ลำดับตอนที่ #59
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #59 : แรงกำลังฝังพิษ
" ปิเยข้าก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นตัวอะไร แต่ที่รู้มันติดตามปัวล่ามาจากประตูฝั่งโลกของ
พวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าได้เห็นมันคงจะรู้จักดี พวกมันมีพละกำลังมาก สามารถใช้ปากของมันยกหรือ
แบกอะไรทุกอย่างที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวมันได้หลายเท่านัก "
ต้นไม้ยักษ์กล่าว
" ถ้ามีกำลังมาก็น่าจะเป็นมดหรือเปล่าพี่กานต์ และมันก็ชอบกินปลวกด้วยเหมือนที่โลกเรา "
จามิกรถามแฟนหนุ่มขึ้น เธอเองศึกษาเรื่องแมลงมามากรู้ดีว่ามดน่าจะเป็นสัตว์ที่ต้นไม้ยักษ์กล่าว
ถึง
" อาจเป็นไปได้ นะจา ทั้งปลวกและมดก็คงจะมุดดินมาโผล่ที่นี่ได้ตรงประตูมิติ ดินตรงนี้เพราะพวก
นี้มักจะอยู่ในดินอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นมดที่ทำให้ปลวกยักษ์พวกนี้กลัวได้มันคงจะตัวใหญ่มากพอกับ
พวกปลวกยักษ์นี้เหมือนกัน นี่ขนาดแค่ปลวกนะที่เราคิดว่ามันไม่น่ามีพิษสงค์เท่าใดนะมันยังใหญ่
และร้ายกาจขนาดนี้ แตุ่ถ้าเป็นมดมันต้องมีพิษร้ายแรงด้วยแน่เลย พวกเราคงไม่ปลอดภัยแน่ถ้าไป
ถึงที่นั่น เพราะตอนนี้พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะไปต่อกรกับฝูงมดยักษ์คงลำบากแน่ "
กานต์ ตอบพร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตุ
" ยังไงพวกเจ้าก็ยังมีดินที่ไพรีทรอย ที่พวกนั้นกลัว ถ้าเจ้ารู้จักวิธีที่จะใช้มันมันก็อาจจะช่วยพวกเจ้า
ให้รอดพ้นจากสองสายพันธุ์นั้นได้ "
ต้นไม้ยักษ์กล่าว แนะนำวิธีเอาตัวรอดกับทุกคนพร้อมทั้งกล่าวสรุป
"เอาล่ะคิดว่าพวกเจ้าต้องรีบไปแล้ว ยังไงพวกเจ้าก็คงได้ข้อมูลไปมากพอสมควร ปิเยข้าขอให้พวก
เจ้าเดินทางปลอดภัย "
" เดี๋ยวก่อนสิท่าน พวกเรายังข้องใจอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของหนอนยักษ์ที่ได้พาพวกปัวล่ามานั่น มัน
คืออะไรกันคิดว่าท่านคงพอน่าจะรู้นะ และอีกอย่างพวกเราจะหาอาหารและน้ำได้ยังไงถ้าหาไม่ได้
อีกไม่นานเราคงหมดแรงไปต่อไม่ได้แน่ "
อัครชัยถามขึ้นเพราะยังไม่รู้ข้อมูลเรื่องหนอนยักษ์ พร้อมทั้งกังวลเรื่องการเดินทาง
" งั้นปิเยข้าขอตอบเรื่องอาหารของพวกเจ้าก่อนละกัน อีกไม่นานพวกเจ้าจะได้พบกับปิเยที่กินเป็น
อาหารได้หลายอย่างและแหล่งน้ำสะอาด แต่มันยังห่างไปอีกซักสองสามวัน พวกเจ้าคงหมดแรง
ก่อนแน่ ถ้าในความจำเป็นต้องหาอะไรกินตอนนี้ มีสะดีน่าอยู่แถวนี้มากมายโดยเฉพาะใต้รากของ
ปิเยข้านี้ถ้าพวกเจ้าไม่รังเกียจ มันก็พอเป็นเสบียงไปซักสองสามวันก่อนถึงแดนปิเยที่กินได้ ส่วน
เรื่องน้ำเดี๋ยวปิเยข้าจะให้เองมันอยู่ในรากของปิเยข้ามากมายพอ เดี๋ยวปิเยข้าจะพ่นออกมาให้ "
ต้นไม้ยักษ์ตอบ
" ยี๋ .จะให้เรากินไส้เดือนกันเนี่ยนะ แล้วตัวใหญ่ด้วยที่มองเห็นขนาดตัวของมันเกือบเท่าแขนเรา
เลยน่ะ จะใหวหรือพี่หมอ "
ดุจปราย กล่าวพร้อมคอย่นด้วยความขยะแขยง
" อ้าวนี่ยาหยีไม่รู้อะไร ที่โลกเราเขาก็กินกัน ราคาแพงด้วยนะ ตัวเล็กด้วยที่นี่ตัวใหญ่กว่าน่ากินกว่า
เป็นใหนใหน"
อรัญชิงตอบพร้อมสัพยอกแฟนสาว
" พี่อรัญ กินไปคนเดียวเหอะ แค่พูดก็คอแข็งแล้ว "
จามิกร รีบตัดบทก่อนที่อรัญจะยั่วทุกคนไปมากกว่านี้
" แล้วแต่แล้วกัน ปิเยข้าบอกได้เลยว่านอกจากสะดีน่าแล้วแถวนี้พวกเจ้าคงไม่มีอะไรกินแล้ว ลอง
คิดเอาดูแล้วกัน ส่วนน้ำในรากปิเยข้ารับรองสะอาด เพราะตัวปิเยข้ากลั่นกรองมาอย่างดี เพราะปิเย
ข้าก็ไม่ชอบอะไรที่สกปรกเหมือนกัน "
ต้นไม้ยักษ์ตอบ
" พอถึงคราวอดจริงจริงพวกเราก็คงกินมันได้เองแหระ ขนาดตอนอยู่ในศึกสงครามไม่มีอะไรกินยัง
กินซากศพ มนุษย์ด้วยกันได้เลย ว่าแต่ท่านต้นไม้แล้วเรื่องหนอนยักษ์ล่ะว่าไงท่านยังไม่ได้บอก
เลย "
แสงดาวรีบสรุป เธอเป็นทหารหญึงเรื่องการดำรงชีวิตในที่ที่คับขับ ทุกอย่างก็น่าจะนำมาเป็นอาหาร
ได้เพื่อการมีชีวิตรอด
" อ้าวเกือบลืมเรื่องสำคัญไป มัวแต่ฟังพวกเจ้ากลัวอาหารกัน เรื่องแองโกล่าก็อย่างที่พวกเจ้าพอรู้
กันมาบ้างนั่นแหระ มันเคยถูกเอามาทิ้งที่ปราการไพรีทรอย จะว่าทิ้งก็ไม่เชิงเพราะปิเยที่พามาไป
ใหนต่อไม่ได้ เพราะต้องพิษของปัวล่าสิ้นชีตะทั้งหมด ปิเยเผ่าพันธ์ข้าที่นั่นบอกว่าร่างแองโกล่า
ถูกปัวล่าลากเข้าไปในปราการรังของปัวล่า ทีแรกคิดว่ามันจะเอาไปเป็นอาหาร แต่หลายปีต่อมา
พวกปิเยข้ากับพบว่ามันไม่ได้ตาย และกลับกลายมีจำนวนมากขึ้นด้วย มันคลุกคลีอยู่กับปัวล่าโดย
ไม่ทำร้ายกันกันและมันยังช่วยกันป้องกันตัวจากไมด้าด้วย "
ต้นไม้กล่าว มาถึงตอนนี้กานต์เริ่มสงสัยจึงได้แทรกถามขึ้น
" ป้องกันตัวหรือ งั้นแสดงว่าไมด้าหรือที่พวกเราคิดว่าเป็นมดนั่นไม่กลัวหนอนยักษ์หรือ หนอนนะ
ตัวมันก็ใหญ่น่าดูนะและว่องไวด้วย "
" แองโกล่าใหญ่ก็จริง แต่ความเร็วไมด้าไม่ด้อยกว่าแองโกล่าเลย แถบพวกมันมีจำนวนมากมาย
นัก มันกัดแต่ละทีทำให้แองโกล่าขยับร่างกายไม่ได้เพราะพิษของมันมันจับแองโกล่าและลูกลูก
ของมันกินมาหลายตัวแล้ว "
ต้นไม้ยักษ์ตอบข้อสงสัยของกานต์
" โหไม่น่าเชื่อจะมีตัวอะไรกินหนอนยักษ์นั่นได้ และกินมันได้หลายตัวด้วย ถ้าอย่างนั้นไอ้ตัวที่เรา
เห็นมันรอดมาได้ไงล่ะ แถวมีปลวกยักษ์ตามมาเป็นพรวนด้วย "
อรัญถามอย่างสงสัย
" นั่นแหระ ลางร้ายเลยล่ะ ปิเยข้าเองก็ยังหวั่นหวั่นชะตากรรมของปิเยข้าอยู่เหมือนกัน เผ่าพันธ์ปิเย
ข้าบอกว่า ประมาณ ขวบร้อยปีจะเป็นวันที่ปัวล่าผู้แก่ชราต้องติดปีก ในครานี้แองโกล่ามันยอม
สังเวยเผ่าพันธ์มันและปัวล่าอีกหลายจำนวนให้เป็นอาหารของไมด้าเป็นจำนวนมากในครั้งนี้ เพื่อ
เบื่ยงเบนความสนใจและมันได้แอบขุดรูผ่านปราการรังของไมด้าที่โอบล้อมเป็นวงเขามนุษย์นอน
ไว้ หลบออกมาได้เป็นจำนวนมากเหมือนกัน พวกไมด้ากำลังสนใจกับอาหารจำนวนที่อยู่บนพื้นดิน
และปัวล่าบินที่อยู่เต็มบนท้องฟ้า ที่บางส่วนร่วงลงมาให้เป็นอาหารของมันอย่างสนุกสนาน จนลืม
คิดเฝ้าระวังไป นั่นแหระพวกแองโกล่าที่มาที่นี่จึงหลุดออกมาได้"
ต้นไม้ยักษ์อธิบาย
" โอ มีแต่ตัวร้ายร้ายทั้งนั้น ชักจะไม่สนุกแล้วซิถ้าไปที่นั่น "
อรัญ พึมพำ
"เราก็ไม่เคยได้สนุกซักทีอยู่แล้วน่าผู้พันอรัญ จะกลัวทำไม มีทางเลือกเหรอ ว่าแต่อย่างที่ท่าน
ต้นไม้ เอ้ย.ปิเยบอกทุกร้อยปีจะมีปลวกยักษ์บินแล้วทำไมถึงไม่ได้ไปสร้างรังที่อื่นอื่นบ้างล่ะ ทำไม
ยังอยู่แต่ภูเขามนุษย์นอนนั่น "
อัครชัยเริ่มสงสัย
" นั่นแหระปิเยข้าถึงบอกไงว่ามันเป็นลางร้าย ปิเยข้าอยู่มาก็ผ่านขวบการเดินทางของบัวล่าบิน
หลายครั้งแต่ทุกครั้งปัวล่าไม่เคยบินได้ไกลขนาดนี้มาก่อนเลย ทุกครั้งปัวล่าบินได้ไม่เกินปราการรัง
ของไมด้านั่นจึงทำให้พวกมันถูกกินหมด แต่ครั้งนี้มันบินผ่านหัวปิเยข้าไปเป็นจำนวนมากปิเยข้าไม่
เคยเห็นมากอ่น ปิเยข้าภาวนาว่ามันจะไม่มีตัวใดตัวหนึ่งหล่นมาข้างข้างปิเยข้า ไม่งั้นปิเยข้าคง
ไม่มีโอกาสได้มาพูดคุยกับพวกเจ้าเช่นนี้ "
ต้นไม้ยักษ์ตอบ
" นั่นคงเป็นวิวัฒนาการอะไรซักอย่างหนึ่งก็ได้ถึงทำให้แมงเม่ายักษ์พวกนั้นมันบินได้ไกลขึ้นเเหระ
ท่านต้นไม้ อย่างที่โลกของเราเหมือนกันพวกนี้ก็บินได้ไกลเหมือนกันยิ่งที่มีแรงลมด้วยแล้ว และ
ตัวแก่พวกที่บินได้นี้ ต่อไปจะเป็นนางพญาที่จะสร้างรังใหม่ต่อไป "
จามิกร นักมนุษย์วิทยาสาวอธิบาย
" ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดมันคงถึงคราวที่ปิยากิออต้องเปลี่ยนผู้ปกครองใหม่แล้วกระมัง ปัวล่าคง
ทำลายปิเยทั้งหลายและยึดครองที่นี่ในอีกไม่ช้าแน่ "
ต้นไม้ยักษ์เปรย
"มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก อย่างที่บอกดินที่ไพรีทอยมีพิษทำให้ทำให้ปลวกยักษ์และมดยักษ์
ตาย เมื่อปลวกยักษ์พวกน้้นมันออกจากตรงนั้นมาได้แล้วดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องกลัว แต่อย่าลืม
ว่ามดยักษ์มันก็คงต้องตามมาอีกได้เหมือนกัน มันคงตามมาควบคุมประชากรปลวกยักษ์พวกนั้นอีก
ทีได้แน่ ท่านต้นไม้ไม่ต้องกล้วหรอก"
จามิกรกล่าว อย่างเข้าใจธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นดี
" เป็นอันว่าพวกเรา ก็เข้าใจหมดทุกสิ่งที่อยากจะรู้แล้วนะ คงถึงคราวต้องเดินทางไปแล้ว "
อัครชัยสรุป
" ปิเยข้าขอให้พวกเจ้าโชคดีนะ อย่างที่บอก จากนี้ไปจะไม่มีปิเยที่สื่อสารกับพวกเจ้าได้แล้ว ข้อมูล
ที่ได้ไปพวกเจ้าต้องจำไว้ให้ดี ทั้งเรื่องอาหารเรื่องน้ำ พวกเจ้าคงมีวิจารณญาณกันว่าสิ่งใหนกินได้
หรือไม่ได้ ถ้าไม่รังเกียจสะดือน่าที่อยู่ทุกที่น่าจะเป็นอาหารที่ปลอยภัยที่สุด และผลปิเยที่ไม่มีพิษ
ต่างต่างที่จะพบในทางข้างหน้าคงพอประทังชีวิตพวกเจ้าไปได้ และน้ำจากรากของปิเยข้า ถ้ามี
อะไรที่ใส่ได้พวกเจ้าก็เอาไปเยอะเยอะ ได้ "
ต้นไม้ยักษ์สรุป ทุกคนไม่พูดต่อพวกเขารู้เรื่องหมดทุกอย่าง อรัญส่งสัญญาณให้ทุกคนเอากระติก
น้ำคาดเอวที่ติดตัวมา จ่อไปที่รากไม้ตามคำบอกเล่าของลำต้นของมัน ทุกคนคาดไม่ผิด ปลาย
รากเหล่านั้นมีน้ำพุ่งออกมาได้เหมือนน้ำที่ใหลจากก๊อกน้ำ และมันก็สามารถหยุดใหลได้อีกด้วย
เมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำนั้นได้เต็มภาชนะแล้ว
เมื่อได้น้ำกันทุกคนแล้ว พวกเขาต้องการสิ่งต่อไปคืออาหารกิน และสิ่งที่ได้รับรู้จากต้นไม้เมื่อครู่นี้
คือใส้เดือนยักษ์ลำตัวขนาดปลาใหลตัวใหญ่ใหญ่ ที่เลื้อยอยู่ก้นแอ่งน้ำที่เหือดแห้งอยู่ตอนนี้
" ไม่น่าขยะแขยงเท่าไรหรอกปลาย ตัวมันใหญ่สีเหลือง มันเหมือนปลาใหลมากกว่าใส้เดือน ปราย
ก็กินปลาใหลไม่ใช่เหรอ "
อรัญกล่าวกับแฟนสาว พร้อมทั้งชี้ให้เธอดู และดุจปรายก็พยักหน้า
" นั่นสิพี่อรัญ พอมาดูมันใกล้ๆ ไม่น่าเกลียดจริงจริง ปรายเป็นสาวดอยนะ ไม่ใช่คนในมงในเมืองที่
ใหน เรื่องปลาใหลชอบอยู่แล้ว มันเหมือนปลาใหลจริงจริงด้วย ถึงตัวมันจะยาวมากแต่รูปร่างของ
มันเหมือนปลาใหลมากจริง เราคงเอามันไปย่างได้นะ "
ดุจปรายตอบแฟนหนุ่มสีหน้าเธอดูดีขึ้น ทั้งหมดได้ใช้มีดตัดส่วนลำตัวยาวของใส้เดือนยักษ์เป็น
ท่อน ได้จำนวนหนึ่งพอทีพวกเขาจะนำมันไปได้ ยิ่งกลายเป็นท่อนท่อนชิ้นส่วนไส้เดือนยักษ์ดูไม่
น่าขยะแขยงแต่อย่างใด เมื่อได้สิ่งที่พวกเขาต้องการแล้ว ทุกคนก็โบกมือลาต้นไม้ยักษ์และเริ่ม
ออกเดินทาง
" พวกเราไปก่อนนะท่านต้นไม้ "
อัครชัยกล่าว
" ขอให้พวกเจ้าโชคดีนะมนุษย์ตัวน้อย น้อย ถ้าพวกเจ้าทำได้อย่างที่ปิยากิออฝากความหวังไว้
พวกเจ้าจะได้รับการเชิดชูจากปิยากิออไปอีกนานเท่านาน "
ต้นไม้ยักษ์ กล่าว และกิ่งก้านของมันส่ายไปมาเสมือนมือของทั้งหมดที่กับลังโบกมือเช่นกัน
" สรุปเราก็มาได้ รู้แทบทั้งหมดกับต้นไม้ต้นนี้เองเนอะ จา ทั้งที่ต้นไม้ต้นนี้ก็ไม่ได้มีอายุนาน
เท่าไร แต่กลับรู้แทบทุกอย่าง "
แสงดาว กล่าวกับจามิกรเพื่อนสาวขณะเริ่มเดินทางห่างออกมา
" นั่นสิ อย่างที่ต้นไม้บอกเขารู้ได้เพราะมีพวกของเขาอยู่แทบทุกที่และส่งข่าวสารให้รู้กันแทบทุก
เรื่องได้อย่างรวดเร็วตามแรงลม เหมือนเราใช้โทรศัพน์ที่โลกเราล่ะมั่ง ไม่เห็นเหรอก็เป็นอย่างนี้ ว่า
แต่ ปลาใหลนี่เราจะไปทำกินกันอย่างไร ที่ใหนล่ะเริ่มหิวแล้ว "
จามิกรกล่าว แต่ดูเหมือนเธอจะเรียกสิ่งที่ถือมาเป็นอาหารนั่นผิด จนกานต์แฟนหนุ่มที่อยู่ใกล้ใกล้
ขยับทำท่าจะ กล่าวแย้ง แต่จามิกรก็แสดงอาการรู้ทันพอกานต์ขยับปากจะพูดก็มีสัญญาณจากแฟน
สาวให้เขาชะงักไว้
" จำไว้นะ นี่คือปลาใหลทุกคนเข้าใจตรงกันนะ "
จามิกรกล่าวย้ำ ทุกคนจึงเข้าใจว่าจามิกรสื่อถึงอะไร พวกเขารู้ว่าถ้าได้ยินคำว่าใส้เดือนจากสิ่งที่จะ
นำไปเป็นอาหารนี้่ความน่ากิน ของมันน่าจะหมดไปเป็นแน่แท้
"ยังไม่เหมาะที่จะทำของกินแถวนี้หรอก หิมะเต็มไปหมด เราคงต้องหาทางก่อไฟเพื่อย่างมันหิมะ
เปียกขนาดนี้เราจะก่อไฟได้ยังไง เราต้องเสี่ยงลงไปอีกสักพัก เผื่อเจอที่ปลอดหิมะ "
อัครชัย แสดงความเห็นและตอบคำถามจามิกร
" แล้วถ้าเราเดินไปแล้วไม่เจอที่แห้งแห้งซักทีและพี่หมอเราจะไม่หิวกันแย่หรือ "
แสงดาว ตั้งคำถามแฟนหนุ่ม
" อันนี้ไม่ต้องรอพี่หมอของแสงดาวตอบก็ได้ พี่อรัญบอกได้เลย ถ้าไม่เจอที่แห้งซักทีจนพวกเรา
หิวจนทนไม่ใหว ก็สดสดไปเลยล่ะจ้า นึกว่ากินซาซิมิจากเกาะฮ๊อกไกโด "
อรัญกล่าวโพล่งขึ้นมาอย่างติดตลก
" อรัญก็มาตลกอีก ไม่ต้องขนาดนั้น พวกเรายังเดินทางได้อีกไกลเพราะร่างกายเรามีน้ำกินกันแล้ว
อย่างน้อยก็วันนี้ และไส้เดือ..เอ็ยลืมไปปลาใหลนี่คงไม่เน่าเสียง่ายง่ายเพราะที่นี่อากาศเย็น เราคง
ไม่ถนัดกินมันสดสดหรอก ไอ้ปลาสดญี่ปุ่นซาซีมินั่นมันคงมีน้ำจิ้มซีฟู๊ดให้จิ้มมันจึงกินสดสดได้
อร่อย เอาไว้เราหาที่แห้งไม่เจอจริงจริงจนถึงค่ำและพักเราค่อยหาทางย่างมันกินกัน "
อัครชัย อธิบาย และทุกคนก็ได้รู้สึกว่าทางข้างหน้าเริ่มมีพื้นที่ต่ำลงเรื่อยเรื่อย และสังเกตุได้ว่า
หิมะก็เริ่มตกน้อยลง
" นั่นไงคำภาวนาพวกเราน่าจะเป็นผล นะทุกคนรู้สึกได้ว่าตอนนี้เรากำลังไต่ลงไปข้างล่างโน่นไกล
ไกลที่นั่นมีต้นไม้เขียวเห็นได้ชัดแสดงว่าตรงนั้นน่าจะไม่มีหิมะตกคงจะใกล้พ้นเขตหิมะแล้ว ดูจาก
สายตาน่าจะเดินทางไปอีกเจ็ดแปดชั่วโมงน่าจะถึง "
กานต์ กล่าวและชี้ให้ทุกคนดู
" โห...กว่าจะถึงคงมืดค่ำแน่ ดูดวงอาทิตย์แล้วนี่ก็น่าจะบ่ายแล้วเหมือนกัน "
อัครชัย กล่าวเสริมพร้อมทั้งพิเคราะดูช่วงและคำนวนเวลาความน่าจะเป็น
ทั้งหมดจึงเริ่มเร่งเดินทางต่อไป เพราะมีความหวังให้เห็นรออยู่ข้างหน้า ด้วยสภาพการเดินทางที่
เป็นทางลาดลง เสียส่วนใหญ่ทำให้พวกเขาเร่งเดินทางได้รวดเร็วขึ้นถึงแม้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่
ทุกคนก็ไม่ได้ปริปากบ่น เพราะรู้ว่าถ้าช้าไปอาจทำให้ไปถึงจุดหมายข้างหน้าไม่ได้ทันที่ตั้งใจไว้
จะเกิดความลำบากถ้ามืดเสียก่อนจะพ้นหิมะไป พวกเขาต้องประสพกับความหนาวเย็นจากหิมะ
อย่างรุนแรงในช่วงยามค่ำคืนก็เป็นได้
" สำเร็จพวกเรามาถึงแล้วเกือบมืดพอดี ที่นี่มีต้นไม้ปกคลุมเยอะอยู่นะไม่มีหิมะด้วย พวกเราพักกัน
ที่นี่ก่อน "
อัครชัยกล่าวหลังจากเขาได้ก้าวพ้นหิมะผ่านเข้ามายังดินแดนที่เห็นว่าเป็นพื้นดินร้อยเปอร์เซนต์
และเขาคิดว่าน่าจะต้องพักค้างคืนที่นี่และจะประกอบการทำของกินด้วยอาหารที่ติดตัวกันมา
" อืม ตรงนี้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วยนะ มีต้นไม้ด้วยแต่คงพูดไม่ได้เหมือนที่ต้นไม้ยักษ์นั่นบอก ถึงจะต้น
ใหญ่ใหญ่เหมือนกัน เราจะก่อไฟกันตรงนี้ใช่ใหมพี่หมอ "
แสงดาวถามแฟนหนุ่ม
" ใช่ตรงนี้แหละเหมาะแก่การพัก เพราะพวกเราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรกันเลย
กินแต่น้ำ "
อัครชัยตอบ ทุกคนทรุดตัวลงนั่งพังพาบด้วยความเหนื่อยล้า บ้างก็เอนตัวลงนอนอย่างหมดแรง
"เหนื่อยหน้าดูเลยตั้งแต่เราหลงมาที่นี่วันนี้แหระเหนื่อยที่สุดเลย เจ็บเท้าไปหมดสงสัย่ส้นเท้าจะ
แตกด้วย ดูมันมีเลือดซิบซิบ คงเป็นหิมะกัด "
อรัญ บ่นพร้อมเอามือลูบคลำเท้าตัวเองเบาเบา และมือของเขาก็มีสีแดงจางจางติดมือมา
" ปรายก็เจ็บเหมือนกัน สงสัยเราทุกคนก็เป็นแบบนี้กันหมด ดีนะหิมะมันเย็นมันยังช่วยไม่ให้เลือด
เราใหลมากได้ "
ดุจปรายกล่าวเสริมแฟนหนุ่ม
" นี่ไงธรรมชาติที่แท้จริงสำหรับพวกเราทั้งหมดไง ทั้งร่างกายพวกเราและต้นไม้ตอนนี้ เป็นจริง
อย่างทีโลกเราเป็นทั้งหมด เหมือนตอนที่เราอยู่บนโลกของเรา เรารู้สึกเหมือนได้เข้ามาพักในป่า
ใหญ่ใหญ่ ก็ได้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติไปอีกแบบหนึ่งนะ "
จามิกรแสดงความคิดเห็น
" ใช่จาพูดถูก พี่ก็รู้สึกเหมือนกัน มันก็ดีนะ ไม่มีต้นไม้หรือตัวอะไรที่มันพิเศษพิเศษ ดูเป็นธรรมชาติ
ของพวกเราดี เหมือนเราได้อยู่โลกของเรา "
กานต์ กล่าวเห็นด้วยกับความรู้สึกของแฟนสาวที่กำลังได้รับ เพราะเขาก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
" เเต่เราจะวางใจไม่ได้นะ เราก็รู้ที่นี่ไม่ใช่โลกเรา อาจมีอะไรที่มันเหนือความคาดหมายได้ตลอด
เวลา ว่าแต่เราพักขาพอสมควรแล้ว เราเริ่มทำของกินกันเถอะ มาหาทางก่อไฟ "
อัครชัยตัดบท เพราะเห็นว่าทุกคนได้พักกันเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ทั้งหมดช่วยกันหากิ่งไม้แห้ง
มา หลายขนาดตั้งใจจะก่อไฟ ตามความรู้ที่ได้ศึกษามาให้เป็นความรู้ในการก่อไฟในกรณีฉุกเฉินที่
ไม่ได้นำวัสดุจุดไฟได้มา
" ไฟติดแล้ว โอ๊ยเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน วิชาลูกเสือใช้ประโยชน์ได้ตอนนี้เอง "
อรัญบ่น และถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากเริ่มเห็นประกายไฟติดขึ้นจากเศษใบไม้และกิ่งไม้
การแนวคิดการก่อไฟให้ติดในภาวะที่ไม่มีสิ่งจุดไฟได้นี้
" ยังดีนะ ไฟที่นี่ยังติดง่ายกว่า สงสัยอากาศที่นี่มันจะแห้ง ไม่งั้นเราคงปั่นกันอีกนานแน่ ยิ่งไม่ค่อย
มีแรงกันอยู่
กานต์กล่าว
" ไฟติดแล้วเราต้องรีบย่างมันให้สุกโดยเร็ว เราจะก่อไฟให้แสงสว่างนานไม่ได้ มันจะเป็นจุดสนใจ
ให้มีตัวอะไรแถวนี้มองเห็นและมาที่นี่ได้ "
สิ้นคำอัครชัยทั้งหมดรีบวงชิ้นส่วนอาหารกลมยาวเข้ากองไฟที่ลุกโชนทันที ไม่มีเวลาประดิบ
ประดอย ถึงรู้ว่าอาหารมันอาจจะไหม้เสียก่อน แต่ให้มีความร้อนมาทำให้สุกเสียบ้าง ก็น่าจะเพียง
พอแล้วสำหรับการที่ต้องรีบเร่ง และไม่นานทุกคนก็มีความเห็นว่ามันน่าจะพอสุกบ้างแล้ว และมี
อาหารน่าจะพอแก่ทุกคนสำหรับอิ่มแล้ว ทั้งหมดจึงดับไฟทันที
" เราต้องเอามันขึ้นไปกินบนต้นไม้นะ เราก่อไฟเมื่อกี้มีความสว่างไม้รู้ว่าจะมีตัวอะไรมาเปล่าอยู่ข้าง
ล่างนี่อันตราย "
จามิกร แสดงความเห็น ทุกคนเห็นด้วยการป้องกันตอนนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด พวกเขาไม่มีความสามารถ
พิเศษเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว และอาหารก็ถูกยกขึ้นไปพร้อมทั้งคนก็ไปอยู่บนต้นไม้นั่นด้วย
" อืมอร่อยเหมือนกันนะถึงจะมีดินเปลื้อนกรุบกรับไปบ้าง หรือว่าหิวก็ไม่รู้ "
อรัญกระซิบกับแฟนสาว
" อืมจริงด้วย วิเศษไปเลย เดี๋ยวต้องลงไปเอามาอีกเมื้อนี้คงอิ่มสบายกันละนะ "
ดุจปรายกระซิบตอบแฟนหนุ่ม
" พอเราดับฟืนแล้วก็มืดจังเลยเงียบด้วย คงไม่มีตัวอะไรถ้ามีเราคงได้เห็นหรือได้ยินแล้ว ถือว่าเรา
โชคดีนะคืนนี้ ได้อิ่มแล้ว "
เสียงจากมิกรกระซิบมาเหมือนกัน เมื่อได้ยินทั้งสองโต้ตอบกัน
" ใช่แต่ถึงยังไงเราก็คงพักข้างล่างไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยคงต้องพัก บนต้นไม้นี้มันมีกิ่งใหญ่
มากด้วยน่าจะนอนบนนี้ได้ ไว้เช้าจะเดินทางต่อค่อยลงไป ใครยังไม่อิ่มก็ลงไปเอาปลาไหลมาเพิ่ม
อีกนะ "
อัครชัยกล่าว และแสดงความคิดเห็น
" เดี๋ยวเราลงไปเอาเอง เมื่อกี้ปรายก็บอกไม่ค่อยอิ่ม เดี๋ยวเอามาเพิ่มเผื่อทุกคนด้วย "
อรัญ ขันอาสา หลังจากได้อิ่มท้องไปบ้างเขารู้สึกมีแรงขึ้นมาก อรัญไต่ลงจากต้นไม้ใหญ่ไปเพียง
ครู่เดียว ก็ไต่กลับขึ้นมา
" เก่งแล้วนะอรัญไต่ไปไต่มาคล่องแล้ว "
กานต์กล่าวชมพร้อมทั้งดึงมือเขาขึ้นมานั่งบนคาคบไม้ร่วมกัน และอัครชัยก็จะช่วยเอื้อมไปรับ
อีกมือที่คาดว่าจะถืออาหารที่อรัญลงไปหยิบขึ้นมาด้วย แต่อัครชัยกลับต้องแปลกใจเมื่อมือข้างที่
เขาคิดว่าจะไปรับของนั้นมือของอรัญไม่มีอะไรติดมือมาด้วย
" อ้าวใหนอรัญว่าลงไปเอาปลาใหลมาไม่เห็นมี "
อัครชัย แปลกใจ
" ทุกคน อาหาร ปะ ปลาใหลที่เหลือหายไปหมดแล้ว มีอะไรมาลักไปแน่สังเกตุเหมือนมีรอยเท้า
เป็นจ้ำจ้ำยั่มอยู่ ตรงนั้น"
อรัญตอบเสียงกระเส่าและน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งทุกคนรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้แสร้งล้อเล่นอย่างเช่นทุก
ครั้งแน่
" หา หายไป "
เสียงทุกคนอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน
" อะไรนะ อุ๊บ พี่อรัญว่าปลาใหลที่ย่างอยู่ข้างล่างหายไปเหรอ เป็นไปได้ไงอยู่ตรงนี้เองเราก็ไม่เห็น
ว่ามีตัวอะไรหรือเสียงอะไรเข้ามานี่นา "
ดุจปรายทำท่าจะเสียงดังแต่เเรกขณะถามแฟนหนุ่มอย่างแปลกใจ แต่เธอก็รู้ว่าคงต้องลดเสียงลง
เพราะ ไม่อยากให้มีเสียงดังเพราะความไม่รู้ว่าอะไรทำให้อาหารของพวกเขาหายไปเกรงว่าเสียงที่
ดังจะไปเป็นจุดสนใจ หากมีสิ่งที่เข้ามาเอาอาหารไปได้ยิน
" จริงสิทุกคนจะล้อเล่นได้ไง เมื่อกี้ลงไปแต่แรกยังตกใจไม่หายเลย ที่ไม่เห็นปลาใหลที่ย่างอยู่ นี่
รีบพุ่งพรวดขึ้นมาบนนี้เลย กลัวมีตัวอะไรที่เอาปลาใหลย่างเราไปแล้วมันยังอยู่แถวนั้น"
อรัญตอบ เสียงเขายังสั่ง คงจะเพราะความเหนื่อยและความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
" แต่ก็แปลกอยู่นะ ทำไมพวกเราไม่รู้ว่ามีตัวอะไรจะเข้ามาเอาอาหารพวกเราไป ตรงที่ย่างก็ไม่ได้
ไกลเท่าไรเนี้ย อยู่ตรงนั้นเอง หินก้อนทีเราก่อไฟก็ยังมองเห็นอยู่นั่นถ้ามีตัวอะไรเข้ามาทำไมพวก
เราไม่เห็นหรือแม้แต่เสียงเราก็ไม่ได้ยินอะไรที่ผิดสังเกตุกันเลย เป็นไปได้ไง "
อัครชัยตั้งข้อสังเกต
รุ่งเช้าหลังจากที่ทุกคนต้องนอนพักกับบนต้นไม้ยักษ์และไม่กล้าฝ่าความมืดลงมาเสี่ยง
อันตรายข้างล่าง เมื่อมีแสงสวางมากพอที่จะเห็นทุกอย่าง ทุกคนจึงลงมาสำรวจเหตุการณ์ข้อสงสัย
ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ที่เป็นเหตุให้พวกเขาแทบนอนไม่หลับกันทั้งคืนด้วยความกังวลใจ
" จริงด้วย มีรอยเท้า หรือรอยอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดเลยมีรอยลากอาหารของพวกเราไปทางโน้น
ด้วย รอยตัวอะไรนะไม่เคยเห็นรอยเช่นนี้มาก่อน "
จามิกร กล่าวอย่างวิเคราะห์ ถึงเธอจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ต่างต่างมากกว่าคนอื่นแต่
เธอเองไม่เคยเห็นรอยเช่นนี้มาก่อน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมเมื่อตอนมีตัวอะไรมาลากอาหารที่
พวกเขาย่างไป ทำไมไม่มีใครรับรู้สิ่งที่ผิดสังเกตุนี้ได้เลยซักคนเดียว
" จริงด้วยไม่เคยเห็นรอยแบบนี้มาก่อน รอยเหมือนอะไรกลมยาวยาวปักลงไปในดิน เหมือนไม่ไผ่
หรือสากตำข้าวน่าจะเป็นลักษณะแบบนี้เเหละ แต่มันปักลงดินในลักษณะตะกุยไปด้วย แสดงว่ามัน
มีการเคลื่อนไหวไปมาได้ สัตว์อะไรทำไมมีรอยแปลกเช่นนี้ "
ดุจปรายกล่าว เธอเข้ามาช่วยดูอีกคนเพราะเธอเคยอยู่ที่ดอย มีสัตว์มากมากให้เธอได้เห็นและเคย
เห็นรอยเท้าของสัตว์แทบทุกอย่างและดูออกเช่นกัน แต่รอยที่เห็นนี้เธอมั่นใจได้ว่าไม่เคยเห็นที่
ใหนมาก่อน
" ก็แปลกนะรอยมันเยอะขนาดนี้แต่พวกเราไม่รู้และไม่เห็นเลยว่ามีตัวอะไรมาเหยียบย่ำอยู่แถวนี้
และเอาอาหารพวกเราไป "
อรัญกล่าว เขายังคงฉงน พูดพลางเอามือเกาหัวแกรกแกรกอย่างใช้ความคิด
" เอาละในเมื่อเราไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรก็ช่างเถอะ คิดว่าในไม่ช้าเราก็คงได้รู้แน่ มันต้องมาอีกแน่
แต่พวกเราต้องระวังตัวที่สุดแล้ว เราเดินทางกันต่อเถอะ คงต้องไปตามรอยนั่นไปแหระ ทางทิศที่
เราจะไป "
อัครชัย ตัดบท
ทั้งหมดเก็บของและออกทางทางต่อ พวกเขามุ่งหน้าลงทางไต้เฉียงไปทางตะวันออกเล็กน้อยตาม
คำบอกเล่าของต้นไม้ผู้ที่บอกชี้ทางให้
" โหแถวนี้ยิ่งมีรอยเต็มเกลื่อนไปหมดเลย "
กานต์กล่าวพร้อมชี้ใหนทุกคนดูทางเดินที่จะผ่านไป เขาเริ่มสังเกตุว่ารอยประหลาดเริ่มตั้งแนวแถว
กัน เป็นไปในทิศทางเดียวกันจนทางที่มีรอยประหลาดรวมกันเดินไปนั้นเดินดูเตียนโล่งจนมองเห็น
ว่าเป็นทางที่เดินเป็นแนวอยู่ประจำอย่างเห็นได้ชัด พวกเราใช้แนวทางนั้นเดินไปเพราะมันเตียน
โล่งกว่าที่อื่นอื่น
" เหมือนเป็นทางที่ฝูงวัวควายใช้เดินอยู่เป็นประจำเหมือนที่โลกเราเลย รู้สึกว่าทางมันจะใหญ่ขึ้น
และมี แยกมาจากหลายทางมาบรรจบกันด้วย แสดงว่ามันตั้งมีตัวนี้กระจายไปหลายที่เหมือนกัน
มันตัวอะไรนะ ถ้าเดาไม่ผิดทางนี้ไปอีกไม่นานจะเป็นที่รวมของมัน พวกเราจะได้รู้ซะทีว่ามันเป็นตัว
อะไร "
จามิกา ตั้งข้อสังเกตุ ถึงแม้ขณะนี้ด๊อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญเกรดนิยม ด้านสัตว์ อย่างจามิกร ก็ไม่
สามารถฟันธงได้เลยว่ารอยทางเดินที่เห็นนี่น่าจะทางเดินของอะไร
" สวบ สวบ ตึบตับ ตึบตับ "
และทันใดเสียงหนึ่งก็ดังขีัน ทุกคนรู้สึกตกใจ แต่รับรู้ได้ว่าเสียงนั้นยังไม่ดังเท่าไร แต่รู้สึกได้ว่ามัน
ดังขึ้นเรื่อยเรื่อยและใกล้เข้ามา
" หาที่กำบังก่อน ต้องมีตัวอะไรขนาดใหญ่มาแน่ ดูสิป่าทางต้นเสียงนั้นไหวและราบมาเลย มันต้อง
เป็นตัวที่ใหญ่มาก มันจึงทำให้ต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นสะเทือนได้ "
อัครชัย ร้องบอกทุกคน ไม่รอให้เตือนซ้ำ ทุกคนเลี่ยงออกจากทางโล่งเตียนที่กำลังเดินอยู่กระโดด
เข้าหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ทัน และบังร่างเข้ากับโคนต้นไม้ด้านที่ตรงข้ามกับเสียงที่มีสิ่งแหวก
ต้นไม้มาอีกด้านทันที
เสียงโครมครามและกิ่งไม้หักเปะปะดังใกล้กับที่ทุกคนบังตัวอยู่เข้ามาเรื่อย เรื่อย ฟังดูน่ากลัว เสียง
ต้นไม้หักดังราวกับมีรถดันต้นไม้ขนาดใหญ่ให้มันล้มหรือเเหวกออก เพียงแต่มันไม่มีเสียงเครื่อง
ยนต์ให้ได้ยินแค่นั้นเองแต่เสียงต้นไม้แตกดังเหมือนนั้นไม่มีผิด และทุกคนก็ฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะลอบไปมองที่มาของเสียงด้านนั้น โดยเฉพาะจามิกร เธออยากรู้ให้ได้ว่าตัว
อะไรทำให้เกิดเสียงเช่นนี้
ไม่นานทุกคนที่ลอบมองอยู่ก็ได้เห็นต้นเหตุของเสียง สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ลำตัวน่าจะใหญ่
กว่าช้างน่าจะซักสองถึงสามเท่า มีหนามแหลมคมทั้งตัว ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อนยกเว้น จามิกร
เธอดูคุ้นคุ้นเหมือนกันแต่ยังนึกไม่ออกเสียทีเดียว
" ตัวอะไรนะจา ไดโนเสาร์ใช่ใหม สายพันธุ์อะไร ใหนว่าที่นี่ไม่มีไดโนเสาร์ที่มีชีวิตแบบนี้ แต่นี่มันมี
ชีวิตแน่แน่เลยคงไม่มีอะไรสิงมันมา เนื่้อหนังนั่นเป็นของจริงแน่แน่เลย "
กานต์กระซิบถามแฟนสาว หลังจากที่ทั้งคู่หลบกลับเข้ามาที่หลังต้นไม้เพราะกลัวตัวหนามยักษ์จะ
มองเห็น
" ดูซิถามซะยาวเหยียดเลยตอบไม่ถูกเลย เอาทีละคำถาม "
จามิกร กระซิบตอบแฟนหนุ่ม เช่นกันต่างคนต่างหรี่เสียงให้เบาที่สุด
" เอางั้นเอาที่ละอย่างก็ได้เริ่มจากนี่มันตัวอะไร ไดโนเสาร์ใช่ใหม อ้าวเผลอไปสองคำถามอีก "
กานต์ เกาหัวแกรกแกรก นึกขำตัวเองที่ยังเผลอ ที่ยังลืมตัว เพราะความอยากรู้ คนอื่นอื่นเองก็ยัง
พยายามฟังเหมือนกันว่าผู้รู้อย่างจามิกรจะตอบว่าอย่างไร
" ไม่รู้ อาจจะเป็นใดโนเสาร์สายพันธุ์หนึ่งทึ่ไม่เคยพบซากในประวัติศาสตร์ ถึงจะคุ้นแต่ในภาพ
ไดโนเสาร์ต่างต่างที่เรียนมาไม่มีตัวแบบนี้แน่ "
จามิกร กระซิบตอบ
" อ้าว ผู้รู้ ยังไม่รู้เลย "
ดุจปราย สบท
" มันเงียบเสียงไปแล้วหรือมันหยุดเดินอยู่แถวนี้ "
อัครชัยกระซิบแสดงความเห็น หลังจากที่ได้ยินว่าเสียงต้นไม้หักเงียบลง
ทั้งหมดพยายามลอบมองจากโคนต้นไม้ที่ซุ่มซ่อนอยู่อีกครั้งอย่างแผ่วเบา และเมื่อเห็นเหตุการณ์
ทั้งหมดก็หดหัวกลับเข้ามาเพราะเกรงว่าการยื่นหัวออกไปจะทำให้สัตว์ประหลาดยักษ์นั่นอาจจะ
มองเห็น
" เห็นชัดเลย มันยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงทางโล่งที่พวกเราจะผ่านไปตัวมันใหญ่มากนะ เหมือนมี
งวงด้วยแต่แบนแบนและใหญ่เกือบเท่าตัวมันดูแบบนี้ ถ้าไม่นับว่ามันมีหนามแหลมทั่วตัวมันนะ มัน
เหมือนตุ่นปากเป็ดยักษ์เหมือนกันนะ จา"
กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ และพรรณาสิ่งที่ได้เห็น
ทำให้จามิกร พยายามใช้ความคิดว่าตัวที่เธอคุ้นคุ้นอยู่นี้มันน่าจะเป็นตัวอะไร
" นึกออกแล้ว "
เสียงจามิกรโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น และความที่เธอดีใจที่คิดได้ ทำให้ลืมเผลอส่งเสียงดังขึ้นมา
จากที่ตอนเเรกพยายามทำให้เสียงเบาที่สุด
กานต์ ตกใจที่เห็นแฟนสาวลืมตัว เขารู้ทันทีว่าสถานการณ์น่าจะเป็นเช่นไร สัตว์ประหลาดยักษ์ต้อง
ได้ยินเสียงของจามิกรแน่ กานต์รีบดึงแฟนสาวเข้ามาและใช้มือปิดปากเธอไว้
และท่ามกลางความเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของทุกคน ทุกคนก็สัมผัสได้ว่าขณะนี้ร่างสัตว์ยักษ์
ก็ได้เคลื่อนเข้ามาใกล้กับที่ทุกคนซ่อนอยู่
ทุกคนตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าอีกด้านของต้นไม้ ร่างยักษ์ได้มาหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วทุกคนต่างมองหน้า
กันไม่รู้ว่าขณะนี้อะไรจะเกิดขึ้น
และระหว่างต้นไม้สองต้นที่ทั้งหมดซ่อนอยู่ ตอนนี้ปากแบนใหญ่ของสัตว์ยักษ์ประหลาดได้สอด
แทรกเข้ามา ทุกคนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับทำให้เกิดเสียงดัง ต่างคนรู้ว่าจะต้องขยับหลบมา
อย่างเงียบกริบ เพื่อให้พ้นรัศมีปากใหญ่แบนถ้ามันขยับเข้ามา เบียดต้นไม้ที่ทุกคนซ่อนอยู่
เจ้าของปากแบนใหญ่ไม่ได้ยินการเคลื่อนใหวที่หลังต้นไม้ขอทุกคน แต่เเรกมันคงได้ยิน แต่ไม่
มั่นใจว่าเสียงอยู่ตรงแถวนี้หรือไม่ เมื่อไม่สามารถโผล่หัวผ่านช่องต้นไม้สองต้นตามปากแบนของ
มันมาได้ทำให้ดวงตาที่อยู่หลังปากแบนของมันไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่หลังต้นไม้ได้ ความคิด
ของมันจึงคิดว่าไม่มีอะไรที่มีเสียงที่มันสงสัยแต่แรกอยู่แถวนี้ เมื่อมันคิดเช่นนั้นมันก็ถอยปากแบน
กลับ และไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงสัตว์ยักษ์เดินทางไปทางทิศทางที่มาแต่เเรก เมื่อคิดว่ามันไป
ได้ไกลพอสมควรแล้ว ทุกคนก็ค่อยผ่อนลมหายใจ อย่างโล่งอก พร้อมทั้งขยับออกโผล่ไปลอบ
มองสัตว์ยักษ์ประหลาดอีกคร้้ง และทุกคนก็ได้เห็นว่าสัตว์ประหลาดร่างยักได้เยื้อยย่างร่างกายอัน
อ้วนกลมและหนามแหลมทั้งตัวห่างออกไปมากตามทางโล่งเตียนที่ทุกคนกำลังจะไปก่อนที่จะ
หลบมันอยู่ตรงหลังต้นไม้นี้
" โอ๊ยหัวใจจะวาย ขอโทษนะทุกคน จาลืมตัวไปจริงจริง เกือบไปแล้วไม๊ล่ะ "
จามิกร กล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ความลืมตัวกล่าวเสียงดังของเธอทำให้สัตว์ยักษ์ได้ยิน
" ไม่เป็นไรหรอก จา ใหนใหนมันก็ไปไกลนู่นแล้วถือว่ายังโชคดี คนเราอาจพลั้งเผลอกันไปได้ ก็
แค่เผลอไปเหมือนหนังไทยนะ เผลอส่งเสียงดังให้มันได้ยินทั้งที่เเอบอยู่หลังต้นไม้ หึหึ "
อรัญกล่าวอย่างติดตลกทำให้ จามิกรสีหน้าดีขึ้น หลังจากที่ตอนแรกเธอรู้สึกผิดมาก
" ใช่ แต่ไม่เหมือนซะทีเดียวนะถ้าเหมือนหนังไทยจริงเราต้องมีคนใดคนนึงเผลอเหยียบกิ่งไม้ตอน
ที่มันโผล่ปากเข้ามาด้วย ฮ่าฮ่า"
กานต์ หัวเราะร่วนนึกขำคำพูดอรัญที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดเมื่อสักครู่กับมาผ่อนคลายได้
" น่านแซวกันเข้าไป อย่างน้อยจาก็มีความรู้ มาลบล้างความผิดเมื่อกี้นี้แล้วล่ะ จา รู้แล้วมันตัว
อะไร ยิ่งชัดเจนตอนที่เห็นปากมันโผล่มานั่นด้วย และก็รู้ไปอีกแล้วด้วยว่ารอยทางเตียนที่เราเดิน
ตามกันมานีเป็นทางที่ตัวอะไรใช้เดิน"
จามิกร กล่าว
" หา จา รู้ได้ไง เรายังไม่เห็นตัวอะไรมาเดินทางเตียนตรงนี้เลย จะว่าเป็นทางของไอ้ตัวนั้น ถ้าเป็น
ทางของมัน เมื่อกี้มันจะบุกป่ามาทำไม แล้วทางนี่ถ้ามันเดินประจำ ตัวมันจะเบียดป่าทั้งสองข้าง
ทางไปอย่างนั้นหรือ "
แสงดาวกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยความสงสัย
" ชัดเจนเลย เห็นมันทีแรกก็คุ้นคุ้นอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นตัวอะไร เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นมัน
เพราะขนาดของมันใหญ่มากนั่นเอง ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ไดโนเสาร์อะไรหรอก มันคือ มันคือ
มันคือ.เอิบ.มันคือ "
จามิกร ทอดเสียงแกล้ง หลังจากที่เห็นที่เห็นทุกคนจดจ่อรอฟังอยู่
" เออ ขอโทษนะ คุณด๊อกเตอร์จามิกร ตอนนี้เกร็งรอฟังแทบเยี่ยวกระปริบแระ จะมาเล่นอะไรกัน
ตอนนี้เนี่ย "
อรัญ กล่าวต่อว่าเหมือนหัวเสียแต่แบบขำขำ หลังจากที่ลุ้น คำตอบที่จามิกรไม่ยอมบอกเรื่องที่ทุก
คนอยากรู้ซักที
" เอ๊า บอกก็ได้เดี๋ยวจะลุ้นกันจนหัวใจวายกันไปเสียก่อน ตัวที่เห็น มันคือ ตัวอิคิดน่า มันเป็นตัวกิน
มดชนิดหนึ่งที่อยู่บนโลกเราไง เพียง แต่ว่าที่อยู่บนโลกเรามันตัวแค่ไม่เกินสามสิบเซนติเมตร ไม่
ได้ใหญ่ขนาดสามสี่เมตรเหมือนที่นี่ไง มันเป็นตัวกินมด "
จามิกร กล่าวเสียงสูงในตอนท้ายอย่างมั่นใจ
" ฮะ ตัวกินมด มันตัวขนาดนี้ งั้นหมายความว่า ที่เธอรู้ว่านี่มันเป็นทางเดินอะไร ก็แปลว่าทางเตียน
เตียนที่ นี่คือ นึ่คือ นี่คือ ทางมดใช่ใหม "
แสงดาว อุทานหลังจากที่ได้เข้าใจจากการประติดประต่อเหตุการ์จากคำตอบของเพื่อนสาว
" เออใช่ เราลืมไปเสียสนิท ต้นสนยักษ์นั่นก็บอกว่าพวกเรากำลังจะเจอกับมดยักษ์ แต่ไม่คิดว่าจะ
เร็วขนาดนี้ แต่ไม่ยักรู้ว่าจะมีตัวกินมดด้วย งั้นแสดงว่าปลาใหลย่างของเราเมื่อคืนก็คงเป็นมดคาบ
ไปกินล่ะสิ ว่าแล้วนั่นมันรอยเท้ามด เพียงแต่มันใหญ่มาจนเรามองไม่ออก นั่นเองเพราะที่บนโลก
เราไม่เคยสังเกตุรอยมันซักที เพราะรอยมันแทบไม่ปรากฏเพราะตัวมันเล็กมาก "
อัครชัยกล่าว เขาคิดออกทันทีหลังจากที่ได้รับความรู้หลายด้านเป็นเหตุผลมาประกอบกัน
" นี่แสดงว่า ต้นสนยักษ์ ก็คงไม่รู้ว่ามีพวกมดยักษ์มาอยู่แถวนี้แล้ว ต้นไม้แถวนี้ไม่มีต้นสนเลย คง
ไม่ได้ข่าวบริเวรแถวนี้หรอก ถึงไม่ได้บอกพวกเรา มดยักษ์พวกนี้อาจจะมาอยู่ตรงนี้ไม่นาน อาจพึ่ง
มาตอนที่รู้ว่าพวกปลวกยักษ์กระจายกันออกมาก็ได้ และแสดงว่าพวกมดยักษ์ก็ต้องรู้ตัวกลัวตัวกิน
มดนั่นเหมือนกัน ตอนกลางวันถึงไม่ค่อยออกมา ถึงได้ออกมาตอนกลางคืนไปเล่นอาหารเรา "
่จามิกร กล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกตุ
" ชัดเลย คงเป็นอย่างที่จา บอกนั่นเเหละ ดูมันมีเหตุผลเป็นไปได้เลยทีเดียว แต่คิดว่ามันก็เป็นการ
ดีนะที่มดมันยังมีความกลัวจึงไม่ออกมา ไม่งั้นพวกเราคงต้องเจอกับมดยักษ์ทั้งฝูง และตัวมันคง
ใหญ่มากนะดูทางที่มันใช้สิ อย่างกับถนนที่มนุษย์เราใช้เดินกันเลย "
แสงดาว กล่าวทำให้จามิกร ที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เธอจึงกล่าวกับทุกคนว่า
" ใช่ ดูจากทางที่มันเดินและรอยเท้ามันแล้ว ตัวมันใหญ่มากจริงจริง อย่างน้อยก็น้องน้องตัวพวก
เรานี่แหระ และดูสิต้นไม้ข้างทางที่มีรอยใหม้แบบนั้น แสดงว่ามันเป็นมดยักษ์ที่มีพิษมากอีกด้วย
ไอพิษจึงไปกระทบกับใบไม้นั่นได้ พวกเรากำลังจะเจอกับ ฝูงมดร้ายร่างยักษ์และมีกำลังมาก
พร้อมทั้งพิษร้ายแรง ที่พวกเราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว "
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น