ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #55 : ลานอาหาร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 111
      5
      12 ก.ค. 62

    " เราเข้าไปเถอะ ในถ้ำก็สว่าง  ค้างคาวตอนนี้คงมองไม่เห็นทางกลับมาถ้ำจนกว่าจะมืดอีกครั้ง " 


    จามิกร แนะนำ เธอรู้ธรรมชาติของค้างคาวดีเพราะเธอเรียนและชำนาญมาด้านนี้


    " โหข้างในนี่ขี้มันเต็มเลย แต่ทำไมไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนที่เราเจอข้างนอกนะ กลับหอมเหมือน

    น้ำหอมอ่อนอ่อนด้วย นี่ถ้าเมื่อกี้นี้เราได้กลิ่นขี้ของมันคงสงสัยแน่ว่า มีมันอยู่ในนี้ "


    อรัญ ตั้งข้อสังเกตุ ระหว่างเดินเข้ามาในถ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สว่างจนเห็นชัดเจนไปหมด


    " ที่ที่มีไอพิษ ทาวีซิส จะมีอะไรที่กลับไปกลับมาแบบนี้แหระ เราจะดูจากสิ่งที่เห็นไม่ได้

    ปิเยเหล่าพิษเช่นพวกของปิเยข้าจะรู้กันดี บางที รางพิษของพิษเซลล่า คงมีส่วนผสมพิษ ของ

    ทาวีซิสอยู่ด้วย ในถ้ำนี้ถึงแปลกประหลาดไปหมด ไม่รู้ว่าพิษเซลล่าจะใส่รางพิษไว้ตรงใหนถ้าพวก

    เจ้าเห็นอะไรผิดสังเกตุก็บอกปิเยข้าได้ ช่วยกันหาเถอะ "


    ปิเยพิษทารี ตัดบทและทั้งหมดก็เงียบเสียงและพยายามสอดส่ายสายตากันมองหา

    และสุดท้ายทุกคนก็ได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำและมันเป็นทางตัน


    " ถ้ำถึงทางตันแล้วทำไมพวกเรายังไม่เห็นอะไรน่าสงสัยเลยว่าจะมีอะไรที่ใส่รางพิษอยู่ในนี้ "


    แสงดาว กล่าว 


    " แปลก พวกเราก็หาเหมือนดูจะละเอียดแล้วนะ ปิเยข้ายังไม่เห็นอะไรที่น่าจะเป็นที่เก็บรางพิษ

    เลย ใหนข้าขอดูบันทึกให้ชัดชัดซิว่าพิษเซล่าบอกไว้ว่ายังไง"


    ว่าแล้วปิเยพิษทารีก็คลี่แผนที่ออกอีกครั้งและอาศัยแสงที่สะท้อนแผ่นหินที่สุดทางถ้ำ ทำให้สว่าง

    และเห็นได้ชัด


    "  ในบันทึกพิษเซลล่าได้บอกว่าเก็บน้ำรางพิษไว้ในขวดแก้วที่ได้มาจากมนุษย์ที่หลงเข้ามาแต่

    ขวด นั่นอยู่ตรงใหนในถ้ำหรือว่ามันตกแตกไปแล้ว เพราะในนี้มีค้างคาวพลุกพล่านไปหมด แต่ถ้า

    แตกก็น่าจะเห็นเศษซากของมันมั่งนะ "


    ่่ปิเยพิษทารี กล่าว


    " ขวดเหรอ อ้าวแล้วที่ท่านพิษทารีเอามือกวาดมันออกตรงนั้นล่ะไม่ใช่ขวดเหรอ "


    อัครชัยถามด้วยความสงสัย เขาเห็นปิเยพิษทารีเอามือวาดโดนขวดใบหนึ่งเมื่อสักครู่นี้ โดยไม่

    สนใจอัครชัยก็เลยไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าปิเยพิษทารีคงเห็นแล้ว


    " ปิเยข้าเอามือกวาดโดนขวดแล้วหรือเป็นไปได้ไง นี่ปิเยข้าไม่เห็นเลยใหนพวกเจ้าพากลับไปซิ

    ตรงใหน หรือปิเยข้าคงมองไม่เห็น น่าจะเป็นขวดล่ะที่เก็บรางพิษไว้ แต่ทำไมเมื่อกี้ปิเยข้าไม่เห็น

    นะ "


    ปิเยพิษทารี กล่าวเขาบ่นตัวเองที่ไม่สังเกตุสังกาให้ดี ทำให้ต้องเสียเวลาไปอีก


    " นี่ไงล่ะท่าน เห็นท่านก็เอามือกวาดไปเมื่อกี้คิดว่าท่านคงคิดว่าไม่ได้ใส่ไว้ในนี้เลยไม่ได้สนใจ "


    อัครชัยหยิบขวดส่งให้ปิเยพิษทารี


    " โอ มิน่าเล่า เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านเก็บไว้เถอะ พวกเราเจอแล้วออกไปได้ "


    ปิเยพิษทารี กล่าว อัครชัยรู้สึกแปลกใจที่ปิเยพิษทารีมิได้หยิบดู แต่แน่ใจว่าเป็นขวดที่ใส่รางพิษที่

    กำลังตามหา ทำให้เขาคิดมาก สงสัยว่าเพราะอะไรและคนอื่นก็สงสัยเช่นกันโดยเฉพาะแสงดาว


    " ท่านพิษทารีไม่หยิบดูเลยพี่หมอ หรือว่าขวดนี้จะมีพิษ เขาเลยไม่กล้า แล้วพี่หมอเก็บไว้อย่างนี้

    จะเป็นไรเปล่า "


    แสงดาวกล่าว กับแฟนหนุ่มอย่างสงสัย ที่จริงเธอก็เป็นห่วงแฟนหนุ่มนั่นเอง และเธอก็เก็บความ

    สงสัยไว้ไม่ได้เมื่อตอนออกมาถึงหน้าถ้ำ 


    " ท่านพิษทารี ดูท่านไม่ค่อยสนใจเลยทั้งที่พวกเราฝ่าอันตรายกันมาตั้งนานเพื่อมาหาขวดที่ใส่ราง

    พิษนี้ ที่จริงท่านน่าจะเป็นคนเก็บไว้นะ เพราะท่านน่าจะเข้าใจมันได้และน่าจะรู้วิธีเก็บรักษามัน

    มากกว่าพี่หมอ หรือว่าท่านกลัวพิษแปลว่าขวดนี้มันมีพิษซึมมาได้หรือเปล่าท่านเลยกลัว "


    แสงดาวกล่าว 


    " ไม่ต้องกลัวหรอกไม่มีอันตราย พิษในนี้ไม่ได้มีไว้ทำอันตรายกับคนหรือปิเยใดใด พิษเซลล่าผสม

    พิษไว้เพื่อช่วยเหลือมากกว่า ที่จริงพิษนี่ก็ถูกสร้างไว้เพื่อพวกเจ้านั่นแหละ สามัญสำนึกของพิษ

    เซลล่าด้านดียังมีอยู่ เขารู้ว่า มัจเจได้สร้างเรคารียะที่ล่องหนได้ และโดยไม่มีปิเยใดมองเห็น เมื่อ

    มัจเจได้กำราบพวกท่านติอากอแล้วซึ่งพิษเซลล่าก็รู้ว่าทำได้ไม่ยาก ถ้ามีปิเยเเละเรคารียะที่มองไม่

    เห็นเข้าทำการ และเมื่อนั้นจุดหมายต่อไปพวกมัจเจก็จะผ่านประตูตะเนยาไปโลก และเมื่อนั้นพวก

    มนุษย์ คงเจอกับการทำลายล้างที่มองไม่เห็นตัวการ ในเมื่อพิษเซลล่าเป็นคนช่วยมัจเจสร้างเรคา

    รียะที่ร้ายกาจแล้ว เขาเองก็จะสร้างสิ่งที่มาแก้กันให้  คือรางพิษนี่ไง พวกมนุษย์จะได้เห็นเรคารียะ

    ที่ล่องหนได้ ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ล้างตาและทำให้มองเห็นการที่พวกเจ้าได้ดื่มกินมันเข้าไปเพียง

    น้อยนิดพวกเจ้าก็จะได้มองเห็นเรคารียะไปตลอด"


    ปิเยพิษทารี อธิบายยาวเหยียด


    " อืม "


    แสงดาว พยักหน้าอย่างเข้าใจ


    " แล้วถ้าสมมุติ พวกมัจเจไปโลกได้จริงแล้วพวกเรามีโอกาสกลับไปที่นั่นด้วย เรคารียะล่องหน

    จำนวนมากมาย พวกเราแค่ไม่กี่คนจะใหวเหรอ รางพิษขวดแค่นี้จะใช้ได้กี่คน จะทำให้พวกเราซักกี่

    คนมองเห็นมันได้ " 


    ดุจปราย ถามอย่างแปลกใจ


    "พวกเจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก เมื่อพวกเจ้านำรางพิษกลับไปแล้ว เมื่อเจ้าเทมันลงในน้ำเมื่อไร น้ำ

    ทั้งหมดก็จะเป็นรางพิษทันทีไม่ว่าน้ำนั่นจะมีมากมายแค่ใหนก็ตามและเมื่อใครได้ใช้น้ำนั้นก็จะมี

    สายตาเห็นเรคารียะได้ทั้งนั้น แต่ทางที่ดีเราปิเยข้าไม่อยากให้พวกเจ้านำกลับไปใช้บนโลก เพราะ

    นั้นก็หมายความว่า ที่ปิยากิออคงล่มสลายหมดแล้ว ถ้าพวกมัจเจข้ามไปยังโลกได้  และอีกอย่าง

    นึง ที่พวกเจ้าสงสัย ว่าปิเยข้าไม่เก็บมันไว้เองเหมือนไม่สนใจขวดใส่รางพิษเลย ทั้งที่เจอตอนแรก

    ก็กวาดทิ้ง และไม่สนใจขวดมันและไม่มองมันด้วยซ้ำ ปิเยข้าจะบอกว่า ปิเยข้ามองไม่เห็นหรอก  

    สงสัยว่ามีแต่มนุษย์เช่นพวกเจ้าเท่านั้นที่มองเห็นมัน รางพิษที่อยู่ในขวดอย่างที่พวกเจ้าว่า แต่ปิเย

    ข้าเห็นพวกเจ้าหยิบอะไรอยู่ในมือที่ว่างเปล่าในสายตาปิเยข้า และไม่คิดว่าพวกเจ้าจะโกหก ปิเยข้า

    ก็รู้แล้วว่าขวดรางพิษปิเยข้าไม่สามารถมองเห็นได้ "


    ปิเยพิษทารี กล่าว


    " โห นี่ท่านมองไม่เห็นหรือนี่ มิน่าท่านถึงมีท่าทางแปลกเเปลก พวกเราก็นึกว่าท่านไม่สนใจ พวก

    เราต้องขอโทษท่านทีนะที่เข้าใจท่านผิด "


    แสงดาว กล่าว อย่างสำนึกผิด


    " ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่รู้ อย่างที่บอก รางพิษสร้างมาเพื่อมนุษย์อย่างพวกเจ้า ปิเยข้าไม่มีความจำเป็นต้องเห็น

    ก็ได้ แต่แปลกใจที่ทำไมพิษเซลล่ากลับผสมสิ่งที่ไม่เห็นได้ อันนี้น่าคิด เอาเถอะได้มันมาก็ดีแล้ว 

    พวกเรารีบไต่ลงไปเหอะเดี๋ยวจะมืดค่ำไปให้พวกค้างคาวนี่เห็นได้เราจะอันตราย ดูสิพวกมันมีเป็น

    พันเลย "


    ปิเยพิษทารี รีบสรุปตัดบท และคิดว่ามนุษย์ทุกคนคงจะเข้าใจแล้ว

    ทุกคนแหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้าเมื่อก่อนเข้าถ้ำไป ฟ้ามืดดำเพราะสัตว์ปีกยักษ์บินวนเวียนอยู่บนนั้น

    อย่างสะเปะสะปะ แต่ตอนนี้รู้สึกมันบางตาไปมาก


    " หล่นไปหลายตัวเลย ชนกันเองมั่ง ชนหน้าผามั่ง ดูสิมันบินอยู่บนนั้นไม่กี่ตัวแล้ว "


    กานต์ กล่าวจากการที่ใช้สายตาประเมิน


    " นั่นสิไม่ช้ามันคงหล่นหมดแหระ คงหมดแรงบินเพราะมองไม่เห็น ถึงหล่นไปก็คงไม่ตายนะตัวมัน

    ใหญ่ จะมีฤทธิ์อีกทีก็คงตอนมืดนั่นแหระ "


    จามิกร บอกแฟนหนุ่ม ในขณะที่ทั้งหมดรีบไต่ลงมาอีกครั้ง ครานี้ทั้งหมดไต่ลงมาได้รวดเร็วกว่า

    ตอนเช้ามาก ทั้งที่ชำนาญขึ้น และความกลัวที่สูงลดน้อยลงเพราะจุดหมายอยู่ไม่ไกลแล้ว และรู้ว่า

    ถ้าช้าจนถึงมืดค่ำได้โดยถ้ายังหาที่ปลอดภัย ไม่ได้ก่อนที่ค้างคาวยักษ์จะมองเห็น พวกเขาอันตราย

    แน่ 


    พรู่ด "


    ในขณะทีปีนป่ายอยู่นั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงนั้นดังพอสมควรแต่พวกเขาไม่รู้ว่าที่มาของเสียงอยู่

    ตรงใหน แต่มันเป็นเสียงที่ดังผิดสังเกตุทำให้พวกเขาชะงัก 


    " เสียงอะไรน่ะท่านพิษทารี ดูดังแปลกเเปลก "


    อัครชัยถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาเหมือนจะเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ใหนแต่นึกไม่ออก


    " ปิเยข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงดังมาจากข้างล่างนั่นดูสิตรงนั้นฝุ่นกลบเลย "


    ปิเยพิษทารี ตอบพร้อมชี้ให้ทุกคนดูตำแหน่งที่เขาสงสัย


    " คงเป็นค้างคาวมันตกลงไปตรงนั้นแหระพวกมันดิ้นเลยมีเสียง ไปกันต่อเหอะ "


    กานต์ซึ่งสายตาดีกว่าคนอื่น สรุป เพราะตรงที่พิษทารีสงสัยนั้นมีร่างของค้างคาวจำนวนหนึ่งตกอยู่

    และทุกคนที่ชะงักก็เร่งไต่ลงต่อหลังจากได้ข้อสรุปจากผู้ที่คิดว่าน่าจะมองเห็นได้ดีที่สุด


    " เสียงคุ้นคุ้นเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเคยได้ยินที่ใหน "


    อัครชัยยังติดใจ เขาไต่ไปพลางและเปรยกับแฟนสาว และเหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติอีกจนอีก

    หนึ่งชั่วโมงผ่านไป 


    " เอ้า พักอีกที หน้าผาตรงนี้ น่าพัก เดี๋ยวอีกทีเราคงถึงข้างล่างกันเลย มาไวกว่าที่คิดนะ " 


    ปิเยพิทารี ร้องบอกกับทุกคน  ทั้งหมดจึงกุลีกุจอนั่นลงตรงแผ่นหินกว้างที่พอเหมาะตามที่ปิเยพิษ

    ทารีบอก 


    " ดูสิข้างบนมีอยู่สองสามตัวเองร่วงเกือบหมดแล้ว " 


    กานต์ชี้มือให้ดูค้างคาวอีกครั้งระหว่างพัก


    " พรู๊ด "


    เสียงประหลาดแบบเดิมดังขึ้นอีกครั้งและมันดังชัดเจนกว่าคราวแรก  และคราวนี้ทุกคนรู้ว่ามันน่าจะ

    ดังทางใหน พวกเขาก้มลงมาจากการที่กำลังเงยหน้ามองบนฟ้ามองพวกค้างคาวอยู่ ถึงเสียงนั้นจะ

    เงียบไปแล้ว แต่เจ้าของเสียงนั้นยังพอเห็นได้อยู่ 


    " มันมาอีกแล้ว แองโกล่า มันมากินค้างคาว "


    ปิเยพิษทารี ร้องบอก

    ร่างหนอนยักษ์ที่พวกเขาพึ่งรอดพ้นมาเมื่อวานนี้ ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง พวกเขาเห็นมันเขมือบ

    ค้างคาวยักษ์ที่กำลังดิ้นอยู่บนพื้นหลังจากที่ล่วงลงมาจากข้างบน และเสียงของมันที่พุ่งขึ้นมาจาก

    ดินคือเสียงที่พวกเขาได้ยิน 

     
    " ทีนี้มันกินสบายเลย ไม่ต้องไล่ล่าเหมือนพวกเราเมื่อวาน แต่แปลกนะทำไมมันรู้เร็วจังค้างคาวพึ่ง

    จะถึงพื้นได้ไม่นาน แสดงว่ามันน่าจะอยู่แถวนี้ไม่ได้ไปใหน


    แสงดาว กล่าว 


    " มันน่าจะรู้ตั้งแต่หินที่อยู่หน้าถ้าร่วงลงไปแล้วเพราะนั่นคงทำให้ดินสะเทือนมาก แต่วันนี้มันคงไม่

    สนใจเราหรอก ดูสิค้างค้าวต้้งหลายร้อยตัวที่ร่วงอยู่และคงจะร่วงมาอีก วันนี้มันพุงกางแน่ "


    ดุจปราย กล่าว


    " ก็ดีเหมือนกันมันกินไปมั่งพวกเราก็จะได้ไม่ต้องระวังค้างคาวคืนนี้จะใด้เหลือให้เราระวังตัวได้น้อย

    ลง แต่มันคงกินได้ไม่หมดหรอก ถึงมันจะตัวใหญ่แต่ค้างคาวก็เยอะมากตัวใหญ่ใหญ่ทั้งนั้น "


    แสงดาวกล่าว แสดงความคิดเห็น


    " ถือว่าเป็นการดีที่สุด ที่คืนนี้ค้างคาวจะเหลือไม่เท่าไร แองโกล่าถ้าอิ่มมันก็คงกลับไปไม่สนใจ

    พวกเรา "


    ปิเยพิษทารี ตั้งข้อสังเกต


    " เอ๊ะ เอ๊ะ ดูนั่นสิ ต้นไม้ล้ม เอ๊ยมันล้มได้ไง "


    กานต์สังเกตุเห็นและชี้มือให้ทุกคนดู ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจกับการกินของเจ้าหนอนยักษ์อยู่ 

    อีกด้านหนึ่งกลับมีต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งเคลื่อนใหว มันล้มลงแต่ว่าไม่ได้เป็นลักษณะเอนล้ม

    ฟาดกับพื้นแต่เหมือนมันถูกอะไรอย่างหนุ่งดึงลงไปในพื้นดินมากกว่า ถ้าเขาไม่เห็นว่าหนอนยักษ์

    อยู่อีกที่หนึ่งตรงนั้นเขาอาจสงสัยว่าเป็นมันที่ดึงต้นไม้ต้นนี้แน่


    " เอ๊ยหรือว่ามันมีแองโกล่าอีกตัว ที่ทำกับปิเยแบบนี้ได้ ตรงนู้นเราก็เห็นมันกินค้างคาวอยู่ตัวนึงและ

    ตรงนี้ ปิเยก็กำลังถูกดึง "


    ปิเยพิษทารี ตั้งข้อสังเกตุ


    " ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่สองตัวแล้วล่ะท่านพิษทารี ดูสิ ต้นไม้ถูกดึงลงไปอีกหลายต้นเลย รวมทั้งร่าง

    ค้างคาว ดูสิอะไรมันดึงหายลงไปในดินด้วย " 


    กานต์ชีโบ้ชี้เบ๊ เพราะเขาเห็นเหตุการณ์แบบนี้อีกหลายจุดแล้ว จริงอย่างกานต์ว่าขณะนี้ต้นไม้

    หลายต้นถูกดึงให้ล้มลงจำนวนมากขึ้น เเละกินบริเวรกว้างขึ้นเรื่อย และรวมทั้งร่างค้างคาวที่อยู่บน

    พื้นด้วยและเมื่อร่างค้างคาวจมลงในพื้นเพียงครู่เดียวพื้นบริเวรนั้นก้อมีสีแดงเอ่อขึ้นมา แสดงว่าไต้

    พื้นนั้นมีการทำร้ายค้างคาวอยู่จนเลือดสาดขึ้นมาบนพื้น 


    " มันไม่ใช่หนอนหรอก สังเกตุสิอะไรที่ดึงต้นไม้และค้างคาวลงไปในดิน จะเป็นตัวอะไรหรือเปล่า

    เหมือนมีวงอะไรดำดำงอเหมือนเขาควายสองอันมันรัดร่างค้างคาวและดึงลงไป และมันคงจะตัด

    ร่างของค้างคาวไต้ดินดูสิเลือดนองเลย "


    กานต์เริ่มเพ่งสังเกตุอีกครั้ง แต่เขาก็เห็นไม่ค่อยถนัดเพราะข้างล่างมันยังค่อนข้างไกลอยู่ดี และสิ่ง

    ที่ดึงนั้นอยู่ในดินไม่โผล่ร่างกายให้เห็น เพียงแต่มีวัตถุ ที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเขี้ยวของมันที่งอ

    เหมือนเขาความสองอันโผล่ขึ้นมาให้เห็นช่วงที่มันกำลังดึง


    " หรือว่ามันมีฝูงอะไรที่อยู่ไต้ดินสักอย่างที่อยู่แถวนี้ มาแย่งหนอนยักษ์กินและพวกมันก็คงกิน

    ต้นไม้ด้วยถึงได้ดึงลงไปอย่างนั้น"


    อรัญสงสัย 


    " นั่นสิมันคงเห็นอาหารเยอะเลยมาแย่ง หรือว่าพอสักพักมันก็จะรุมหนอนย้กษ์ด้วย "


    ามิกร ตั้งข้อสังเกตุ เพราะเห็นด้วยกับความคิดอรัญ


    " ท่านพิษทารี รู้ใหมมันน่าจะเป็นตัวอะไรอยู่แถวนี้ ท่านน่าจะรู้จักนะ "


    อัครชัย เอ่ยถามขึ้นเพราะคิดว่าปิเยพิษทารีน่าจะรู้


    " ไม่มีหรอก ปิเยข้าไม่เคยเห็นตัวอะไรแบบนี้ เพราะถ้ามีปิเยแถวนี้คงไม่อยู่รอดมาจนทุกวันนี้

    มันดึงกินซะขนาดนั้น แต่ปิเยข้าติดใจที่หนุ่มกานต์บอกลักษณะ มีงองอเหมือนเขี้ยว และกินได้ทั้ง

    ค้างคาวและปิเย เอ..."


    ปิเยพิษทารี  ใช้ความคิด


    " แต่ดูเจ้าหนอนมันไม่ตกใจเลยนะ ดูสิมันก็กินของมันเฉยเลยขนาดบางทีข้างตัวมันต้นไม้และ

    ค้างคาวก็ผลุบลง มันไม่ได้สนใจเลย หรือว่ามันเป็นพวกเดียวกัน มันอาจจะไม่ได้เป็นตัวอะไรแถว

    นี้ และหนอนยักษ์มันพามา "


    กานต์ พยายามบรรยาย จากสิ่งที่เขาเห็น

    และเเล้วเสียงปิเยพิษทารีก็อุทานขึ้น


    " โอ๊ะคิดออกแล้วเหมือนมากแต่ จะใช่เหรอ พวกนี้มันไม่เคยเดินทางไกลมาถึงนี่ และมันไม่เคย

    ออกไปนอกอาณาเขตที่มันอยู่ "


    " อะไรเหรอ ท่านพิษทารีคิดว่ามันเป็นตัวอะไรเหรอ "


    ทั้งหมดถามขึ้นเกือบจะพร้อมกัน


    " ปัวล่า"


    ปิเยพิษทารีตอบ


    " ตัวอะไรนะชื่อแปลกแปลก แล้วทำไมมันกินต้นไม้ได้ขนาดนี้แล้วทำไมที่นี่ยังไม่ต้นไม้เยอะแยะ

    ไปหมดแล้วท่านบอกว่ามันมาไกลมันอยู่ที่ใหนเหรอ "


    อัครชัย ถามอย่างระร่ำระรัก


    " ปัวล่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งและเป็นเพียงชนิดเดียวที่ปิเยเรากลัวมาก พวกมันอยู่ไปทางไต้เฉียงตะวันออก

    หลายร้อยกิโลเมตรอยู่เหมือนกัน พวกนี้มันอยู่ไต้ดินโดยพูนดินขึ้นมาเป็นภูเขาและพวกมันเข้าพักอยู่ในนั้น 

    พวกมันมีจำนวนมากหลายล้านตัวเพราะมันมีนางพญาผลิตลูกมันได้วันละนับเป็นแสนตัว ที่น่ากลัว

    ก็คือ อย่างที่พวกเราเห็นตอนนี้ พวกมันกินปิเยเราเป็นอาหารหลัก ถึงแม้ร่างปิเยเราจะสิ้นชีตะแล้ว

    มันก็ยังคงกินร่างของพวกปิเยเรา จนแหลกย่อยไม่เหลือชิ้นดี และมันก็จะเก็บสิ่งที่มันกินจน

    ละเอียดแล้วเพื่อให้เป็นอาหารต่อลูกของมันที่เกิดจากนางพญา วันละหลายตัว นั่นคือมันต้องใช้

    ปิเยเราเป็นอาหารมันวันละจำนวนมาก "


    ปิเยพิษทารีกล่าว 


    " เข้าใจล่ะ ทีแรกนึกว่าจะมีแต่ที่โลกเรา ไม่คิดว่าที่นี่ก็มีด้วย อย่างนี้ตอนแรกที่พวกเราคิดว่าพวก

    ต้นไม้อย่างท่านยิ่งใหญ่ที่สุดในปิยากิออ ก็ไม่ใช่นะสิ ยังมีสัตว์ที่พวกท่านต้องกลัวด้วย "


    จามิกร กล่าว


    " เหมือนกัน พวกเจ้าถึงยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของเจ้า ก็ยังมีสัตว์ที่พวกเจ้าต้องกลัวมิใช่หรือ ส่วนปิเย

    เราที่ว่ายิ่งใหญ่แล้วต้องกลัวต่อ ป้วล่าจะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงนะ ปัวล่าไม่ได้มีมากมากมาย ถ้าเทียบ

    กับปิเยเรา ถึงมันจะร้ายแต่ถ้าปิเยเราไม่เข้าไปอยู่ใกล้มัน มันก็ไม่ค่อยออกมาล่าแบบนี้ เพราะพวกนี้

    จะใช่แค่ร่างปิเยที่สิ้นชีตะแล้วก็เพียงพอกับอาหารของมันแล้ว  ว่าแต่ว่าเมื่อกี้ปิเยข้าได้ยิน เจ้าว่าที่

    โลกเจ้าก็มี เจ้าหมายถึงอะไรหรือ หรือว่าโลกเจ้ามี ปัวล่า กินปิเยในโลกของท่าน "


    ปิเยพิษทารี สงสัยในคำพูดของจามิกร


    " มีสิร้ายเหมือนอย่างที่ท่านพูดเลยล่ะแต่ตัวมันเล็กมาก ถ้าต้นไม้ที่โลกเราพูดได้เหมือนท่านพวก

    มันคงบอกว่ามันกลัวแน่ เพราะมันกินต้นไม้เป็นอาหารเหมือนกัน และเอาไปเป็นอาหารในทีอยู่ของ

    มัน  มันมีลูกวันละเป็นแสนตัว มีพวกทำงานหาอาหาร มีทหารไว้ป้องกันเวลาโดนบุกรุก และมี

    นางพญาเป็นจุดศูนย์รวม และคอยออกลูก "


    จามิกรอธิบาย


    " ที่จาพูดนั่นหมายถึงปลวกใช่ใหม "


    กานต์  ถามอย่างสงสัย


    " ใช่นะสิพี่กานต์ ปลวกกับต้นไม้เป็นของคู่กันจริงจริงไม่ว่าโลกของเราหรือโลกที่นี่ "


    จามิกรตอบแฟนหนุ่ม 


    " โห ขนาดที่โลกเราตัวเล็กขนาดนั้นยังร้ายกับต้นไม้ได้ขนาดนี้แล้วนี้ตัวมันใหญ่ขนาดนี้แล้วยังมี

    จำนวนมากอีก มิน่าล่ะดูสิพักเดียวเหลือแต่ดินเลยเป็นลานกว้างด้วยทั้งค้างคาวทั้งต้นไม้ไม่เหลือ

    อะไรเลย โดยที่ตัวมันไม่ได้โผล่ขึ้นมาจากดินด้วยซ้ำ " 


    กานต์ พูดพรุ้อมกับชี้ให้ทุกคนดูผลงานข้างล่าง


    " อย่างน้อยมันก็ยังเหลือไอ้ตัวนั้นนะ หนอนไงมันไม่ยุ่งกัน สงสัยมันจะพามาจริงจริง "


    จามิกร กล่าว


    " หรือว่า "


    เสียงดุจปราย กล่าวอย่างสงสัยขึ้นและมีอีกหลายคนกำลังคิดอยู่เหมือนกัน


    " หรือว่าอะไร ปราย คิดเหมือนพี่ใช่ใหม กำลังคิดว่าไอ้หนอนยักษ์นี่เป็นนางพญาของปลวกยักษ์ที่

    อยู่ไต้ดินพวกนั้นเหรอ "


    อรัญ รีบชิงถาม


    " หือ..จะใช่หรือ พวกปิเยเราไม่เคยมีใครได้เห็นนางพญาของ ปัวล่าเลยก็จริง รู้แต่ว่าน่าจะมีราชินี

    ของปัวล่ามันแน่ คิดว่านางพญาพวกมันน่าจะ มีรูปร่างไม่ต่างจากพวกมัน แต่แองโกล่านี้รูป

    ร่างมันต่างกับ ปัวลา โดยสิ้นเชิง มันจะใช่หรือ "


    ปิเยพิษทารี ตั้งข้อสังเกตุ


    " โหย ใช่เลยล่ะที่โลก นางพญาปลวกก็มีรูปร่างเหมือนหนอนอย่างนี้แหระ แต่มันอุ้ยอ้ายและเชื่อง

    ช้ามาก และมันก็ไม่เหมือนลูกมันหรอก "


    จามิกร กล่าว


    " แต่ที่นี่ถ้าหนอนนี่เป็นนางพญาของมันจริง แสดงว่ามันว่องไวทั้งแม่และลูกเลย พึ่งสังเกตุเหมือน

    กัน เขี้ยวนั้นเหมือนเขี้ยวปลวกไม่มีผิดเลย เพียงแต่มันมีขนาดใหญ่มากจนเราไม่ได้เอาไปเปรียบ

    เทียบกัน "


    กานต์ อธิบาย


    " ต้นไม้ที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างข้างล่างนั้น หรือต้นไม้ที่อยู่ในโลกเราถ้าจะกลัวพวกปลวกนี้ก็ไม่

    แปลกหรอกนะ แต่ว่าพวกต้นไม้อย่างท่านก็เคลื่อนใหวได้ ไม่เห็นต้องน่ากลัวเลย พวกท่านก็น่าจะ

    จับเครื่องทุ่นแรงหรืออาวุธมาสู้กับพวกปลวกนี้มันก็ได้ พวกท่านที่เคลื่อนไหวได้ก็มีจำนวนไม่น้อย

    แล้วทำไมท่านถึงบอกว่าไม่อยากเข้าใกล้ล่ะ  พวกท่านก็เป้นต้นไม้ที่กล้าหาญกันอยู่นี่ " 


    อัครชัยถามปิเยพิษทารีอย่างสงสัย


    " คงเป็นธรรมชาติมั้ง ปัวล่ามีกลิ่นที่ทำลายประสาทควบคุมของปิเยเรา เมื่อเผชิญหน้ากันอยู่ใน

    รัศมี ที่กลิ่นปัวล่ากระจายถึงได้พวกเราจะหมดแรงเลยกลายเป็นเหยื่อมันโดยง่าย อันนี้ปิเยเราถูก

    สอนมาแต่นาน จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้หรือต่อกรกับปัวล่า " 


    ปิเยพิษทารี ตอบ


    " อย่างนี้แสดงว่าถ้า พวกนั้นยังคงอยู่ข้างล่างนั่น ท่านก็คงไม่กล้าไต่ลงไปใช่ไหม แล้วต้องอยู่ใกล้

    กับมันแค่ใหนล่ะท่านพิษทารีจึงจะรับรู้ถึงกลิ่นมันได้ "


    ดุจปราย ถามอย่างสงสัย 


    " อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ปิเยที่อยู่ในภาวะอย่างนั้นไม่มีปิเยใดไต้กลับมาซักปิเยเดียวรู้แต่ว่าเมื่อได้

    กลิ่นพิษของมันแล้ว ถึงมันไม่กินไปไม่นานก็ต้องสิ้นชีตะอยู่ตรงนั้น อันเนี๊ยพอเจอซากอยู่บ้าง แต่ก็

    บอกไม่ได้อยู่ดี "


    ปิเยพิษทารี อธิบาย


    " โหมันร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราคงจะลงไปกว่านี้ไม่ได้แล้วหล่ะ เกิดลงไปได้กลิ่น

    มันเข้าท่านพิษทารีแย่แน่ อย่างน้อยอยู่ตรงนี้ท่านพิษทารีก็คงอยู่ได้ "


    อัครชัย แสดงความคิดเห็น ซึ่งปิเยพิษทารีเห็นด้วยที่สุด


    " ดี ตอนนี้แค่ได้รู้ว่าเป็นมัน แขนขาปิเยข้าก็หมดแรงไปหมดแล้ว "


    ปิเยพิษทารี ทำท่าเข่าอ่อน


    " นี่แสดงว่าหนอนยักษ์นั่นถ้าเป็นนางพญาของพวกนั้นจริง ตัวมันเองก็คงไม่มีกลิ่นพิษอย่างลูกของ

    มันใช่ไหม ไม่อย่างนั้นท่านพิษทารีแย่ไปเเล้วแน่ เราเคยอยู่ใกล้ชิดกับมันตั้งหลายครั้ง " 


    จามิกร แสดงความคิดเห็น


    " นั่นสิ ถ้ามันมีกลิ่นพิษจริง เราก็เคยอยู่ใกล้มันตั้งหลายครั้ง น่าจะมีความรู้สึกอะไรกับท่านพิษทารี

    มั่ง แต่เราไม่เคยเห็นอะไรเลย แปลกไหมที่แม่กับลูกจะไม่มีอะไรที่เหมือนกัน"


    กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ


    " อันนี้ปิเยข้าก็ไม่เข้าใจนะเพราะอะไร แต่ที่แน่ ไม่ขอลงไปตอนนี้เพราะไม่อยากพิสูจน์อะไรที่เสี่ยง

    ชีตะ แบบนี้ ไว้ให้ฝูงข้างล่างนั้นไปก่อน คืนนี้เราอาจจะต้องพักกันบนนี้ "


    ปิเยพิษทารี ตอบ


    " โหบทจะกลัวขึ้นมาถอดใจเฉยเลย แต่ก็ดีนะ พวกเรายังต้องร่วมทางกันอีกไกลอะไรไม่น่าเสี่ยงก็

    อย่าไปเสี่ยงคืนนี้พักข้างบนนี้ก็คงไม่เป็นไร ค้างคาวเกลี้ยงเลย ที่หล่นลงไป เหลือแต่แผ่นดินว่าง

    เปล่า น่าจูบออก จาเลิกล้มความตั้งใจไปยัง "


    อรัญหันไปเเซวจามิกร เพราะคำพูดของเธอตอนนั้นเขาก็ได้ยินด้วย


    " นี่ ยังจะไปแซวเขาอีก "


    จามิกร ยังไม่ทันได้ตอบคนข้างข้างอรัญก็จะทุบเข้าให้ แต่อรัญจับมือของดุจปรายไว้ทันและ

    พยายามจะดึงเข้ามาแต่ดุจปรายได้เอาแขนอีกข้างยันไว้ 


    " นี่ จา นะจะจูบหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่คู่เนี๊ยนะเผลอกันไม่ได้เลยนะ "


    การกระทำของทั้งสอง โดนจามิกรแซวกลับทันที


    " แหมก็..เวลา เนี่ยก็ได้แบบนี้นี่แหละครับ น้องจาได้แสดงนิดแสดงหน่อย คลายเครียดและมี

    กำลังใจสู้ขึ้นเยอะ "


    อรัญ ตอบเสียงสูง


    " อ๋อที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะต้องการคลายเครียดใช่ใหม นึกว่า.. "


    ดุจปราย  เสียงขุ่นตาเขียว 


    " อ้าว รักจ้ารัก อุ๊ยตาย. งานจะเข้าแล้วไม๊ล่ะ เล่นเพลินไปหน่อย "


    อรัญทำเสียงดัจจริต แต่อีกฝ่ายยังมองนิ่งไม่หลบตา

    อรัญทำใจดีสู้เสือโผเข้าไปกอดเลย ได้ผลอีกฝ่ายสีหน้าอ่อนลงและดิ้นพัลวัน


    นี่ นี่ นี่ อายเค้า"


    ดุจปราย พยายามทุบและดิ้นให้พ้นจากวงกอดของอรัญ


    "  สมน้ำหน้าพี่อรัญ กะล่อนดีนัก หึ หี "


    แสงดาว อดขำไม่ได้เมื่อเห็นอาหารพ่อแง่แม่งอนของคนทั้งสองแต่เธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีสองมือ

    โอบเอว คล้องมาจากด้านหลัง


    " น้องปราย ไม่ต้องอายหรอกจ้า เนี่ยคู่พี่ก็กอดเป็นเพื่อนแล้ว "


    อัครชัย นั่นเอง


    " เออ เมื่อกี้ยังดร่าม่ากันอยู่ดีดี กลายเป็นรักโรแมนติกกันไปซะเเล้ว " 


    จามิกร กล่าว แต่ไม่วายหันไปมองข้างหลังกลัวจะโดนกานต์เข้ามากอดอีกคน


    " ได้เห็นพวกเจ้ารักกัน ปิเยข้าก็ดีใจ ที่จริงปิเยเราคงสู้พวกเจ้าไม่ได้ก็เพราะแบบนี้แหละ พวกปิเย

    เรามีอายุมากกว่าแต่ก็ไม่ได้มีสีสรรให้กับชีตะซักเท่าไร เหมือนไม่เป็นอิสระ ต้องทำหน้าที่อยู่

    ตลอด หน้าที่ควบคุม ดินฟ้าอากาศความสมดุลธรรมชาติให้อยู่ได้ ถ้าพวกปิเยเรามีน้อยเกินไป 

    ธรรมชาติก็เปลี่ยนไปหมด เหมือนที่โลกของเจ้าตอนนี้  ถ้าพวกเจ้ากลับไปได้ ปิเยข้าขอฝากให้

    ช่วยดูแลปิเยที่นั่นด้วย อย่าให้มีการทำลายเขามาก แล้วพวกมนุษย์อย่างเจ้าจะอยู่ไปได้อีกนาน

    แสนนาน "


    ปิเยพิษทารี กล่าว


    " มาวิชาการเฉยเลยท่านพิษทารี ฮ่าฮ่า  ฮ่า "


    อรัญ อดแหย่อีกไม่ได้


    " เราจะอยู่ตรงนี้หวังว่าน่าจะแค่คืนเดียวนะ พวกนั้นคงไป เพราะอาหารมันหมดแล้ว "


    อัครชัย กลับมาจริงจังอีกครั้ง


    " ปิเยข้า ก็หวังเช่นนั้นแหระ แต่เมื่อพวกนั้นไปคงดูไม่ยากพื้นดินข้างล่างคงเงียบสงบ พื้นไม่ใหว

    อยู่เหมือนตอนนี้ "


    ปิเยพิษทารี กล่าว


    " เอ๊ะ รู้สึกว่าทำไมเหมือนแดดจะร่มร่มลงไปหน่อยนะ หรือว่านี่่เริ่มจะเย็นแล้ว "


    กานต์พลิกมือไปมาเขาสังเกตุ ว่าระยะมองเห็นดูสั้นลงเหมือนกับดวงอาทิตย์มีเมฆมาบดบัง


    " คงมีเมฆมาบังแสงอาทิตย์ให้แหระ ยังไม่เย็นหรอก น่าจะซักสามสี่โมง จะมืดเร็วได้ไง อย่าไป

    สนใจเลยดูโน่น ไอ้นั่นน่าสนใจกว่า อาหารหมดแล้วชูคอเลย เหมือนมันมองมาข้างบนนี่ด้วยนะ 

    หรือมันเห็นเรา "


    ทุกคนมองตามสิ่งที่อัครชัยบอก หนอนยักษ์ ชูคอขึ้น รอบข้างของมันต้นไม้มากมายและซาก

    ค้างคาวนับพันที่ร่วงหล่นไปตรงนั้น หายไปเกลี้ยง แต่พวกเขาแปลกใจ ที่เหมือนมันจะมองขึ้นมา

    ข้างบน เหมือนมันรู้ว่ามีอะไร อยู่บนนี้ ทั้งที่พวกเขาแน่ใจว่ามันไม่น่าจะมองพวกเขาเห็นเพราะ

    ความสูง และพวกเขาก็ไม่ได้ไปอยู่ในที่เด่นมีชะง่อนผาที่ยื่นออกไปบนบังร่างกายพวกเขาได้เกือบ

    สนิดมีเพียงส่วนหัวของพวกเขาที่ยื่นออกไปดูข้างล่าวเป็นช่วงช่วง


    " คงไม่เห็นหรอก มันคงเป็นสัญชาติญาณของมันแหละมองว่าน่าจะมีอาหารหล่นไปอีกไม๊ "


    กานต์ ตอบเพราะเขาคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยและมีสิ่งที่น่าเป็นไปได้มากกว่า

    และไม่นานหนอนยักษ์ชูคอก็หดลง และมุดหายกลับเข้าไปใหนพื้นดิน และแผ่นดินที่เคลื่อนไหว

    ยุ่บยั๊บไปมาเมื่อครู่นี้ก็สงบเงียบลงอีกครั้ง

    เมื่อเหตุการณ์สงบเร็วกว่าที่คิดกันไว้ต้้งแต่เรกปิเยพิษทารีเปลี่ยนใจ  นี่คงเป็นโอกาสดีที่ทั้งหมดจะ

    เดินทางกลับไปถ้ำมัจติสในค่ำคืนนี้เลย เพราะสถานการณ์ ประจวบเหมาะ พวกหนอนยักษ์และ

    ปลวกยักษ์ไต้พื้นดิน คงกลับไปสักแห่งที่มันมา และมันคงอิ่มจนไม่สนใจอะไรที่เคลื่อนใหวรบกวน

    มันสักระยะนึง และนั่นก็คงเพียงพอสำหรับการเดินทางอ้อมหน้าผาไปจนถึงถ้ำมัสเตติส

    และเมื่อลงมาถึงข้างล่าง ปิเยพิษทารีเลือกเส้นทางตามโขดหินเพื่อเป็นการระวังตัว ไม่ประมาท 

    ทั้งหมดเร่งเดินทางกันจนใกล้รุ่งสาง จึงย้อนขึ้นมาถึงถ้ำมัสเตติสอีกครั้ง

















     






































    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×