าโดย

    ไม่ทำร้ายกันกันและมันยังช่วยกันป้องกันตัวจากไมด้าด้วย "


    ต้นไม้กล่าว มาถึงตอนนี้กานต์เริ่มสงสัยจึงได้แทรกถามขึ้น


    " ป้องกันตัวหรือ งั้นแสดงว่าไมด้าหรือที่พวกเราคิดว่าเป็นมดนั่นไม่กลัวหนอนยักษ์หรือ หนอนนะ

    ตัวมันก็ใหญ่น่าดูนะและว่องไวด้วย "


    " แองโกล่าใหญ่ก็จริง แต่ความเร็วไมด้าไม่ด้อยกว่าแองโกล่าเลย แถบพวกมันมีจำนวนมากมาย

    นัก มันกัดแต่ละทีทำให้แองโกล่าขยับร่างกายไม่ได้เพราะพิษของมันมันจับแองโกล่าและลูกลูก

    ของมันกินมาหลายตัวแล้ว  "


    ต้นไม้ยักษ์ตอบข้อสงสัยของกานต์


    " โหไม่น่าเชื่อจะมีตัวอะไรกินหนอนยักษ์นั่นได้ และกินมันได้หลายตัวด้วย ถ้าอย่างนั้นไอ้ตัวที่เรา

    เห็นมันรอดมาได้ไงล่ะ แถวมีปลวกยักษ์ตามมาเป็นพรวนด้วย "


    อรัญถามอย่างสงสัย


    " นั่นแหระ ลางร้ายเลยล่ะ ปิเยข้าเองก็ยังหวั่นหวั่นชะตากรรมของปิเยข้าอยู่เหมือนกัน เผ่าพันธ์ปิเย

    ข้าบอกว่า ประมาณ ขวบร้อยปีจะเป็นวันที่ปัวล่าผู้แก่ชราต้องติดปีก ในครานี้แองโกล่ามันยอม

    สังเวยเผ่าพันธ์มันและปัวล่าอีกหลายจำนวนให้เป็นอาหารของไมด้าเป็นจำนวนมากในครั้งนี้ เพื่อ

    เบื่ยงเบนความสนใจและมันได้แอบขุดรูผ่านปราการรังของไมด้าที่โอบล้อมเป็นวงเขามนุษย์นอน

    ไว้ หลบออกมาได้เป็นจำนวนมากเหมือนกัน พวกไมด้ากำลังสนใจกับอาหารจำนวนที่อยู่บนพื้นดิน 

    และปัวล่าบินที่อยู่เต็มบนท้องฟ้า ที่บางส่วนร่วงลงมาให้เป็นอาหารของมันอย่างสนุกสนาน จนลืม

    คิดเฝ้าระวังไป นั่นแหระพวกแองโกล่าที่มาที่นี่จึงหลุดออกมาได้" 


    ต้นไม้ยักษ์อธิบาย


    " โอ มีแต่ตัวร้ายร้ายทั้งนั้น ชักจะไม่สนุกแล้วซิถ้าไปที่นั่น " 


    อรัญ พึมพำ


    "เราก็ไม่เคยได้สนุกซักทีอยู่แล้วน่าผู้พันอรัญ จะกลัวทำไม มีทางเลือกเหรอ ว่าแต่อย่างที่ท่าน

    ต้นไม้ เอ้ย.ปิเยบอกทุกร้อยปีจะมีปลวกยักษ์บินแล้วทำไมถึงไม่ได้ไปสร้างรังที่อื่นอื่นบ้างล่ะ ทำไม

    ยังอยู่แต่ภูเขามนุษย์นอนนั่น "


    อัครชัยเริ่มสงสัย


    " นั่นแหระปิเยข้าถึงบอกไงว่ามันเป็นลางร้าย ปิเยข้าอยู่มาก็ผ่านขวบการเดินทางของบัวล่าบิน

    หลายครั้งแต่ทุกครั้งปัวล่าไม่เคยบินได้ไกลขนาดนี้มาก่อนเลย ทุกครั้งปัวล่าบินได้ไม่เกินปราการรัง

    ของไมด้านั่นจึงทำให้พวกมันถูกกินหมด แต่ครั้งนี้มันบินผ่านหัวปิเยข้าไปเป็นจำนวนมากปิเยข้าไม่

    เคยเห็นมากอ่น  ปิเยข้าภาวนาว่ามันจะไม่มีตัวใดตัวหนึ่งหล่นมาข้างข้างปิเยข้า ไม่งั้นปิเยข้าคง

    ไม่มีโอกาสได้มาพูดคุยกับพวกเจ้าเช่นนี้ "


    ต้นไม้ยักษ์ตอ


    " นั่นคงเป็นวิวัฒนาการอะไรซักอย่างหนึ่งก็ได้ถึงทำให้แมงเม่ายักษ์พวกนั้นมันบินได้ไกลขึ้นเเหระ

    ท่านต้นไม้ อย่างที่โลกของเราเหมือนกันพวกนี้ก็บินได้ไกลเหมือนกันยิ่งที่มีแรงลมด้วยแล้ว และ

    ตัวแก่พวกที่บินได้นี้ ต่อไปจะเป็นนางพญาที่จะสร้างรังใหม่ต่อไป "


    จามิกร นักมนุษย์วิทยาสาวอธิบาย


    " ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดมันคงถึงคราวที่ปิยากิออต้องเปลี่ยนผู้ปกครองใหม่แล้วกระมัง ปัวล่าคง

    ทำลายปิเยทั้งหลายและยึดครองที่นี่ในอีกไม่ช้าแน่ "


    ต้นไม้ยักษ์เปรย


    "มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก อย่างที่บอกดินที่ไพรีทอยมีพิษทำให้ทำให้ปลวกยักษ์และมดยักษ์

    ตาย เมื่อปลวกยักษ์พวกน้้นมันออกจากตรงนั้นมาได้แล้วดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องกลัว แต่อย่าลืม

    ว่ามดยักษ์มันก็คงต้องตามมาอีกได้เหมือนกัน มันคงตามมาควบคุมประชากรปลวกยักษ์พวกนั้นอีก

    ทีได้แน่ ท่านต้นไม้ไม่ต้องกล้วหรอก"


    จามิกรกล่าว อย่างเข้าใจธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นดี


    " เป็นอันว่าพวกเรา ก็เข้าใจหมดทุกสิ่งที่อยากจะรู้แล้วนะ คงถึงคราวต้องเดินทางไปแล้ว "


    อัครชัยสรุป


    " ปิเยข้าขอให้พวกเจ้าโชคดีนะ อย่างที่บอก จากนี้ไปจะไม่มีปิเยที่สื่อสารกับพวกเจ้าได้แล้ว ข้อมูล

    ที่ได้ไปพวกเจ้าต้องจำไว้ให้ดี ทั้งเรื่องอาหารเรื่องน้ำ พวกเจ้าคงมีวิจารณญาณกันว่าสิ่งใหนกินได้

    หรือไม่ได้ ถ้าไม่รังเกียจสะดือน่าที่อยู่ทุกที่น่าจะเป็นอาหารที่ปลอยภัยที่สุด และผลปิเยที่ไม่มีพิษ

    ต่างต่างที่จะพบในทางข้างหน้าคงพอประทังชีวิตพวกเจ้าไปได้  และน้ำจากรากของปิเยข้า ถ้ามี

    อะไรที่ใส่ได้พวกเจ้าก็เอาไปเยอะเยอะ ได้ "


    ต้นไม้ยักษ์สรุป  ทุกคนไม่พูดต่อพวกเขารู้เรื่องหมดทุกอย่าง อรัญส่งสัญญาณให้ทุกคนเอากระติก

    น้ำคาดเอวที่ติดตัวมา จ่อไปที่รากไม้ตามคำบอกเล่าของลำต้นของมัน ทุกคนคาดไม่ผิด   ปลาย

    รากเหล่านั้นมีน้ำพุ่งออกมาได้เหมือนน้ำที่ใหลจากก๊อกน้ำ และมันก็สามารถหยุดใหลได้อีกด้วย

    เมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำนั้นได้เต็มภาชนะแล้ว   

    เมื่อได้น้ำกันทุกคนแล้ว พวกเขาต้องการสิ่งต่อไปคืออาหารกิน และสิ่งที่ได้รับรู้จากต้นไม้เมื่อครู่นี้

    คือใส้เดือนยักษ์ลำตัวขนาดปลาใหลตัวใหญ่ใหญ่ ที่เลื้อยอยู่ก้นแอ่งน้ำที่เหือดแห้งอยู่ตอนนี้


    " ไม่น่าขยะแขยงเท่าไรหรอกปลาย ตัวมันใหญ่สีเหลือง มันเหมือนปลาใหลมากกว่าใส้เดือน ปราย

    ก็กินปลาใหลไม่ใช่เหรอ "


    อรัญกล่าวกับแฟนสาว พร้อมทั้งชี้ให้เธอดู  และดุจปรายก็พยักหน้า 


    " นั่นสิพี่อรัญ พอมาดูมันใกล้ๆ ไม่น่าเกลียดจริงจริง ปรายเป็นสาวดอยนะ ไม่ใช่คนในมงในเมืองที่

    ใหน เรื่องปลาใหลชอบอยู่แล้ว  มันเหมือนปลาใหลจริงจริงด้วย ถึงตัวมันจะยาวมากแต่รูปร่างของ

    มันเหมือนปลาใหลมากจริง เราคงเอามันไปย่างได้นะ "


    ดุจปรายตอบแฟนหนุ่มสีหน้าเธอดูดีขึ้น  ทั้งหมดได้ใช้มีดตัดส่วนลำตัวยาวของใส้เดือนยักษ์เป็น

    ท่อน ได้จำนวนหนึ่งพอทีพวกเขาจะนำมันไปได้ ยิ่งกลายเป็นท่อนท่อนชิ้นส่วนไส้เดือนยักษ์ดูไม่

    น่าขยะแขยงแต่อย่างใด  เมื่อได้สิ่งที่พวกเขาต้องการแล้ว ทุกคนก็โบกมือลาต้นไม้ยักษ์และเริ่ม

    ออกเดินทาง


    " พวกเราไปก่อนนะท่านต้นไม้  "


    อัครชัยกล่าว


    " ขอให้พวกเจ้าโชคดีนะมนุษย์ตัวน้อย น้อย ถ้าพวกเจ้าทำได้อย่างที่ปิยากิออฝากความหวังไว้  

    พวกเจ้าจะได้รับการเชิดชูจากปิยากิออไปอีกนานเท่านาน "


    ต้นไม้ยักษ์ กล่าว และกิ่งก้านของมันส่ายไปมาเสมือนมือของทั้งหมดที่กับลังโบกมือเช่นกัน



    " สรุปเราก็มาได้ รู้แทบทั้งหมดกับต้นไม้ต้นนี้เองเนอะ จา  ทั้งที่ต้นไม้ต้นนี้ก็ไม่ได้มีอายุนาน

    เท่าไร แต่กลับรู้แทบทุกอย่าง "


    แสงดาว กล่าวกับจามิกรเพื่อนสาวขณะเริ่มเดินทางห่างออกมา 


    " นั่นสิ อย่างที่ต้นไม้บอกเขารู้ได้เพราะมีพวกของเขาอยู่แทบทุกที่และส่งข่าวสารให้รู้กันแทบทุก

    เรื่องได้อย่างรวดเร็วตามแรงลม เหมือนเราใช้โทรศัพน์ที่โลกเราล่ะมั่ง ไม่เห็นเหรอก็เป็นอย่างนี้ ว่า

    แต่ ปลาใหลนี่เราจะไปทำกินกันอย่างไร ที่ใหนล่ะเริ่มหิวแล้ว "


    จามิกรกล่าว แต่ดูเหมือนเธอจะเรียกสิ่งที่ถือมาเป็นอาหารนั่นผิด จนกานต์แฟนหนุ่มที่อยู่ใกล้ใกล้

    ขยับทำท่าจะ กล่าวแย้ง แต่จามิกรก็แสดงอาการรู้ทันพอกานต์ขยับปากจะพูดก็มีสัญญาณจากแฟน

    สาวให้เขาชะงักไว้


    " จำไว้นะ นี่คือปลาใหลทุกคนเข้าใจตรงกันนะ "


    จามิกรกล่าวย้ำ  ทุกคนจึงเข้าใจว่าจามิกรสื่อถึงอะไร พวกเขารู้ว่าถ้าได้ยินคำว่าใส้เดือนจากสิ่งที่จะ

    นำไปเป็นอาหารนี้่ความน่ากิน ของมันน่าจะหมดไปเป็นแน่แท้


    "ยังไม่เหมาะที่จะทำของกินแถวนี้หรอก หิมะเต็มไปหมด เราคงต้องหาทางก่อไฟเพื่อย่างมันหิมะ

    เปียกขนาดนี้เราจะก่อไฟได้ยังไง เราต้องเสี่ยงลงไปอีกสักพัก เผื่อเจอที่ปลอดหิมะ "


    อัครชัย แสดงความเห็นและตอบคำถามจามิกร  


    " แล้วถ้าเราเดินไปแล้วไม่เจอที่แห้งแห้งซักทีและพี่หมอเราจะไม่หิวกันแย่หรือ "


    แสงดาว ตั้งคำถามแฟนหนุ่ม


    " อันนี้ไม่ต้องรอพี่หมอของแสงดาวตอบก็ได้ พี่อรัญบอกได้เลย ถ้าไม่เจอที่แห้งซักทีจนพวกเรา

    หิวจนทนไม่ใหว ก็สดสดไปเลยล่ะจ้า นึกว่ากินซาซิมิจากเกาะฮ๊อกไกโด "


    อรัญกล่าวโพล่งขึ้นมาอย่างติดตลก


    " อรัญก็มาตลกอีก ไม่ต้องขนาดนั้น พวกเรายังเดินทางได้อีกไกลเพราะร่างกายเรามีน้ำกินกันแล้ว 

    อย่างน้อยก็วันนี้ และไส้เดือ..เอ็ยลืมไปปลาใหลนี่คงไม่เน่าเสียง่ายง่ายเพราะที่นี่อากาศเย็น เราคง

    ไม่ถนัดกินมันสดสดหรอก ไอ้ปลาสดญี่ปุ่นซาซีมินั่นมันคงมีน้ำจิ้มซีฟู๊ดให้จิ้มมันจึงกินสดสดได้

    อร่อย เอาไว้เราหาที่แห้งไม่เจอจริงจริงจนถึงค่ำและพักเราค่อยหาทางย่างมันกินกัน "


    อัครชัย อธิบาย  และทุกคนก็ได้รู้สึกว่าทางข้างหน้าเริ่มมีพื้นที่ต่ำลงเรื่อยเรื่อย และสังเกตุได้ว่า

    หิมะก็เริ่มตกน้อยลง


    " นั่นไงคำภาวนาพวกเราน่าจะเป็นผล นะทุกคนรู้สึกได้ว่าตอนนี้เรากำลังไต่ลงไปข้างล่างโน่นไกล

    ไกลที่นั่นมีต้นไม้เขียวเห็นได้ชัดแสดงว่าตรงนั้นน่าจะไม่มีหิมะตกคงจะใกล้พ้นเขตหิมะแล้ว ดูจาก

    สายตาน่าจะเดินทางไปอีกเจ็ดแปดชั่วโมงน่าจะถึง " 


    กานต์ กล่าวและชี้ให้ทุกคนดู


    " โห...กว่าจะถึงคงมืดค่ำแน่ ดูดวงอาทิตย์แล้วนี่ก็น่าจะบ่ายแล้วเหมือนกัน "


    อัครชัย กล่าวเสริมพร้อมทั้งพิเคราะดูช่วงและคำนวนเวลาความน่าจะเป็น 

    ทั้งหมดจึงเริ่มเร่งเดินทางต่อไป เพราะมีความหวังให้เห็นรออยู่ข้างหน้า  ด้วยสภาพการเดินทางที่

    เป็นทางลาดลง เสียส่วนใหญ่ทำให้พวกเขาเร่งเดินทางได้รวดเร็วขึ้นถึงแม้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่

    ทุกคนก็ไม่ได้ปริปากบ่น เพราะรู้ว่าถ้าช้าไปอาจทำให้ไปถึงจุดหมายข้างหน้าไม่ได้ทันที่ตั้งใจไว้ 

    จะเกิดความลำบากถ้ามืดเสียก่อนจะพ้นหิมะไป  พวกเขาต้องประสพกับความหนาวเย็นจากหิมะ

    อย่างรุนแรงในช่วงยามค่ำคืนก็เป็นได้


    " สำเร็จพวกเรามาถึงแล้วเกือบมืดพอดี ที่นี่มีต้นไม้ปกคลุมเยอะอยู่นะไม่มีหิมะด้วย พวกเราพักกัน

    ที่นี่ก่อน "


    อัครชัยกล่าวหลังจากเขาได้ก้าวพ้นหิมะผ่านเข้ามายังดินแดนที่เห็นว่าเป็นพื้นดินร้อยเปอร์เซนต์

    และเขาคิดว่าน่าจะต้องพักค้างคืนที่นี่และจะประกอบการทำของกินด้วยอาหารที่ติดตัวกันมา


    " อืม ตรงนี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วยนะ มีต้นไม้ด้วยแต่คงพูดไม่ได้เหมือนที่ต้นไม้ยักษ์นั่นบอก ถึงจะต้น

    ใหญ่ใหญ่เหมือนกัน เราจะก่อไฟกันตรงนี้ใช่ใหมพี่หมอ "


    แสงดาวถามแฟนหนุ่ม


    "  ใช่ตรงนี้แหละเหมาะแก่การพัก เพราะพวกเราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย

    กินแต่น้ำ  "


    อัครชัยตอบ  ทุกคนทรุดตัวลงนั่งพังพาบด้วยความเหนื่อยล้า บ้างก็เอนตัวลงนอนอย่างหมดแรง


    "เหนื่อยหน้าดูเลยตั้งแต่เราหลงมาที่นี่วันนี้แหระเหนื่อยที่สุดเลย เจ็บเท้าไปหมดสงสัย่ส้นเท้าจะ

    แตกด้วย ดูมันมีเลือดซิบซิบ คงเป็นหิมะกัด "


    อรัญ บ่นพร้อมเอามือลูบคลำเท้าตัวเองเบาเบา และมือของเขาก็มีสีแดงจางจางติดมือมา


    " ปรายก็เจ็บเหมือนกัน สงสัยเราทุกคนก็เป็นแบบนี้กันหมด ดีนะหิมะมันเย็นมันยังช่วยไม่ให้เลือด

    เราใหลมากได้ "


    ดุจปรายกล่าวเสริมแฟนหนุ่ม


    " นี่ไงธรรมชาติที่แท้จริงสำหรับพวกเราทั้งหมดไง ทั้งร่างกายพวกเราและต้นไม้ตอนนี้   เป็นจริง

    อย่างทีโลกเราเป็นทั้งหมด เหมือนตอนที่เราอยู่บนโลกของเรา เรารู้สึกเหมือนได้เข้ามาพักในป่า

    ใหญ่ใหญ่ ก็ได้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติไปอีกแบบหนึ่งนะ "


    จามิกรแสดงความคิดเห็น


    " ใช่จาพูดถูก พี่ก็รู้สึกเหมือนกัน มันก็ดีนะ ไม่มีต้นไม้หรือตัวอะไรที่มันพิเศษพิเศษ ดูเป็นธรรมชาติ

    ของพวกเราดี เหมือนเราได้อยู่โลกของเรา "


    กานต์ กล่าวเห็นด้วยกับความรู้สึกของแฟนสาวที่กำลังได้รับ เพราะเขาก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน


    " เเต่เราจะวางใจไม่ได้นะ เราก็รู้ที่นี่ไม่ใช่โลกเรา อาจมีอะไรที่มันเหนือความคาดหมายได้ตลอด

    เวลา  ว่าแต่เราพักขาพอสมควรแล้ว เราเริ่มทำของกินกันเถอะ มาหาทางก่อไฟ "


    อัครชัยตัดบท เพราะเห็นว่าทุกคนได้พักกันเป็นเวลาพอสมควรแล้ว  ทั้งหมดช่วยกันหากิ่งไม้แห้ง

    มา หลายขนาดตั้งใจจะก่อไฟ ตามความรู้ที่ได้ศึกษามาให้เป็นความรู้ในการก่อไฟในกรณีฉุกเฉินที่

    ไม่ได้นำวัสดุจุดไฟได้มา


    " ไฟติดแล้ว โอ๊ยเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน วิชาลูกเสือใช้ประโยชน์ได้ตอนนี้เอง "


    อรัญบ่น และถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากเริ่มเห็นประกายไฟติดขึ้นจากเศษใบไม้และกิ่งไม้

    การแนวคิดการก่อไฟให้ติดในภาวะที่ไม่มีสิ่งจุดไฟได้นี้ 


    " ยังดีนะ ไฟที่นี่ยังติดง่ายกว่า สงสัยอากาศที่นี่มันจะแห้ง ไม่งั้นเราคงปั่นกันอีกนานแน่ ยิ่งไม่ค่อย

    มีแรงกันอยู่


    กานต์กล่าว 


    " ไฟติดแล้วเราต้องรีบย่างมันให้สุกโดยเร็ว เราจะก่อไฟให้แสงสว่างนานไม่ได้ มันจะเป็นจุดสนใจ

    ให้มีตัวอะไรแถวนี้มองเห็นและมาที่นี่ได้ "


    สิ้นคำอัครชัยทั้งหมดรีบวงชิ้นส่วนอาหารกลมยาวเข้ากองไฟที่ลุกโชนทันที ไม่มีเวลาประดิบ

    ประดอย ถึงรู้ว่าอาหารมันอาจจะไหม้เสียก่อน แต่ให้มีความร้อนมาทำให้สุกเสียบ้าง ก็น่าจะเพียง

    พอแล้วสำหรับการที่ต้องรีบเร่ง และไม่นานทุกคนก็มีความเห็นว่ามันน่าจะพอสุกบ้างแล้ว และมี

    อาหารน่าจะพอแก่ทุกคนสำหรับอิ่มแล้ว ทั้งหมดจึงดับไฟทันที


    " เราต้องเอามันขึ้นไปกินบนต้นไม้นะ เราก่อไฟเมื่อกี้มีความสว่างไม้รู้ว่าจะมีตัวอะไรมาเปล่าอยู่ข้าง

    ล่างนี่อันตราย "


    จามิกร แสดงความเห็น ทุกคนเห็นด้วยการป้องกันตอนนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด พวกเขาไม่มีความสามารถ

    พิเศษเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว และอาหารก็ถูกยกขึ้นไปพร้อมทั้งคนก็ไปอยู่บนต้นไม้นั่นด้วย


    " อืมอร่อยเหมือนกันนะถึงจะมีดินเปลื้อนกรุบกรับไปบ้าง หรือว่าหิวก็ไม่รู้ "


    อรัญกระซิบกับแฟนสาว


    " อืมจริงด้วย วิเศษไปเลย เดี๋ยวต้องลงไปเอามาอีกเมื้อนี้คงอิ่มสบายกันละนะ "


    ดุจปรายกระซิบตอบแฟนหนุ่ม  


    " พอเราดับฟืนแล้วก็มืดจังเลยเงียบด้วย คงไม่มีตัวอะไรถ้ามีเราคงได้เห็นหรือได้ยินแล้ว ถือว่าเรา

    โชคดีนะคืนนี้ ได้อิ่มแล้ว "


    เสียงจากมิกรกระซิบมาเหมือนกัน เมื่อได้ยินทั้งสองโต้ตอบกัน


    " ใช่แต่ถึงยังไงเราก็คงพักข้างล่างไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยคงต้องพัก บนต้นไม้นี้มันมีกิ่งใหญ่

    มากด้วยน่าจะนอนบนนี้ได้ ไว้เช้าจะเดินทางต่อค่อยลงไป ใครยังไม่อิ่มก็ลงไปเอาปลาไหลมาเพิ่ม

    อีกนะ "


    อัครชัยกล่าว และแสดงความคิดเห็น


    " เดี๋ยวเราลงไปเอาเอง เมื่อกี้ปรายก็บอกไม่ค่อยอิ่ม เดี๋ยวเอามาเพิ่มเผื่อทุกคนด้วย "


    อรัญ ขันอาสา หลังจากได้อิ่มท้องไปบ้างเขารู้สึกมีแรงขึ้นมาก อรัญไต่ลงจากต้นไม้ใหญ่ไปเพียง

    ครู่เดียว ก็ไต่กลับขึ้นมา


    " เก่งแล้วนะอรัญไต่ไปไต่มาคล่องแล้ว "


    กานต์กล่าวชมพร้อมทั้งดึงมือเขาขึ้นมานั่งบนคาคบไม้ร่วมกัน และอัครชัยก็จะช่วยเอื้อมไปรับ

    อีกมือที่คาดว่าจะถืออาหารที่อรัญลงไปหยิบขึ้นมาด้วย แต่อัครชัยกลับต้องแปลกใจเมื่อมือข้างที่

    เขาคิดว่าจะไปรับของนั้นมือของอรัญไม่มีอะไรติดมือมาด้วย


    " อ้าวใหนอรัญว่าลงไปเอาปลาใหลมาไม่เห็นมี "


    อัครชัย แปลกใจ


    " ทุกคน อาหาร ปะ ปลาใหลที่เหลือหายไปหมดแล้ว มีอะไรมาลักไปแน่สังเกตุเหมือนมีรอยเท้า

    เป็นจ้ำจ้ำยั่มอยู่ ตรงนั้น"


    อรัญตอบเสียงกระเส่าและน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งทุกคนรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้แสร้งล้อเล่นอย่างเช่นทุก

    ครั้งแน่


    " หา หายไป "


    เสียงทุกคนอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน


    " อะไรนะ อุ๊บ พี่อรัญว่าปลาใหลที่ย่างอยู่ข้างล่างหายไปเหรอ เป็นไปได้ไงอยู่ตรงนี้เองเราก็ไม่เห็น

    ว่ามีตัวอะไรหรือเสียงอะไรเข้ามานี่นา "


    ดุจปรายทำท่าจะเสียงดังแต่เเรกขณะถามแฟนหนุ่มอย่างแปลกใจ แต่เธอก็รู้ว่าคงต้องลดเสียงลง

    เพราะ ไม่อยากให้มีเสียงดังเพราะความไม่รู้ว่าอะไรทำให้อาหารของพวกเขาหายไปเกรงว่าเสียงที่

    ดังจะไปเป็นจุดสนใจ หากมีสิ่งที่เข้ามาเอาอาหารไปได้ยิน


    " จริงสิทุกคนจะล้อเล่นได้ไง เมื่อกี้ลงไปแต่แรกยังตกใจไม่หายเลย ที่ไม่เห็นปลาใหลที่ย่างอยู่ นี่

    รีบพุ่งพรวดขึ้นมาบนนี้เลย กลัวมีตัวอะไรที่เอาปลาใหลย่างเราไปแล้วมันยังอยู่แถวนั้น"


    อรัญตอบ เสียงเขายังสั่ง คงจะเพราะความเหนื่อยและความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


    " แต่ก็แปลกอยู่นะ ทำไมพวกเราไม่รู้ว่ามีตัวอะไรจะเข้ามาเอาอาหารพวกเราไป ตรงที่ย่างก็ไม่ได้

    ไกลเท่าไรเนี้ย อยู่ตรงนั้นเอง หินก้อนทีเราก่อไฟก็ยังมองเห็นอยู่นั่นถ้ามีตัวอะไรเข้ามาทำไมพวก

    เราไม่เห็นหรือแม้แต่เสียงเราก็ไม่ได้ยินอะไรที่ผิดสังเกตุกันเลย เป็นไปได้ไง "


    อัครชัยตั้งข้อสังเกต

     รุ่งเช้าหลังจากที่ทุกคนต้องนอนพักกับบนต้นไม้ยักษ์และไม่กล้าฝ่าความมืดลงมาเสี่ยง

    อันตรายข้างล่าง เมื่อมีแสงสวางมากพอที่จะเห็นทุกอย่าง ทุกคนจึงลงมาสำรวจเหตุการณ์ข้อสงสัย

    ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ที่เป็นเหตุให้พวกเขาแทบนอนไม่หลับกันทั้งคืนด้วยความกังวลใจ


    " จริงด้วย มีรอยเท้า หรือรอยอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลยมีรอยลากอาหารของพวกเราไปทางโน้น

    ด้วย รอยตัวอะไรนะไม่เคยเห็นรอยเช่นนี้มาก่อน " 


    จามิกร กล่าวอย่างวิเคราะห์ ถึงเธอจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ต่างต่างมากกว่าคนอื่นแต่

    เธอเองไม่เคยเห็นรอยเช่นนี้มาก่อน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมเมื่อตอนมีตัวอะไรมาลากอาหารที่

    พวกเขาย่างไป ทำไมไม่มีใครรับรู้สิ่งที่ผิดสังเกตุนี้ได้เลยซักคนเดียว


    " จริงด้วยไม่เคยเห็นรอยแบบนี้มาก่อน รอยเหมือนอะไรกลมยาวยาวปักลงไปในดิน เหมือนไม่ไผ่

    หรือสากตำข้าวน่าจะเป็นลักษณะแบบนี้เเหละ แต่มันปักลงดินในลักษณะตะกุยไปด้วย แสดงว่ามัน

    มีการเคลื่อนไหวไปมาได้ สัตว์อะไรทำไมมีรอยแปลกเช่นนี้ "


    ดุจปรายกล่าว เธอเข้ามาช่วยดูอีกคนเพราะเธอเคยอยู่ที่ดอย มีสัตว์มากมากให้เธอได้เห็นและเคย

    เห็นรอยเท้าของสัตว์แทบทุกอย่างและดูออกเช่นกัน แต่รอยที่เห็นนี้เธอมั่นใจได้ว่าไม่เคยเห็นที่

    ใหนมาก่อน


    " ก็แปลกนะรอยมันเยอะขนาดนี้แต่พวกเราไม่รู้และไม่เห็นเลยว่ามีตัวอะไรมาเหยียบย่ำอยู่แถวนี้

    และเอาอาหารพวกเราไป "


    อรัญกล่าว เขายังคงฉงน พูดพลางเอามือเกาหัวแกรกแกรกอย่างใช้ความคิด


    " เอาละในเมื่อเราไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรก็ช่างเถอะ คิดว่าในไม่ช้าเราก็คงได้รู้แน่ มันต้องมาอีกแน่ 

    แต่พวกเราต้องระวังตัวที่สุดแล้ว เราเดินทางกันต่อเถอะ  คงต้องไปตามรอยนั่นไปแหระ ทางทิศที่

    เราจะไป  " 


    อัครชัย ตัดบท 

    ทั้งหมดเก็บของและออกทางทางต่อ พวกเขามุ่งหน้าลงทางไต้เฉียงไปทางตะวันออกเล็กน้อยตาม

    คำบอกเล่าของต้นไม้ผู้ที่บอกชี้ทางให้


    " โหแถวนี้ยิ่งมีรอยเต็มเกลื่อนไปหมดเลย "


    กานต์กล่าวพร้อมชี้ใหนทุกคนดูทางเดินที่จะผ่านไป เขาเริ่มสังเกตุว่ารอยประหลาดเริ่มตั้งแนวแถว

    กัน เป็นไปในทิศทางเดียวกันจนทางที่มีรอยประหลาดรวมกันเดินไปนั้นเดินดูเตียนโล่งจนมองเห็น

    ว่าเป็นทางที่เดินเป็นแนวอยู่ประจำอย่างเห็นได้ชัด พวกเราใช้แนวทางนั้นเดินไปเพราะมันเตียน

    โล่งกว่าที่อื่นอื่น


    " เหมือนเป็นทางที่ฝูงวัวควายใช้เดินอยู่เป็นประจำเหมือนที่โลกเราเลย รู้สึกว่าทางมันจะใหญ่ขึ้น

    และมี แยกมาจากหลายทางมาบรรจบกันด้วย แสดงว่ามันตั้งมีตัวนี้กระจายไปหลายที่เหมือนกัน 

    มันตัวอะไรนะ ถ้าเดาไม่ผิดทางนี้ไปอีกไม่นานจะเป็นที่รวมของมัน พวกเราจะได้รู้ซะทีว่ามันเป็นตัว

    อะไร "


    จามิกา ตั้งข้อสังเกตุ ถึงแม้ขณะนี้ด๊อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญเกรดนิยม ด้านสัตว์ อย่างจามิกร ก็ไม่

    สามารถฟันธงได้เลยว่ารอยทางเดินที่เห็นนี่น่าจะทางเดินของอะไร


    " สวบ สวบ  ตึบตับ ตึบตับ "


    และทันใดเสียงหนึ่งก็ดังขีัน ทุกคนรู้สึกตกใจ แต่รับรู้ได้ว่าเสียงนั้นยังไม่ดังเท่าไร แต่รู้สึกได้ว่ามัน

    ดังขึ้นเรื่อยเรื่อยและใกล้เข้ามา


    " หาที่กำบังก่อน ต้องมีตัวอะไรขนาดใหญ่มาแน่ ดูสิป่าทางต้นเสียงนั้นไหวและราบมาเลย มันต้อง

    เป็นตัวที่ใหญ่มาก มันจึงทำให้ต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นสะเทือนได้ "


    อัครชัย ร้องบอกทุกคน ไม่รอให้เตือนซ้ำ ทุกคนเลี่ยงออกจากทางโล่งเตียนที่กำลังเดินอยู่กระโดด

    เข้าหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ทัน และบังร่างเข้ากับโคนต้นไม้ด้านที่ตรงข้ามกับเสียงที่มีสิ่งแหวก

    ต้นไม้มาอีกด้านทันที 

    เสียงโครมครามและกิ่งไม้หักเปะปะดังใกล้กับที่ทุกคนบังตัวอยู่เข้ามาเรื่อย เรื่อย ฟังดูน่ากลัว เสียง

    ต้นไม้หักดังราวกับมีรถดันต้นไม้ขนาดใหญ่ให้มันล้มหรือเเหวกออก เพียงแต่มันไม่มีเสียงเครื่อง

    ยนต์ให้ได้ยินแค่นั้นเองแต่เสียงต้นไม้แตกดังเหมือนนั้นไม่มีผิด และทุกคนก็ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

    ทุกคนอดไม่ได้ที่จะลอบไปมองที่มาของเสียงด้านนั้น โดยเฉพาะจามิกร เธออยากรู้ให้ได้ว่าตัว

    อะไรทำให้เกิดเสียงเช่นนี้ 

    ไม่นานทุกคนที่ลอบมองอยู่ก็ได้เห็นต้นเหตุของเสียง สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ลำตัวน่าจะใหญ่

    กว่าช้างน่าจะซักสองถึงสามเท่า มีหนามแหลมคมทั้งตัว ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อนยกเว้น จามิกร 

    เธอดูคุ้นคุ้นเหมือนกันแต่ยังนึกไม่ออกเสียทีเดียว 


    " ตัวอะไรนะจา ไดโนเสาร์ใช่ใหม สายพันธุ์อะไร ใหนว่าที่นี่ไม่มีไดโนเสาร์ที่มีชีวิตแบบนี้ แต่นี่มันมี

    ชีวิตแน่แน่เลยคงไม่มีอะไรสิงมันมา เนื่้อหนังนั่นเป็นของจริงแน่แน่เลย "


    กานต์กระซิบถามแฟนสาว หลังจากที่ทั้งคู่หลบกลับเข้ามาที่หลังต้นไม้เพราะกลัวตัวหนามยักษ์จะ

    มองเห็น


    " ดูซิถามซะยาวเหยียดเลยตอบไม่ถูกเลย เอาทีละคำถาม "


    จามิกร กระซิบตอบแฟนหนุ่ม เช่นกันต่างคนต่างหรี่เสียงให้เบาที่สุด


    " เอางั้นเอาที่ละอย่างก็ได้เริ่มจากนี่มันตัวอะไร ไดโนเสาร์ใช่ใหม อ้าวเผลอไปสองคำถามอีก "


    กานต์ เกาหัวแกรกแกรก นึกขำตัวเองที่ยังเผลอ ที่ยังลืมตัว เพราะความอยากรู้ คนอื่นอื่นเองก็ยัง

    พยายามฟังเหมือนกันว่าผู้รู้อย่างจามิกรจะตอบว่าอย่างไร



    " ไม่รู้ อาจจะเป็นใดโนเสาร์สายพันธุ์หนึ่งทึ่ไม่เคยพบซากในประวัติศาสตร์ ถึงจะคุ้นแต่ในภาพ

    ไดโนเสาร์ต่างต่างที่เรียนมาไม่มีตัวแบบนี้แน่ "


    จามิกร กระซิบตอบ


    " อ้าว ผู้รู้ ยังไม่รู้เลย "


      ดุจปราย สบท 


    " มันเงียบเสียงไปแล้วหรือมันหยุดเดินอยู่แถวนี้ "


    อัครชัยกระซิบแสดงความเห็น หลังจากที่ได้ยินว่าเสียงต้นไม้หักเงียบลง 

    ทั้งหมดพยายามลอบมองจากโคนต้นไม้ที่ซุ่มซ่อนอยู่อีกครั้งอย่างแผ่วเบา และเมื่อเห็นเหตุการณ์

    ทั้งหมดก็หดหัวกลับเข้ามาเพราะเกรงว่าการยื่นหัวออกไปจะทำให้สัตว์ประหลาดยักษ์นั่นอาจจะ

    มองเห็น 


    " เห็นชัดเลย มันยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงทางโล่งที่พวกเราจะผ่านไปตัวมันใหญ่มากนะ เหมือนมี

    งวงด้วยแต่แบนแบนและใหญ่เกือบเท่าตัวมันดูแบบนี้ ถ้าไม่นับว่ามันมีหนามแหลมทั่วตัวมันนะ มัน

    เหมือนตุ่นปากเป็ดยักษ์เหมือนกันนะ จา"


    กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ และพรรณาสิ่งที่ได้เห็น

    ทำให้จามิกร พยายามใช้ความคิดว่าตัวที่เธอคุ้นคุ้นอยู่นี้มันน่าจะเป็นตัวอะไร


    " นึกออกแล้ว " 


    เสียงจามิกรโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น และความที่เธอดีใจที่คิดได้ ทำให้ลืมเผลอส่งเสียงดังขึ้นมา

    จากที่ตอนเเรกพยายามทำให้เสียงเบาที่สุด

    กานต์ ตกใจที่เห็นแฟนสาวลืมตัว เขารู้ทันทีว่าสถานการณ์น่าจะเป็นเช่นไร สัตว์ประหลาดยักษ์ต้อง

    ได้ยินเสียงของจามิกรแน่ กานต์รีบดึงแฟนสาวเข้ามาและใช้มือปิดปากเธอไว้

    และท่ามกลางความเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของทุกคน ทุกคนก็สัมผัสได้ว่าขณะนี้ร่างสัตว์ยักษ์

    ก็ได้เคลื่อนเข้ามาใกล้กับที่ทุกคนซ่อนอยู่ 

    ทุกคนตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าอีกด้านของต้นไม้ ร่างยักษ์ได้มาหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วทุกคนต่างมองหน้า

    กันไม่รู้ว่าขณะนี้อะไรจะเกิดขึ้น

    และระหว่างต้นไม้สองต้นที่ทั้งหมดซ่อนอยู่ ตอนนี้ปากแบนใหญ่ของสัตว์ยักษ์ประหลาดได้สอด

    แทรกเข้ามา ทุกคนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับทำให้เกิดเสียงดัง ต่างคนรู้ว่าจะต้องขยับหลบมา

    อย่างเงียบกริบ เพื่อให้พ้นรัศมีปากใหญ่แบนถ้ามันขยับเข้ามา เบียดต้นไม้ที่ทุกคนซ่อนอยู่ 

    เจ้าของปากแบนใหญ่ไม่ได้ยินการเคลื่อนใหวที่หลังต้นไม้ขอทุกคน แต่เเรกมันคงได้ยิน แต่ไม่

    มั่นใจว่าเสียงอยู่ตรงแถวนี้หรือไม่ เมื่อไม่สามารถโผล่หัวผ่านช่องต้นไม้สองต้นตามปากแบนของ

    มันมาได้ทำให้ดวงตาที่อยู่หลังปากแบนของมันไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่หลังต้นไม้ได้ ความคิด

    ของมันจึงคิดว่าไม่มีอะไรที่มีเสียงที่มันสงสัยแต่แรกอยู่แถวนี้ เมื่อมันคิดเช่นนั้นมันก็ถอยปากแบน

    กลับ และไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงสัตว์ยักษ์เดินทางไปทางทิศทางที่มาแต่เเรก เมื่อคิดว่ามันไป

    ได้ไกลพอสมควรแล้ว ทุกคนก็ค่อยผ่อนลมหายใจ อย่างโล่งอก พร้อมทั้งขยับออกโผล่ไปลอบ

    มองสัตว์ยักษ์ประหลาดอีกคร้้ง   และทุกคนก็ได้เห็นว่าสัตว์ประหลาดร่างยักได้เยื้อยย่างร่างกายอัน

    อ้วนกลมและหนามแหลมทั้งตัวห่างออกไปมากตามทางโล่งเตียนที่ทุกคนกำลังจะไปก่อนที่จะ

    หลบมันอยู่ตรงหลังต้นไม้นี้


    " โอ๊ยหัวใจจะวาย ขอโทษนะทุกคน จาลืมตัวไปจริงจริง เกือบไปแล้วไม๊ล่ะ "


    จามิกร กล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ความลืมตัวกล่าวเสียงดังของเธอทำให้สัตว์ยักษ์ได้ยิน


    " ไม่เป็นไรหรอก จา ใหนใหนมันก็ไปไกลนู่นแล้วถือว่ายังโชคดี คนเราอาจพลั้งเผลอกันไปได้ ก็

    แค่เผลอไปเหมือนหนังไทยนะ เผลอส่งเสียงดังให้มันได้ยินทั้งที่เเอบอยู่หลังต้นไม้ หึหึ "


    อรัญกล่าวอย่างติดตลกทำให้ จามิกรสีหน้าดีขึ้น หลังจากที่ตอนแรกเธอรู้สึกผิดมาก


    " ใช่ แต่ไม่เหมือนซะทีเดียวนะถ้าเหมือนหนังไทยจริงเราต้องมีคนใดคนนึงเผลอเหยียบกิ่งไม้ตอน

    ที่มันโผล่ปากเข้ามาด้วย ฮ่าฮ่า"


    กานต์ หัวเราะร่วนนึกขำคำพูดอรัญที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเมื่อสักครู่กับมาผ่อนคลายได้


    " น่านแซวกันเข้าไป อย่างน้อยจาก็มีความรู้ มาลบล้างความผิดเมื่อกี้นี้แล้วล่ะ  จา รู้แล้วมันตัว

    อะไร ยิ่งชัดเจนตอนที่เห็นปากมันโผล่มานั่นด้วย และก็รู้ไปอีกแล้วด้วยว่ารอยทางเตียนที่เราเดิน

    ตามกันมานีเป็นทางที่ตัวอะไรใช้เดิน"


    จามิกร กล่าว 


    " หา จา รู้ได้ไง เรายังไม่เห็นตัวอะไรมาเดินทางเตียนตรงนี้เลย จะว่าเป็นทางของไอ้ตัวนั้น ถ้าเป็น

    ทางของมัน เมื่อกี้มันจะบุกป่ามาทำไม แล้วทางนี่ถ้ามันเดินประจำ ตัวมันจะเบียดป่าทั้งสองข้าง

    ทางไปอย่างนั้นหรือ "


    แสงดาวกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยความสงสัย


    " ชัดเจนเลย เห็นมันทีแรกก็คุ้นคุ้นอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นตัวอะไร เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นมัน 

    เพราะขนาดของมันใหญ่มากนั่นเอง ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ไดโนเสาร์อะไรหรอก มันคือ  มันคือ 

    มันคือ.เอิบ.มันคือ " 


    จามิกร ทอดเสียงแกล้ง หลังจากที่เห็นที่เห็นทุกคนจดจ่อรอฟังอยู่


    " เออ ขอโทษนะ คุณด๊อกเตอร์จามิกร ตอนนี้เกร็งรอฟังแทบเยี่ยวกระปริบแระ จะมาเล่นอะไรกัน

    ตอนนี้เนี่ย " 


    อรัญ กล่าวต่อว่าเหมือนหัวเสียแต่แบบขำขำ หลังจากที่ลุ้น คำตอบที่จามิกรไม่ยอมบอกเรื่องที่ทุก

    คนอยากรู้ซักที


    " เอ๊า บอกก็ได้เดี๋ยวจะลุ้นกันจนหัวใจวายกันไปเสียก่อน ตัวที่เห็น มันคือ ตัวอิคิดน่า มันเป็นตัวกิน

    มดชนิดหนึ่งที่อยู่บนโลกเราไง เพียง แต่ว่าที่อยู่บนโลกเรามันตัวแค่ไม่เกินสามสิบเซนติเมตร ไม่

    ได้ใหญ่ขนาดสามสี่เมตรเหมือนที่นี่ไง มันเป็นตัวกินมด "


    จามิกร กล่าวเสียงสูงในตอนท้ายอย่างมั่นใจ


    " ฮะ ตัวกินมด มันตัวขนาดนี้ งั้นหมายความว่า ที่เธอรู้ว่านี่มันเป็นทางเดินอะไร ก็แปลว่าทางเตียน

    เตียนที่ นี่คือ นึ่คือ นี่คือ ทางมดใช่ใหม "


    แสงดาว อุทานหลังจากที่ได้เข้าใจจากการประติดประต่อเหตุการ์จากคำตอบของเพื่อนสาว


    " เออใช่ เราลืมไปเสียสนิท ต้นสนยักษ์นั่นก็บอกว่าพวกเรากำลังจะเจอกับมดยักษ์ แต่ไม่คิดว่าจะ

    เร็วขนาดนี้ แต่ไม่ยักรู้ว่าจะมีตัวกินมดด้วย งั้นแสดงว่าปลาใหลย่างของเราเมื่อคืนก็คงเป็นมดคาบ

    ไปกินล่ะสิ ว่าแล้วนั่นมันรอยเท้ามด เพียงแต่มันใหญ่มาจนเรามองไม่ออก นั่นเองเพราะที่บนโลก

    เราไม่เคยสังเกตุรอยมันซักที เพราะรอยมันแทบไม่ปรากฏเพราะตัวมันเล็กมาก "


    อัครชัยกล่าว เขาคิดออกทันทีหลังจากที่ได้รับความรู้หลายด้านเป็นเหตุผลมาประกอบกัน


    " นี่แสดงว่า ต้นสนยักษ์ ก็คงไม่รู้ว่ามีพวกมดยักษ์มาอยู่แถวนี้แล้ว ต้นไม้แถวนี้ไม่มีต้นสนเลย คง

    ไม่ได้ข่าวบริเวรแถวนี้หรอก ถึงไม่ได้บอกพวกเรา มดยักษ์พวกนี้อาจจะมาอยู่ตรงนี้ไม่นาน อาจพึ่ง

    มาตอนที่รู้ว่าพวกปลวกยักษ์กระจายกันออกมาก็ได้  และแสดงว่าพวกมดยักษ์ก็ต้องรู้ตัวกลัวตัวกิน

    มดนั่นเหมือนกัน ตอนกลางวันถึงไม่ค่อยออกมา ถึงได้ออกมาตอนกลางคืนไปเล่นอาหารเรา "


    จามิกร กล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกตุ


    " ชัดเลย คงเป็นอย่างที่จา บอกนั่นเเหละ ดูมันมีเหตุผลเป็นไปได้เลยทีเดียว แต่คิดว่ามันก็เป็นการ

    ดีนะที่มดมันยังมีความกลัวจึงไม่ออกมา ไม่งั้นพวกเราคงต้องเจอกับมดยักษ์ทั้งฝูง และตัวมันคง

    ใหญ่มากนะดูทางที่มันใช้สิ อย่างกับถนนที่มนุษย์เราใช้เดินกันเลย "


    แสงดาว กล่าวทำให้จามิกร ที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เธอจึงกล่าวกับทุกคนว่า


    " ใช่ ดูจากทางที่มันเดินและรอยเท้ามันแล้ว ตัวมันใหญ่มากจริงจริง อย่างน้อยก็น้องน้องตัวพวก

    เรานี่แหระ และดูสิต้นไม้ข้างทางที่มีรอยใหม้แบบนั้น แสดงว่ามันเป็นมดยักษ์ที่มีพิษมากอีกด้วย

    ไอพิษจึงไปกระทบกับใบไม้นั่นได้ พวกเรากำลังจะเจอกับ ฝูงมดร้ายร่างยักษ์และมีกำลังมาก 

    พร้อมทั้งพิษร้ายแรง ที่พวกเราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว "































    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×