ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #45 : ทุ่งล่าสังหาร

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 204
      3
      11 ก.ค. 62




     

    " เราพลาดเอง มัจเจ เราห่วงแต่การทำลายอย่างเดียว ไม่นึกว่าผลที่เกิดขึ้น จะรุนแรงได้ถึง

    เพียงนี้และพวกเราเองก็ได้รับผลนั้น  เป็นบทเรียนว่าเราไม่ควรประมาทกับธรรมชาติ  ข้ามองไม่

    เห็น พลพรรคเจ้าเลยตอนนี้ ทำให้ข้าวังเวงชอบกล  เจ้ามั่นใจหรือ ว่ามันจะกลับมาได้ทุกร่าง "

     
    เป็นครั้งแรก ที่มัจเจ ได้ยินโอ๊คคาระกล่าวอย่างสำนึกผิด


    " ไม่ต้องห่วงเลย น้ำ ทำอะไรพลพรรคปิเยของข้าไม่ได้หรอก แต่แรงของมันคงทำให้พัดไปไกล ซักพักใหญ่คง

    จะได้กลับมา  ปิเยข้าว่าต่อไปนี้ เราควรจะเลิกทำลายปิเยตลอดทางที่ปิเยเราผ่านก่อนและ

    เร่งเดินทางเพียงอย่างเดียวอย่างน้อยคงไม่ต้องคอยมาระวังหลังอีกว่าน้ำมันจะมาอย่างนี้อีก "


    มัจเจกล่าว


    "   ปิเยข้าเห็นด้วย  "


    โอ๊คคาระ กล่าวตอบสั้นๆไม่อยากที่จะพูดอะไรต่อได้อีก  ไม่นานมัจเจก็ได้เห็น พลพรรคของ

    มันเริ่มทยอยกลับมา ทุกร่างมอมแมม ไม่เหลือเค้ารางของ นักรบที่แกร่งกล้า มัจเจเห็นแล้วเขา

    รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก   และปิเยหิรินร่างหนึ่งที่กลับก็ทำให้ มัจเจและโอ๊คคาระแปลกใจ เมื่อปิเยร่าง

    นี้ ได้ถือสิ่งหนึ่งกลับมาด้วย  


    " อะไรหรือมัจเจ เหมือน.."


    เนื่องจากสิ่งนั้นเปื้อนจะมองแทบจะมองไม่ออกว่ามันเป็นสิ่งใด และโอ๊คคาระก็ไม่ผ่านตาสิ่งนี้มา

    ก่อน แต่ก็คลับคล้ายคลับครา   แต่มัจเจเองเมื่อเห็นสิ่งนั้นใกล้ๆ เขาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย แต่

    แสร้งทำนิ่งไว้ เกรงโอ๊คคาระจะจับอาการพิรุธของเขาได้


     
    " มันคือเครื่องนุ่ง ชิ้นหนึ่งของมนุษย์ โลกน่ะท่าน คงมีบางคนหลงเข้ามาแล้วสิ้นชีตะในถิ่นแถบ

    นี้ น้ำคงพัดมันมา "



    มัจเจตอบ เขาพยายามทำให้ดูเหมือนเป็นปรกติ แต่ในใจเขารุ้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าอาภรณ์ชิ้นนี้คง

    เป็นของพวกมนุษย์โลก ที่เขาได้พยายามสังหาร แต่รอดพ้นไปได้ พวกนั้น  แต่นึกดีใจ ที่ได้เห็น

    มันเขาคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเจ้าของอาภรณ์ คงเกิดอะไรขึ้นที่ร้ายแรงกับเจ้าของอาภรณ์นี้สัก

    อย่างทางเหนือ ไม่เช่นนั้นอาภรณ์คงไม่หลุดออกจากร่างมาได้


    " อืม อาภรณ์ของมนุษย์ นี่ทำมาจากอะไรนะดูมันคงทนดีเหมือนกัน หลายปีแล้วไม่ได้ข่าวว่ามี

    มนุษย์ หลงเข้ามานอกจากพวกมนุษย์ ที่อยู่กับ ติอากอ  อาภรณ์ สิ่งนี้คงเป็นของมนุษย์ที่มาสิ้น

    ชีตะแถวนี้นานนับเป็นร้อยปีแล้ว แต่มันไม่เสื่อมสภาพเลย "


    โอ๊คคาระกล่าว ถึงแม้ผ้านั้นจะเปื้อนโคลนแต่โอ๊คคาระก็ยังมองออกว่าสิ่งนี้ ไม่ได้เก่าเท่าใดนัก  

    มัจเจ รู้สึกนึกโกรธปิเยหิรินร่างนั้น นัก ที่นำสิ่งนี้มา ทำให้เขาเกือบพลาด แต่ก็ได้เก็บอาการไว้

    เพราะรู้ว่ามันคงไม่มีเจตนา เพราะมีไม่กี่ร่าง ปิเยหิรินที่รู้ความลับเรื่องมนุษย์นี้


    " ท่านมีอะไรจะใช้เราอีกหรือ ตอนนี้พวกเรารู้สึกจะยังไม่พร้อมต่อการรับใช้ท่านทำการใด พวก

    เราได้รับบาดเจ็บ และเสียขวัญกันอย่างหนัก "


    หัวหน้าปิเยร่างเดิมที่มัจเจเคยได้ใช้ ให้นำกำลังไปสังหารพวกของปู่อินทร์ ถูกมัจเจบอกให้มา

    พบ มันรู้ดีว่าตอนนี้ มันหรือพวกของมันยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรทั้งนั้นเหตุการณ์ร้ายทำให้สภาพ

    ของพวกมันย่ำแย่



    " ที่จริงข้าก็ไม่อยากรีบใช้เจ้านักหรอกมันจำเป็น  เมื่อกี้ ข้าได้เห็นอาภรณ์ ของพวกนั้น มนุษย์

    ที่หายไปในการเผชิญหน้ากับพวกเจ้า  แสดงว่ามันยังอยู่ที่ใหนสักแห่งแถวนั้น สายน้ำที่ใหลลง

    มา มีไอของปิเยบิรูปนอยู่ แสดงว่าการหายตัวคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งถิ่นปิเยบิรูเป็นแน่แท้ "



    มัจเจ อธิบาย


    " แล้วท่านจะให้ข้าไปที่นั่นอีกเหรอ เราห่างจากที่นั่นมาเยอะแล้ว และก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นยังอยู่ที่

    นั่นหรือเปล่า อาจเดินทางไปที่ใหนอีกเราจะหาพวกนั้นพบเหรอ "


    ปิเยหิรินแย้ง แต่ก็มีเหตุผล


    " ดิโนสิคทีเรทซ่า เดินทางไปที่นั่นได้ในสามวัน จริงอย่างเจ้าว่า ถ้าพวกนั้นเดินทางอยู่ตลอดโดย

    ไม่หยุด เราคงตามพวกมันไม่ทัน " 


    มัจเจ ตอบ


    " แสดงว่าท่าน ล้มเลิกความคิดแล้วใช่ใหม "


    ปิเยหิริน รู้สึกดีใจ  


    " ฮ่า ๆ  ๆ ข้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น ปิเยอย่างมัจเจไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆหรอก "


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ณ การเดินทางของมนุษย์

    ปู่อินทร์และปิเยพิษทารี ยังคงนำกำลังทั้งหมด เดินทางลุยป่าสีน้ำเงินขึ้นเหนือไปเรื่อย

    พวกเขาไม่กังวลว่าจะมี จานประหลาดตามมาแล้ว พวกเขาคิดว่ามันคงวนเวียนเป็นไก่ตาแตกอยู่

    แถวบริเวรที่ฝนตกหนักนั้น เสียมากว่า หมาป่าสามารถวิ่งไปไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย   


    โอ...ปิเยบิรู นี่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ เมื่อก่อนเล็กกว่านี้มากตอนข้าอยู่ที่

    นี่ "


    ปิเยพิษทารี บอกกับปู่อินทร์  เขาคิดว่าถ้าเป็นแต่ก่อนป่านนี้คงพ้นป่าสีน้ำเงินนี้ไปนานแล้วถ้า

    เดินทางได้ไวแบบนี้ และที่จริงลึกๆ ปิเยพิษทารีก็แอบหวั่นๆเรื่องภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปมาก เขา

    อาจจะนำทางไปจุดหมายได้ลำบากขึ้น  และระหว่างที่อรัญและดุจปรายอยู่บนหลังหมาป่าใน

    ระยะที่คู่กันไป


    " ต้นไม้แถวนี้รู้สึกว่าต้นมันเตี้ยลงไปนะปราย รู้สึกว่าเราต้องก้มหลบบ่อยขี้นนะ "


    อรัญ กล่าวความรู้สึกกับ แฟนสาว  ดุจปรายก็รับรู้เช่นกัน กิ่งไม้สีน้ำเงิน ที่แต่ก่อนสามารถลอด

    มาได้อย่างสบาย แต่ตอนนี้ทั้งหัวของหมาป่าและร่างของคนที่อยู่บนหลังต้องคอยหลบกิ่งไม้ที่

    ไล่เลี่ยกับลำคอของหมาป่า ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไรต่อ เขาทั้งสองก็ได้รับสํญญาณ จากปู่

    อินทร์และปิเยพิษทารีให้หยุดขบวน   อรัญกระโดดลงจากหลังหมาป่าร่างยักษ์ และทันทีที่เขา

    ถึงพื้นเขากลับรับรู้ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้ เขาเซเเซ๊ดๆ ไปพักหนึ่งกว่าจะทรงตัวตรงได้


    " โอ๊...ทำไมหมาป่า เหมือนสูงขึ้น "


    อรัญกล่าวอย่างแปลกใจ เขาจำได้ว่าตอนขึ้นไปบนหลังของมันตอนแรกมันไม่ได้สูงขนาดนี้

    ทำให้เขาเสียหลักตอนที่ลงจากหลังมัน เพราะกะระยะความสูงผิด  และคิดได้ว่าต้นไม้สีน้ำเงิน

    คงไม่ได้ต่ำลงอย่างที่สงสัยแล้ว

     
    "  มารวมกันนี่เร็ว "


    เสียงปู่อินทร์กล่าวอย่างขึงขัง อรัญยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เพราะปู่อินทร์

    ทำเสียงเช่นนี้ อรัญก้าวไปรวมกับทุกคนที่ตอนนึ้ได้ลงจากหลังหมาป่าไปรวมกันก่อนหน้านี้แล้ว


    " มีอะไรเหรอปู่ "  


    อรัญ ถามอย่างสงสัย


    " อรัญ ดูนั่นสิ "


    เสียงดุจปรายกล่าว น้ำเสียงตื่นตระหนก อรัญหันกลับไปมองสิ่งที่แฟนสาวชี้ให้ดู ถึงทุกอย่างจะ

    เป็นสีน้ำเงินเหมือนเดิม แต่มีบางสิ่งเปลี่ยนไป  หมาป่าที่เขาพึ่งขี่มาเมื่อกี่นี้ ร่างของมันที่ยืนสี่ขา

    เมื่อกี้นี้ รู้สึกได้ว่ามันยกขาหน้าขึ้นสูง และรูปร่างของมันได้เปลี่ยนไปด้วย มันกำลังกลายร่าง

    อย่างช้าๆ  อรัญคิดได้ว่าการที่เขาก้าวลงมาสูงขึ้นกว่าตอนแรก เพราะร่างนี้กำลังเปลี่ยนแปลง

    ไปนี่เอง



    " มันกำลังกลายร่างเป็นคน เอ๊ยไม่ใช่ ยักษ์สิ มันตัวใหญ่มาก "


     แสงดาวกล่าวอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น  สิ่งที่ทุกคนเห็นตอนนี้คือร่างที่เป็นหมาป่าเมื่อสัก

    ครู่ที่พวกเขาขี่มา บัดนี้ได้กลายร่างเป็นคน ทำให้นึกถึงตอนนั้น ตอนที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ร่าง

    พวกมันก็เคยกลายเป็นคนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ร่างกายของพวกมันที่กลายเป็นคนนี้ใหญ่

    โตกว่าเมื่อตอนครั้งแรกมาก ตะหง่านประดุจยักษ์ปักหลั่น



    " หน้าตามันเหมือนพวกเรา  เราขี่ตัวใหนมาตัวนั้นก็จะหน้าตาเหมือนคนที่ขี่มาเลย "


    กานต์ กล่าวเขาสังเกตุหน้าตาร่างที่กลายเป็นคนนั้นชัดเจนแล้ว ความแปลกประหลาดอีกอย่าง

    ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  จริงอย่าง กานต์บอก ทุกคนเริ่มสังเกตหน้าตาของร่างยักษ์เหล่านั้น ทุก

    ร่างกลับมีหน้าตาที่เหมือนกับคนที่ขี่มันมาไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ร่างกายมันใหญ่กว่าเท่านั้นถ้ามี

    ขนาดร่างกายที่เท่ากัน ต้องคิดว่าเป็นฝาแฝดกันอย่างแน่นอน  


    " มันคงกลายร่าง ได้เหมือนที่หลอกเราเมื่อวานนี้ สัญชาติญาณการกลายร่างของมันคงยังมีอยู่

    เมื่อร่างเราอยู่บนหลังมันนานๆ มันจึงกลายร่างมาหน้าตาคล้ายพวกเราที่ขี่มันมา "


    ปู่อินทร์ตั้งข้อสงสัย


    " แล้วมันจะทำอะไรเราไม๊ปู่  ตัวมันใหญ่ขนาดนี้ ดูมือไม้ของมันสิใหญ่ยังกะใบตาลเเนะ ถ้ามัน

    ทุบเรานะ อุ๋ย ไม่อยากคิด "


    ดุจปลายกล่าว พร้อมย่นคอ อย่างเสียวสยอง  


    " ไม่รู้เหมือนกัน ดูพวกมันไปก่อน แต่มองพวกมันก็ไม่ได้เกี้ยวกราดอะไร  อยากมองโลกในแง่ดี

    และภาวนาขอให้มันเปลี่ยนไปเฉพาะร่างกายแต่ความรู้สึกให้มันยังดีอยู่กับเราเหมือนเดิม "


    ปู่อินทร์ตอบ ร่างยักษ์หน้าเหมือนมนุษย์นั้น ตัวมันเองก็คงเเปลกใจเหมือนกันว่ามีร่างกายที่

    เปลี่ยนไป มันมองดูมือ เหมือนจะคิดว่าสิ่งนี้มันยื่นออกมาได้ยังไง  และตัวหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา

     มันก้มลงคุกเข่า และก้มหน้าลง มันคงรู้ว่าทุกคนคง ระแวงหวาดกลัวพวกมัน โดยสังเกตจาก

    สีหน้าทุกคน การแสดงท่าท่างอย่างนี้ ทำให้ทุกคนคลายความหวาดระเเวงและกลัวไปได้มาก


    " เหมือนมันบอกว่า มันยังรับใช้เราเหมือนเดิมดู หน้าของมันสิ "


    อัครชัย กล่าว หน้าตา ของหมาป่าที่กลายร่างเป็นคนนี้ ทำให้เขาอ่านความรู้สึกจากสีหน้าได้  

    ทุกร่างเข้ามาด้วยอาการเช่นเดียวกันทั้งหมดมองหน้ากัน ชั่งใจดูกับอาการพวกมันที่อยู่ใน

    สายตาขณะนี้  



    "  คงจะเป็นอย่างที่ข้าภาวนาจริงๆ พวกนี้ยังคงดีกับพวกเราและรับคำสั่งเราเหมือนเดิม "


    ปู่อินทร์ กล่าวอย่างดีใจที่เห็นเหตุการณ์ที่ส่อว่าจะเป็นอย่างที่คิด


    " จงพาพวกเราไปต่อ "


    ปู่อินทร์ออกคำสั่งพร้อมชี้มือไปทางทิศเหนือเพื่อดูว่าร่างยักษณ์นี้จะทำเช่นไร ร่างนั้นพยักหน้า

    รับ และเอื้อมมือมาอุ้มร่างปู่อินทร์ขึ้นไป ปู่อินทร์ชี้มาที่ปิเยพิษทารี มันเข้าใจความหมายและ

    เอื้อมมืออีกข้างไปอุ้มปิเยพิษทารีไว้อีก และทุกตัวก็ทำตามเหมือนกัน ร่างเปลือยเปล่าของทุก

    คนบัดนี้อยู่ภายไต้อุ้งมือของร่างยักษ์แล้ว และมันก็เริ่มออกเดินไปทันที คราวนี้ร่างทุกคนอยู่สูง

    ขี้นไปเลยยอดไม้สีน้ำเงินอีก แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่เร็วเหมือนก่อนเพราะร่างยักษ์ต้องคอย

    หลบต้นไม้ที่อยู่เบื้องล่างไปด้วย ความสูงของร่างกายทำให้การเดินรู้สึกเกะกะไปหมด



    "  นั่นข้างหน้านั่นเป็นทุ่งโล่ง อีกไม่ไกลเราจะพ้นถิ่นปิเยบิรูแล้ว  "


    ปิเยพิษทารีตะโกนบอก เนื่องจากอยู่ที่สูง เขาจึงมองเห็นทัศนีย์ภาพเบื้องหน้าใกลๆได้   ห่างไป

    ข้างหน้าไม่ไกลเท่าใดนักสิ่งที่ประจักษ์กับสายตาทุกคน ทุ่งโล่งกว้าง ซึ่งแต่ก่อนก็มีต้นไม้

    ปกคลุม  อยู่ แต่เมื่อจุดนี้เป็นทางผ่านของมัจเจและพลพรรคของมัน ต้นไม้ได้ถูกทำลายไปจน

    หมดสิ้นทำให้มองเห็นเป็นทุ่งโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา



    " อนิจจานี่มัจเจมันทำถึงเพียงนี้เลยหรือ ปิเยที่นี่สิ้นหมด น่าสงสารปิเยแถวนี้เป็นปิเยที่เคลื่อนที่

    ได้ ถูกทำลายจนหมดสิ้น มันอัมหิตจริงๆ "


    ปิเยพิษทารีกล่าวอย่างรันทด  


    " ข้างหน้าเป็นทุ่งโล่งกว้างอย่างนี้ นี่ก็เย็นมากแล้วถ้าเรายังเดินทางต่อ คงไปมืดตรงที่โล่งนั่น

    แน่  เราพักผ่อนกันที่นี่อีกคืนไม๊ ท่านพิษทารี "


    ปู่อินทร์เสนอความเห็น เขาคำนวนว่าถ้าต้องพักผ่อนที่โล่งแจ้งเช่นที่เห็นข้างหน้า อาจไม่

    ปลอดภัยนัก  เพราะไม่มีการพรางตัว  จานบินนั้นอาจมาเห็นอีกก็ได้  


    " ดีเหมือนกันงั้นเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยให้ใกล้พ้น เราจะพักกันตรงนั้น ภายนอกมองเข้ามาคง

    ไม่เห็น  "


    ปิเยพิษทารีเห็นด้วย  ทุกร่างที่ถูกอุ้มอยู่ถูกวางลงกับพื้นเมื่อได้สัญญาณจากปู่อินทร์


    " เราจะพักกันที่นี่คืนนี้ ถึงตอนนี้ยังไม่ค่ำ ก็รอจนกว่าจะค่ำ เพราะถ้าเราไปต่ออาจไปค่ำที่โล่ง

    แจ้งที่ใหนสักเเห่งแน่  "


    ปู่อินทร์กล่าวพร้อมอธิบายเหตุผลของการพักตรงนี้  ร่างยักษ์ก็ได้รับสัญญาณให้นั่งลง  


    "  โอ้โห จะว่าทะลึ่งนะ ร่างใหญ่เปลือยพวกนี้ ดูแล้วไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแฮะ "


    อรัญสัพหยอก เขาอดพูดไม่ได้ เพราะร่างที่เหมือนเขาและคนอื่นนั้น มันใหญ่มากทุกส่วนของ

    ร่างกาย ซ้ำยังเหมือนทุกคนแบบไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนนอกจากขนาด แต่ร่างกายคงเต็มไปด้วยขน

    รุงรัง จึงทำให้มองไม่เห็นของสงวนมากนักพอจะ ทำให้ความรู้สึกกระดากอาย เรือนร่างของทุกคน

    หายไป


    "  พักผ่อนกันเหอะเราควรจะพักกันให้มากๆ พรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีก "


    ปู่อินทร์สั่งทุกคน หลังจากที่ทุกคนได้พักยังสถานที่ที่กำหนดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดตามความ

    เหมาะสม 


    " ที่โล่งแจ้งข้างหน้า เรียก มัสเยนิส เมื่อก่อนหน้านี้มีปิเยอยู่เต็มไปหมด และหลังจากที่พวก

    ของมัจเจมันผ่านไป ปิเยเหล่านั้นคงถูกทำลายไปมาก ถึงได้โล่งเตียนเช่นนี้ ปรกติถ้าเป็นปิเยที่

    อยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีพิษมีภัยและรู้จักกับข้าดี แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พวกเขาหนีหรือว่าสิ้นชีตะไป "


    ปิเยพิษทารี บอกกล่าวถึงสภาพและชื่อของสถานที่ ที่จะเดินทางต่อไปในวันพรุ่งนี้  เขารู้สึกสลด

    ใจอย่างมากที่การกลับมายังสถานที่แห่งเดิมที่ได้รู้จักแต่เก่าก่อน อีกครั้งและต้องพบกับความ

    ว่างเปล่า ร่องรอยการถูกทำลายมีให้เห็นได้ชัดเจน  ได้ฟังเช่นนั้น ปู่อินทร์ได้แสดงความเห็นขึ้น

      
    " อะไรคงไม่ร้ายเท่า ที่โล่งแจ้งลักษณะแบบนั้น ทำให้การเดินทางของเราสามารถถูกมองเห็น

    ได้ง่าย  ศัตรูที่หมายทำลายเรา คงจะใช้โอกาสเช่นนี้แน่ และร่างใหญ่ที่กลายจากหมาป่ามาเป็น

    ร่างคนแบบพวกเรา  ก็คงมีประโยชน์กับพวกเราน้อยกว่าที่มันยังเป็นหมาป่าเพราะเราก็เห็นมา

    แล้วว่าพวกมันช่วยให้เราเดินทางได้ช้ากว่า  ตอนที่ร่างของมันยังเป็นหมาป่า "


    ความเห็นของปู่อินทร์ทุกคน เห็นด้วยเพราะประจักษ์กับสายตามาแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่ได้มีความ

    เห็นอะไร ทั้งหมดจัดหาที่นอนกันตามสภาพ การนอนครั้งนี้ ทุกคนกับรู้สึกอุ่นใจกว่าครั้งก่อน

    อย่างมาก เพราะรู้สึกว่าร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่อยู่ด้วย น่าเกรงกลัวและหวาดระแวงน้อยกว่าตอน

    ที่พวกมันยังเป็นหมาป่าอยู่มาก  แต่ทว่าการนอนลงในครั้งนี้ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด ทุก

    คนกลับพบว่า ทันทีที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเวลากลางคืน ร่างยักษ์ทั้งหลาย กับเหมือนว่าจะพยายามส่ง

    สัญญาณอย่างหนึ่งให้พวกเขา  พวกเขาสังเกต ว่าพวกมันพยายามชี้มือไปทางทิศหนึ่งเหมือนจะ

    บอกให้พวกเขาทุกคนรู้ว่ามีอะไรอยู่ทางนั้น และร่างยักษ์ที่พากันนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ลุกยืน

    ขึ้นและมีท่าทางลูกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับชี้มือไปทางทิศเดิมซ้ำๆ



    " ท่าทางมันคงจะพยายามบอกพวกเราว่าจะมีอะไรมาทางทิศที่มันชี้มือบอก พวกนี้มันน่าจะมี

    สัมผัสที่รับรู้ได้ดีและรับรู้ได้ไกลกว่าพวกเรา  คงจะมีอะไรที่ไม่ดีมาทางทิศนั้นแน่ หรือว่าจะเป็น

    จานบินนั่น "


    อัครชัยแสดงความเห็น


    " อาจจะใช่ นะหมอ เพราะดูจากการชี้มือพวกยักษ์นั่น แล้วสิ่งที่มามันน่าจะมาจากที่สูงทางทิศ

    นั้น "


    การคาดการณ์ของอัครชัยเป็นเพียงข้อสงสัย อาการของร่างแปลงยักษ์ บ่งบอกได้ชัดว่าพวกมัน

    กระวนกระวายยิ่งนัก ทำให้ทุกคนเริ่มกังวลกับท่าทางที่แสดงออกของพวกมันไปด้วย ท้องฟ้า

    เริ่มมืดสลัว แสดงว่าเริ่มเข้าเวลากลางคืนแล้วแต่พื้นป่าสีน้ำเงินกลับแปรเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น

    เหมือนคืนก่อน



    " ดูพวกมันสิมันโบกมือขึ้นลง เหมือนทำสัญญาณให้พวกเรานั่งลง "


    เสียงดุจปรายกล่าว  และทุกคนได้เห็นสัญญาณมือนั้นและเข้าใจเหมือนที่ดุจปรายบอก  ทั้งหมด

    นั่งหมอบลงตามสัญญาณมือที่ได้รับทันที พวกเขารู้ดีว่าต้องมีอะไรมาแน่ไม่เช่นนั้น พวกร่าง

    แปลงยักษ์คงไม่ส่งสัญญาณเช่นนั้น และทันทีที่ก้มลงนั่ง หลายคนรู้สึกว่ามีลมอย่างหนึ่งวูบผ่าน

    เหนือศรีษะไปมันแรงพอสมควรจนทุกคนรู้สึกได้


     
    " ตัว อะไรนะมองไม่ทันมันเลยตัวมันใหญ่มากด้วย มันบินโฉบพวกเราดีนะที่เราก้มหลบกันทัน

    ไม่งั้นหัวพวกเราถูกโฉบไปแน่ "


    กานต์ กล่าวลั่น  


    " กานต์รู้ได้ยังไงว่ามันจะโฉบทำร้ายเรา มันอาจบังเอิญบินต่ำๆผ่านหัวเราไปก็ได้ "


    จามิกร กล่าว เธอเองแม้จะรู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งบินผ่านหัวไป แต่ก็ไม่สามารถ สรุปตาม คำพูด แฟน

    หนุ่มได้  กานต์เงยหน้าขึ้นหลังจากที่เขาก้มลงและกล่าวเมื่อสักครู่นี้เเละทุกคนก็สังเกตุเห็นเขา

    เอื้อมมือไปคลำที่ท้ายทอย  


    " นี่ไงหล่ะหลักฐาน สัตว์ที่บินเมื่อกี้มันมีกรงเล็บที่แหลมคมด้วย มันพยายามจะจับหัวผมด้วย

    พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงก้มหลบพอดี  เนี๊ยปลายเล็บมันยังกรีดเข้าหนังหัวผมเลย "


    กานต์ตอบ


    " มันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่หมายชีวิตพวกเราแน่ ระวังตัวกันหน่อย มันจะต้องย้อนกลับมาแน่"


    ปู่อินทร์ กล่าวเตือนอย่างตระหนก เขาเองก็มองสิ่งนั้นไม่ทันเช่นกัน มันเร็วมากแค่ลมผ่านไปยัง

    ไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นดู สิ่งนั้นก็แวบหายไปในความมืดแล้ว  ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทำอะไรกันต่อ

    มนุษย์แปลงร่างยักษ์ เริ่มส่งสัญญาณให้เงียบและหมอบลงอีกครั้ง  ครานี้ทุกคนรู้ว่าเตรียมพร้อม

    กว่าครั้งแรก ทุกร่างหมอบราบลงกับพื้นทันที ความนิ่งสงบของทุกคนทำให้ทุกอย่างเงียบกริบ

    มันเงียบพอที่จะทำให้ได้ยินเสียงกระพือปีกของอะไรสักอย่างหนึ่ง  ปู่อินทร์มองหน้าอัครชัย

    เสียงนี้รู้สึกคุ้นหูเพราะเคยได้ยินมาแล้ว เขาพอจะรู้ว่าเป็นเสียงอะไร อัครชัยก็เช่นกัน แต่ทั้งคู่ก็

    ไม่ได้กล่าวอะไรเพราะไม่ต้องการให้มีเสียง


    "
       พรึ๊บๆๆๆๆ  "


    เสียง คุ้นหูดังใกล้เข้ามาในความเงียบ    


    " ตุ๊บ "


    เสียงเหมือนมีอะไรอย่างหนึ่งกระทบ กัน ดังพอสมควร ถึงทุกคนจะก้มอยู่กับพื้นแต่ก็ยังพยายาม

    ส่ายตา มองไปทั่ว และมองเห็นว่าเสียงนั้นคือเสียงที่มนุษย์ยักษ์นั้น ประเคนกำปั้นเข้ากับร่าง

    อะไรอย่างหนึ่งที่บินเข้ามาใกล้ และสิ่งนั้นก็เสียหลักกระเด็นหวือ เข้ามาหล่นใกล้ๆกับร่างของ

    ทุกคนที่ที่นอนอยู่กับพื้น


    " ค้างคาว พวกนั้น ค้างคาวดูดเลือด "


    จามิกร กล่าวขึ้นเธอ อยู่ใกล้สิ่งที่เสียหลักร่วงลงมามากที่สุด จนเห็นได้ชัดเจน ร่างใหญ่ที่เสีย

    หลักเพราะถูกกำปั้นของมนุษยักษ์ทุบอย่างเเรง  มันเสียหลักก็จริงแต่ไม่ถึงกับแน่นิ่งไป มัน

    พยายามพยุงร่างขึ้นบินอีกครั้งอย่างทุลักทุเล ร่างมนุษย์แปลงยักษ์พยายามปรี่เข้ามาหมายจะซ้ำ

    แต่ช้าไป มันทรงร่างและขึ้นบินหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด


    " โอ ค้างคาวพวกนี้มันโจมตีเรา แสดงว่ามันอาจตามเราอยู่ "


    แสงดาวแสดงความเห็น หลังจากที่เหตุการณ์สงบลง


    " ใช่แล้ว  พอเวลากลางคืน ค้างคาวมันจะออกล่าเหยื่อ ดีนะที่เรามีร่างแปลงยักษ์พวกนี้อยู่ด้วย

    ไม่งั้นเราคงสู้พวกมันได้ยาก ข้าได้ยินเสียงกระพือปีกครั้งนี้ บอกได้เลยว่าพวกมันไม่ได้มีแค่ตัว

    เดียวด้วย เสียงกระพือปีกดังทั่วไปหมดเหมือนตอนนั้นพวกเราจะถูกล้อมไว้ แต่เสียงนั้นหายไป

    ตอนที่ตัวหนึ่งของมันโดนมนุษย์ยักษ์ของเราโจมตี "


    ปู่อินทร์กล่าวเขาได้ยินเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ยังไม่สบโอกาสที่จะบอกกับทุกคน  


    " เอ ทำไมในเมื่อค้างคาวมันก็เป็นสัตว์ที่มองเห็นในความมืดได้ชัดเจน แต่ทำไมมันบิน

    ทะเล่อทะล่ามาให้ถูกทุบได้ ร่างพวกนั้นก็ออกจะใหญ่โตทำไมเหมือนมันมองไม่เห็น "


    จามิกรกล่าวอย่างแปลกใจ ตามที่เธอเรียนมา และเป็นนักศึกษาค้นคว้า ทฤษฏีเกี่ยวกับค้างคาว

    เธอยังจำได้ดี  อัครชัยได้ฟังเธอวิเคราะห์ก็สงสัยเช่นกัน พอมองหาเหตุผล และอุปนิสัยการหา

    อาหารของค้างคาว เขาจึงเห็นต่าง



    " ค้างคาวปรกติมันหาอาหารไม่ใช่ด้วยการแค่มองเห็นเหยื่อเพียงอย่างเดียว มันหาอาหารโดย

    สะท้อนคลื่นความร้อนในร่างกายของเหยื่อมันด้วย เป็นไปได้อย่างมากว่าร่างยักษ์พวกนั้นไม่มี

    ความร้อนหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะเป็นร่างไม่มีเลือดเนื้ออย่างเราเรา "  


    " ใช่แล้วหมอสันนิฐานถูกแล้ว "


    ปู่อินทร์ กล่าวสนับสนุน


    " มันคงไม่สะท้อนความร้อนจากร่างยักษ์พวกนั้น จึงไม่รู้และไม่ได้สงสัยว่าจะมีอะไรจ้องทำร้าย

    มันอยู่และหลังจากที่มันเจออะไรที่มันไม่รู้ทำร้ายมัน มันคงตกใจและสับสนพอสมควร และพวก

    มันทั้งหมดคงขวัญเสียที่เกิดเหตุการณ์ ไม่คาดฝันเช่นนี้ และนั่นก็คงเป็นผลดีกับพวกเรา คิดว่า

    พวกค้างคาวคงจะไม่กลับมาคุกคามพวกเราอีกภายในคืนนี้ "



    " แสดงว่าคืนนี้เราก็น่าจะปลอดภัยสิคะ "  


    ดุจปรายถามความเห็น


     "คงใช่อย่างที่บอกถึงมันอยากจะกินเลือดพวกเรา แต่มันก็คงรักชีวิตตัวเองมากกว่า  แต่เรา

    ก็อย่าพึ่งนิ่งนอนใจ อย่างน้อยก็น่าจะมีพวกเราช่วยกันผลัดเข้าเวรผลัดละคนก็ยังดี ป้องกันไว้"


    ปู่อินทร์ตอบพร้อมสั่งกำชับ  ทั้งหมดล้มตัวลงนอนอีกครั้ง และปู่อินทร์อาสาที่เจ้าเฝ้ายามร่วมกับ

    มนุษย์แปลงยักษ์ เป็นคนเเรก  รู้สึกเหมือนเหตุการณ์จะเงียบสงบอีกครั้ง ได้เวลาปู่อินทร์ก็ได้

    เรียก อัครชัยซึ่งเป็นยามผลัดต่อไป ทุกคนต้องช่วยกันเข้ายามคนละแค่สองชั่วโมงเข้ายามแค่

    ผลัดละหนึ่งคนเท่านั้น จนกระทั่ง หลายชั่วโมงและสี่ห้าคนก็ถูกสับเปลี่ยนกันจนถึง อรัญเป็นคน

    ที่ถูกเรียกเพื่อเปลี่ยนผลัดการเฝ้ายาม และทันทีที่ถูกเรียกให้ตื่นเขาได้พูดคุยกับจามิกร


    " มนุษย์แปลงพวกนั้นไปทางใหนเหรอคุณจา ไม่เห็นยืนเด่นเหมือนตอนที่ก่อนผมจะหลับเลย"


    " อ๋อ เมื่อสักชั่วโมงมานี่เห็นพวกเขาทรุดตัวลงอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ๆนั่นไง ตะคุ่มตะคุ่ม นั่่น

    แหละ "


    จามิกร ตอบพลางชี้มือไปที่จุดหมายที่บอก อรัญมองตามมือเธอไปและได้มองเห็นเงาตะคุ่ม

    จริงๆ แม้จะมองไม่เห็นชัดแต่ก็พอมองออกว่ามีสิ่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น  


    " อ๋อ เห็นแล้ว พวกมันเอ๊ย พวกเขา คงเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไรให้ต้องระวังแล้วมั้ง ถึงได้ลงนั่ง

    คุณจาไปนอนเหอะครับ เดี๋ยวเจ้ากานต์จะได้นอนฝันดีก่อนที่จะสว่างเพราะได้ไออุ่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า "


    อรัญหัวเราะร่วนที่ได้แซว หญิงสาว ความขี้เล่นของเขาไม่จำกัดเวลา แสงดาวก็หัวเราะพร้อม

    ยิ้มเขิน เธอไม่ได้พูดอะไรต่อได้แต่พยักหน้า พร้อมเดินแยกไปที่คนรักของเธอนอนอยู่  อรัญรู้ว่า

    ใกล้สว่างเต็มทีแล้ว เขากะจะเข้ายามจนสว่าง ไม่คิดที่จะปลุกแฟนสาวเพื่อมาผลัดเปลี่ยนกัน

    จริงอย่างเข้าคิด อรัญเข้ายามได้สองชั่วโมงกว่าๆนิดหน่อยฟ้าก็เริ่มสาง และพอที่จะมองเห็น

    ทัศนียภาพได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ  อรัญเริ่มกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นว่าเริ่มมองเห็นอะไรบ้างแล้ว

    และทันใดนั้น สายตาเขาก็ไปสะดุดกับสิ่งหนึ่ง เขาจ้องเขม็ง และมองออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขา

    ผลุนผลันขยับตัวเข้าไปปลุกคนที่อยู่ใกล้ๆเขาในทัน


    " หมอๆ ดูนั่นสิ "


    เขาเขย่าร่างของ อัครชัยเป็นคนเเรก  อัครชัยงัวเงีย เขาสะดุ้งตื่นจึงมีอาการยังไม่ปรกติ แต่ก็ตื่น

    ตัวได้ทันทีเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรแน่ ไม่เช่นนั้น อรัญคงไม่เร่งปลุกเขาอย่างนี้


    " มีอะไรเหรออรัญ  "


    อัครชัยระร่ำระลักถาม อรัญกล่าวตอบทันที


    " ตรงนั้น หมาป่าพวกนั้น "  


    " ทำไมเหรออรัญหมาป่าพวกนั้น มีอะไรแปลกไปเหรอ "


    อัครชัยถามอย่างงงงง


    " เมื่อวานพวกมันกลายร่างเป็นคนไปแล้วนะ แล้วตอนนี้พวกมันกลับมาเป็นหมาป่าอีกแล้ว ไม่

    แปลกเหรอ "



    คำตอบของอรัญทำให้ อัครชัยฉุกคิดขึ้นมาได้


    " เออ จริงด้วยสิ ตอนหัวค่ำพวกนี้ยังเป็นคนอยู่เลย นี่พวกมันกลายร่างอีกครั้งแล้วเหรอ "


    อัครชัยกล่าวอย่างฉงนยิ่งนัก ทุกคนถูกทั้งสองปลุกขี้นมา ทั้งหมดพากันแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


    " โอประหลาดมาก กลายร่างไปกลายร่างมา "


    จามิกรกล่าวอย่างตื่นเต้น ทุกคนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเธอ


    "  นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เบื้องหน้าที่เราจะต้องเดินทางกันในเช้านี้เราต้องการพาหนะที่

    รวดเร็ว ที่จะพาพวกเราผ่านทุ่งโล่งแจ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ พวกมัน

    กลายร่างเป็นแบบนี้ดีที่สุด เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลดีกับพวกเรา "


    ปิเยพิษทารี กล่าว จริงอย่างที่สุดการเปลี่ยนร่างกลับกลายไปเป็นหมาป่าถือว่าเป็นผลดีกับขบวน

    ของพวกเขาที่จะเดินทางในภูมิประเทศเบื้องหน้า หนำซ้ำพวกเขายังไม่ต้องเสียแรงในการเดิน

    ทางอีก เพราะอาศัยร่างหมาป่าเป็นพาหนะขี่ไป เหมือนที่เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง



    " ไป ใหนใหนก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว พวกเราควรเริ่มออกเดินทางกันเลยละกัน "


    ปู่อินทร์สรุป ทุกคนเห็นด้วย ที่ปู่อินทร์เร่งเช่นนี้ลึกๆ เขาเกรงว่าพวกหมาป่าจะกลับร่างไปเป็นคน

    อีก ยิ่งเร่งเดินทางเท่าไร ถึงพวกหมาป่าจะกลายร่างเป็นคนอีกพวกเขาก็คงเดินทางไปได้ไกล

    แล้ว สัมภาระถูกจัดเก็บอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวหมาป่าร่างยักษ์ที่มีมนุษย์อยู่บนหลังก็ออกเดินทาง

    หลังพ้นแนวป่าสีน้ำเงินออกมาแล้ว หมาป่าร่างยักษ์ก็ได้พาพวกเขาทั้งหมดออกวิ่งอย่างรวดเร็ว

    คราวนี้ ที่โล่งไม่มีอะไรกีดขวางมากนัก พวกมันวิ่งเร็วประดุจลมพัด พวกเขาที่อยู่บนหลังพวกมัน

    กอดบ่าหมาป่าไว้แน่น ไม่คิดว่าพวกมันจะสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนี้ หลายครั้งทางสูงต่ำพวกเขา

    รู้สึกมันเร็วเหมือนพวกเขานั่งรถไฟเหาะเลย  แค่ชั่วโมงเดียวพวกเขารู้สึกได้ว่าพวกมันวิ่งมาได้

    ระยะทางเกินร้อยกิโลเมตรแล้ว  



    " ฟิ๊ว"


    ระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลินอยู่กับการเดินทางที่รวดเร็วนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

     
    " ฉึก "


    เสียงวัตถุอย่างหนึ่งเสียดสีมาในอากาศ และพุ่งตรงเข้าปักแผงลำคอหมาป่าร่างยักษ์อย่าง

    รุนแรง ปิเยพิษทารี กับปู่อินทร์ที่อาศัยอยู่บนสุนัขตัวนั้นตกใจยิ่งนักกับสิ่งที่ไม่คาดฝันทีี่เกิดขึ้น และทันที

    ที่เห็นสิ่งที่ปักอยู่ชัดเจน ทั้งสองก็จำมันได้


    " ลูกธนู  "


    ปู่อินทร์อุทาน




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×