ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #44 : ทำลาย ล้าง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 152
      4
      9 ก.ค. 62




     ปิเยพิษทารี หันหน้ากลับมา จากการหันไปบอกกับปู่อินทร์ แต่ทันใดเขารู้สึกว่าร่างของเขา

    ถูกกระแทกจากร่างของปู่อินทร์ที่อยู่ด้านหลังของเขา เขาพยายามเกาะหลังหมาป่าไว้แน่น

    จนทำให้ร่างของปู่อินทร์ขึ้นมาอยู่บนร่างของเขา อาการเสียหลักของทั้งสองเกิดจากเจ้าหมาป่าร่างยักษ์

    ที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง มันพยายามจะหยุดวิ่งนั่นเองโดยกระทันหันนั่นเอง และไม่ใช่แค่ตัวที่ 

    ปู่อินทร์ และปิเยพิษทารีขี่ ทุกตัวที่วิ่งมาด้วยกัน ก็มีอาการเช่นเดียวกัน  แสงดาวร่างระลิ่ว หล่นลงจาก

    หลังหมาป่าด้วย เธอไม่ได้ระวังว่าหมาป่าจะเป็นเช่นนี้ ที่ผ่านเธอก็ชำนาญที่จะนั่งบนหลังของมันในขณะ

    ที่มันวิ่งไปโดยที่ไม่ได้เกาะตัวมัน โชคดีที่เธอคว้าเส้นขนหมาป่าที่ยาวออกมาตรงแผงคอของมัน

    ไว้ได้บ้าง จึงทำให้ร่างของเธอจึงแค่ร่วงลงข้างตัวหมาป่าไม่แรงเท่าไรนัก  



    " อู๊ย..มันหยุดทำไมเนี่ย วิ่งมาไวๆและลงเขาด้วย ดีนะที่เราไม่หล่นลงไป "


    ปิเยพิษทารี กล่าวหลังจากที่ปู่อินทร์ ได้ถอนร่างที่ทับบนตัวเขาออกไปแล้ว  ปู่อินทร์เงียบไม่

    ได้ยินคำตอบ ปิเยพิษทารีหันไปมองหน้าปู่อินทร์ เขามองเห็นปู่อินทร์มองนิ่งไปเบื้องหน้า เขาจึง

    หันไปทางนั้น


    " โอ อะไรนั่น "


    ทุกคนหันมองไปเบื้องหน้าเป็นจุดเดียวกัน เบื้องหน้าพวกเขาพบสาเหตุที่ทำให้หมาป่าต้องหยุด

    วิ่งกระทันหัน เพราะถ้าขืนพวกมันไม่หยุด ต้องได้ชนกับสิ่งนั้นแน่ๆ   ท่ามกลางสีน้ำเงินของผืน

    ป่า มีวัตถุอย่างหนึ่งใหญ่พอสมควร และวัตถุนั้นมิได้กลืนกับสีน้ำเงินทำให้พวกเขามองเห็นได้

    เด่นชัด และหมาป่าก็คงเห็นเหมือนกัน พวกมันจึงได้หยุดอย่างกระทันหันก่อนที่จะไปถึงที่มัน

    จอดอยู่   ถึงไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ทุกคนก็พอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร และสงสัย ว่ามันคงจะ

    เป็นสิ่งเดียวกับที่พวกเขาเจอมันเมื่อคืนนี้


    " จานบิน "


    อัครชัย อุทาน วัตุถุคล้ายจานโดมมีข้าตั้ง หกขารอบด้าน ตั้งตะหง่านอยู่เบื้องหน้าทุกคน และเบื้อง

    ล่างมีร่างหลายร่างเดินวนเวียนอยู่ เเละสรุปได้ว่าพวกมันก็มองมาที่พวกของอัครชัยเหมือนกัน

    การได้เจอกันแบบกระทันหัน ทำให้ต่างฝ่ายทำอะไรกันไม่ถูก พวกอัครชัยก็อึ้งอยู่พักหนึ่ง


    " สงสัยจะเป็นพวกเดรฟโดรนอย่างที่ท่านดิวาเกรดสองบอกแน่ พวกนี้มีลักษณะที่คล้ายพวก

    ไอซ์โดรนที่เราเจอในถ้ำมาก  เขาบอกว่าพวกนี้มีอาวุธร้ายด้วยไม่ใช่เหรอ "


    แสงดาว ที่พึ่ง จะหายตระหนกจากเหตุการณ์หล่นลงจากหลังหมาป่า กล่าว เธอประเมินจาก

    สายตาและคำบอกเล่าที่ได้ฟังมา เหมือนเธอจะบอกว่าจะต้องระวังตัวกันด้วย สิ่งมีชีวิตไต้

    จานบินลำนั้น คงจะเริ่มจะหายจากการตกใจที่ได้พบกับพวกเขา และแล้ว พวกมันก็เร่งขึ้นวัตถุท่ี่

    น่าจะเป็นบรรไดขึ้นไปข้างบนและเข้าไปในจานประหลาดนั้น ปู่อินทร์เห็นเช่นนั้น เขารู้ว่าท่าทาง

    ไม่ค่อยจะดีแล้ว


    " พวกเราต้องหนี มันอาจจะใช้อาวุธกับพวกเรา เราจะอยู่เป็นเป้านิ่งตรงนี้ไม่ได้ "


    แสงดาวเป็นคนเดียวที่อยู่บนพื้น เธอกระโดดขึ้นบนหลังหมาป่าอีกครั้งทันที เธอรู้ว่าการหนีก็คง

    ต้องใช้หมาป่าเป็นพาหนะอีกแน่  ปู่อินทร์ ให้สัญญาณหมาป่าออกวิ่งอีกครั้ง เขาเลือกที่จะวิ่ง

    อ้อมจานบินที่จอดเบื้องหน้าไป และจะวิ่งขึ้นทางทิศเหนือตามเดิม ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร ถ้า

    วัตถุจานบินนี้ ออกตามพวกเขา  หมาป่าทั้งเจ็ดตัวพร้อมสิ่งที่อยู่บนหลังออกวิ่ง คล้ายกับหมาป่า

    เองก็จะรับรู้อันตรายเหมือนกัน มันเพิ่มความเร็วในการวิ่งอย่างสุดชีวิต ระหว่างนั้น จามิกรแอบ

    ลอบมองจานบินนั้น เธอสังเกตุเห็นว่าน่าจะเป็นด้านหน้าของยาน มันหมุนตาม ความเคลื่อนไหว

    ของกลุ่มพวกเธอด้วย และเธอสังเกตุว่ามีจุดกลมกลมหลายจุดน่าจะเป็นกระบอกอาวุธอะไร

    อย่างหนึ่ง เธอภาวนาว่า อย่าให้มีกระสุนหรืออะไรพุ่งออกจากจุดกลมนั้น ตอนนี้


    " มันจะตามมาใหม "


    จามิกร ตะโกนถามแฟนหนุ่มที่ขี่ร่างหมาป่าอยู่ไม่ห่างไปนัก  


    " ไม่รู้เหมือนกัน "


    กานต์ ตอบเขาเดาไม่ถูกเหมือนกัน ปู่อินทร์ หันกลับไปมอง และสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าน่าจะเกิดก็เป็น

    จริง  จานบินลำนั้น ลอยสูงขึ้นด้านบน และมันยังลอยมาตามหลังพวกเขา การวิ่งที่ว่าเร็วที่สุด

    ของหมาป่าตอนนี้ เหมือนหยุดอยู่กับที่ เมื่อมันลอยข้ามหัวทุกคนไปเบื้องหน้า


    " มันเห็นเราตลอดเลย ถ้าเราพรางตัวได้ทั้งหมดมันคงไม่เห็นเรา "


    อัครชัยตะโกนบอก เขาสังเกตุว่าจานบินลำนั้นวนเวียนไปมาแต่มันคงมองเห็นพวกเขาตลอด ปู่

    อินทร์ ครุ่นคิด เขาไม่รู้ว่าจานบินลำนี้จะใช้อาวุธกับพวกเขาหรือไม่  วิวัฒนาการ  พาหนะที่

    สามารถเดินทางได้รวดเร็วและมาได้ไกลจากต่างดาวแบบนี้ อาวุธก็คงร้ายกาจทำลายล้างได้สูง

    เช่นกัน ทุกคนพยายามองไปที่ปู่อินทร์ เหมือนรอคำตอบจากเขา


    " ถอดเสื้อผ้าทิ้ง "


    เสียงปู่อินทร์ ลั่น เขาเห็นว่าจานบิน เห็นการเดินทางของพวกเขาโดยสังเกตุจากเสื้อผ้าที่

    มิได้กลืนเป็นสีนำ้เงินของป่าเหมือนทุกสิ่ง  การกระอักกระอ่วนใจเริ่มขึ้น เรื่องการถอดไม่เท่าไร

    เพราะเคยได้ถอดกันมาแล้ว แต่มาคราวนี้ต้องถอดกันบนหลักหมาป่าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วอยู่

     และเสื้อผ้าอาจไม่ได้นำกลับมาใช้อีกแล้วเพราะต้องถอดและทิ้งไปเลย ไม่เช่นนั้นจะหลบสายตาพวก

    จานบินไม่พ้น แต่ทุกคนก็ไม่มีใครคิดอย่างอื่น การมีชีวิตที่รอดตาย สำคัญที่สุด เสื้อผ้าเมื่อไรก็มีได้อีกถึง

    จะต้องอายไปจนกว่าจะมีใหม่ก็ตาม เสื้อผ้าหลุดลอยออกจากร่างทุกคนทีละชิ้นสองชิ้นแล้วแต่ตามถนัด

    ที่ใครจะถอดได้ก่อน เพียงครู่เดียวทุกร่างก็เปลือยเปล่าอยู่บนหลังของหมาป่า 

    ปู่อินทร์ให้ไปดู ยานบินลำนั้น ลอยไปมา มันไม่ได้ลอยตามพวกเขาโดยตรงเหมือนครั้งแรก เขา

    กำลังจะคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อกี้ได้ผล แต่

     
    " มันตามพวกเรามาอีกแล้ว มันยังเห็นพวกเราอยู่ คงเป็นเพราะเราเคลื่อนไหว"


    ดุจปรายตะโกนบอก เธออยู่หลังสุด เธอมองเห็นยานมันลอยสะเปะสะปะอยู่พักเดียวและก็มุ่งตรง

    ตามขบวนพวกเธอมาอีก  



    " โอ มันเห็นพวกเราได้ไง ขนาดพวกเราเองยังแเทบจะมองพวกเรากันเองไม่เห็นเลย "


    ปู่อินทร์ รำพัน เขาแปลกใจ ที่ความคิดเรื่องการทิ้งเสื้อผ้าของเขา จะไม่ได้ประโยชน์ จานบินยัง

    คงตามพวกเขาอยู่  ความคิดเขากระตุกวูบเมื่อได้ยินปิเยพิษทารีตะโกนลั่น


    " หมอบลง ข้างหน้า "


    ปู่อินทร์ ได้ยิน สัญชาติญาณเขารับรู้แว๊บเดียวปู่อินทร์ก็ก้มตัวลงหลบ กิ่งไม่กิ่งหนึ่ง ซึ่งปิเยพิษ

    ทารีซึ่งอยู่ข้างหน้าสังเกตุเห็น ปิเยพิษทารีกะระยะไว้ ว่าหมาป่าจะต้องวิ่งลอดมันไปและเขาทั้ง

    สองจะต้องหมอบจึงจะพ้นไม่กระแทกกับกิ่งไม้นั้น ปู่อินทร์กลับไปมองกิ่งไม้ที่รูดเฉี่ยวหัวเขาไป

    มันสั่นไหว เขาจึงคิดอะไรอย่างหนึ่งออก ต้นไม้สีน้ำเงินบริเวรนี้ไม่สูงมากนักหลายครั้งพวก

    หมาป่าที่วิ่งอยู่ก็เกี่ยวเขากับปลายกิ่งของมัน  



    " พวกมันรู้ว่าเราไปทางใหน เพราะว่ามันมองเห็นต้นไม้ที่นี่สั่นไหว พวกเราเดินทางให้ช้าลง

    อย่าให้หมาป่าโดนต้นไม้เมื่อไม่มีเห็นต้นไม้เคลื่อนไหว มันก็คงไม่รู้ว่าเราไปทางใหนแล้ว "


    ปู่อินทร์ รู้ถึงสาเหตุแล้ว ตามคำสั่งหมาป่าช้าลง และต้นไม้ก็สั่นไหวน้อยลงมาก แต่เนื่องจากตัว

    หมาป่าใหญ่มาก ช่องทางที่จะไปไม่ได้มีการทำช่องทางไว้ การกระแทกกิ่งไม้ของร่างหมาป่า

    จึงทำไม่ได้



    " ไม่ได้ปู่ ต้นไม้ยังสั่นอยู่ เราทำให้มันหยุดสั่นได้ พวกเราต้องหยุดเดินเท่านั้น "


    อรัญกล่าว เขาพยายามทำแล้ว แต่ก็ดูไม่ได้ผลอย่างที่ปู่อินทร์อยากจะให้เป็น


     " หยุดไม่ได้นะ ถ้าพวกมันรู้ว่าตรงใหนต้นไม้หยุดเคลื่อนใหวครั้งสุดท้ายตรงใหน มันอาจจะยิง

    มาตรงนั้นก็ได้  เราจะเป็นเป้านิ่ง ยังไงเราเคลื่อนใหวตลอด จะดีกว่า  "


    ปู่อินทร์กล่าว   ปิเยพิษทารีมองภูมิประเทศแถบนี้เพื่อหาทางเสริมความคิดอีกคน


    " เฮ้ พวกท่าน ปิเยบิรูมีเขตติดต่อกับปิเยเราเมื่อก่อนนี้แล้ว ข้าสามารถสื่อสารกับมันได้ พวกนี

    เคลื่อนใหวได้บ้างแล้ว ไม่เหมือนพวกปิเยบิรูที่ลึกเข้าไปข้างใน "


    ปิเยพิษทารีกล่าว แต่ทุกคนก็ยังไม่เข้าใจความหมาย ว่าเขาจะสื่อถึงอะไร จนกระทั่ง


    " วี๊ด วี๊ "


     พวกเขาได้ยินสิ่งหนึ่งดังจากร่างของปิเยพิษทารี พวกเขาเเปลกใจมากที่ได้ยินเสียงนั้น แต่

    ทันใดทุกคนก็ต้องอุดหู


    "ว๊ี๊ด หวี่  หวี่  วี๊ด "


    สียงคล้ายเสียงของปิเยพิษทารีเมื่อกี่นี้ ดังประสานกันมาทุกทิศทุกทาง จนประสาทหูพวกเขา

    ไม่สามารถรับได้หมด



    " โอ๊ย เสียงอะไรเนี่ยท่าน เสียงมันแหลมลึกไปหมด หูอื้อเลย "


    ปู่อินทร์ กล่าวกับปิเยพิษทารี เขารู้ว่าปิเยพิษทารี จะต้องรู้ว่าเป็นเสียงอะไรเพราะเสียงปิเยพิษ

    ทารี ก็ส่งเสียงนี้ออกไปเช่นกัน  



    " พอดีข้าถามปิเยที่นี่เป็นภาษาของปิเยเรา ข้าจะให้ปิเยบิรูที่นี่หยุดเคลื่อนใหว เมื่อหมาป่าและ

    พวกเราผ่านไป แต่ปิเยบิรูบอกว่าทำไม่ได้  เพราะการเคลื่อนใหวไม่ได้เกิดจากพวกเขา เกิดจาก

    การชนของพวกเรา "



    ปิเยพิษทารีอธิบาย  


    " แย่ละสิ อย่างนี้จานบินนี้ก็เห็นพวกเราได้ตลอดนะสิ "


    จามิกรกล่าว


    " เอ้อ คิดออกแล้ว "

    กานต์กล่าวนำ้เสียงเขาแสดงอาการดีใจ


    " กานต์คิดอะไรออกเหรอ "


    จามิกรถามแฟนหนุ่ม


    "  ก็ในเมื่อมันสังเกตุจากการเคลื่อนใหวของต้นไม้ที่เราผ่านไป แต่ถ้าต้นไม้ทุกต้นที่นี่เคลื่อนใหว

    ทั้งป่า มันจะรู้ใหมว่าตรงใหนเราทำให้ต้นไม้เคลื่อนใหว"


    กานต์อธิบายความคิดของเขา  


    " ไม่เข้าใจอะพี่กานต์ กานต์ลองอธิบายใหม่สิ "


    ดุจปราย สงสัยในคำพูดของ กานต์ ยังมิทันที่กานต์จะได้อธิบายต่อ


    " เจ้าหนุ่มคนนี้คงหมายถึงให้พวกเราทำให้ปิเยที่นี่เคลื่อนใหวได้ทั้งหมดพร้อมๆกันทั้งปิเยบิรู นี้

    โดยให้ข้าสั่ง เมื่อทุกที่เคลื่อนใหว พวกจาบีร่าคงสับสนไม่รู้ว่าตรงในที่เคลื่อนใหวเพราะพวกเรา

    ใช่ใหม "


    ปิเยพิษทารีกล่าว เขาเข้าใจคำพูดของกานต์แล้ว  


    " วี๊ด วี่ "


    ยังไม่ทันได้สรุป เสียงคุ้นหูเมื่อกี้ที่ออกจากร่าง ปิเยพิษทารี ก็ดังกังวานออกไปอีก ครู่เดียว


    " เฮ้ ดูสิ ต้นไม้ที่นี่สั่นหมดทุกต้นเลย "

    ดุจปรายกล่าวด้วยความตื่นเต้น  เมื่อเห็นว่ารอบข้างต้นไม้สั่นใหวจนสังเกตุเห็นได้ชัดเจน

    " ไป เถอะ  ที่นี้พวกจานบินคงไม่รู้แล้วว่าเราอยู่ตรงใหน "

    ปู่อินทร์สั่ง เขาเป็นอีกคนที่รู้ว่าทำอย่างนี้น่าจะได้ผล และการเคลื่อนที่ออกไปจากตรงนี้ ก็น่าจะ

    ปลอดภัยในเมื่อพวกข้างบน คงไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงใหนแล้วถ้าเคลื่อนออกไปจากที่นี่ ที่ที่พวก

    มันเห็นการเคลื่อนใหวของต้นไม้ครั้งสุดท้าย  

    " ได้ผล จานบ้านั่นไม่ตามมาแล้ว มันคงจะงงจริงๆ ดูสิลอยไปทางโน้นที ทางนี้ทีแต่ไม่มาทาง

    เรา กานต์เก่งจริงคิดได้ไง "

    ดุจปราย   ชมลั่น  เธอ รู้สึกผ่อนคลายกับสถานการณ์กดดันเมื่อสักครู่แล้ว  

    " โธ่ ปราย ไปชมแฟนคนอื่นซะแระ  "

    อรัญแหย่ เขาไม่ได้คิดจริงจังกับสิ่งที่พูด แค่ประชดสนุกๆ

    " ที่จริงอรัญถ้าคิดอีกหน่อยก็จะคิดออกนะปราย "

    จามิกรเเหย่บ้าง

    " แล้วทำไมถึงยังคิดไม่ออกละจา"

    อรัญถามเขาสงสัยคำพูดของจามิกร อรัญรู้ว่าเธอจะต้องมีมุกอะไรแน่ จึงแสร้งรับมุกไว้ จามิกร

    ตอบเสียงใส

    " ก็พอดี ความคิดหลุดไปพร้อมกับเสื้อผ้าไงเลยคิดไม่ออก "

     แล้วทั้งหมดก็หัวเราะกัน อรัญค้อนขวับ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด                        

    เมื่อไร้ความกดดัน จากสถานการ์ คับขันที่จวนเจียนจะเอาชีวิตไม่รอด พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น

    แต่ก็ยังกังวลกับร่างกายที่ไร้เสื้อผ้า โดยเฉพาะผู้หญิง เสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไปคงนำกลับมาไม่ได้

    แล้ว เพราะทุกคนต้องมุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ปิเยพิษทารีบอกพวกเขาว่าอะไรที่ทำให้

    เสียเวลาให้ละเสียบ้าง เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    ณ ทัพมัจเจ

    """  กองกำลังมัจเจ ขยับเคลื่อนลงมาทางไต้ บัดนี้พวกมันมาถึงได้ครึ่งทางของจุดหมายแล้ว

    ระหว่างนี้ มัจเจถือโอกาส ซ่องสุมกำลัง เหล่าเรคารียะที่ล่องหนได้ถูกสร้างเสริมกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    มัจเจภูมิใจกับพิษสงส่วนนี้ของมันมาก มันคิดว่าจะยึดครองตะเนยาได้ด้วยพวกนี้แล้ว หลังจากที่

    ผ่านมาล้มเหลวทุกครั้ง ที่ส่งสิ่งอื่นๆไป เขาเสียดายที่สูญเสียปิเยพิษเซลล่าไป เขาคิดว่าอาจใช้

    พิษที่ปิเยพิษทารีคิดค้นได้ ทำอะไรอีกหลายๆอย่าง เหมือนอย่างเช่นที่ใช้ทำให้ เรคารียะของ

    เขาล่องหนได้ตอนนี้ และใช้กำจัดโอ๊คคาระ ซึ่งเป็นเสี้ยนหนามหอกข้างแคร่ที่ทิ่มแทงใจเขา

    ตอนนี้ ถ้ามีโอกาส

    " ที่นี่อุดมสมบูรณ์ จริงๆ ข้าสัมผัสได้ พวกเราทำลายไปหมดตลอดทางก็น่าเสียดายเหมือนกัน"

    โอ๊คคาระ กล่าว  โอ๊คคาระอยู่ทางเหนือมานาน ที่นั่นเขาอยู่แบบผู้ปกครอง พื้นที่ที่เขาดูแลอยู่

    ถูกทำลายเสียเป็นส่วนใหญ่  ตามใจที่เขาอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เหมือนที่แถวนี้ บริเวร

    นี้เป็นเขตติดต่อที่แบ่งกันดูแล ปิเยถิ่นจึงไม่ถูกทำลายไป ยังคงมีชีวิตที่สมบูรณ์และใหญ่โต แต่

    พวกมันกำลังถูกทำลาย โดยฝีมือของมัจเจและโอ๊คคาระ ที่คิดว่าจะทำลายทุกอย่างตลอดทาง

    ที่ผ่านไป เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดคอยขัดขืนพวกเขาได้ ทั้งตอนนี้และภายหลัง มัจเจ ได้ยินคำพูดที่

    เปรยบอกกับเขา เขาคิดในใจ  

    "" จะมาคิดสำนึกอะไรตอนนี้ ตาปิเยเฒ่าโบราณ การกระทำของเจ้าทำลายหลายสิ่งมาไม่รู้

    เท่าไรแล้ว "


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    "  โอ๊..ฝนตก "

    ปู่อินทร์ตะโกนบอก ระหว่างที่กลุ่มของปู่อินทร์ เดินทางมาได้อีกพักหนึ่ง หลังจากที่หลบจาก

    จานบินได้ และต้นไม้ก็ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด แต่ก็มีเหตุการเกิดขึัน  ฟ้าเกิดแลบอย่างแปรบ

    ปราบ แบบไม่มีปี่มีขยุ่ย และทันใดสายฝนก็ได้โปรดเม็ดลงมา ทำให้ทุกสิ่งเปียกไปโดยทั่ว อะไร

    ไม่ร้ายเท่าพวกเขากลับพบกับความแปลกใจสีน้ำเงินของป่า สีน้ำเงินของมันกลับเป็นสีที่ตกได้

    เมื่อเปียกฝน และมันได้ใหลไปด้วย  เมื่อสีน้ำเงิน ตามต้นไม้เหล่านั้นได้ตกลงไปแล้ว พวกเขา

    เป็นจุดเด่นอีกครั้ง ครานี รวมทั้้งร่างของหมาป่าด้วยท่ามกลางผืนป่าที่เป็นสีเขียวตามธรรมชาติ

    ทั่วไป

    " โอ๊ะ ตายละ ตกหนักด้วยสิ พวกเราไม่มีเสื้อผ้าด้วยคงหนาวเหน็บแน่ เราคงเดินทางต่อไม่ได้

    การเคลื่อนใหวของเราคงจะถูกจับตาได้แน่  ดูสิสว่างโล่งเหมือนธรรมชาติข้างนอกแล้ว "

    ปู่อินทร์กล่าว เขาสั่งให้ขบวนทั้งหมดหยุดการเดินทางก่อน เมื่อเห็นว่าป่าไม่สามารถที่จะพราง

    ตัวพวกเขาได้  จริงอย่างปู่อินทร์ ดุจปรายรู้สึกหนาวเย็นและคิดว่าแสงดาวและจามิกรก็คงเป็น

    เช่นนั้นเหมือนกัน แต่ดุจปรายมีร่างกายที่ผอมบางกว่า เธอถึงกับตัวสั่นงันงก

    "  มาใกล้กันไว้ ร่างกายข้าสามารถกระจายไออุ่นได้ "

    ปิเยพิษทารีร้องเรียก  แต่บางคนมีอาการอิดออด โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่อเธอร่างกายเปลือยเปล่า

    ไร้สิ่งบดบังร่างกายเช่นนี้ความเขินอายก็เกิดขึ้น เมื่อต้องมาอยู่ใกล้ๆกัน  ต่างคนต่างก็ใช้มือปิด

    ของสงวนของตัวเองเมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องมาอยู่ใกล้ๆกัน

    " จะอายทำไม สาวๆ คนสมัยก่อนเขาก็ไม่มีเสื้อผ้า ล่อนจ้อนอยู่เป็นล้านปีมั้ง เขายังอยู่ได้เล้ย"

    อรัญแซว จุดประสงค์ต้องการให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง เพราะเห็นสาวๆอายจนออกอาการ

    เกร็งไปหมด

    " ผู้ชายสมัยก่อนเขาไม่มีสายตาที่เหมือนกับผู้ชายเดี๋ยวนี้นะสิ ไปเลย ออกไปหนาวอยู่โน่นเลย

     ไม่ต้องมาใกล้สาวแถวนี้เลย   ไม่อายก็ "

    ดุจปรายตอบทันควัน เหมือนรอจะตอกกลับอยู่แล้ว เธอเห็นว่าถ้าหนุ่มๆ เข้ามารวมกลุ่มด้วย คง

    เขินอายมาก

    " ปากไม่ดีเลยไม่ได้ไออุ่นเลยเรา ฮ่าๆๆ "

    อรัญแซวอย่างขำๆ ที่จริงแล้วเขาก็หยอกแค่คำพูดไปอย่างนั้น ไม่มีเจตนาจะเข้าไปร่วมอยู่แล้ว

    ฟ้าเริ่มมืดคลึ้มขึ้นไปอีก ฝนหนักกว่าเดิมอีก ใบที่หนาทึบของต้นไม้เริ่มไม่เพียงพอกับการหลบ

    ฝนแล้ว พวกเขารู้สึกว่าฝนที่นี่แรงมากเหลือเกิน โดนเนื้อตัวพวกเขาเจ็บไปหมด ใบไม้ที่มุงบัง

    เขาอยู่ บัดนี้เริ่มเป็นรูโหว่ มันคงเป็นเพราะไม่อาจต้านทานคมของเม็ดฝน ที่หล่นลงจากฟ้าได้

    หมาป่าร่างยักษ์เหมือนจะรับรู้ว่าพวกมนุษย์ เริ่มจะเดือดร้อนเพราะเม็ดฝนที่ตกหนักใส่ร่างกาย

    มันยืนขึ้นและเดินเข้ามาคล่อมคนทั้งหมดไว้

    " โอค่อยยังชั่วพวกเราไม่โดนเม็ดฝนแล้ว "

    แสงดาวกล่าวอย่างดีใจ ทุกคนนึกขอบใจหมาป่าพวกนั้น และเมื่อทุกคนได้เข้ามาอาศัยไต้ร่าง

    ของหมาป่า ทุกคนก็กลับพบว่า เสียงฝนกลับดังแรงขึ้นอีก

    " โอถ้าเรายังอยู่ไต้ต้นไม้คงระบบแน่ ดูสิ ตอนนี้ สายฝนตัดไปไม้ขาดวิ่นหมดเลย "

    ปู่อินทร์กล่าว และทุกคนก็เห็นตามนั้น ตอนนี้ใบไม้ที่เห็นอยู่เมื่อสักพักที่แล้วได้กระจุยกระจาย

    ขาดวิ่น ไปหมด มันไม่สามารถยึดติดอย่ากับกิ่งก้านมันได้อีกแล้ว

    " ถ้าเป็นเช่นนี้ เราเห็นทีจะอยู่อย่างนี้ ไม่ได้แล้ว เห็นทีพวกเราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  "

    ปูอินทร์กล่าว เขารู้สึกว่าเริ่มจะไม่ปลอดภัยแล้ว บัดนี้ด้านบนโปร่งโล่ง ถ้าจานบินมันอยู่ไม่ไกล ก็

    คงมองเห็นพวกเขาได้ไม่ยากนัก ตอนนี้ฝนยังตกอยู่มันคงจะไม่ได้ขึ้นบิน แต่ถ้าฝนหยุดตกเมื่อไร

    มันคงใช้โอกาสเช่นนี้ สืบหาพวกเขาแน่

    " ไปกันเหอะอยู่ไม่ได้ ที่นี่โล่งแจ้งเกินไป "

    ปู่อินทร์ ตัดสินใจที่จะสั่งทุกคนเดินทาง

    " ไปยังไงล่ะปู่ข้างนอกฝนแรงออกอย่างนั้น "

    อรัญถามอย่างสงสัย เขาแปลกใจที่ปู่อินทร์สั่งเช่นนี้ ปู่อินทร์ ก็น่าจะรู้ว่าเม็ดฝนขนาดทำให้ใบไม้

    หลุดจากก้านได้ มันแรงแค่ใหน  

    " ก็เดินไปแต่อย่าออกจากไต้ร่างกายของหมาป่าพวกนี้สิ เราจะไม่โดนฝน เดินไปเรื่อยๆ คงพ้น

    ฝนได้  "


    ปู่อินทร์อธิบาย  อรัญนึกขำตัวเองเรื่องแค่นี้ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้

    " ไม่แปลกใจหรอกปรายที่ปรายไปชมแฟนคนอื่น ฮ่า ฮ่า ฮ่า "

    เขาหันไปบอกดุจปรายแก้เก้อ  ตามอารมณ์ทะเล้นของเขา   ทั้งหมดจึงได้ออกเดินทาง โดยมี

    ร่างหมาป่าที่เดินอยู่และมีร่างกายพวกเขาเดินอยู่ไต้ร่างกายนั้น  และเกือบชั่วโมงที่ทั้งหมดเดิน

    ทางกันมา

    " ดูนั่นสิ ป่าข้างหน้ายังเป็นสีนำ้เงินอยู่แสดงว่าฝนข้างหน้านี่คงไม่ตก  "

    กานต์กล่าวและชี้ให้ทุกคนดู

    "  ใช่จริงด้วย ตรงนี้ฝนก็เริ่มซาเม็ดแล้ว แสดงว่ามันตกหนักที่พวกเราอยู่ทีแรกและตรงนี้คงเป็น

    ข้างๆของมัน "

    จามิกรกล่าว เธออธิบายธรรมชาติของฝนพร้อมไปด้วย พวกเขาดีใจที่จะได้กลับเขาสู่ป่าสีน้ำเงิน

    เบื้องหน้าอีกครั้ง พวกเขารู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ในป่าแบบนี้ ทั้งเรื่องพรางตัว และเรื่องที่ร่างกาย

    เป็นสีนำ้เงินทำให้การอายเวลาไม่มีเสื้อผ้าบังกายอีกด้วย

    " ฝนก็คงหยุดพอดีเลยเนี่ย ไม่ลงเม็ดแล้ว "

    ปู่อินทร์ ยื่นหัวออกมาจากร่างหมาป่า และหงายอุ้งมือชูขี้นไปในอากาศเพื่อพิสูจน์ และเมื่อเห็น

    ว่าไม่มีเม็ดฝนโดนมือของเขาแล้ว เขาจึงร้องบอกทุกคน  เเละเมื่อทุกคนมองย้อนกลับไปที่ผ่าน

    มา ท้องฟ้าเริ่มเปิดสว่างบ้างแล้ว ฝนที่นั่นคงหยุดอย่างที่ปู่อินทร์บอกจริงๆ และทันทีที่ทุกคน

    เข้าสู่ป้าสีน้ำเงินอีกครั้งเพียงครู่เดียว

    "เป็นอย่างปู่อินทร์คาดการไว้จริงๆ  นั่น  ดูสิ ไอ้จานนั่น มันขึ้นบินอีกแล้ว ไปหลบฝนที่ใหนมา

    ดีนะ ที่ปู่ตัดสินใจ เดินมาตอนฝนยังไม่หยุด ไม่งั้นมันคงเจอพวกเราแน่ "

    กานต์กล่าวเสียงลั่น เขามองเห็นจานบินที่ว่าในระยะไกลพอสมควร มันคงบินวนเวียนในแหล่งที่

    ฝนตกจนทำให้ใบไม้ร่วงไปเหลือแต่กิ่งก้าน จนเบื้องล่างจานบินของมัน โล่งจนเห็นได้ชัดไปทั่ว

    มันคงเห็นว่าเป็นโอกาสดี จึงไม่ปล่อยโอกาสนี้ไว้ แต่มันคงคาดไม่ถึงว่า พวกมนุษย์ ก็มีผู้ที่คาด

    การณ์ทุกอย่างได้ดี ทำให้หลบสายตาของพวกมันไปได้อีกครั้ง

    " เกือบไปเหมือนกัน คลาดกันแค่นิดเดียวถือว่าดวงของพวกเรายังดีมาก  "

    ปู่อินทร์ รำพัน

    " ไปเรา ไม่รอให้มันมาเจอหรอก ไปกันเลย ลมก็พัดทำให้ต้นไม้ที่นี่พลิ้วใหวไปทั่วแล้วด้วย คง

    พรางร่างพวกเราได้ เดี๋ยวเผื่อพวกมันเลิกสนใจ ที่โล่งๆนั่น จะมาสังเกตุหาในนี้อีก"

    ปู่อินทร์เร่งเร้า

    ณ ทัพมัจเจ

    ""  เรคารียะล่องหนเจ้านับได้กี่ร่างแล้ว มัจเจ "

    โอ๊คคาระถามขึ้น เขาเองก็ไม่สามารถมองเห็นเรคารียะเหล่านั้นเหมือนกัน จะรู้ได้ก็จากข้อมูล

    ของมัจเจเท่านั้น

    " นับเป็นแสนร่างแล้วท่าน คงเพียงพอต่อการขยี้พวกมันที่ตะเนยาแล้ว "

    มัจเจ ตอบ

    " ดี สั่งเดินหน้าเต็มกำลัง เราจะพยายามไปถึงที่ตะเนยาให้เร็วที่สุดให้เร็วที่สุด ข้าใจร้อน

    ภูมิประเทศข้างหน้า ลำภาชีระ กับ ลำปันนียะ จะเริ่มมาคู่ขนานและใหลสวนกัน และบางส่วนลำ

    ปันนียะจะ สามารถเอ่อล้นและข้ามไปหาลำภาชีระได้ ถ้าปริมาณน้ำมาก เราจักได้เห็นสายนำ้

    ของพวกมันแล้ว บอกสมุนของเจ้าให้อยู่ห่างลำภาชีระไว้ เลียบเคียงไปทางปันนียะให้มาก เรา

    ไม่รู้ว่า ลำภาชีระจะมีอะไรบ้างมันเป็นสายน้ำที่เราไม่คุ้นเคย ห่างไว้บ้างก็ดี "

    โอ๊คคาระบอกมัจเจ และกล่าวเตือน

    " ได้เลยท่านข้าจะสั่งพวกมันเอง "

    มัจเจรับคำ แต่ในใจคิดว่าโอ๊คคาระ ไม่ใช่อะไรที่กล้าหาญ เขาขี้ขลาด กลัวแม้แต่สายน้ำของ

    ศัตรูที่ใหลผ่านมา แต่มัจเจก็ไม่อยากขัดคำสั่ง เขาสั่งให้ไพร่พลจำนวนมาก พร้อมทั้งเรคารียะที่

    ล่องหนได้เบนเส้นทางการเดิน ลงเลียบริมฝั่งแม่นำ้ลำปานียะ

    " เราจะหยุดพักกันสักครู่นะ อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเดินต่อ "

    มัจเจแจ้งกับโอ๊คคาระ เขาปฎิบัติเป็นอย่างนี้ประจำเมื่อรู้สึกว่าไพร่พลของเขาอ่อนล้า เรคารียะ

    เรือนแสน กระเหี้ยนกระหือรือในการศึกมาก ลำพังเป็นเรคารียะธรรมดา ที่ไม่สามารถพรางกาย

    ได้ มัจเจก็มีจำนวนมากอยู่แล้ว แต่เขาก็แปลกใจทำไมต้องพลาดทุกครั้ง ที่ปล่อยพวกนี้ไป

    ทำงาน บางทีเขาก็นึกหวั่นเหมือนกัน เหมือนสถานการณ์จะเล่นตลกกับเขา

    "  ท่านมัจเจ พวกเราข้างท้ายขบวนแจ้งว่า พวกมันได้ยินเสียง เออ..ข้าง หลัง  "

    ปิเยหิรินร่างหนึ่งได้แจ้ง ข้างหลังขบวนไพร่พลได้ยินเสียงผิดปรกติ  

    " เจ้าให้คนที่รู้จริงไปดูซิ มัจเจ ข้างหลังทัพเราก็ไม่น่าจะมีอะไรนะ เรากวาดซะเกลี้ยงตลอดทาง

    ที่ผ่านมาแบบนี้ คงเป็นเสียงลมเป็นแน่ คนของเจ้ายิ่งกระต่ายตื่นตูมอยู่ด้วย "

    โอ๊คคาระกล่าวสั่ง มัจเจมั่นใจว่าสมุนของเขาน่าจะแยกแยะเสียงลมออกคงไม่หูฝาดอย่างกับที่

    โอ๊คคาระ ปรามาตรเป็นแน่ มัจเจพยายามสื่อสารกับสมุนให้ไปดูให้แน่ใจและนำกลับมาแจ้ง  ยัง

    มิทันที่สมุนได้ออกไป เสียงโหวกเหวกข้างหลังก็ดังกันลั่น ในที่สุดมัจเจก็จับใจความได้

    " น้ำ "

    มัจเจ อุทาน

    " น้ำหรือ น้ำอะไร "  

    โอ๊คคาระได้ยินเสียงนั่นเหมือนกัน เขาสงสัยว่าทำไมทุกปิเยต้องตะโกนคำว่านำ้  ไม่มีใครให้คำ

    ตอบทั้งสองได้ทัน  เพราะคำตอบมันมาถึงแล้ว  มวลน้ำจำนวนมากมหาศาล เนื่องจากฝนตก

    เหนือขึ้นไป  ปรกติปิเยที่อยู่เหนือขึ้นไปมีจำนวนมากการต้านทานและดูดนำ้ซับจึงมีมากแต่

    เนื่องจากทั้งสองได้ทำลายมาตลอดการเดินทาง ทุกอย่างเลยโล่งเตียน กระแสนำ้จึงไหลบ่าลง

    มาอย่างมากและรวดเร็ว มันเร็วและสูงเหมือนคลื่นยักษ์ ที่พัดถล่มชายหาด

    " ไม่ต้องกลัว มันพัดเรากระจัดกระจายเดี๋ยวพอเราทรงตัวได้เราก็กลับมารวมกันเอง "

    มัจเจรู้ สมุนของเขาไม่ได้เป็นปิเยที่กลัวน้ำ จริงอยู่สายน้ำที่เห็นเร็วและแรงมาก คงถาโถมเขา

    หากองทัพของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คงแตกกระสานซ่านเซ็น และกระจัดกระจายกันไป

    คนละทิศละทางอยู่พักใหญ่ และเมื่อทุกร่างช่วยเหลือตัวเองได้คงกลับมารวมกัน และมีปริมาณ

    เท่าเดิม ไร้การสูญเสีย แต่ว่าอาจจะช้าหน่อยเท่านั้น เพราะบางร่าง โดยเฉพาะเรคารียะร่างเล็กๆ

    ทั้งที่ล่องหนได้และไม่ได้ คงถูกสายน้ำหนักหน่วงนี้พัดไปไกลพอสมควร กว่าที่จะช่วยตัวเองได้

    มัจเจตั้งมั่น รากจำนวนมากช่วยยึดเหนี่ยวร่างของมันไว้ สายน้ำถึงแรงเพียงใดก็ไม่สามารถพัด

    ร่างของมันให้ลอยตามน้ำได้   มัจเจมองไม่เห็นเมื่อมวลน้ำจำนวนมากพัดเข้าถล่มมันสูงมากจน

    เขาไม่อาจประมาณได้ พักใหญ่สายน้ำก็สงบ และลดความสูงลง  มัจเจพบว่าที่ตรงนั้น ที่ก่อนนี้

    มีพลพรรคของเขาอยู่ทั้งหมดจำนวนมาก บัดนี้เหลือแต่ความว่างเปล่า

    " โอ...น้ำ. . มันแรงจริงพัดพวกเราซะเกลี้ยงเลย น้ำเป็นสีน้ำเงิน สงสัยฝนจะตกหนักที่บริเวรถิ่น

    ปิเยบิรู แน่ "

    มัจเจ รำพึงกับโอ๊คคาระ เขารู้สึกใจหายเหมือนกัน ทีแรกทำใจไว้แล้วว่าเหตุการณ์มันคงเป็น

    เช่นนี้ แต่ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ ร่างของเขาเต็มไปด้วยโคลน ซ้ำมีอะไรก็ไม่รู้แต่คิด

    ว่าเป็นก้อนหิน กระแทกร่างของเขาจนเป็นแผลเต็มไปหมด สมุนของเขาหายไปในพริบตา ก็ไม่

    แปลกเลย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×