ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #4 : ปรสิตสีเขียว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 880
      41
      11 ก.พ. 62

          

    กานต์นั่งฟังสิ่งที่บิดาเล่า นึกตะลึงกับสิ่งที่เหลือเชื่อที่พ่อเขาเล่ามา ถ้าไม่ใช่พ่อเขาเขาจะ

    ไม่เชื่อเรื่องที่ได้ฟังมานี้เด็ดขาด แต่นี่เป็นพ่อของเขา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไม่มีไครเชื่อเรื่อง

    ทั้งหมดนี้   ทำให้เขาเปรยกับบิดาว่า


     
    " เหลือเชื่อมากครับไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น "


    อดีตจ่าโสรส ซึ่งปัจจุบันเป็น นายคงเดช  เขมิกานนฒิ ผู้ที่ใช้ซึ่งนามสกุลที่ไปขอตั้งใหม่ตอนที่

    ได้สัญชาติไทยตอนนั้น กล่าวตอบลูกชายขึ้น



    " พ่อถึงไม่เคยอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไง และคิดว่าทุกคนทั้งหมดที่ไปหลงป่ากันก็คงไม่มี

    ไครพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะพ่อไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย มีแต่หมอลูกผู้กองโยชินี่

    แหละคงเล่าให้ลูกชายฟัง เขาถึงรู้เรื่องได้ละเอียดขนาดนี้ ไว้ตอนเย็นเราถามเขาก็จะรู้ คิดว่าสิ่ง

    ที่พ่อเล่ามาทั้งหมลูกคงพอเข้าใจแล้วนะ เดี๋ยวพ่อหลับซักงึบ ตอนค่ำจะได้มาคุยกัน "



    คงเดช ตัดบทพร้อมเลื่อนผ้าห่มมาคลุมหน้าอกพร้อมหลับตา

    กานต์เห็นว่าพ่อคงเหนื่อยจากสิ่งที่เล่ามายาวเหยียดนั้น เขาจึงไม่คิดว่าจะรบกวนอีก เขาคิดว่า

    ไว้รอหมอมาก่อนดีกว่าเพื่อจะได้เเลกเปลี่ยนกัน น่าจะมีอีกหลายเรื่องในมุมของหมอคนนั้น

    เนื่องจากพ่อของหมอเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่เกิดขึ้น และอยากจะรู้ว่าชีวิตเขาเป็นยังไง

    หลังที่แยกจากพ่อเขาไปวันนั้น คิดอย่างนั้นเขาก็ลุกขึ้นเพื่อไปหาอาหารรับประทานนอกโรง

    พยาบาล



    20.00 น.  หมอ อัครชัย ได้ออกเวรและมาหาสองพ่อลูกตามที่นัดหมายกันไว้


    " เรียกผมว่าหมออัครตามที่พยาบาลที่นี้ก็แล้วกันครับ ส่วนผมขอเรียกชื่อเล่นทั้งสองคนนะครับ

    ลุงเดชกับคุณกานต์ จะได้จำกันง่ายดีและเป็นกันเองดีด้วย ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เจอ

    คุณลุงกับคุณกานต์ เหมือนได้เจอญาติที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปีนะครับ"



    หมอหนุ่มพูดขึ้น หลังที่ต่างฝ่ายได้แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ


    " ดีครับง่ายดี "


    กานต์เสริมขึ้น


    คมเดชเล่าเรื่องทั้งหมดให้ หมออัครชัยฟังอีกครั้ง เมื่อหมอหนุ่มอยากทราบว่าจะตรงกับที่เขารู้

    มาหรือไม่ หลังจากที่เล่าจบเข้าจึงพูดขึ้น



    " ตรงกันแทบทุกอย่างละครับ ที่จริงพ่อผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่ผมอ่านเรื่องทั้งหมดที่สมุดบันทึก 

    ที่ค้นเจอหลังจากที่ท่านเสียขีวิตเเล้ว  เเต่ไม่ทราบว่าท่านกลับไปที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ท่านไม่ได้

    บันทึกไว้ เคยถามเรื่องอดีตท่านเหมือนกันแต่  ท่านก็ไม่เคยเล่าอะไรเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเลย "



    หมออัครชัยกล่าว





    " ผมมีรูปตอนที่ท่านเสียให้ดูครับ"




    หมอหนุ่มพูดพลางหยิบรูปที่เตรียมมาส่งให้คงเดช ในภาพเป็นร่างชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลาง

    ซากปรักหักพังของหมู่บ้านที่คลื่นสึนามิพัดถล่ม ไม่สามารถจำเค้าลางของใบหน้าได้ เพราะได้

    เปื้อนคราบโคลนตม แต่แปลกที่ร่างนั้นยืนอยู่โดนมีลักษณะระโยงระยางของสายอะไรชนิดหนึ่ง

    ยึดไว้ไม่ให้ล้ม


    " จับท่านยืนไว้ถ่ายรูปหรือครับ ตอนที่ท่านเสีย "


    คงเดชถามขึ้น พร้อมส่งรูปดังกล่าวให้ผู้เป็นลูกชายดูต่อ


    " ไม่ใช่ครับ ตอนเราไปพบภาพก็เป็นแบบนี้แล้วครับ แล้วสายที่ยึดอยู่นั้นคือต้นตอที่เป็นปัญหา

    ทั้งหมดของพวกเราด้วย ลุงคงจะไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายให้ฟังครับ สิ่งที่ระโยงระยางนั้นแท้จริง

    แล้วเป็นรากไม้ครับ " 


    หมอหนุ่มตอบพร้อมอธิบาย เพราะรู้ว่าคงเดชต้องสงสัยสิ่งที่เห็นในภาพแน่นอน 


    " รากไม้หรือครับ ทำไมมาเกาะร่างคนไวจัง  หรือนานกว่าจะไปพบร่างผู้กองโยชิตอนที่เสียนี่ครับ

    แล้วทำไมต้องมามีปัญหาอะไรกับพวกเราด้วย"



    กานต์ถามขึ้นเมื่อพิจารณาจากภาพที่พ่อของเขาส่งมาให้ดู


    " เอางี้ผมจะเล่าให้ฟังอย่างระเอียด ครับจะได้ไม่ต้องสงสัยกันอีก "


    หมอหนุ่มกล่าว


    " เรื่องมันมีอยู่ว่า วันที่เกิดแผ่นดินใหวใหญ่ที่ญี่ปุ่นทางการประกาศเตือนให้พวกเราระวังจะเกิด สึนามิ 

    โดยหมู่บ้านที่เราอยู่ ก็ได้ประกาศให้ละทิ้งหมู่บ้าน เพราะสึนามิจะพัดถล่มในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า

    ผมรึบพาคุณแม่ซึ่งตอนนั้นท่านได้ผอมแห้งและเเข็งเเรงน้อยกว่าคุณพ่อ โดยบอกว่าให้คุณพ่อ

    ตามไปทีหลัง โดยคุณพ่อขอเก็บบางอย่างก่อน โดยไม่ได้สงสัยว่าท่านจะออกมาไม่ทัน คิดว่า

      ท่านได้ออกมาแล้วและไปอยู่ที่หลบภัยหน่วยอื่น ที่ทางการญี่ปุ่นจัดเตรียม ให้เมื่อสึนามิได้พัด

    ถล่มผ่านไป อีกหนึ่งวันถัดมาหน่วยกู้ภัยกลับไปพบร่างของพ่อผมอยู่ในซากปรักหักพัง

    อย่างที่เห็น ภาพนี้ถ่ายก่อนที่จะนำร่างพ่อผมกลับออกมา ทางหน่วยกู้ภัยสงสัยว่าทำไมมีรากไม้

    จับตามตัวพ่อผมได้   และผมก็เป็นแพทย์เชี่ยวชาญที่ได้รับหน้าที่ผ่าพิสูจน์ศพพ่อผมตอนนั้น สิ่งที่

    ผมพิสูจน์ได้ตอนนั้นผมแจ้งกับทางการเป็นเท็จ คือแจ้งว่าท่านตายแบบธรรมดา แต่เรื่องที่ผม

    สงสัยและคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง และทำให้ผมต้องกลับมาเมืองไทย เมื่อผมได้ไปพบสมุด

    บันทึกของพ่อผม ที่ท่านเก็บไว้อย่างดี และในนั้นมีเรื่องการผจญภัยของท่านที่ไปกับลุง ทำให้

    ผมสะดุดใจ มีตอนหนึ่งท่านบอกว่าได้กินผลไม้ชนิดหนึ่งไปทำให้หายจากอาการบาดเจ็บอย่าง

    ปาฎิหาร  และจากการผ่าพิสูจญ์ศพพ่อผม รากไม้ไม่ได้เกาะตัวท่าน แต่มันงอกออกจากร่างกาย

    ท่าน ผมไม่ได้แจ้งเรื่องนี้จากทางการเพราะจากบันทึกของพ่อ ถ้าเป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับเรื่องราก

    ไม้ มันพิลึกพิลั่นเกินไป อาจจะอธิบายไม่ได้ ผมจึงต้องกลับมาประเทศไทยเพื่อพิสูจญ์เรื่องนี้

    ด้วยตัวเอง แล้วจากได้เห็นอาการของลุงพ่อผมก็มีอาการแบบนี้มาตลอด และก็ไม่สามารถตรวจ

    พบอะไรที่น่าเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยเช่นกัน แต่พ่อไม่เป็นหนักเหมือนลุง จะต่างกันก็คิด

    ว่าน่าจะเป็นที่อากาศญึ่ปุ่นหนาวกว่า  ผมก็เป็นด้วยแต่พยายามใส่เสื้อผ้าปกปิดเมื่อเกิดอาการ

    เกรงคนจะรังเกียจ กานต์ก็เป็นด้วยใช่ใหม "




    ระหว่างเล่าหมออัครชัยก็ได้หันมาถามกานต์

    คำถามนั้นแทงใจกานต์ที่สุด และเป็นเรื่องจริงด้วย จริงอย่างที่หมออัครเดชว่า อาการของพ่อ

    เขาก็เป็นเช่นกัน แต่น้อยกว่า อาการที่ร่างกายตกสะเก็ด จนทำให้ตัวร้อนเป็นไข้ แต่เขาได้ดื่ม

    น้ำมากๆเมื่อเกิดอาการจะทุเลาและหายไปในที่สุด และจะกลับมาเป็นอีกอีกเมื่อประมาณ หนึ่งปี

    และเป็นอย่างนี้ทุกปี 




    " จริงครับ พวกเราเกิดอาการแบบนี้ได้อย่างไรครับ"



    กานต์ ตอบ

    หมออัครเดชจึงพูดตอบว่า



    " จากที่ผมจดบันทึกไว้ ที่ร่างกายผมต้องป่วยและร่างกายตกสะเก็ดกันทุกปี ช่วงเวลานั้นตรงกับช่วงฤดู

    ใบไม้ผลิ  ซึ่งคือตอน ณ.เวลาช่วงนี้ ผมจะบอกลุงเดชกับกานต์ว่าจากการที่ผมได้พิสูจน์เรื่องทุกอย่างที่

    เกิดขึ้นกับผมและ คิดว่าคงจะทุกคน   ผม คิดว่าร่างกายพวกเรามีความเป็นไปได้ว่า ในร่างกายของพวก

    เรามีส่วนของต้นไม้อยู่ จากการที่คุณพ่อคุณและพ่อผม และคนทั้งหมดที่ไปที่ป่าประหลาดนั้นและได้กิน

    มันเข้าไป และไม้นั่นมันคงยังอยู่ฝังร่างหรือเซลอะไรบางอย่างอยู่ในร่างของพวกเขา ส่วนเรารุ่นลูกอย่าง

    ผมกับกานต์นี้ที่เราต้องมีอาการเหมือนกับคุณพ่อของพวกเราคาดว่าน่าจะได้รับถ่ายทอดกันมาทาง

    พันธุกรรม มาด้วย ครับ   และที่แย่ไปกว่านั้น คุณแม่ของพวกเรา น่าสงสัยว่าจะเป็นฐานที่พวกมันให้เป็น

    อาหาร เพราะแม่ของผมผอมมากอย่างหาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน   ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่    และอยู่กับ

    คุณพ่อ  แต่ไม่มีอาการแตกระเเหงของร่างกายเหมือนเปลือกไม่เหมือนกับผมที่เป็นรุ่นลูก  จึงคิดว่ามัน

    คงใช้ประโยชน์ จากร่างกายจากคุณพ่อ พวกเรา และคุณแม่ของพวกเราต่างกัน  ฉะนั้นนี้จึงป็นสาเหตุที่

    ผมยัง จะไม่ยอมมีครอบครัวเป็นอันขาด ถ้ายังไม่ได้แก้ปัญหาหรือได้รับความกระจ่างแจ้งจากเรื่องที่่เกิด

    ขึ้นเรื่องนี้"  













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×