ลำดับตอนที่ #55
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : ลานอาหาร
" เราเข้าไปเถอะ ในถ้ำก็สว่าง ค้างคาวตอนนี้คงมองไม่เห็นทางกลับมาถ้ำจนกว่าจะมืดอีกครั้ง "
จามิกร แนะนำ เธอรู้ธรรมชาติของค้างคาวดีเพราะเธอเรียนและชำนาญมาด้านนี้
" โหข้างในนี่ขี้มันเต็มเลย แต่ทำไมไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนที่เราเจอข้างนอกนะ กลับหอมเหมือน
น้ำหอมอ่อนอ่อนด้วย นี่ถ้าเมื่อกี้นี้เราได้กลิ่นขี้ของมันคงสงสัยแน่ว่า มีมันอยู่ในนี้ "
อรัญ ตั้งข้อสังเกตุ ระหว่างเดินเข้ามาในถ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สว่างจนเห็นชัดเจนไปหมด
" ที่ที่มีไอพิษ ทาวีซิส จะมีอะไรที่กลับไปกลับมาแบบนี้แหระ เราจะดูจากสิ่งที่เห็นไม่ได้
ปิเยเหล่าพิษเช่นพวกของปิเยข้าจะรู้กันดี บางที รางพิษของพิษเซลล่า คงมีส่วนผสมพิษ ของ
ทาวีซิสอยู่ด้วย ในถ้ำนี้ถึงแปลกประหลาดไปหมด ไม่รู้ว่าพิษเซลล่าจะใส่รางพิษไว้ตรงใหนถ้าพวก
เจ้าเห็นอะไรผิดสังเกตุก็บอกปิเยข้าได้ ช่วยกันหาเถอะ "
ปิเยพิษทารี ตัดบทและทั้งหมดก็เงียบเสียงและพยายามสอดส่ายสายตากันมองหา
และสุดท้ายทุกคนก็ได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำและมันเป็นทางตัน
" ถ้ำถึงทางตันแล้วทำไมพวกเรายังไม่เห็นอะไรน่าสงสัยเลยว่าจะมีอะไรที่ใส่รางพิษอยู่ในนี้ "
แสงดาว กล่าว
" แปลก พวกเราก็หาเหมือนดูจะละเอียดแล้วนะ ปิเยข้ายังไม่เห็นอะไรที่น่าจะเป็นที่เก็บรางพิษ
เลย ใหนข้าขอดูบันทึกให้ชัดชัดซิว่าพิษเซล่าบอกไว้ว่ายังไง"
ว่าแล้วปิเยพิษทารีก็คลี่แผนที่ออกอีกครั้งและอาศัยแสงที่สะท้อนแผ่นหินที่สุดทางถ้ำ ทำให้สว่าง
และเห็นได้ชัด
" ในบันทึกพิษเซลล่าได้บอกว่าเก็บน้ำรางพิษไว้ในขวดแก้วที่ได้มาจากมนุษย์ที่หลงเข้ามาแต่
ขวด นั่นอยู่ตรงใหนในถ้ำหรือว่ามันตกแตกไปแล้ว เพราะในนี้มีค้างคาวพลุกพล่านไปหมด แต่ถ้า
แตกก็น่าจะเห็นเศษซากของมันมั่งนะ "
่่ปิเยพิษทารี กล่าว
" ขวดเหรอ อ้าวแล้วที่ท่านพิษทารีเอามือกวาดมันออกตรงนั้นล่ะไม่ใช่ขวดเหรอ "
อัครชัยถามด้วยความสงสัย เขาเห็นปิเยพิษทารีเอามือวาดโดนขวดใบหนึ่งเมื่อสักครู่นี้ โดยไม่
สนใจอัครชัยก็เลยไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าปิเยพิษทารีคงเห็นแล้ว
" ปิเยข้าเอามือกวาดโดนขวดแล้วหรือเป็นไปได้ไง นี่ปิเยข้าไม่เห็นเลยใหนพวกเจ้าพากลับไปซิ
ตรงใหน หรือปิเยข้าคงมองไม่เห็น น่าจะเป็นขวดล่ะที่เก็บรางพิษไว้ แต่ทำไมเมื่อกี้ปิเยข้าไม่เห็น
นะ "
ปิเยพิษทารี กล่าวเขาบ่นตัวเองที่ไม่สังเกตุสังกาให้ดี ทำให้ต้องเสียเวลาไปอีก
" นี่ไงล่ะท่าน เห็นท่านก็เอามือกวาดไปเมื่อกี้คิดว่าท่านคงคิดว่าไม่ได้ใส่ไว้ในนี้เลยไม่ได้สนใจ "
อัครชัยหยิบขวดส่งให้ปิเยพิษทารี
" โอ มิน่าเล่า เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านเก็บไว้เถอะ พวกเราเจอแล้วออกไปได้ "
ปิเยพิษทารี กล่าว อัครชัยรู้สึกแปลกใจที่ปิเยพิษทารีมิได้หยิบดู แต่แน่ใจว่าเป็นขวดที่ใส่รางพิษที่
กำลังตามหา ทำให้เขาคิดมาก สงสัยว่าเพราะอะไรและคนอื่นก็สงสัยเช่นกันโดยเฉพาะแสงดาว
" ท่านพิษทารีไม่หยิบดูเลยพี่หมอ หรือว่าขวดนี้จะมีพิษ เขาเลยไม่กล้า แล้วพี่หมอเก็บไว้อย่างนี้
จะเป็นไรเปล่า "
แสงดาวกล่าว กับแฟนหนุ่มอย่างสงสัย ที่จริงเธอก็เป็นห่วงแฟนหนุ่มนั่นเอง และเธอก็เก็บความ
สงสัยไว้ไม่ได้เมื่อตอนออกมาถึงหน้าถ้ำ
" ท่านพิษทารี ดูท่านไม่ค่อยสนใจเลยทั้งที่พวกเราฝ่าอันตรายกันมาตั้งนานเพื่อมาหาขวดที่ใส่ราง
พิษนี้ ที่จริงท่านน่าจะเป็นคนเก็บไว้นะ เพราะท่านน่าจะเข้าใจมันได้และน่าจะรู้วิธีเก็บรักษามัน
มากกว่าพี่หมอ หรือว่าท่านกลัวพิษแปลว่าขวดนี้มันมีพิษซึมมาได้หรือเปล่าท่านเลยกลัว "
แสงดาวกล่าว
" ไม่ต้องกลัวหรอกไม่มีอันตราย พิษในนี้ไม่ได้มีไว้ทำอันตรายกับคนหรือปิเยใดใด พิษเซลล่าผสม
พิษไว้เพื่อช่วยเหลือมากกว่า ที่จริงพิษนี่ก็ถูกสร้างไว้เพื่อพวกเจ้านั่นแหละ สามัญสำนึกของพิษ
เซลล่าด้านดียังมีอยู่ เขารู้ว่า มัจเจได้สร้างเรคารียะที่ล่องหนได้ และโดยไม่มีปิเยใดมองเห็น เมื่อ
มัจเจได้กำราบพวกท่านติอากอแล้วซึ่งพิษเซลล่าก็รู้ว่าทำได้ไม่ยาก ถ้ามีปิเยเเละเรคารียะที่มองไม่
เห็นเข้าทำการ และเมื่อนั้นจุดหมายต่อไปพวกมัจเจก็จะผ่านประตูตะเนยาไปโลก และเมื่อนั้นพวก
มนุษย์ คงเจอกับการทำลายล้างที่มองไม่เห็นตัวการ ในเมื่อพิษเซลล่าเป็นคนช่วยมัจเจสร้างเรคา
รียะที่ร้ายกาจแล้ว เขาเองก็จะสร้างสิ่งที่มาแก้กันให้ คือรางพิษนี่ไง พวกมนุษย์จะได้เห็นเรคารียะ
ที่ล่องหนได้ ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ล้างตาและทำให้มองเห็นการที่พวกเจ้าได้ดื่มกินมันเข้าไปเพียง
น้อยนิดพวกเจ้าก็จะได้มองเห็นเรคารียะไปตลอด"
ปิเยพิษทารี อธิบายยาวเหยียด
" อืม "
แสงดาว พยักหน้าอย่างเข้าใจ
" แล้วถ้าสมมุติ พวกมัจเจไปโลกได้จริงแล้วพวกเรามีโอกาสกลับไปที่นั่นด้วย เรคารียะล่องหน
จำนวนมากมาย พวกเราแค่ไม่กี่คนจะใหวเหรอ รางพิษขวดแค่นี้จะใช้ได้กี่คน จะทำให้พวกเราซักกี่
คนมองเห็นมันได้ "
ดุจปราย ถามอย่างแปลกใจ
"พวกเจ้าไม่ต้องกลัวไปหรอก เมื่อพวกเจ้านำรางพิษกลับไปแล้ว เมื่อเจ้าเทมันลงในน้ำเมื่อไร น้ำ
ทั้งหมดก็จะเป็นรางพิษทันทีไม่ว่าน้ำนั่นจะมีมากมายแค่ใหนก็ตามและเมื่อใครได้ใช้น้ำนั้นก็จะมี
สายตาเห็นเรคารียะได้ทั้งนั้น แต่ทางที่ดีเราปิเยข้าไม่อยากให้พวกเจ้านำกลับไปใช้บนโลก เพราะ
นั้นก็หมายความว่า ที่ปิยากิออคงล่มสลายหมดแล้ว ถ้าพวกมัจเจข้ามไปยังโลกได้ และอีกอย่าง
นึง ที่พวกเจ้าสงสัย ว่าปิเยข้าไม่เก็บมันไว้เองเหมือนไม่สนใจขวดใส่รางพิษเลย ทั้งที่เจอตอนแรก
ก็กวาดทิ้ง และไม่สนใจขวดมันและไม่มองมันด้วยซ้ำ ปิเยข้าจะบอกว่า ปิเยข้ามองไม่เห็นหรอก
สงสัยว่ามีแต่มนุษย์เช่นพวกเจ้าเท่านั้นที่มองเห็นมัน รางพิษที่อยู่ในขวดอย่างที่พวกเจ้าว่า แต่ปิเย
ข้าเห็นพวกเจ้าหยิบอะไรอยู่ในมือที่ว่างเปล่าในสายตาปิเยข้า และไม่คิดว่าพวกเจ้าจะโกหก ปิเยข้า
ก็รู้แล้วว่าขวดรางพิษปิเยข้าไม่สามารถมองเห็นได้ "
ปิเยพิษทารี กล่าว
" โห นี่ท่านมองไม่เห็นหรือนี่ มิน่าท่านถึงมีท่าทางแปลกเเปลก พวกเราก็นึกว่าท่านไม่สนใจ พวก
เราต้องขอโทษท่านทีนะที่เข้าใจท่านผิด "
แสงดาว กล่าว อย่างสำนึกผิด
" ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่รู้ อย่างที่บอก รางพิษสร้างมาเพื่อมนุษย์อย่างพวกเจ้า ปิเยข้าไม่มีความจำเป็นต้องเห็น
ก็ได้ แต่แปลกใจที่ทำไมพิษเซลล่ากลับผสมสิ่งที่ไม่เห็นได้ อันนี้น่าคิด เอาเถอะได้มันมาก็ดีแล้ว
พวกเรารีบไต่ลงไปเหอะเดี๋ยวจะมืดค่ำไปให้พวกค้างคาวนี่เห็นได้เราจะอันตราย ดูสิพวกมันมีเป็น
พันเลย "
ปิเยพิษทารี รีบสรุปตัดบท และคิดว่ามนุษย์ทุกคนคงจะเข้าใจแล้ว
ทุกคนแหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้าเมื่อก่อนเข้าถ้ำไป ฟ้ามืดดำเพราะสัตว์ปีกยักษ์บินวนเวียนอยู่บนนั้น
อย่างสะเปะสะปะ แต่ตอนนี้รู้สึกมันบางตาไปมาก
" หล่นไปหลายตัวเลย ชนกันเองมั่ง ชนหน้าผามั่ง ดูสิมันบินอยู่บนนั้นไม่กี่ตัวแล้ว "
กานต์ กล่าวจากการที่ใช้สายตาประเมิน
" นั่นสิไม่ช้ามันคงหล่นหมดแหระ คงหมดแรงบินเพราะมองไม่เห็น ถึงหล่นไปก็คงไม่ตายนะตัวมัน
ใหญ่ จะมีฤทธิ์อีกทีก็คงตอนมืดนั่นแหระ "
จามิกร บอกแฟนหนุ่ม ในขณะที่ทั้งหมดรีบไต่ลงมาอีกครั้ง ครานี้ทั้งหมดไต่ลงมาได้รวดเร็วกว่า
ตอนเช้ามาก ทั้งที่ชำนาญขึ้น และความกลัวที่สูงลดน้อยลงเพราะจุดหมายอยู่ไม่ไกลแล้ว และรู้ว่า
ถ้าช้าจนถึงมืดค่ำได้โดยถ้ายังหาที่ปลอดภัย ไม่ได้ก่อนที่ค้างคาวยักษ์จะมองเห็น พวกเขาอันตราย
แน่
" พรู่ด "
ในขณะทีปีนป่ายอยู่นั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงนั้นดังพอสมควรแต่พวกเขาไม่รู้ว่าที่มาของเสียงอยู่
ตรงใหน แต่มันเป็นเสียงที่ดังผิดสังเกตุทำให้พวกเขาชะงัก
" เสียงอะไรน่ะท่านพิษทารี ดูดังแปลกเเปลก "
อัครชัยถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาเหมือนจะเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ใหนแต่นึกไม่ออก
" ปิเยข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงดังมาจากข้างล่างนั่นดูสิตรงนั้นฝุ่นกลบเลย "
ปิเยพิษทารี ตอบพร้อมชี้ให้ทุกคนดูตำแหน่งที่เขาสงสัย
" คงเป็นค้างคาวมันตกลงไปตรงนั้นแหระพวกมันดิ้นเลยมีเสียง ไปกันต่อเหอะ "
กานต์ซึ่งสายตาดีกว่าคนอื่น สรุป เพราะตรงที่พิษทารีสงสัยนั้นมีร่างของค้างคาวจำนวนหนึ่งตกอยู่
และทุกคนที่ชะงักก็เร่งไต่ลงต่อหลังจากได้ข้อสรุปจากผู้ที่คิดว่าน่าจะมองเห็นได้ดีที่สุด
" เสียงคุ้นคุ้นเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเคยได้ยินที่ใหน "
อัครชัยยังติดใจ เขาไต่ไปพลางและเปรยกับแฟนสาว และเหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติอีกจนอีก
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
" เอ้า พักอีกที หน้าผาตรงนี้ น่าพัก เดี๋ยวอีกทีเราคงถึงข้างล่างกันเลย มาไวกว่าที่คิดนะ "
ปิเยพิทารี ร้องบอกกับทุกคน ทั้งหมดจึงกุลีกุจอนั่นลงตรงแผ่นหินกว้างที่พอเหมาะตามที่ปิเยพิษ
ทารีบอก
" ดูสิข้างบนมีอยู่สองสามตัวเองร่วงเกือบหมดแล้ว "
กานต์ชี้มือให้ดูค้างคาวอีกครั้งระหว่างพัก
" พรู๊ด "
เสียงประหลาดแบบเดิมดังขึ้นอีกครั้งและมันดังชัดเจนกว่าคราวแรก และคราวนี้ทุกคนรู้ว่ามันน่าจะ
ดังทางใหน พวกเขาก้มลงมาจากการที่กำลังเงยหน้ามองบนฟ้ามองพวกค้างคาวอยู่ ถึงเสียงนั้นจะ
เงียบไปแล้ว แต่เจ้าของเสียงนั้นยังพอเห็นได้อยู่
" มันมาอีกแล้ว แองโกล่า มันมากินค้างคาว "
ปิเยพิษทารี ร้องบอก
ร่างหนอนยักษ์ที่พวกเขาพึ่งรอดพ้นมาเมื่อวานนี้ ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง พวกเขาเห็นมันเขมือบ
ค้างคาวยักษ์ที่กำลังดิ้นอยู่บนพื้นหลังจากที่ล่วงลงมาจากข้างบน และเสียงของมันที่พุ่งขึ้นมาจาก
ดินคือเสียงที่พวกเขาได้ยิน
" ทีนี้มันกินสบายเลย ไม่ต้องไล่ล่าเหมือนพวกเราเมื่อวาน แต่แปลกนะทำไมมันรู้เร็วจังค้างคาวพึ่ง
จะถึงพื้นได้ไม่นาน แสดงว่ามันน่าจะอยู่แถวนี้ไม่ได้ไปใหน"
แสงดาว กล่าว
" มันน่าจะรู้ตั้งแต่หินที่อยู่หน้าถ้าร่วงลงไปแล้วเพราะนั่นคงทำให้ดินสะเทือนมาก แต่วันนี้มันคงไม่
สนใจเราหรอก ดูสิค้างค้าวต้้งหลายร้อยตัวที่ร่วงอยู่และคงจะร่วงมาอีก วันนี้มันพุงกางแน่ "
ดุจปราย กล่าว
" ก็ดีเหมือนกันมันกินไปมั่งพวกเราก็จะได้ไม่ต้องระวังค้างคาวคืนนี้จะใด้เหลือให้เราระวังตัวได้น้อย
ลง แต่มันคงกินได้ไม่หมดหรอก ถึงมันจะตัวใหญ่แต่ค้างคาวก็เยอะมากตัวใหญ่ใหญ่ทั้งนั้น "
แสงดาวกล่าว แสดงความคิดเห็น
" ถือว่าเป็นการดีที่สุด ที่คืนนี้ค้างคาวจะเหลือไม่เท่าไร แองโกล่าถ้าอิ่มมันก็คงกลับไปไม่สนใจ
พวกเรา "
ปิเยพิษทารี ตั้งข้อสังเกต
" เอ๊ะ เอ๊ะ ดูนั่นสิ ต้นไม้ล้ม เอ๊ยมันล้มได้ไง "
กานต์สังเกตุเห็นและชี้มือให้ทุกคนดู ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจกับการกินของเจ้าหนอนยักษ์อยู่
อีกด้านหนึ่งกลับมีต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งเคลื่อนใหว มันล้มลงแต่ว่าไม่ได้เป็นลักษณะเอนล้ม
ฟาดกับพื้นแต่เหมือนมันถูกอะไรอย่างหนุ่งดึงลงไปในพื้นดินมากกว่า ถ้าเขาไม่เห็นว่าหนอนยักษ์
อยู่อีกที่หนึ่งตรงนั้นเขาอาจสงสัยว่าเป็นมันที่ดึงต้นไม้ต้นนี้แน่
" เอ๊ยหรือว่ามันมีแองโกล่าอีกตัว ที่ทำกับปิเยแบบนี้ได้ ตรงนู้นเราก็เห็นมันกินค้างคาวอยู่ตัวนึงและ
ตรงนี้ ปิเยก็กำลังถูกดึง "
ปิเยพิษทารี ตั้งข้อสังเกตุ
" ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่สองตัวแล้วล่ะท่านพิษทารี ดูสิ ต้นไม้ถูกดึงลงไปอีกหลายต้นเลย รวมทั้งร่าง
ค้างคาว ดูสิอะไรมันดึงหายลงไปในดินด้วย "
กานต์ชีโบ้ชี้เบ๊ เพราะเขาเห็นเหตุการณ์แบบนี้อีกหลายจุดแล้ว จริงอย่างกานต์ว่าขณะนี้ต้นไม้
หลายต้นถูกดึงให้ล้มลงจำนวนมากขึ้น เเละกินบริเวรกว้างขึ้นเรื่อย และรวมทั้งร่างค้างคาวที่อยู่บน
พื้นด้วยและเมื่อร่างค้างคาวจมลงในพื้นเพียงครู่เดียวพื้นบริเวรนั้นก้อมีสีแดงเอ่อขึ้นมา แสดงว่าไต้
พื้นนั้นมีการทำร้ายค้างคาวอยู่จนเลือดสาดขึ้นมาบนพื้น
" มันไม่ใช่หนอนหรอก สังเกตุสิอะไรที่ดึงต้นไม้และค้างคาวลงไปในดิน จะเป็นตัวอะไรหรือเปล่า
เหมือนมีวงอะไรดำดำงอเหมือนเขาควายสองอันมันรัดร่างค้างคาวและดึงลงไป และมันคงจะตัด
ร่างของค้างคาวไต้ดินดูสิเลือดนองเลย "
กานต์เริ่มเพ่งสังเกตุอีกครั้ง แต่เขาก็เห็นไม่ค่อยถนัดเพราะข้างล่างมันยังค่อนข้างไกลอยู่ดี และสิ่ง
ที่ดึงนั้นอยู่ในดินไม่โผล่ร่างกายให้เห็น เพียงแต่มีวัตถุ ที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเขี้ยวของมันที่งอ
เหมือนเขาความสองอันโผล่ขึ้นมาให้เห็นช่วงที่มันกำลังดึง
" หรือว่ามันมีฝูงอะไรที่อยู่ไต้ดินสักอย่างที่อยู่แถวนี้ มาแย่งหนอนยักษ์กินและพวกมันก็คงกิน
ต้นไม้ด้วยถึงได้ดึงลงไปอย่างนั้น"
อรัญสงสัย
" นั่นสิมันคงเห็นอาหารเยอะเลยมาแย่ง หรือว่าพอสักพักมันก็จะรุมหนอนย้กษ์ด้วย "
จามิกร ตั้งข้อสังเกตุ เพราะเห็นด้วยกับความคิดอรัญ
" ท่านพิษทารี รู้ใหมมันน่าจะเป็นตัวอะไรอยู่แถวนี้ ท่านน่าจะรู้จักนะ "
อัครชัย เอ่ยถามขึ้นเพราะคิดว่าปิเยพิษทารีน่าจะรู้
" ไม่มีหรอก ปิเยข้าไม่เคยเห็นตัวอะไรแบบนี้ เพราะถ้ามีปิเยแถวนี้คงไม่อยู่รอดมาจนทุกวันนี้
มันดึงกินซะขนาดนั้น แต่ปิเยข้าติดใจที่หนุ่มกานต์บอกลักษณะ มีงองอเหมือนเขี้ยว และกินได้ทั้ง
ค้างคาวและปิเย เอ..."
ปิเยพิษทารี ใช้ความคิด
" แต่ดูเจ้าหนอนมันไม่ตกใจเลยนะ ดูสิมันก็กินของมันเฉยเลยขนาดบางทีข้างตัวมันต้นไม้และ
ค้างคาวก็ผลุบลง มันไม่ได้สนใจเลย หรือว่ามันเป็นพวกเดียวกัน มันอาจจะไม่ได้เป็นตัวอะไรแถว
นี้ และหนอนยักษ์มันพามา "
กานต์ พยายามบรรยาย จากสิ่งที่เขาเห็น
และเเล้วเสียงปิเยพิษทารีก็อุทานขึ้น
" โอ๊ะคิดออกแล้วเหมือนมากแต่ จะใช่เหรอ พวกนี้มันไม่เคยเดินทางไกลมาถึงนี่ และมันไม่เคย
ออกไปนอกอาณาเขตที่มันอยู่ "
" อะไรเหรอ ท่านพิษทารีคิดว่ามันเป็นตัวอะไรเหรอ "
ทั้งหมดถามขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
" ปัวล่า"
ปิเยพิษทารีตอบ
" ตัวอะไรนะชื่อแปลกแปลก แล้วทำไมมันกินต้นไม้ได้ขนาดนี้แล้วทำไมที่นี่ยังไม่ต้นไม้เยอะแยะ
ไปหมดแล้วท่านบอกว่ามันมาไกลมันอยู่ที่ใหนเหรอ "
อัครชัย ถามอย่างระร่ำระรัก
" ปัวล่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งและเป็นเพียงชนิดเดียวที่ปิเยเรากลัวมาก พวกมันอยู่ไปทางไต้เฉียงตะวันออก
หลายร้อยกิโลเมตรอยู่เหมือนกัน พวกนี้มันอยู่ไต้ดินโดยพูนดินขึ้นมาเป็นภูเขาและพวกมันเข้าพักอยู่ในนั้น
พวกมันมีจำนวนมากหลายล้านตัวเพราะมันมีนางพญาผลิตลูกมันได้วันละนับเป็นแสนตัว ที่น่ากลัว
ก็คือ อย่างที่พวกเราเห็นตอนนี้ พวกมันกินปิเยเราเป็นอาหารหลัก ถึงแม้ร่างปิเยเราจะสิ้นชีตะแล้ว
มันก็ยังคงกินร่างของพวกปิเยเรา จนแหลกย่อยไม่เหลือชิ้นดี และมันก็จะเก็บสิ่งที่มันกินจน
ละเอียดแล้วเพื่อให้เป็นอาหารต่อลูกของมันที่เกิดจากนางพญา วันละหลายตัว นั่นคือมันต้องใช้
ปิเยเราเป็นอาหารมันวันละจำนวนมาก "
ปิเยพิษทารีกล่าว
" เข้าใจล่ะ ทีแรกนึกว่าจะมีแต่ที่โลกเรา ไม่คิดว่าที่นี่ก็มีด้วย อย่างนี้ตอนแรกที่พวกเราคิดว่าพวก
ต้นไม้อย่างท่านยิ่งใหญ่ที่สุดในปิยากิออ ก็ไม่ใช่นะสิ ยังมีสัตว์ที่พวกท่านต้องกลัวด้วย "
จามิกร กล่าว
" เหมือนกัน พวกเจ้าถึงยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของเจ้า ก็ยังมีสัตว์ที่พวกเจ้าต้องกลัวมิใช่หรือ ส่วนปิเย
เราที่ว่ายิ่งใหญ่แล้วต้องกลัวต่อ ป้วล่าจะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงนะ ปัวล่าไม่ได้มีมากมากมาย ถ้าเทียบ
กับปิเยเรา ถึงมันจะร้ายแต่ถ้าปิเยเราไม่เข้าไปอยู่ใกล้มัน มันก็ไม่ค่อยออกมาล่าแบบนี้ เพราะพวกนี้
จะใช่แค่ร่างปิเยที่สิ้นชีตะแล้วก็เพียงพอกับอาหารของมันแล้ว ว่าแต่ว่าเมื่อกี้ปิเยข้าได้ยิน เจ้าว่าที่
โลกเจ้าก็มี เจ้าหมายถึงอะไรหรือ หรือว่าโลกเจ้ามี ปัวล่า กินปิเยในโลกของท่าน "
ปิเยพิษทารี สงสัยในคำพูดของจามิกร
" มีสิร้ายเหมือนอย่างที่ท่านพูดเลยล่ะแต่ตัวมันเล็กมาก ถ้าต้นไม้ที่โลกเราพูดได้เหมือนท่านพวก
มันคงบอกว่ามันกลัวแน่ เพราะมันกินต้นไม้เป็นอาหารเหมือนกัน และเอาไปเป็นอาหารในทีอยู่ของ
มัน มันมีลูกวันละเป็นแสนตัว มีพวกทำงานหาอาหาร มีทหารไว้ป้องกันเวลาโดนบุกรุก และมี
นางพญาเป็นจุดศูนย์รวม และคอยออกลูก "
จามิกรอธิบาย
" ที่จาพูดนั่นหมายถึงปลวกใช่ใหม "
กานต์ ถามอย่างสงสัย
" ใช่นะสิพี่กานต์ ปลวกกับต้นไม้เป็นของคู่กันจริงจริงไม่ว่าโลกของเราหรือโลกที่นี่ "
จามิกรตอบแฟนหนุ่ม
" โห ขนาดที่โลกเราตัวเล็กขนาดนั้นยังร้ายกับต้นไม้ได้ขนาดนี้แล้วนี้ตัวมันใหญ่ขนาดนี้แล้วยังมี
จำนวนมากอีก มิน่าล่ะดูสิพักเดียวเหลือแต่ดินเลยเป็นลานกว้างด้วยทั้งค้างคาวทั้งต้นไม้ไม่เหลือ
อะไรเลย โดยที่ตัวมันไม่ได้โผล่ขึ้นมาจากดินด้วยซ้ำ "
กานต์ พูดพรุ้อมกับชี้ให้ทุกคนดูผลงานข้างล่าง
" อย่างน้อยมันก็ยังเหลือไอ้ตัวนั้นนะ หนอนไงมันไม่ยุ่งกัน สงสัยมันจะพามาจริงจริง "
จามิกร กล่าว
" หรือว่า "
เสียงดุจปราย กล่าวอย่างสงสัยขึ้นและมีอีกหลายคนกำลังคิดอยู่เหมือนกัน
" หรือว่าอะไร ปราย คิดเหมือนพี่ใช่ใหม กำลังคิดว่าไอ้หนอนยักษ์นี่เป็นนางพญาของปลวกยักษ์ที่
อยู่ไต้ดินพวกนั้นเหรอ "
อรัญ รีบชิงถาม
" หือ..จะใช่หรือ พวกปิเยเราไม่เคยมีใครได้เห็นนางพญาของ ปัวล่าเลยก็จริง รู้แต่ว่าน่าจะมีราชินี
ของปัวล่ามันแน่ คิดว่านางพญาพวกมันน่าจะ มีรูปร่างไม่ต่างจากพวกมัน แต่แองโกล่านี้รูป
ร่างมันต่างกับ ปัวลา โดยสิ้นเชิง มันจะใช่หรือ "
ปิเยพิษทารี ตั้งข้อสังเกตุ
" โหย ใช่เลยล่ะที่โลก นางพญาปลวกก็มีรูปร่างเหมือนหนอนอย่างนี้แหระ แต่มันอุ้ยอ้ายและเชื่อง
ช้ามาก และมันก็ไม่เหมือนลูกมันหรอก "
จามิกร กล่าว
" แต่ที่นี่ถ้าหนอนนี่เป็นนางพญาของมันจริง แสดงว่ามันว่องไวทั้งแม่และลูกเลย พึ่งสังเกตุเหมือน
กัน เขี้ยวนั้นเหมือนเขี้ยวปลวกไม่มีผิดเลย เพียงแต่มันมีขนาดใหญ่มากจนเราไม่ได้เอาไปเปรียบ
เทียบกัน "
กานต์ อธิบาย
" ต้นไม้ที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างข้างล่างนั้น หรือต้นไม้ที่อยู่ในโลกเราถ้าจะกลัวพวกปลวกนี้ก็ไม่
แปลกหรอกนะ แต่ว่าพวกต้นไม้อย่างท่านก็เคลื่อนใหวได้ ไม่เห็นต้องน่ากลัวเลย พวกท่านก็น่าจะ
จับเครื่องทุ่นแรงหรืออาวุธมาสู้กับพวกปลวกนี้มันก็ได้ พวกท่านที่เคลื่อนไหวได้ก็มีจำนวนไม่น้อย
แล้วทำไมท่านถึงบอกว่าไม่อยากเข้าใกล้ล่ะ พวกท่านก็เป้นต้นไม้ที่กล้าหาญกันอยู่นี่ "
อัครชัยถามปิเยพิษทารีอย่างสงสัย
" คงเป็นธรรมชาติมั้ง ปัวล่ามีกลิ่นที่ทำลายประสาทควบคุมของปิเยเรา เมื่อเผชิญหน้ากันอยู่ใน
รัศมี ที่กลิ่นปัวล่ากระจายถึงได้พวกเราจะหมดแรงเลยกลายเป็นเหยื่อมันโดยง่าย อันนี้ปิเยเราถูก
สอนมาแต่นาน จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้หรือต่อกรกับปัวล่า "
ปิเยพิษทารี ตอบ
" อย่างนี้แสดงว่าถ้า พวกนั้นยังคงอยู่ข้างล่างนั่น ท่านก็คงไม่กล้าไต่ลงไปใช่ไหม แล้วต้องอยู่ใกล้
กับมันแค่ใหนล่ะท่านพิษทารีจึงจะรับรู้ถึงกลิ่นมันได้ "
ดุจปราย ถามอย่างสงสัย
" อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ปิเยที่อยู่ในภาวะอย่างนั้นไม่มีปิเยใดไต้กลับมาซักปิเยเดียวรู้แต่ว่าเมื่อได้
กลิ่นพิษของมันแล้ว ถึงมันไม่กินไปไม่นานก็ต้องสิ้นชีตะอยู่ตรงนั้น อันเนี๊ยพอเจอซากอยู่บ้าง แต่ก็
บอกไม่ได้อยู่ดี "
ปิเยพิษทารี อธิบาย
" โหมันร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราคงจะลงไปกว่านี้ไม่ได้แล้วหล่ะ เกิดลงไปได้กลิ่น
มันเข้าท่านพิษทารีแย่แน่ อย่างน้อยอยู่ตรงนี้ท่านพิษทารีก็คงอยู่ได้ "
อัครชัย แสดงความคิดเห็น ซึ่งปิเยพิษทารีเห็นด้วยที่สุด
" ดี ตอนนี้แค่ได้รู้ว่าเป็นมัน แขนขาปิเยข้าก็หมดแรงไปหมดแล้ว "
ปิเยพิษทารี ทำท่าเข่าอ่อน
" นี่แสดงว่าหนอนยักษ์นั่นถ้าเป็นนางพญาของพวกนั้นจริง ตัวมันเองก็คงไม่มีกลิ่นพิษอย่างลูกของ
มันใช่ไหม ไม่อย่างนั้นท่านพิษทารีแย่ไปเเล้วแน่ เราเคยอยู่ใกล้ชิดกับมันตั้งหลายครั้ง "
จามิกร แสดงความคิดเห็น
" นั่นสิ ถ้ามันมีกลิ่นพิษจริง เราก็เคยอยู่ใกล้มันตั้งหลายครั้ง น่าจะมีความรู้สึกอะไรกับท่านพิษทารี
มั่ง แต่เราไม่เคยเห็นอะไรเลย แปลกไหมที่แม่กับลูกจะไม่มีอะไรที่เหมือนกัน"
กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ
" อันนี้ปิเยข้าก็ไม่เข้าใจนะเพราะอะไร แต่ที่แน่ ไม่ขอลงไปตอนนี้เพราะไม่อยากพิสูจน์อะไรที่เสี่ยง
ชีตะ แบบนี้ ไว้ให้ฝูงข้างล่างนั้นไปก่อน คืนนี้เราอาจจะต้องพักกันบนนี้ "
ปิเยพิษทารี ตอบ
" โหบทจะกลัวขึ้นมาถอดใจเฉยเลย แต่ก็ดีนะ พวกเรายังต้องร่วมทางกันอีกไกลอะไรไม่น่าเสี่ยงก็
อย่าไปเสี่ยงคืนนี้พักข้างบนนี้ก็คงไม่เป็นไร ค้างคาวเกลี้ยงเลย ที่หล่นลงไป เหลือแต่แผ่นดินว่าง
เปล่า น่าจูบออก จาเลิกล้มความตั้งใจไปยัง "
อรัญหันไปเเซวจามิกร เพราะคำพูดของเธอตอนนั้นเขาก็ได้ยินด้วย
" นี่ ยังจะไปแซวเขาอีก "
จามิกร ยังไม่ทันได้ตอบคนข้างข้างอรัญก็จะทุบเข้าให้ แต่อรัญจับมือของดุจปรายไว้ทันและ
พยายามจะดึงเข้ามาแต่ดุจปรายได้เอาแขนอีกข้างยันไว้
" นี่ จา นะจะจูบหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่คู่เนี๊ยนะเผลอกันไม่ได้เลยนะ "
การกระทำของทั้งสอง โดนจามิกรแซวกลับทันที
" แหมก็..เวลา เนี่ยก็ได้แบบนี้นี่แหละครับ น้องจาได้แสดงนิดแสดงหน่อย คลายเครียดและมี
กำลังใจสู้ขึ้นเยอะ "
อรัญ ตอบเสียงสูง
" อ๋อที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะต้องการคลายเครียดใช่ใหม นึกว่า.. "
ดุจปราย เสียงขุ่นตาเขียว
" อ้าว รักจ้ารัก อุ๊ยตาย. งานจะเข้าแล้วไม๊ล่ะ เล่นเพลินไปหน่อย "
อรัญทำเสียงดัจจริต แต่อีกฝ่ายยังมองนิ่งไม่หลบตา
อรัญทำใจดีสู้เสือโผเข้าไปกอดเลย ได้ผลอีกฝ่ายสีหน้าอ่อนลงและดิ้นพัลวัน
" นี่ นี่ นี่ อายเค้า"
ดุจปราย พยายามทุบและดิ้นให้พ้นจากวงกอดของอรัญ
" สมน้ำหน้าพี่อรัญ กะล่อนดีนัก หึ หี "
แสงดาว อดขำไม่ได้เมื่อเห็นอาหารพ่อแง่แม่งอนของคนทั้งสองแต่เธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีสองมือ
โอบเอว คล้องมาจากด้านหลัง
" น้องปราย ไม่ต้องอายหรอกจ้า เนี่ยคู่พี่ก็กอดเป็นเพื่อนแล้ว "
อัครชัย นั่นเอง
" เออ เมื่อกี้ยังดร่าม่ากันอยู่ดีดี กลายเป็นรักโรแมนติกกันไปซะเเล้ว "
จามิกร กล่าว แต่ไม่วายหันไปมองข้างหลังกลัวจะโดนกานต์เข้ามากอดอีกคน
" ได้เห็นพวกเจ้ารักกัน ปิเยข้าก็ดีใจ ที่จริงปิเยเราคงสู้พวกเจ้าไม่ได้ก็เพราะแบบนี้แหละ พวกปิเย
เรามีอายุมากกว่าแต่ก็ไม่ได้มีสีสรรให้กับชีตะซักเท่าไร เหมือนไม่เป็นอิสระ ต้องทำหน้าที่อยู่
ตลอด หน้าที่ควบคุม ดินฟ้าอากาศความสมดุลธรรมชาติให้อยู่ได้ ถ้าพวกปิเยเรามีน้อยเกินไป
ธรรมชาติก็เปลี่ยนไปหมด เหมือนที่โลกของเจ้าตอนนี้ ถ้าพวกเจ้ากลับไปได้ ปิเยข้าขอฝากให้
ช่วยดูแลปิเยที่นั่นด้วย อย่าให้มีการทำลายเขามาก แล้วพวกมนุษย์อย่างเจ้าจะอยู่ไปได้อีกนาน
แสนนาน "
ปิเยพิษทารี กล่าว
" มาวิชาการเฉยเลยท่านพิษทารี ฮ่าฮ่า ฮ่า "
อรัญ อดแหย่อีกไม่ได้
" เราจะอยู่ตรงนี้หวังว่าน่าจะแค่คืนเดียวนะ พวกนั้นคงไป เพราะอาหารมันหมดแล้ว "
อัครชัย กลับมาจริงจังอีกครั้ง
" ปิเยข้า ก็หวังเช่นนั้นแหระ แต่เมื่อพวกนั้นไปคงดูไม่ยากพื้นดินข้างล่างคงเงียบสงบ พื้นไม่ใหว
อยู่เหมือนตอนนี้ "
ปิเยพิษทารี กล่าว
" เอ๊ะ รู้สึกว่าทำไมเหมือนแดดจะร่มร่มลงไปหน่อยนะ หรือว่านี่่เริ่มจะเย็นแล้ว "
กานต์พลิกมือไปมาเขาสังเกตุ ว่าระยะมองเห็นดูสั้นลงเหมือนกับดวงอาทิตย์มีเมฆมาบดบัง
" คงมีเมฆมาบังแสงอาทิตย์ให้แหระ ยังไม่เย็นหรอก น่าจะซักสามสี่โมง จะมืดเร็วได้ไง อย่าไป
สนใจเลยดูโน่น ไอ้นั่นน่าสนใจกว่า อาหารหมดแล้วชูคอเลย เหมือนมันมองมาข้างบนนี่ด้วยนะ
หรือมันเห็นเรา "
ทุกคนมองตามสิ่งที่อัครชัยบอก หนอนยักษ์ ชูคอขึ้น รอบข้างของมันต้นไม้มากมายและซาก
ค้างคาวนับพันที่ร่วงหล่นไปตรงนั้น หายไปเกลี้ยง แต่พวกเขาแปลกใจ ที่เหมือนมันจะมองขึ้นมา
ข้างบน เหมือนมันรู้ว่ามีอะไร อยู่บนนี้ ทั้งที่พวกเขาแน่ใจว่ามันไม่น่าจะมองพวกเขาเห็นเพราะ
ความสูง และพวกเขาก็ไม่ได้ไปอยู่ในที่เด่นมีชะง่อนผาที่ยื่นออกไปบนบังร่างกายพวกเขาได้เกือบ
สนิดมีเพียงส่วนหัวของพวกเขาที่ยื่นออกไปดูข้างล่าวเป็นช่วงช่วง
" คงไม่เห็นหรอก มันคงเป็นสัญชาติญาณของมันแหละมองว่าน่าจะมีอาหารหล่นไปอีกไม๊ "
กานต์ ตอบเพราะเขาคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยและมีสิ่งที่น่าเป็นไปได้มากกว่า
และไม่นานหนอนยักษ์ชูคอก็หดลง และมุดหายกลับเข้าไปใหนพื้นดิน และแผ่นดินที่เคลื่อนไหว
ยุ่บยั๊บไปมาเมื่อครู่นี้ก็สงบเงียบลงอีกครั้ง
เมื่อเหตุการณ์สงบเร็วกว่าที่คิดกันไว้ต้้งแต่เรกปิเยพิษทารีเปลี่ยนใจ นี่คงเป็นโอกาสดีที่ทั้งหมดจะ
เดินทางกลับไปถ้ำมัจติสในค่ำคืนนี้เลย เพราะสถานการณ์ ประจวบเหมาะ พวกหนอนยักษ์และ
ปลวกยักษ์ไต้พื้นดิน คงกลับไปสักแห่งที่มันมา และมันคงอิ่มจนไม่สนใจอะไรที่เคลื่อนใหวรบกวน
มันสักระยะนึง และนั่นก็คงเพียงพอสำหรับการเดินทางอ้อมหน้าผาไปจนถึงถ้ำมัสเตติส
และเมื่อลงมาถึงข้างล่าง ปิเยพิษทารีเลือกเส้นทางตามโขดหินเพื่อเป็นการระวังตัว ไม่ประมาท
ทั้งหมดเร่งเดินทางกันจนใกล้รุ่งสาง จึงย้อนขึ้นมาถึงถ้ำมัสเตติสอีกครั้ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น