ลำดับตอนที่ #45
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : ทุ่งล่าสังหาร
" เราพลาดเอง มัจเจ เราห่วงแต่การทำลายอย่างเดียว ไม่นึกว่าผลที่เกิดขึ้น จะรุนแรงได้ถึง
เพียงนี้และพวกเราเองก็ได้รับผลนั้น เป็นบทเรียนว่าเราไม่ควรประมาทกับธรรมชาติ ข้ามองไม่
เห็น พลพรรคเจ้าเลยตอนนี้ ทำให้ข้าวังเวงชอบกล เจ้ามั่นใจหรือ ว่ามันจะกลับมาได้ทุกร่าง "
เป็นครั้งแรก ที่มัจเจ ได้ยินโอ๊คคาระกล่าวอย่างสำนึกผิด
" ไม่ต้องห่วงเลย น้ำ ทำอะไรพลพรรคปิเยของข้าไม่ได้หรอก แต่แรงของมันคงทำให้พัดไปไกล ซักพักใหญ่คง
จะได้กลับมา ปิเยข้าว่าต่อไปนี้ เราควรจะเลิกทำลายปิเยตลอดทางที่ปิเยเราผ่านก่อนและ
เร่งเดินทางเพียงอย่างเดียวอย่างน้อยคงไม่ต้องคอยมาระวังหลังอีกว่าน้ำมันจะมาอย่างนี้อีก "
มัจเจกล่าว
" ปิเยข้าเห็นด้วย "
โอ๊คคาระ กล่าวตอบสั้นๆไม่อยากที่จะพูดอะไรต่อได้อีก ไม่นานมัจเจก็ได้เห็น พลพรรคของ
มันเริ่มทยอยกลับมา ทุกร่างมอมแมม ไม่เหลือเค้ารางของ นักรบที่แกร่งกล้า มัจเจเห็นแล้วเขา
รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก และปิเยหิรินร่างหนึ่งที่กลับก็ทำให้ มัจเจและโอ๊คคาระแปลกใจ เมื่อปิเยร่าง
นี้ ได้ถือสิ่งหนึ่งกลับมาด้วย
มันเริ่มทยอยกลับมา ทุกร่างมอมแมม ไม่เหลือเค้ารางของ นักรบที่แกร่งกล้า มัจเจเห็นแล้วเขา
รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก และปิเยหิรินร่างหนึ่งที่กลับก็ทำให้ มัจเจและโอ๊คคาระแปลกใจ เมื่อปิเยร่าง
นี้ ได้ถือสิ่งหนึ่งกลับมาด้วย
" อะไรหรือมัจเจ เหมือน.."
เนื่องจากสิ่งนั้นเปื้อนจะมองแทบจะมองไม่ออกว่ามันเป็นสิ่งใด และโอ๊คคาระก็ไม่ผ่านตาสิ่งนี้มา
ก่อน แต่ก็คลับคล้ายคลับครา แต่มัจเจเองเมื่อเห็นสิ่งนั้นใกล้ๆ เขาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย แต่
แสร้งทำนิ่งไว้ เกรงโอ๊คคาระจะจับอาการพิรุธของเขาได้
ก่อน แต่ก็คลับคล้ายคลับครา แต่มัจเจเองเมื่อเห็นสิ่งนั้นใกล้ๆ เขาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย แต่
แสร้งทำนิ่งไว้ เกรงโอ๊คคาระจะจับอาการพิรุธของเขาได้
" มันคือเครื่องนุ่ง ชิ้นหนึ่งของมนุษย์ โลกน่ะท่าน คงมีบางคนหลงเข้ามาแล้วสิ้นชีตะในถิ่นแถบ
นี้ น้ำคงพัดมันมา "
นี้ น้ำคงพัดมันมา "
มัจเจตอบ เขาพยายามทำให้ดูเหมือนเป็นปรกติ แต่ในใจเขารุ้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าอาภรณ์ชิ้นนี้คง
เป็นของพวกมนุษย์โลก ที่เขาได้พยายามสังหาร แต่รอดพ้นไปได้ พวกนั้น แต่นึกดีใจ ที่ได้เห็น
มันเขาคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเจ้าของอาภรณ์ คงเกิดอะไรขึ้นที่ร้ายแรงกับเจ้าของอาภรณ์นี้สัก
อย่างทางเหนือ ไม่เช่นนั้นอาภรณ์คงไม่หลุดออกจากร่างมาได้
เป็นของพวกมนุษย์โลก ที่เขาได้พยายามสังหาร แต่รอดพ้นไปได้ พวกนั้น แต่นึกดีใจ ที่ได้เห็น
มันเขาคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเจ้าของอาภรณ์ คงเกิดอะไรขึ้นที่ร้ายแรงกับเจ้าของอาภรณ์นี้สัก
อย่างทางเหนือ ไม่เช่นนั้นอาภรณ์คงไม่หลุดออกจากร่างมาได้
" อืม อาภรณ์ของมนุษย์ นี่ทำมาจากอะไรนะดูมันคงทนดีเหมือนกัน หลายปีแล้วไม่ได้ข่าวว่ามี
มนุษย์ หลงเข้ามานอกจากพวกมนุษย์ ที่อยู่กับ ติอากอ อาภรณ์ สิ่งนี้คงเป็นของมนุษย์ที่มาสิ้น
ชีตะแถวนี้นานนับเป็นร้อยปีแล้ว แต่มันไม่เสื่อมสภาพเลย "
มนุษย์ หลงเข้ามานอกจากพวกมนุษย์ ที่อยู่กับ ติอากอ อาภรณ์ สิ่งนี้คงเป็นของมนุษย์ที่มาสิ้น
ชีตะแถวนี้นานนับเป็นร้อยปีแล้ว แต่มันไม่เสื่อมสภาพเลย "
โอ๊คคาระกล่าว ถึงแม้ผ้านั้นจะเปื้อนโคลนแต่โอ๊คคาระก็ยังมองออกว่าสิ่งนี้ ไม่ได้เก่าเท่าใดนัก
มัจเจ รู้สึกนึกโกรธปิเยหิรินร่างนั้น นัก ที่นำสิ่งนี้มา ทำให้เขาเกือบพลาด แต่ก็ได้เก็บอาการไว้
เพราะรู้ว่ามันคงไม่มีเจตนา เพราะมีไม่กี่ร่าง ปิเยหิรินที่รู้ความลับเรื่องมนุษย์นี้
มัจเจ รู้สึกนึกโกรธปิเยหิรินร่างนั้น นัก ที่นำสิ่งนี้มา ทำให้เขาเกือบพลาด แต่ก็ได้เก็บอาการไว้
เพราะรู้ว่ามันคงไม่มีเจตนา เพราะมีไม่กี่ร่าง ปิเยหิรินที่รู้ความลับเรื่องมนุษย์นี้
" ท่านมีอะไรจะใช้เราอีกหรือ ตอนนี้พวกเรารู้สึกจะยังไม่พร้อมต่อการรับใช้ท่านทำการใด พวก
เราได้รับบาดเจ็บ และเสียขวัญกันอย่างหนัก "
เราได้รับบาดเจ็บ และเสียขวัญกันอย่างหนัก "
หัวหน้าปิเยร่างเดิมที่มัจเจเคยได้ใช้ ให้นำกำลังไปสังหารพวกของปู่อินทร์ ถูกมัจเจบอกให้มา
พบ มันรู้ดีว่าตอนนี้ มันหรือพวกของมันยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรทั้งนั้นเหตุการณ์ร้ายทำให้สภาพ
ของพวกมันย่ำแย่
พบ มันรู้ดีว่าตอนนี้ มันหรือพวกของมันยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรทั้งนั้นเหตุการณ์ร้ายทำให้สภาพ
ของพวกมันย่ำแย่
" ที่จริงข้าก็ไม่อยากรีบใช้เจ้านักหรอกมันจำเป็น เมื่อกี้ ข้าได้เห็นอาภรณ์ ของพวกนั้น มนุษย์
ที่หายไปในการเผชิญหน้ากับพวกเจ้า แสดงว่ามันยังอยู่ที่ใหนสักแห่งแถวนั้น สายน้ำที่ใหลลง
มา มีไอของปิเยบิรูปนอยู่ แสดงว่าการหายตัวคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งถิ่นปิเยบิรูเป็นแน่แท้ "
ที่หายไปในการเผชิญหน้ากับพวกเจ้า แสดงว่ามันยังอยู่ที่ใหนสักแห่งแถวนั้น สายน้ำที่ใหลลง
มา มีไอของปิเยบิรูปนอยู่ แสดงว่าการหายตัวคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งถิ่นปิเยบิรูเป็นแน่แท้ "
มัจเจ อธิบาย
" แล้วท่านจะให้ข้าไปที่นั่นอีกเหรอ เราห่างจากที่นั่นมาเยอะแล้ว และก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นยังอยู่ที่
นั่นหรือเปล่า อาจเดินทางไปที่ใหนอีกเราจะหาพวกนั้นพบเหรอ "
นั่นหรือเปล่า อาจเดินทางไปที่ใหนอีกเราจะหาพวกนั้นพบเหรอ "
ปิเยหิรินแย้ง แต่ก็มีเหตุผล
" ดิโนสิคทีเรทซ่า เดินทางไปที่นั่นได้ในสามวัน จริงอย่างเจ้าว่า ถ้าพวกนั้นเดินทางอยู่ตลอดโดย
ไม่หยุด เราคงตามพวกมันไม่ทัน "
ไม่หยุด เราคงตามพวกมันไม่ทัน "
มัจเจ ตอบ
" แสดงว่าท่าน ล้มเลิกความคิดแล้วใช่ใหม "
ปิเยหิริน รู้สึกดีใจ
" ฮ่า ๆ ๆ ข้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น ปิเยอย่างมัจเจไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆหรอก "
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ณ การเดินทางของมนุษย์
ปู่อินทร์และปิเยพิษทารี ยังคงนำกำลังทั้งหมด เดินทางลุยป่าสีน้ำเงินขึ้นเหนือไปเรื่อย
พวกเขาไม่กังวลว่าจะมี จานประหลาดตามมาแล้ว พวกเขาคิดว่ามันคงวนเวียนเป็นไก่ตาแตกอยู่
แถวบริเวรที่ฝนตกหนักนั้น เสียมากว่า หมาป่าสามารถวิ่งไปไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย
ปู่อินทร์และปิเยพิษทารี ยังคงนำกำลังทั้งหมด เดินทางลุยป่าสีน้ำเงินขึ้นเหนือไปเรื่อย
พวกเขาไม่กังวลว่าจะมี จานประหลาดตามมาแล้ว พวกเขาคิดว่ามันคงวนเวียนเป็นไก่ตาแตกอยู่
แถวบริเวรที่ฝนตกหนักนั้น เสียมากว่า หมาป่าสามารถวิ่งไปไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย
" โอ...ปิเยบิรู นี่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ เมื่อก่อนเล็กกว่านี้มากตอนข้าอยู่ที่
นี่ "
ปิเยพิษทารี บอกกับปู่อินทร์ เขาคิดว่าถ้าเป็นแต่ก่อนป่านนี้คงพ้นป่าสีน้ำเงินนี้ไปนานแล้วถ้า
เดินทางได้ไวแบบนี้ และที่จริงลึกๆ ปิเยพิษทารีก็แอบหวั่นๆเรื่องภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปมาก เขา
อาจจะนำทางไปจุดหมายได้ลำบากขึ้น และระหว่างที่อรัญและดุจปรายอยู่บนหลังหมาป่าใน
ระยะที่คู่กันไป
เดินทางได้ไวแบบนี้ และที่จริงลึกๆ ปิเยพิษทารีก็แอบหวั่นๆเรื่องภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปมาก เขา
อาจจะนำทางไปจุดหมายได้ลำบากขึ้น และระหว่างที่อรัญและดุจปรายอยู่บนหลังหมาป่าใน
ระยะที่คู่กันไป
" ต้นไม้แถวนี้รู้สึกว่าต้นมันเตี้ยลงไปนะปราย รู้สึกว่าเราต้องก้มหลบบ่อยขี้นนะ "
อรัญ กล่าวความรู้สึกกับ แฟนสาว ดุจปรายก็รับรู้เช่นกัน กิ่งไม้สีน้ำเงิน ที่แต่ก่อนสามารถลอด
มาได้อย่างสบาย แต่ตอนนี้ทั้งหัวของหมาป่าและร่างของคนที่อยู่บนหลังต้องคอยหลบกิ่งไม้ที่
ไล่เลี่ยกับลำคอของหมาป่า ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไรต่อ เขาทั้งสองก็ได้รับสํญญาณ จากปู่
อินทร์และปิเยพิษทารีให้หยุดขบวน อรัญกระโดดลงจากหลังหมาป่าร่างยักษ์ และทันทีที่เขา
ถึงพื้นเขากลับรับรู้ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้ เขาเซเเซ๊ดๆ ไปพักหนึ่งกว่าจะทรงตัวตรงได้
มาได้อย่างสบาย แต่ตอนนี้ทั้งหัวของหมาป่าและร่างของคนที่อยู่บนหลังต้องคอยหลบกิ่งไม้ที่
ไล่เลี่ยกับลำคอของหมาป่า ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไรต่อ เขาทั้งสองก็ได้รับสํญญาณ จากปู่
อินทร์และปิเยพิษทารีให้หยุดขบวน อรัญกระโดดลงจากหลังหมาป่าร่างยักษ์ และทันทีที่เขา
ถึงพื้นเขากลับรับรู้ความรู้สึกอย่างหนึ่งได้ เขาเซเเซ๊ดๆ ไปพักหนึ่งกว่าจะทรงตัวตรงได้
" โอ๊...ทำไมหมาป่า เหมือนสูงขึ้น "
อรัญกล่าวอย่างแปลกใจ เขาจำได้ว่าตอนขึ้นไปบนหลังของมันตอนแรกมันไม่ได้สูงขนาดนี้
ทำให้เขาเสียหลักตอนที่ลงจากหลังมัน เพราะกะระยะความสูงผิด และคิดได้ว่าต้นไม้สีน้ำเงิน
คงไม่ได้ต่ำลงอย่างที่สงสัยแล้ว
ทำให้เขาเสียหลักตอนที่ลงจากหลังมัน เพราะกะระยะความสูงผิด และคิดได้ว่าต้นไม้สีน้ำเงิน
คงไม่ได้ต่ำลงอย่างที่สงสัยแล้ว
" มารวมกันนี่เร็ว "
เสียงปู่อินทร์กล่าวอย่างขึงขัง อรัญยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เพราะปู่อินทร์
ทำเสียงเช่นนี้ อรัญก้าวไปรวมกับทุกคนที่ตอนนึ้ได้ลงจากหลังหมาป่าไปรวมกันก่อนหน้านี้แล้ว
ทำเสียงเช่นนี้ อรัญก้าวไปรวมกับทุกคนที่ตอนนึ้ได้ลงจากหลังหมาป่าไปรวมกันก่อนหน้านี้แล้ว
" มีอะไรเหรอปู่ "
อรัญ ถามอย่างสงสัย
" อรัญ ดูนั่นสิ "
เสียงดุจปรายกล่าว น้ำเสียงตื่นตระหนก อรัญหันกลับไปมองสิ่งที่แฟนสาวชี้ให้ดู ถึงทุกอย่างจะ
เป็นสีน้ำเงินเหมือนเดิม แต่มีบางสิ่งเปลี่ยนไป หมาป่าที่เขาพึ่งขี่มาเมื่อกี่นี้ ร่างของมันที่ยืนสี่ขา
เมื่อกี้นี้ รู้สึกได้ว่ามันยกขาหน้าขึ้นสูง และรูปร่างของมันได้เปลี่ยนไปด้วย มันกำลังกลายร่าง
อย่างช้าๆ อรัญคิดได้ว่าการที่เขาก้าวลงมาสูงขึ้นกว่าตอนแรก เพราะร่างนี้กำลังเปลี่ยนแปลง
ไปนี่เอง
เป็นสีน้ำเงินเหมือนเดิม แต่มีบางสิ่งเปลี่ยนไป หมาป่าที่เขาพึ่งขี่มาเมื่อกี่นี้ ร่างของมันที่ยืนสี่ขา
เมื่อกี้นี้ รู้สึกได้ว่ามันยกขาหน้าขึ้นสูง และรูปร่างของมันได้เปลี่ยนไปด้วย มันกำลังกลายร่าง
อย่างช้าๆ อรัญคิดได้ว่าการที่เขาก้าวลงมาสูงขึ้นกว่าตอนแรก เพราะร่างนี้กำลังเปลี่ยนแปลง
ไปนี่เอง
" มันกำลังกลายร่างเป็นคน เอ๊ยไม่ใช่ ยักษ์สิ มันตัวใหญ่มาก "
แสงดาวกล่าวอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่ทุกคนเห็นตอนนี้คือร่างที่เป็นหมาป่าเมื่อสัก
ครู่ที่พวกเขาขี่มา บัดนี้ได้กลายร่างเป็นคน ทำให้นึกถึงตอนนั้น ตอนที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ร่าง
พวกมันก็เคยกลายเป็นคนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ร่างกายของพวกมันที่กลายเป็นคนนี้ใหญ่
โตกว่าเมื่อตอนครั้งแรกมาก ตะหง่านประดุจยักษ์ปักหลั่น
ครู่ที่พวกเขาขี่มา บัดนี้ได้กลายร่างเป็นคน ทำให้นึกถึงตอนนั้น ตอนที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ร่าง
พวกมันก็เคยกลายเป็นคนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ร่างกายของพวกมันที่กลายเป็นคนนี้ใหญ่
โตกว่าเมื่อตอนครั้งแรกมาก ตะหง่านประดุจยักษ์ปักหลั่น
" หน้าตามันเหมือนพวกเรา เราขี่ตัวใหนมาตัวนั้นก็จะหน้าตาเหมือนคนที่ขี่มาเลย "
กานต์ กล่าวเขาสังเกตุหน้าตาร่างที่กลายเป็นคนนั้นชัดเจนแล้ว ความแปลกประหลาดอีกอย่าง
ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จริงอย่าง กานต์บอก ทุกคนเริ่มสังเกตหน้าตาของร่างยักษ์เหล่านั้น ทุก
ร่างกลับมีหน้าตาที่เหมือนกับคนที่ขี่มันมาไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ร่างกายมันใหญ่กว่าเท่านั้นถ้ามี
ขนาดร่างกายที่เท่ากัน ต้องคิดว่าเป็นฝาแฝดกันอย่างแน่นอน
ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จริงอย่าง กานต์บอก ทุกคนเริ่มสังเกตหน้าตาของร่างยักษ์เหล่านั้น ทุก
ร่างกลับมีหน้าตาที่เหมือนกับคนที่ขี่มันมาไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ร่างกายมันใหญ่กว่าเท่านั้นถ้ามี
ขนาดร่างกายที่เท่ากัน ต้องคิดว่าเป็นฝาแฝดกันอย่างแน่นอน
" มันคงกลายร่าง ได้เหมือนที่หลอกเราเมื่อวานนี้ สัญชาติญาณการกลายร่างของมันคงยังมีอยู่
เมื่อร่างเราอยู่บนหลังมันนานๆ มันจึงกลายร่างมาหน้าตาคล้ายพวกเราที่ขี่มันมา "
เมื่อร่างเราอยู่บนหลังมันนานๆ มันจึงกลายร่างมาหน้าตาคล้ายพวกเราที่ขี่มันมา "
ปู่อินทร์ตั้งข้อสงสัย
" แล้วมันจะทำอะไรเราไม๊ปู่ ตัวมันใหญ่ขนาดนี้ ดูมือไม้ของมันสิใหญ่ยังกะใบตาลเเนะ ถ้ามัน
ทุบเรานะ อุ๋ย ไม่อยากคิด "
ทุบเรานะ อุ๋ย ไม่อยากคิด "
ดุจปลายกล่าว พร้อมย่นคอ อย่างเสียวสยอง
" ไม่รู้เหมือนกัน ดูพวกมันไปก่อน แต่มองพวกมันก็ไม่ได้เกี้ยวกราดอะไร อยากมองโลกในแง่ดี
และภาวนาขอให้มันเปลี่ยนไปเฉพาะร่างกายแต่ความรู้สึกให้มันยังดีอยู่กับเราเหมือนเดิม "
และภาวนาขอให้มันเปลี่ยนไปเฉพาะร่างกายแต่ความรู้สึกให้มันยังดีอยู่กับเราเหมือนเดิม "
ปู่อินทร์ตอบ ร่างยักษ์หน้าเหมือนมนุษย์นั้น ตัวมันเองก็คงเเปลกใจเหมือนกันว่ามีร่างกายที่
เปลี่ยนไป มันมองดูมือ เหมือนจะคิดว่าสิ่งนี้มันยื่นออกมาได้ยังไง และตัวหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา
มันก้มลงคุกเข่า และก้มหน้าลง มันคงรู้ว่าทุกคนคง ระแวงหวาดกลัวพวกมัน โดยสังเกตจาก
สีหน้าทุกคน การแสดงท่าท่างอย่างนี้ ทำให้ทุกคนคลายความหวาดระเเวงและกลัวไปได้มาก
เปลี่ยนไป มันมองดูมือ เหมือนจะคิดว่าสิ่งนี้มันยื่นออกมาได้ยังไง และตัวหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา
มันก้มลงคุกเข่า และก้มหน้าลง มันคงรู้ว่าทุกคนคง ระแวงหวาดกลัวพวกมัน โดยสังเกตจาก
สีหน้าทุกคน การแสดงท่าท่างอย่างนี้ ทำให้ทุกคนคลายความหวาดระเเวงและกลัวไปได้มาก
" เหมือนมันบอกว่า มันยังรับใช้เราเหมือนเดิมดู หน้าของมันสิ "
อัครชัย กล่าว หน้าตา ของหมาป่าที่กลายร่างเป็นคนนี้ ทำให้เขาอ่านความรู้สึกจากสีหน้าได้
ทุกร่างเข้ามาด้วยอาการเช่นเดียวกันทั้งหมดมองหน้ากัน ชั่งใจดูกับอาการพวกมันที่อยู่ใน
สายตาขณะนี้
ทุกร่างเข้ามาด้วยอาการเช่นเดียวกันทั้งหมดมองหน้ากัน ชั่งใจดูกับอาการพวกมันที่อยู่ใน
สายตาขณะนี้
" คงจะเป็นอย่างที่ข้าภาวนาจริงๆ พวกนี้ยังคงดีกับพวกเราและรับคำสั่งเราเหมือนเดิม "
ปู่อินทร์ กล่าวอย่างดีใจที่เห็นเหตุการณ์ที่ส่อว่าจะเป็นอย่างที่คิด
" จงพาพวกเราไปต่อ "
ปู่อินทร์ออกคำสั่งพร้อมชี้มือไปทางทิศเหนือเพื่อดูว่าร่างยักษณ์นี้จะทำเช่นไร ร่างนั้นพยักหน้า
รับ และเอื้อมมือมาอุ้มร่างปู่อินทร์ขึ้นไป ปู่อินทร์ชี้มาที่ปิเยพิษทารี มันเข้าใจความหมายและ
เอื้อมมืออีกข้างไปอุ้มปิเยพิษทารีไว้อีก และทุกตัวก็ทำตามเหมือนกัน ร่างเปลือยเปล่าของทุก
คนบัดนี้อยู่ภายไต้อุ้งมือของร่างยักษ์แล้ว และมันก็เริ่มออกเดินไปทันที คราวนี้ร่างทุกคนอยู่สูง
ขี้นไปเลยยอดไม้สีน้ำเงินอีก แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่เร็วเหมือนก่อนเพราะร่างยักษ์ต้องคอย
หลบต้นไม้ที่อยู่เบื้องล่างไปด้วย ความสูงของร่างกายทำให้การเดินรู้สึกเกะกะไปหมด
รับ และเอื้อมมือมาอุ้มร่างปู่อินทร์ขึ้นไป ปู่อินทร์ชี้มาที่ปิเยพิษทารี มันเข้าใจความหมายและ
เอื้อมมืออีกข้างไปอุ้มปิเยพิษทารีไว้อีก และทุกตัวก็ทำตามเหมือนกัน ร่างเปลือยเปล่าของทุก
คนบัดนี้อยู่ภายไต้อุ้งมือของร่างยักษ์แล้ว และมันก็เริ่มออกเดินไปทันที คราวนี้ร่างทุกคนอยู่สูง
ขี้นไปเลยยอดไม้สีน้ำเงินอีก แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่เร็วเหมือนก่อนเพราะร่างยักษ์ต้องคอย
หลบต้นไม้ที่อยู่เบื้องล่างไปด้วย ความสูงของร่างกายทำให้การเดินรู้สึกเกะกะไปหมด
" นั่นข้างหน้านั่นเป็นทุ่งโล่ง อีกไม่ไกลเราจะพ้นถิ่นปิเยบิรูแล้ว "
ปิเยพิษทารีตะโกนบอก เนื่องจากอยู่ที่สูง เขาจึงมองเห็นทัศนีย์ภาพเบื้องหน้าใกลๆได้ ห่างไป
ข้างหน้าไม่ไกลเท่าใดนักสิ่งที่ประจักษ์กับสายตาทุกคน ทุ่งโล่งกว้าง ซึ่งแต่ก่อนก็มีต้นไม้
ปกคลุม อยู่ แต่เมื่อจุดนี้เป็นทางผ่านของมัจเจและพลพรรคของมัน ต้นไม้ได้ถูกทำลายไปจน
หมดสิ้นทำให้มองเห็นเป็นทุ่งโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
ข้างหน้าไม่ไกลเท่าใดนักสิ่งที่ประจักษ์กับสายตาทุกคน ทุ่งโล่งกว้าง ซึ่งแต่ก่อนก็มีต้นไม้
ปกคลุม อยู่ แต่เมื่อจุดนี้เป็นทางผ่านของมัจเจและพลพรรคของมัน ต้นไม้ได้ถูกทำลายไปจน
หมดสิ้นทำให้มองเห็นเป็นทุ่งโล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
" อนิจจานี่มัจเจมันทำถึงเพียงนี้เลยหรือ ปิเยที่นี่สิ้นหมด น่าสงสารปิเยแถวนี้เป็นปิเยที่เคลื่อนที่
ได้ ถูกทำลายจนหมดสิ้น มันอัมหิตจริงๆ "
ได้ ถูกทำลายจนหมดสิ้น มันอัมหิตจริงๆ "
ปิเยพิษทารีกล่าวอย่างรันทด
" ข้างหน้าเป็นทุ่งโล่งกว้างอย่างนี้ นี่ก็เย็นมากแล้วถ้าเรายังเดินทางต่อ คงไปมืดตรงที่โล่งนั่น
แน่ เราพักผ่อนกันที่นี่อีกคืนไม๊ ท่านพิษทารี "
แน่ เราพักผ่อนกันที่นี่อีกคืนไม๊ ท่านพิษทารี "
ปู่อินทร์เสนอความเห็น เขาคำนวนว่าถ้าต้องพักผ่อนที่โล่งแจ้งเช่นที่เห็นข้างหน้า อาจไม่
ปลอดภัยนัก เพราะไม่มีการพรางตัว จานบินนั้นอาจมาเห็นอีกก็ได้
ปลอดภัยนัก เพราะไม่มีการพรางตัว จานบินนั้นอาจมาเห็นอีกก็ได้
" ดีเหมือนกันงั้นเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยให้ใกล้พ้น เราจะพักกันตรงนั้น ภายนอกมองเข้ามาคง
ไม่เห็น "
ไม่เห็น "
ปิเยพิษทารีเห็นด้วย ทุกร่างที่ถูกอุ้มอยู่ถูกวางลงกับพื้นเมื่อได้สัญญาณจากปู่อินทร์
" เราจะพักกันที่นี่คืนนี้ ถึงตอนนี้ยังไม่ค่ำ ก็รอจนกว่าจะค่ำ เพราะถ้าเราไปต่ออาจไปค่ำที่โล่ง
แจ้งที่ใหนสักเเห่งแน่ "
แจ้งที่ใหนสักเเห่งแน่ "
ปู่อินทร์กล่าวพร้อมอธิบายเหตุผลของการพักตรงนี้ ร่างยักษ์ก็ได้รับสัญญาณให้นั่งลง
" โอ้โห จะว่าทะลึ่งนะ ร่างใหญ่เปลือยพวกนี้ ดูแล้วไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแฮะ "
อรัญสัพหยอก เขาอดพูดไม่ได้ เพราะร่างที่เหมือนเขาและคนอื่นนั้น มันใหญ่มากทุกส่วนของ
ร่างกาย ซ้ำยังเหมือนทุกคนแบบไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนนอกจากขนาด แต่ร่างกายคงเต็มไปด้วยขน
ของมัจเจมันผ่านไป ปิเยเหล่านั้นคงถูกทำลายไปมาก ถึงได้โล่งเตียนเช่นนี้ ปรกติถ้าเป็นปิเยที่
อยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีพิษมีภัยและรู้จักกับข้าดี แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พวกเขาหนีหรือว่าสิ้นชีตะไป "
ร่างกาย ซ้ำยังเหมือนทุกคนแบบไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนนอกจากขนาด แต่ร่างกายคงเต็มไปด้วยขน
รุงรัง จึงทำให้มองไม่เห็นของสงวนมากนักพอจะ ทำให้ความรู้สึกกระดากอาย เรือนร่างของทุกคน
หายไป
" พักผ่อนกันเหอะเราควรจะพักกันให้มากๆ พรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีก "
ปู่อินทร์สั่งทุกคน หลังจากที่ทุกคนได้พักยังสถานที่ที่กำหนดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดตามความ
เหมาะสม
เหมาะสม
" ที่โล่งแจ้งข้างหน้า เรียก มัสเยนิส เมื่อก่อนหน้านี้มีปิเยอยู่เต็มไปหมด และหลังจากที่พวก
ของมัจเจมันผ่านไป ปิเยเหล่านั้นคงถูกทำลายไปมาก ถึงได้โล่งเตียนเช่นนี้ ปรกติถ้าเป็นปิเยที่
อยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีพิษมีภัยและรู้จักกับข้าดี แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พวกเขาหนีหรือว่าสิ้นชีตะไป "
ปิเยพิษทารี บอกกล่าวถึงสภาพและชื่อของสถานที่ ที่จะเดินทางต่อไปในวันพรุ่งนี้ เขารู้สึกสลด
ใจอย่างมากที่การกลับมายังสถานที่แห่งเดิมที่ได้รู้จักแต่เก่าก่อน อีกครั้งและต้องพบกับความ
ว่างเปล่า ร่องรอยการถูกทำลายมีให้เห็นได้ชัดเจน ได้ฟังเช่นนั้น ปู่อินทร์ได้แสดงความเห็นขึ้น
ใจอย่างมากที่การกลับมายังสถานที่แห่งเดิมที่ได้รู้จักแต่เก่าก่อน อีกครั้งและต้องพบกับความ
ว่างเปล่า ร่องรอยการถูกทำลายมีให้เห็นได้ชัดเจน ได้ฟังเช่นนั้น ปู่อินทร์ได้แสดงความเห็นขึ้น
" อะไรคงไม่ร้ายเท่า ที่โล่งแจ้งลักษณะแบบนั้น ทำให้การเดินทางของเราสามารถถูกมองเห็น
ได้ง่าย ศัตรูที่หมายทำลายเรา คงจะใช้โอกาสเช่นนี้แน่ และร่างใหญ่ที่กลายจากหมาป่ามาเป็น
ร่างคนแบบพวกเรา ก็คงมีประโยชน์กับพวกเราน้อยกว่าที่มันยังเป็นหมาป่าเพราะเราก็เห็นมา
แล้วว่าพวกมันช่วยให้เราเดินทางได้ช้ากว่า ตอนที่ร่างของมันยังเป็นหมาป่า "
ได้ง่าย ศัตรูที่หมายทำลายเรา คงจะใช้โอกาสเช่นนี้แน่ และร่างใหญ่ที่กลายจากหมาป่ามาเป็น
ร่างคนแบบพวกเรา ก็คงมีประโยชน์กับพวกเราน้อยกว่าที่มันยังเป็นหมาป่าเพราะเราก็เห็นมา
แล้วว่าพวกมันช่วยให้เราเดินทางได้ช้ากว่า ตอนที่ร่างของมันยังเป็นหมาป่า "
ความเห็นของปู่อินทร์ทุกคน เห็นด้วยเพราะประจักษ์กับสายตามาแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่ได้มีความ
เห็นอะไร ทั้งหมดจัดหาที่นอนกันตามสภาพ การนอนครั้งนี้ ทุกคนกับรู้สึกอุ่นใจกว่าครั้งก่อน
อย่างมาก เพราะรู้สึกว่าร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่อยู่ด้วย น่าเกรงกลัวและหวาดระแวงน้อยกว่าตอน
ที่พวกมันยังเป็นหมาป่าอยู่มาก แต่ทว่าการนอนลงในครั้งนี้ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด ทุก
คนกลับพบว่า ทันทีที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเวลากลางคืน ร่างยักษ์ทั้งหลาย กับเหมือนว่าจะพยายามส่ง
สัญญาณอย่างหนึ่งให้พวกเขา พวกเขาสังเกต ว่าพวกมันพยายามชี้มือไปทางทิศหนึ่งเหมือนจะ
บอกให้พวกเขาทุกคนรู้ว่ามีอะไรอยู่ทางนั้น และร่างยักษ์ที่พากันนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ลุกยืน
ขึ้นและมีท่าทางลูกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับชี้มือไปทางทิศเดิมซ้ำๆ
เห็นอะไร ทั้งหมดจัดหาที่นอนกันตามสภาพ การนอนครั้งนี้ ทุกคนกับรู้สึกอุ่นใจกว่าครั้งก่อน
อย่างมาก เพราะรู้สึกว่าร่างยักษ์ของมนุษย์ ที่อยู่ด้วย น่าเกรงกลัวและหวาดระแวงน้อยกว่าตอน
ที่พวกมันยังเป็นหมาป่าอยู่มาก แต่ทว่าการนอนลงในครั้งนี้ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด ทุก
คนกลับพบว่า ทันทีที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเวลากลางคืน ร่างยักษ์ทั้งหลาย กับเหมือนว่าจะพยายามส่ง
สัญญาณอย่างหนึ่งให้พวกเขา พวกเขาสังเกต ว่าพวกมันพยายามชี้มือไปทางทิศหนึ่งเหมือนจะ
บอกให้พวกเขาทุกคนรู้ว่ามีอะไรอยู่ทางนั้น และร่างยักษ์ที่พากันนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ได้ลุกยืน
ขึ้นและมีท่าทางลูกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับชี้มือไปทางทิศเดิมซ้ำๆ
" ท่าทางมันคงจะพยายามบอกพวกเราว่าจะมีอะไรมาทางทิศที่มันชี้มือบอก พวกนี้มันน่าจะมี
สัมผัสที่รับรู้ได้ดีและรับรู้ได้ไกลกว่าพวกเรา คงจะมีอะไรที่ไม่ดีมาทางทิศนั้นแน่ หรือว่าจะเป็น
จานบินนั่น "
สัมผัสที่รับรู้ได้ดีและรับรู้ได้ไกลกว่าพวกเรา คงจะมีอะไรที่ไม่ดีมาทางทิศนั้นแน่ หรือว่าจะเป็น
จานบินนั่น "
อัครชัยแสดงความเห็น
" อาจจะใช่ นะหมอ เพราะดูจากการชี้มือพวกยักษ์นั่น แล้วสิ่งที่มามันน่าจะมาจากที่สูงทางทิศ
นั้น "
นั้น "
การคาดการณ์ของอัครชัยเป็นเพียงข้อสงสัย อาการของร่างแปลงยักษ์ บ่งบอกได้ชัดว่าพวกมัน
กระวนกระวายยิ่งนัก ทำให้ทุกคนเริ่มกังวลกับท่าทางที่แสดงออกของพวกมันไปด้วย ท้องฟ้า
เริ่มมืดสลัว แสดงว่าเริ่มเข้าเวลากลางคืนแล้วแต่พื้นป่าสีน้ำเงินกลับแปรเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น
เหมือนคืนก่อน
กระวนกระวายยิ่งนัก ทำให้ทุกคนเริ่มกังวลกับท่าทางที่แสดงออกของพวกมันไปด้วย ท้องฟ้า
เริ่มมืดสลัว แสดงว่าเริ่มเข้าเวลากลางคืนแล้วแต่พื้นป่าสีน้ำเงินกลับแปรเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น
เหมือนคืนก่อน
" ดูพวกมันสิมันโบกมือขึ้นลง เหมือนทำสัญญาณให้พวกเรานั่งลง "
เสียงดุจปรายกล่าว และทุกคนได้เห็นสัญญาณมือนั้นและเข้าใจเหมือนที่ดุจปรายบอก ทั้งหมด
นั่งหมอบลงตามสัญญาณมือที่ได้รับทันที พวกเขารู้ดีว่าต้องมีอะไรมาแน่ไม่เช่นนั้น พวกร่าง
แปลงยักษ์คงไม่ส่งสัญญาณเช่นนั้น และทันทีที่ก้มลงนั่ง หลายคนรู้สึกว่ามีลมอย่างหนึ่งวูบผ่าน
เหนือศรีษะไปมันแรงพอสมควรจนทุกคนรู้สึกได้
นั่งหมอบลงตามสัญญาณมือที่ได้รับทันที พวกเขารู้ดีว่าต้องมีอะไรมาแน่ไม่เช่นนั้น พวกร่าง
แปลงยักษ์คงไม่ส่งสัญญาณเช่นนั้น และทันทีที่ก้มลงนั่ง หลายคนรู้สึกว่ามีลมอย่างหนึ่งวูบผ่าน
เหนือศรีษะไปมันแรงพอสมควรจนทุกคนรู้สึกได้
" ตัว อะไรนะมองไม่ทันมันเลยตัวมันใหญ่มากด้วย มันบินโฉบพวกเราดีนะที่เราก้มหลบกันทัน
ไม่งั้นหัวพวกเราถูกโฉบไปแน่ "
ไม่งั้นหัวพวกเราถูกโฉบไปแน่ "
กานต์ กล่าวลั่น
" กานต์รู้ได้ยังไงว่ามันจะโฉบทำร้ายเรา มันอาจบังเอิญบินต่ำๆผ่านหัวเราไปก็ได้ "
จามิกร กล่าว เธอเองแม้จะรู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งบินผ่านหัวไป แต่ก็ไม่สามารถ สรุปตาม คำพูด แฟน
หนุ่มได้ กานต์เงยหน้าขึ้นหลังจากที่เขาก้มลงและกล่าวเมื่อสักครู่นี้เเละทุกคนก็สังเกตุเห็นเขา
เอื้อมมือไปคลำที่ท้ายทอย
หนุ่มได้ กานต์เงยหน้าขึ้นหลังจากที่เขาก้มลงและกล่าวเมื่อสักครู่นี้เเละทุกคนก็สังเกตุเห็นเขา
เอื้อมมือไปคลำที่ท้ายทอย
" นี่ไงหล่ะหลักฐาน สัตว์ที่บินเมื่อกี้มันมีกรงเล็บที่แหลมคมด้วย มันพยายามจะจับหัวผมด้วย
พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงก้มหลบพอดี เนี๊ยปลายเล็บมันยังกรีดเข้าหนังหัวผมเลย "
พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงก้มหลบพอดี เนี๊ยปลายเล็บมันยังกรีดเข้าหนังหัวผมเลย "
กานต์ตอบ
" มันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่หมายชีวิตพวกเราแน่ ระวังตัวกันหน่อย มันจะต้องย้อนกลับมาแน่"
ปู่อินทร์ กล่าวเตือนอย่างตระหนก เขาเองก็มองสิ่งนั้นไม่ทันเช่นกัน มันเร็วมากแค่ลมผ่านไปยัง
ไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นดู สิ่งนั้นก็แวบหายไปในความมืดแล้ว ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทำอะไรกันต่อ
มนุษย์แปลงร่างยักษ์ เริ่มส่งสัญญาณให้เงียบและหมอบลงอีกครั้ง ครานี้ทุกคนรู้ว่าเตรียมพร้อม
กว่าครั้งแรก ทุกร่างหมอบราบลงกับพื้นทันที ความนิ่งสงบของทุกคนทำให้ทุกอย่างเงียบกริบ
มันเงียบพอที่จะทำให้ได้ยินเสียงกระพือปีกของอะไรสักอย่างหนึ่ง ปู่อินทร์มองหน้าอัครชัย
เสียงนี้รู้สึกคุ้นหูเพราะเคยได้ยินมาแล้ว เขาพอจะรู้ว่าเป็นเสียงอะไร อัครชัยก็เช่นกัน แต่ทั้งคู่ก็
ไม่ได้กล่าวอะไรเพราะไม่ต้องการให้มีเสียง
"
ไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นดู สิ่งนั้นก็แวบหายไปในความมืดแล้ว ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทำอะไรกันต่อ
มนุษย์แปลงร่างยักษ์ เริ่มส่งสัญญาณให้เงียบและหมอบลงอีกครั้ง ครานี้ทุกคนรู้ว่าเตรียมพร้อม
กว่าครั้งแรก ทุกร่างหมอบราบลงกับพื้นทันที ความนิ่งสงบของทุกคนทำให้ทุกอย่างเงียบกริบ
มันเงียบพอที่จะทำให้ได้ยินเสียงกระพือปีกของอะไรสักอย่างหนึ่ง ปู่อินทร์มองหน้าอัครชัย
เสียงนี้รู้สึกคุ้นหูเพราะเคยได้ยินมาแล้ว เขาพอจะรู้ว่าเป็นเสียงอะไร อัครชัยก็เช่นกัน แต่ทั้งคู่ก็
ไม่ได้กล่าวอะไรเพราะไม่ต้องการให้มีเสียง
"
พรึ๊บๆๆๆๆ "
เสียง คุ้นหูดังใกล้เข้ามาในความเงียบ
" ตุ๊บ "
เสียงเหมือนมีอะไรอย่างหนึ่งกระทบ กัน ดังพอสมควร ถึงทุกคนจะก้มอยู่กับพื้นแต่ก็ยังพยายาม
ส่ายตา มองไปทั่ว และมองเห็นว่าเสียงนั้นคือเสียงที่มนุษย์ยักษ์นั้น ประเคนกำปั้นเข้ากับร่าง
อะไรอย่างหนึ่งที่บินเข้ามาใกล้ และสิ่งนั้นก็เสียหลักกระเด็นหวือ เข้ามาหล่นใกล้ๆกับร่างของ
ทุกคนที่ที่นอนอยู่กับพื้น
ส่ายตา มองไปทั่ว และมองเห็นว่าเสียงนั้นคือเสียงที่มนุษย์ยักษ์นั้น ประเคนกำปั้นเข้ากับร่าง
อะไรอย่างหนึ่งที่บินเข้ามาใกล้ และสิ่งนั้นก็เสียหลักกระเด็นหวือ เข้ามาหล่นใกล้ๆกับร่างของ
ทุกคนที่ที่นอนอยู่กับพื้น
" ค้างคาว พวกนั้น ค้างคาวดูดเลือด "
จามิกร กล่าวขึ้นเธอ อยู่ใกล้สิ่งที่เสียหลักร่วงลงมามากที่สุด จนเห็นได้ชัดเจน ร่างใหญ่ที่เสีย
หลักเพราะถูกกำปั้นของมนุษยักษ์ทุบอย่างเเรง มันเสียหลักก็จริงแต่ไม่ถึงกับแน่นิ่งไป มัน
พยายามพยุงร่างขึ้นบินอีกครั้งอย่างทุลักทุเล ร่างมนุษย์แปลงยักษ์พยายามปรี่เข้ามาหมายจะซ้ำ
แต่ช้าไป มันทรงร่างและขึ้นบินหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
หลักเพราะถูกกำปั้นของมนุษยักษ์ทุบอย่างเเรง มันเสียหลักก็จริงแต่ไม่ถึงกับแน่นิ่งไป มัน
พยายามพยุงร่างขึ้นบินอีกครั้งอย่างทุลักทุเล ร่างมนุษย์แปลงยักษ์พยายามปรี่เข้ามาหมายจะซ้ำ
แต่ช้าไป มันทรงร่างและขึ้นบินหนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
" โอ ค้างคาวพวกนี้มันโจมตีเรา แสดงว่ามันอาจตามเราอยู่ "
แสงดาวแสดงความเห็น หลังจากที่เหตุการณ์สงบลง
" ใช่แล้ว พอเวลากลางคืน ค้างคาวมันจะออกล่าเหยื่อ ดีนะที่เรามีร่างแปลงยักษ์พวกนี้อยู่ด้วย
ไม่งั้นเราคงสู้พวกมันได้ยาก ข้าได้ยินเสียงกระพือปีกครั้งนี้ บอกได้เลยว่าพวกมันไม่ได้มีแค่ตัว
เดียวด้วย เสียงกระพือปีกดังทั่วไปหมดเหมือนตอนนั้นพวกเราจะถูกล้อมไว้ แต่เสียงนั้นหายไป
ตอนที่ตัวหนึ่งของมันโดนมนุษย์ยักษ์ของเราโจมตี "
ไม่งั้นเราคงสู้พวกมันได้ยาก ข้าได้ยินเสียงกระพือปีกครั้งนี้ บอกได้เลยว่าพวกมันไม่ได้มีแค่ตัว
เดียวด้วย เสียงกระพือปีกดังทั่วไปหมดเหมือนตอนนั้นพวกเราจะถูกล้อมไว้ แต่เสียงนั้นหายไป
ตอนที่ตัวหนึ่งของมันโดนมนุษย์ยักษ์ของเราโจมตี "
ปู่อินทร์กล่าวเขาได้ยินเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ยังไม่สบโอกาสที่จะบอกกับทุกคน
" เอ ทำไมในเมื่อค้างคาวมันก็เป็นสัตว์ที่มองเห็นในความมืดได้ชัดเจน แต่ทำไมมันบิน
ทะเล่อทะล่ามาให้ถูกทุบได้ ร่างพวกนั้นก็ออกจะใหญ่โตทำไมเหมือนมันมองไม่เห็น "
ทะเล่อทะล่ามาให้ถูกทุบได้ ร่างพวกนั้นก็ออกจะใหญ่โตทำไมเหมือนมันมองไม่เห็น "
จามิกรกล่าวอย่างแปลกใจ ตามที่เธอเรียนมา และเป็นนักศึกษาค้นคว้า ทฤษฏีเกี่ยวกับค้างคาว
เธอยังจำได้ดี อัครชัยได้ฟังเธอวิเคราะห์ก็สงสัยเช่นกัน พอมองหาเหตุผล และอุปนิสัยการหา
อาหารของค้างคาว เขาจึงเห็นต่าง
เธอยังจำได้ดี อัครชัยได้ฟังเธอวิเคราะห์ก็สงสัยเช่นกัน พอมองหาเหตุผล และอุปนิสัยการหา
อาหารของค้างคาว เขาจึงเห็นต่าง
" ค้างคาวปรกติมันหาอาหารไม่ใช่ด้วยการแค่มองเห็นเหยื่อเพียงอย่างเดียว มันหาอาหารโดย
สะท้อนคลื่นความร้อนในร่างกายของเหยื่อมันด้วย เป็นไปได้อย่างมากว่าร่างยักษ์พวกนั้นไม่มี
ความร้อนหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะเป็นร่างไม่มีเลือดเนื้ออย่างเราเรา "
สะท้อนคลื่นความร้อนในร่างกายของเหยื่อมันด้วย เป็นไปได้อย่างมากว่าร่างยักษ์พวกนั้นไม่มี
ความร้อนหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะเป็นร่างไม่มีเลือดเนื้ออย่างเราเรา "
" ใช่แล้วหมอสันนิฐานถูกแล้ว "
ปู่อินทร์ กล่าวสนับสนุน
" มันคงไม่สะท้อนความร้อนจากร่างยักษ์พวกนั้น จึงไม่รู้และไม่ได้สงสัยว่าจะมีอะไรจ้องทำร้าย
มันอยู่และหลังจากที่มันเจออะไรที่มันไม่รู้ทำร้ายมัน มันคงตกใจและสับสนพอสมควร และพวก
มันทั้งหมดคงขวัญเสียที่เกิดเหตุการณ์ ไม่คาดฝันเช่นนี้ และนั่นก็คงเป็นผลดีกับพวกเรา คิดว่า
พวกค้างคาวคงจะไม่กลับมาคุกคามพวกเราอีกภายในคืนนี้ "
มันอยู่และหลังจากที่มันเจออะไรที่มันไม่รู้ทำร้ายมัน มันคงตกใจและสับสนพอสมควร และพวก
มันทั้งหมดคงขวัญเสียที่เกิดเหตุการณ์ ไม่คาดฝันเช่นนี้ และนั่นก็คงเป็นผลดีกับพวกเรา คิดว่า
พวกค้างคาวคงจะไม่กลับมาคุกคามพวกเราอีกภายในคืนนี้ "
" แสดงว่าคืนนี้เราก็น่าจะปลอดภัยสิคะ "
ดุจปรายถามความเห็น
"คงใช่อย่างที่บอกถึงมันอยากจะกินเลือดพวกเรา แต่มันก็คงรักชีวิตตัวเองมากกว่า แต่เรา
ก็อย่าพึ่งนิ่งนอนใจ อย่างน้อยก็น่าจะมีพวกเราช่วยกันผลัดเข้าเวรผลัดละคนก็ยังดี ป้องกันไว้"
ก็อย่าพึ่งนิ่งนอนใจ อย่างน้อยก็น่าจะมีพวกเราช่วยกันผลัดเข้าเวรผลัดละคนก็ยังดี ป้องกันไว้"
ปู่อินทร์ตอบพร้อมสั่งกำชับ ทั้งหมดล้มตัวลงนอนอีกครั้ง และปู่อินทร์อาสาที่เจ้าเฝ้ายามร่วมกับ
มนุษย์แปลงยักษ์ เป็นคนเเรก รู้สึกเหมือนเหตุการณ์จะเงียบสงบอีกครั้ง ได้เวลาปู่อินทร์ก็ได้
เรียก อัครชัยซึ่งเป็นยามผลัดต่อไป ทุกคนต้องช่วยกันเข้ายามคนละแค่สองชั่วโมงเข้ายามแค่
ผลัดละหนึ่งคนเท่านั้น จนกระทั่ง หลายชั่วโมงและสี่ห้าคนก็ถูกสับเปลี่ยนกันจนถึง อรัญเป็นคน
ที่ถูกเรียกเพื่อเปลี่ยนผลัดการเฝ้ายาม และทันทีที่ถูกเรียกให้ตื่นเขาได้พูดคุยกับจามิกร
มนุษย์แปลงยักษ์ เป็นคนเเรก รู้สึกเหมือนเหตุการณ์จะเงียบสงบอีกครั้ง ได้เวลาปู่อินทร์ก็ได้
เรียก อัครชัยซึ่งเป็นยามผลัดต่อไป ทุกคนต้องช่วยกันเข้ายามคนละแค่สองชั่วโมงเข้ายามแค่
ผลัดละหนึ่งคนเท่านั้น จนกระทั่ง หลายชั่วโมงและสี่ห้าคนก็ถูกสับเปลี่ยนกันจนถึง อรัญเป็นคน
ที่ถูกเรียกเพื่อเปลี่ยนผลัดการเฝ้ายาม และทันทีที่ถูกเรียกให้ตื่นเขาได้พูดคุยกับจามิกร
" มนุษย์แปลงพวกนั้นไปทางใหนเหรอคุณจา ไม่เห็นยืนเด่นเหมือนตอนที่ก่อนผมจะหลับเลย"
" อ๋อ เมื่อสักชั่วโมงมานี่เห็นพวกเขาทรุดตัวลงอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ๆนั่นไง ตะคุ่มตะคุ่ม นั่่น
แหละ "
แหละ "
จามิกร ตอบพลางชี้มือไปที่จุดหมายที่บอก อรัญมองตามมือเธอไปและได้มองเห็นเงาตะคุ่ม
จริงๆ แม้จะมองไม่เห็นชัดแต่ก็พอมองออกว่ามีสิ่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น
จริงๆ แม้จะมองไม่เห็นชัดแต่ก็พอมองออกว่ามีสิ่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น
" อ๋อ เห็นแล้ว พวกมันเอ๊ย พวกเขา คงเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไรให้ต้องระวังแล้วมั้ง ถึงได้ลงนั่ง
คุณจาไปนอนเหอะครับ เดี๋ยวเจ้ากานต์จะได้นอนฝันดีก่อนที่จะสว่างเพราะได้ไออุ่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า "
คุณจาไปนอนเหอะครับ เดี๋ยวเจ้ากานต์จะได้นอนฝันดีก่อนที่จะสว่างเพราะได้ไออุ่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า "
อรัญหัวเราะร่วนที่ได้แซว หญิงสาว ความขี้เล่นของเขาไม่จำกัดเวลา แสงดาวก็หัวเราะพร้อม
ยิ้มเขิน เธอไม่ได้พูดอะไรต่อได้แต่พยักหน้า พร้อมเดินแยกไปที่คนรักของเธอนอนอยู่ อรัญรู้ว่า
ใกล้สว่างเต็มทีแล้ว เขากะจะเข้ายามจนสว่าง ไม่คิดที่จะปลุกแฟนสาวเพื่อมาผลัดเปลี่ยนกัน
จริงอย่างเข้าคิด อรัญเข้ายามได้สองชั่วโมงกว่าๆนิดหน่อยฟ้าก็เริ่มสาง และพอที่จะมองเห็น
ทัศนียภาพได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ อรัญเริ่มกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นว่าเริ่มมองเห็นอะไรบ้างแล้ว
และทันใดนั้น สายตาเขาก็ไปสะดุดกับสิ่งหนึ่ง เขาจ้องเขม็ง และมองออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขา
ผลุนผลันขยับตัวเข้าไปปลุกคนที่อยู่ใกล้ๆเขาในทัน
ยิ้มเขิน เธอไม่ได้พูดอะไรต่อได้แต่พยักหน้า พร้อมเดินแยกไปที่คนรักของเธอนอนอยู่ อรัญรู้ว่า
ใกล้สว่างเต็มทีแล้ว เขากะจะเข้ายามจนสว่าง ไม่คิดที่จะปลุกแฟนสาวเพื่อมาผลัดเปลี่ยนกัน
จริงอย่างเข้าคิด อรัญเข้ายามได้สองชั่วโมงกว่าๆนิดหน่อยฟ้าก็เริ่มสาง และพอที่จะมองเห็น
ทัศนียภาพได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ อรัญเริ่มกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นว่าเริ่มมองเห็นอะไรบ้างแล้ว
และทันใดนั้น สายตาเขาก็ไปสะดุดกับสิ่งหนึ่ง เขาจ้องเขม็ง และมองออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขา
ผลุนผลันขยับตัวเข้าไปปลุกคนที่อยู่ใกล้ๆเขาในทัน
" หมอๆ ดูนั่นสิ "
เขาเขย่าร่างของ อัครชัยเป็นคนเเรก อัครชัยงัวเงีย เขาสะดุ้งตื่นจึงมีอาการยังไม่ปรกติ แต่ก็ตื่น
ตัวได้ทันทีเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรแน่ ไม่เช่นนั้น อรัญคงไม่เร่งปลุกเขาอย่างนี้
ตัวได้ทันทีเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรแน่ ไม่เช่นนั้น อรัญคงไม่เร่งปลุกเขาอย่างนี้
" มีอะไรเหรออรัญ "
อัครชัยระร่ำระลักถาม อรัญกล่าวตอบทันที
" ตรงนั้น หมาป่าพวกนั้น "
" ทำไมเหรออรัญหมาป่าพวกนั้น มีอะไรแปลกไปเหรอ "
อัครชัยถามอย่างงงงง
" เมื่อวานพวกมันกลายร่างเป็นคนไปแล้วนะ แล้วตอนนี้พวกมันกลับมาเป็นหมาป่าอีกแล้ว ไม่
แปลกเหรอ "
แปลกเหรอ "
คำตอบของอรัญทำให้ อัครชัยฉุกคิดขึ้นมาได้
" เออ จริงด้วยสิ ตอนหัวค่ำพวกนี้ยังเป็นคนอยู่เลย นี่พวกมันกลายร่างอีกครั้งแล้วเหรอ "
อัครชัยกล่าวอย่างฉงนยิ่งนัก ทุกคนถูกทั้งสองปลุกขี้นมา ทั้งหมดพากันแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
" โอประหลาดมาก กลายร่างไปกลายร่างมา "
จามิกรกล่าวอย่างตื่นเต้น ทุกคนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเธอ
" นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เบื้องหน้าที่เราจะต้องเดินทางกันในเช้านี้เราต้องการพาหนะที่
รวดเร็ว ที่จะพาพวกเราผ่านทุ่งโล่งแจ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ พวกมัน
กลายร่างเป็นแบบนี้ดีที่สุด เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลดีกับพวกเรา "
รวดเร็ว ที่จะพาพวกเราผ่านทุ่งโล่งแจ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ พวกมัน
กลายร่างเป็นแบบนี้ดีที่สุด เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลดีกับพวกเรา "
ปิเยพิษทารี กล่าว จริงอย่างที่สุดการเปลี่ยนร่างกลับกลายไปเป็นหมาป่าถือว่าเป็นผลดีกับขบวน
ของพวกเขาที่จะเดินทางในภูมิประเทศเบื้องหน้า หนำซ้ำพวกเขายังไม่ต้องเสียแรงในการเดิน
ทางอีก เพราะอาศัยร่างหมาป่าเป็นพาหนะขี่ไป เหมือนที่เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง
ของพวกเขาที่จะเดินทางในภูมิประเทศเบื้องหน้า หนำซ้ำพวกเขายังไม่ต้องเสียแรงในการเดิน
ทางอีก เพราะอาศัยร่างหมาป่าเป็นพาหนะขี่ไป เหมือนที่เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง
" ไป ใหนใหนก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว พวกเราควรเริ่มออกเดินทางกันเลยละกัน "
ปู่อินทร์สรุป ทุกคนเห็นด้วย ที่ปู่อินทร์เร่งเช่นนี้ลึกๆ เขาเกรงว่าพวกหมาป่าจะกลับร่างไปเป็นคน
อีก ยิ่งเร่งเดินทางเท่าไร ถึงพวกหมาป่าจะกลายร่างเป็นคนอีกพวกเขาก็คงเดินทางไปได้ไกล
แล้ว สัมภาระถูกจัดเก็บอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวหมาป่าร่างยักษ์ที่มีมนุษย์อยู่บนหลังก็ออกเดินทาง
หลังพ้นแนวป่าสีน้ำเงินออกมาแล้ว หมาป่าร่างยักษ์ก็ได้พาพวกเขาทั้งหมดออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ ที่โล่งไม่มีอะไรกีดขวางมากนัก พวกมันวิ่งเร็วประดุจลมพัด พวกเขาที่อยู่บนหลังพวกมัน
กอดบ่าหมาป่าไว้แน่น ไม่คิดว่าพวกมันจะสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนี้ หลายครั้งทางสูงต่ำพวกเขา
รู้สึกมันเร็วเหมือนพวกเขานั่งรถไฟเหาะเลย แค่ชั่วโมงเดียวพวกเขารู้สึกได้ว่าพวกมันวิ่งมาได้
ระยะทางเกินร้อยกิโลเมตรแล้ว
อีก ยิ่งเร่งเดินทางเท่าไร ถึงพวกหมาป่าจะกลายร่างเป็นคนอีกพวกเขาก็คงเดินทางไปได้ไกล
แล้ว สัมภาระถูกจัดเก็บอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวหมาป่าร่างยักษ์ที่มีมนุษย์อยู่บนหลังก็ออกเดินทาง
หลังพ้นแนวป่าสีน้ำเงินออกมาแล้ว หมาป่าร่างยักษ์ก็ได้พาพวกเขาทั้งหมดออกวิ่งอย่างรวดเร็ว
คราวนี้ ที่โล่งไม่มีอะไรกีดขวางมากนัก พวกมันวิ่งเร็วประดุจลมพัด พวกเขาที่อยู่บนหลังพวกมัน
กอดบ่าหมาป่าไว้แน่น ไม่คิดว่าพวกมันจะสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนี้ หลายครั้งทางสูงต่ำพวกเขา
รู้สึกมันเร็วเหมือนพวกเขานั่งรถไฟเหาะเลย แค่ชั่วโมงเดียวพวกเขารู้สึกได้ว่าพวกมันวิ่งมาได้
ระยะทางเกินร้อยกิโลเมตรแล้ว
" ฟิ๊ว"
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลินอยู่กับการเดินทางที่รวดเร็วนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
" ฉึก "
เสียงวัตถุอย่างหนึ่งเสียดสีมาในอากาศ และพุ่งตรงเข้าปักแผงลำคอหมาป่าร่างยักษ์อย่าง
รุนแรง ปิเยพิษทารี กับปู่อินทร์ที่อาศัยอยู่บนสุนัขตัวนั้นตกใจยิ่งนักกับสิ่งที่ไม่คาดฝันทีี่เกิดขึ้น และทันที
รุนแรง ปิเยพิษทารี กับปู่อินทร์ที่อาศัยอยู่บนสุนัขตัวนั้นตกใจยิ่งนักกับสิ่งที่ไม่คาดฝันทีี่เกิดขึ้น และทันที
ที่เห็นสิ่งที่ปักอยู่ชัดเจน ทั้งสองก็จำมันได้
" ลูกธนู "
ปู่อินทร์อุทาน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น