ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #35 : สิ่งที่รออยู่ปลายอุโมงค์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 172
      5
      9 ก.ค. 62




    หลังจากที่พักใหญ่ทั้งหมดพอมีสติและหายจากอาการมองหน้ากันแล้วหัวเราะ


    "  ใหนท่านตะเคียน่าบอกไม่มีสัตว์ในอุโมงค์ไง อันตรายนะ ตัวมันใหญ่มากคับอุโมงค์ เลยเราสู้

    มันไม่ได้แน่ ถ้าเจอมันอีกหลายตัวในนั้น แค่พวกเราเดินทางในความมืดในนั้นเราก็คลำทางกัน

    แย่แล้ว ถ้าต้องต่อสู้กับอะไรอีก "  



    กานต์ แสดงความเห็น


    " แต่ข้าคิดว่ามันคงไม่มีแล้วในนั้น สัญชาติญาณของจรเข้ก็เป็นแบบนี้แหละ ชอบอยู่รูอยู่ถ้ำ มัน

    คงเข้าไป แต่คิดว่าไอ้ตัวนี้มันคงไม่กลับมาหรอก ดูมันขวัญเสีย คงตกใจเสียงตะโกนของ ท่าน

    พิษทารี ด้วย    ดีแล้วทีมีการตะโกนกัน ถ้าเข้าไปอีกหน่อยใกล้ตัวมันเราหนีไม่ทันแน่"


    ปู่อินทร์กล่าว


    " งั้นเราก็ต้องกลับเข้าไปอีกหรือ ถ้าในนั้นไม่มีอะไรแล้ว "


    ดุจปรายกล่าวอย่างระแวง


    " ทำไมล่ะครานี้มั่นใจว่าปลอดภัยกว่าคราวที่แล้วอีกนะ จะไม่เข้าไปได้ไง ลืมเเล้วเหรอเรามี

    ภารกิจสำคัญ "


    แสงดาวกล่าว


    " ไม่หรอก ว่าแต่ก็หวาดเหมือนกัน คนนะ  ขอเวลาทำใจอีกนิดแล้วกันยังไม่หายตกใจเลย "  


    ดุจปรายกล่าว


    " ไม่ใช่คนธรรมดานะ  คนรักของผมด้วย "  


    อรัญพูดแทรกขึ้นอีก ครานี้มีเสียงดังขึ้นอีกหลายเสียง


    " อ๊วก ๆ"


    และก็ตามด้วยเสียงหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี  


    " ถ้าไม่มืดก็ยังดีนะ คงไม่ค่อยหวาดอะไร นี่เราต้องกลายเป็นคนตาบอดสองวันเลยสินะ อากาศ

    ไม่ค่อยมีนะ อึดอัดอย่างนี้จะไหวเหรอ "


    สียงดุจปรายกล่าวขึ้นอีกหลังจากเริ่มเดินทางเข้ามาใหม่ และเข้ามาได้ลึกกว่าเดิม พร้อมทั้ง

    เหตุการที่เงียบสงัด และอากาศเริ่มเบาบางอึดอัด


    " อ้าวลืมเลย ขอโทษที "


    เสียง พิษทารี ดังขึ้นหลังจากได้ยินเสียงดุจปรายบ่น


    " ลืมอะไรหรือท่าน "


    ดุจปรายถาม


    " ก็อากาศหายใจนะสิ รับปากว่าจะแบ่งให้พวกท่าน "  


    พิษทารีนิ่งไปสักครู่ พวกอรัญก็รู้สึกว่าได้รับอากาศและหายใจได้คล่องขี้น  


    "โอ้มหัศจรรย์จริงๆท่าน ท่านทำได้อย่างไร "


    กานต์ กล่าวหลังจากได้รับอากาศ ที่ได้รับจาก ปิเยพิษทารี 


    " ปิเยที่โลกมนุษย์ เจ้า ก็ทำได้อย่างข้าเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่องเท่านั้นจึง

    สั่งให้เขาทำทันทีไม่ได้ ต้องปล่อยไปตามใจเขาว่าจะให้เมื่อไรในเวลาใด  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปิเยโลกเจ้าทำ

    ไม่ได้ คือสามารถทำได้ทันทีที่ต้องการ  อันนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของปิเยข้า  ไม่ได้มีแต่

    อากาศดีอย่างเดียวนะ อากาศเสียข้าก็สามาถปล่อยให้ได้"


    พิษทารีพูดจบ พวกอัครชัยก็ได้พบกับความแปลกใจอีกครั้ง


    " แสงสว่าง ตัวท่านเรืองแสงได้ในที่มืดได้ท่านทำได้ไง แล้วทำไมท่านไม่บอกเรื่องนี้ ปล่อยให้

    พวกเรากังวลกันอยู่ได้ "


    อรัญพูดอย่างแปลกใจ ที่บริเวรนี้สว่างขึ้นเรื่อยและแสงสว่างนั้นมาจากร่างปิเยพิษทารี และมัน

    สว่างมากขึ้นจนเห็นหน้ากันและระยะทางไปข้างหน้าอีกค่อนข้างไกลด้วย ทุกคนก็แปลกใจอย่าง

    อรัญ



    "  ข้าไม่อยากบอกที่แรก เพราะข้าจะดูซิพวกเจ้าถ้าพบกับความลำบากมากๆจะเดินทางมาเสี่ยง

    ใหม  แต่ข้าก็เห็นใจจริงของพวกเจ้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นจักต้องปิดบัง ร่างกายข้าสลักพิษ

    พิเศษไว้ สามารถสั่งให้ร่างกายมีแสงสว่างได้เมื่อตอนแรกเข้ามาจะเเสดงอยู่แล้วพอดีเกิดเหตุ

    ที่ต้องวิ่งกลับออกไปกับพวกเจ้าก่อน "



    ปิเยพิษทารี อธิบายเหตุผล


    " โอ..ถ้าอย่างนี้พวกเราก็คงไม่ลำบากแล้วมีทั้งแสงสว่างมีทั้งอากาศในนี้ก็ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร

    แล้ว "


    แสงดาวแสดงความเห็น


    "  ใช่ ท่านตะเคียน่า บอกเราต้องคลำทางเดินอยุ่ในนี้สองสามวัน แสดงว่าถ้าแสงสว่างเพียงพอแบบ

    นี้เราก็คงเดินทางได้เร็วขึ้น อาจจะแค่สองวันเท่านั้น "


    อัครชัยกล่าว และทุกคนก็เห็นด้วย ทั้งหมดจึงรีบเดินทางต่อ แต่แล้วเดินมาได้อีกครู่เดียวทุกคน

    ก็มาสะดุดกับกองอะไรสักอย่างหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า



    " อะไรน่ะ ขวางอยู่เกือบเต็มอุโมงเลยเราจะผ่านไปได้ยังไง "


    อรัญกล่าว  ปู่อินทร์ สังเกตุอยู่สักพักจึงจำได้ สิ่งที่กองอยุ่มีลักษณะกลมๆเหมือนลูกฟุตบอล

    กองใหญ่


    " ใข่จรเข้เมื่อกี้นี้นา ถึงใหญ่มากแต่ข้าก็พอจำมันได้ มันคงเข้ามาวางใข่ในนี้ รีบยกหลบและ

    รีบไป มีใข่แบบนี้ เดี๋ยวมันหายตกใจ เกิดกลับเข้ามา อย่าทำให้แตกนะ "


    ปู่อินทร์กล่าว  ทั้งหมดช่วยกันส่งใข่จรเข้มาข้างหลังอย่างระมัดระวัง มันมีจำนวนนับร้อยฟอง

    กว่าจะหมดก็เล่นเอาเหนื่อยเพราะหนัก  


    " ไปเดินทางต่อ "


    และปู่อินทร์ก็สั่งทันทีที่ย้ายเสร็จ  


    " ปู่แม่มันจะไม่ตามพวกเราเข้ามาเหรอ "


    ดุจปรายถามขึ้นอีกหลังออกจากที่นั่นมาสักครู่


    " ไม่หรอกกำลังมันคงหายใจได้ในที่ลึกแค่นั้น จึงได้วางใข่ตรงนั้น พวกเราถ้าไม่มีอ๊อกซิเจน 

    จากท่านพิษทารี คงเข้ามาขนาดนี้ไม่ได้เหมือนกัน ไม่น่าห่วงหรอก "


    ปูอินทร์ตอบ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลประกอบ แล้วทั้งหมดก็เดินทางต่อ เมื่อเข้ามาลึกมากหลายชั่วโมง

    บางครั้ง น้ำด้านในนี้ พวกเขารู้สึกว่ามันลึกมาก จนพวกเขาเริ่มหวั่นอยู่เหมือนกัน แต่ปู่อินทร์

    บอกว่าน้ำบริเวรนั้น อาจเยอะ เพราะทางเดินแคบลง จึงทำให้ทุกคนคลายความกังวลขี้น และ


    " โอ๊ .. ข้างหน้าที่อุโมงแยกไปสองสาย ทำอย่างไรดีล่ะจะไปทางใหนแล้ว "


    ปู่อินทร์ อุทานขึ้นหลังจากที่ได้เห็นภาพข้างหน้า  


    " พวกเราหยุดกันก่อนก็ดีเหมือนกัน ตรงนี้เป็นถำ้โถงใหญ่ มีอุโมงค์แยกไปสองทาง พวกเรา

    ถือโอกาสพักและหาหนทางไปด้วย "


    ปิเยพิษทารี เสนอความเห็น  แต่ที่จริงแล้วเขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ปิเยตะเคียน่า มิได้

    บอกว่าจะมาเจอ อุโมงค์แยกสองเเพร่งเช่นนี้ หรือไม่ตะเรียน่าก็คงไม่รู้เช่นกันเพราะที่นี่คงไม่มี

    ไครเคยลงมาได้แน่ ถ้าไม่มีความสามารถพิเศษอย่างเขา พิษทารี    



    " เนี่ยมีตัวอะไรด้วย ยั้วเยี้ยเลย ปู่อินทร์ เนี่ยตัวอะไร ไม่เคยเห็น "


    เสียงดุจปรายลั่น เธอรู้สึกสำผัสได้ว่าเหยียบอะไรที่เคลื่อนใหวได้  ทั้งหมดจึงเข้าไปดู  

    "
     อ๋อ สะดีน่า พวกนี้ไม่ใช่ปิเย เป็นสัตว์ที่มีเลือดเนื้อที่นี่ บนโลกท่านคงไม่มี มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดที่นี่

    คิดว่านับจากดินแดนแถบนี้ขึ้นไปทางเหนือ จะไม่มีสัตว์ ที่มาจากโลกอยู่แล้วเพราะห่างจาก ประตู

    ตะเนยามากและเป็นถิ่นของมัจเจ ที่แบ่งกันกับ ติอากอแล้ว ต่อไปนี้พวกท่านทุกคนต้องระวัง

    มากแล้ว เขตต่อไปนี้ไม่มีมิตรที่นี่แล้ว "  


    พิษทารีกล่าวและอธิบาย

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ณ.ขบวนมัจเจ 


    " เอ๊ะ มนุษย์กับปิเยหนึ่งร่างหายไป มันหายไปได้ยังไง ทั้งที่เจ้าบอกข้าเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วว่าพวกมัน

    ใกล้มาถึงเเล้ว "


    มัจเจเสียงลั่นหลังจากได้รับรายงานจากต้นไม้ส่งข่าวว่าตอนนี้ไม่พบ พวกมนุษย์แล้ว


    " จริง มัจเจนาย ตอนนี้ปิเยเราไม่เห็นพวกนั้นแล้วจริงจริง จู่จู่พวกนั้นก็หายไปเฉยเลย แถวโค้งน้ำลำ

    แควอี้ "


    ต้นไม้หาข่าวตอบ

     
    " มันคงไม่ล่องหนเข้ามาได้เหมือนเรคารียะของข้าหรอกนะ พวกเจ้าอาจหาไม่ดี ส่งปิเยไปเพิ่มซิ

    พยายามค้นหามัน ถ้าเจอรีบส่งข่าวให้ข้าด่วน "


    มัจเจสั่งเสียงกร้าว เขารู้สึกหัวเสีย


    " และอีกเรื่องหนึ่งมัจเจนายมีสิ่งผิดปรกติ  ที่ตะเนยานะท่านมัจเจนาย มีปิเยรูบร่างคล้ายมนุษย์ จำนวน

    มากขึ้นเรื่อยด้วย "


    เสียงรายงานจากเรคาสื่อสารรายงานต่อ


    " หมายความว่าอย่างไรหรือ มัจเจ มนุษย์ ปิเย ลูกน้องเจ้ารายงานอะไร ข้าไม่เห็นเข้าใจ "


    โอ๊คคาระถามอย่างเเปลกใจ


    " อ๋อ พวกมันหมายถึง เหล่าปิเยที่มันทำให้ร่างกายเหมือนมนุษย์ ข้าคิดว่า เหล่าปิเยของติอากอ

    อาจมีการ ทำให้ร่างกายเหมือนมนุษย์มากที่สุดคงเห็นว่าอาจทำอะไรได้คล่องแคล่วขึ้นกระมัง "


    มัจเจตอบ  


    " พวกมันทำให้ตัวเองต่ำลงเยี่ยงนั้น ได้อย่างไร เสียแรงที่มีตะเคียน่า คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ ติอากอ

    มันไม่ได้คิดเลยหรือ ว่าสกุลปิเยเราเหนือกว่ามนุษย์ โลกพวกนั้นมาก การทำเช่นนี้ ถือว่าลดตัว

    ลงไปต่ำ ทรามยิ่งนัก  "



    โอ๊คคาระกล่าว  คำพูดโอ๊คคาระ ทำให้มัจเจเกิดความคิดเปรียบเทียบ เขาเห็นว่าการที่มีสรีระ

    แบบมนุษย์ ดีหรือไม่ เขาไม่รู้แต่ก็แปลกใจ ที่ทุกครั้ง มนุษย์โลกเพียงไม่กี่คนนี้สามารถเล็ดลอด

    ต่อการทำการของเขาไปได้ทุกครั้งจนน่าแปลกใจ การทำตามอยากเป็นหรือมีรูปร่างเหมือนมนุษย์

    ของปิเยของ ติอากอและตะเคียน่าอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก๊เป็นได้ โอ๊คคาระ เสียเองการกระทำของ

    เขา น่าจะถือว่า น่าจะต่ำทรามมากกว่าอีกเขาให้มัจเจผิดคำ และข้อตกลงต่างๆที่ตกลงไว้กับติอากอ

    มากมาย พลันความคิดเขาก็สะดุดเมื่อได้ยินเสียง โอ๊คคาระดังขึ้นอีก


    " ไอ้พวกชอบร่างเป็นมนุษย์พวกนี้ พวกเราไปถึงต้องจัดการมันก่อนเลย ชอบทำอะไรต่ำๆ เช่น

    นี้  อีกกี่วันเนี่ยเราถึงจะถึง ข้าร้อนใจเเย่แล้วเนี่ย "

     
    โอ๊คคาระบ่นอย่างอารมณ์เสีย


    " คงไม่เกินหนึ่งเดือนหรอกท่าน ก็ท่านให้พวกเราทำอะไรหลายอย่างไปด้วย เลยเดินทางช้า  "

     
    มัจเจกล่าว  


    " ไม่ต้องมาโทษข้า บุ่มบ่ามอย่างเจ้าคงเสียการณ์ไปนานแล้ว เอาเถอะถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น ตอนนี้เรคารียะ

    ล่องหนของเจ้ามีจำนวนมากพอที่จะทำสงครามหรือยัง "


    โอ๊คคาระสบทและถามต่อ


    " นับสามหมื่นร่างแล้วท่าน ที่จริงเพียงร่างเดียวก็ทำการนี้ได้ เพียงแต่ขอให้เดินทางไปได้ถึงก่อน

    เท่านั้น  "


    มัจเจตอบ


    " ดีดี ข้าก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เครื่องมือชุดนี้ของเจ้าข้าเห็นว่ามันน่าจะได้ผลที่สุด "


    ปิเยโอ๊คคาระ กล่าว


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    กลับมาไต้อุโมงอีกครั้ง


    " แต่ปรกติพวกมันไม่ค่อยมาอยู่ในที่แบบนี้หรอก เหมือนมันหนีอะไรลงมาในนี้ แสดงว่าเรา

    คงใกล้ทางออกแล้ว "


    ปิเยพิษทารีกล่าว พร้อมเขี่ย ตัวลื่นยาวนามสะดือน่าไปมา

     
    " แต่ท่านตะเคียน่าบอกว่าเราต้องเดินนานกว่านี้ ไม่น่าจะใช่นะ นี่เราเดินมาได้ประมาณครึ่งวัน

    เอง "


    ปู่อินทร์ เห็นแย้ง  


    " อาจเป็นเพราะสองอุโมงค์ที่แยกกันก็เป็นได้นะ ทางหนึ่งอาจจะอยู่ใกล้ทางออกแล้ว และไอ้

    ตัวนี้ คงเข้ามาทางนั้น  แต่อีกทางอาจจะไปออกอีกที่หนึ่งตามที่ ท่านตะเคียน่าบอกก็ได้ "


    กานต์ แสดงความเห็น


    " เดี๋ยวก่อน เราต้องพิสูจน์กันบางอย่าง ใหนท่านลองดับไฟในร่างท่านก่อนซิ "


    ปู่อินทร์ บอกกับปิเยพิษทารี  และพิษทารีก็ทำตาม และขณะที่บริเวรนั้นมืดสนิท ในความมืด

    ทำให้ทุกคนประหลาดใจ



    " อุโมงนี้ มีแสงสว่างรำไรจริงอย่างที่ข้าคิดจริงๆ แสดงว่าอุโมงค์นี้ใกล้ถึงทางออกแล้ว พวก

    เราไปกันเถอะ "


    ปู่อินทร์กล่าว น้ำเสียงของเขาดีใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนพลอยยิ้มออกไปด้วย  


    " แต่เปิดไฟก่อนเหอะ ค่อยไป กลัวตัวอะไรเนี่ย มันกัดเปล่า ไม่รู้ "


    เสียงดุจปรายกล่าว แสงสว่างค่อยๆมีขึ้นอีกครั้งจนสว่างเหมือนเดิม


    " ไม่กัดหรอก พวกนี้ไม่ทำร้ายไคร มันจะกิน ชีร่าในดินเท่านั้น "  


    พิษทารีกล่าว ทั้งหมดพร้อมกันรุดไปอุโมงค์ทางนั้นทันที แต่ทว่าเมื่อออกจากที่นั่งพักมาได้

    หน่อยเดียวกลับพบว่า



    " อุโมงเหลือช่องนิดเดียว เราผ่านไปไม่ได้หรอก และแสงสว่างที่เป็นจุดเล็กๆปลายอุโมงค์นั่นก็

    ดูไกลด้วย กลับไปที่อุโมงค์ที่แยกไปอีกทางกันเถอะ ยังไงทางนั้นก็คงไปได้ อย่างที่ท่านตะ

    เคียน่าบอก "



    ปิเยพิษทารีกล่าว ทุกคนเห็นด้วยทันที  และทั้งหมดก็กลับมาที่ทางแยกอุโมงค์อีกครั้ง


    " น่าแปลก สะดีน่า หนีอะไรเข้ามา ธรรมดาแล้ว สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์ มีสัญชาติญาณเตือนภัยอยู่

     ปิเยเราสังเกตุการเตือนภัยได้จากสัตว์พวกนี้ ตอนที่ข้าอยุ่รวมกับมัจเจ ที่มัจติส เวลาเกิด พายี

    ระ หรือภัยต่างๆ ปรกติพวกนี้ไม่มีใครทำร้ายมัน  สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ มีข้อตกลงว่าจะไม่มีปิเย

    ทำร้ายมันตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่การเจอมันครั้งนี้ ลักษณะพวกมันน่าเหมือนการหนี หัวซุกหัวซุน

    มากกว่า ทึ่จะพยายามจะเตือนภัยอะไร "



    ปิเยพิษทารี กล่าวและตั้งข้าสังเกต หลังจากที่เริ่มเดินเข้ามาในอุโมงค์อีกทางหนึ่ง  


    " เป็นไปได้ใหมท่าน ว่ามันอาจตกลงมาจากปล่องอุโมงค์เล็กๆนั่น "


    อัครชัยแสดงความเห็น


    " เรื่องเข้ามา มันเข้ามาทางนั้นแน่ แต่ดูอาการของมัน มันหวาดกลัว สั่นๆร่างพิกล เหมือนกลัว

    อะไรอย่างหนัก เพราะลำพังช่องทางแค่นั้น มันสามารถกลับออกไปไม่ยาก เพราะมันอยู่กับดิน

    อยู่แล้ว จะว่ามันกลัวเพราะออกไปไม่ได้ หรือว่าข้างบนนี้คงมีกองกำลังของมัจเจมันอยู่แน่

     สะดือน่าจึงได้หนีลงมาอยู่ที่นี่"  


    ปิเยพิษทารีตอบ  และเขาทำได้แค่เก็บความสงสัยไว้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องข้างหน้าสำคัญ

    กว่าให้คิดอีกมากและเรื่องนี้ ถึงสงสัยก็คงพิสูจน์เวลานี้ไม่ได้แน่


    "ก๋องๆๆ"

     
    เสียงหนึ่งดังขี้น มันก้องดังมาอาจจะอยู่ไกลหรือไม่ ไม่อาจรู้ได้แต่พวกเขาทั้งหมดได้ยินถนัด  

    ทั้งหมดหยุดเดินทันทีเหมือนนัดหมายกัน เห็นท่าไม่ดี พิษทารีหรี่แสงดับลงทันที


    " เสียงอะไร "


    เสียงหนึ่งกระซิบถามในความมืด ปู่อินทร์นั่นเอง


    " ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนอะไรอย่างหนึ่งตกกระทบพื้น "


    ปิเยพิษทีรา ตอบ


    "  ข้างหน้ามีอะไร หรือมีใครแอบซุ่มรอพวกเราอยู่  "


    กานต์แสดงความสงสัย


    " ไม่รู้แน่ แต่ต้องระวังตัวกันให้มาก อะไรก็ไม่แน่ ในที่เช่นนี้ อาจเป็นได้ว่าพวกมันอาจจะรู้ก็ได้

    ว่าพวกเรา เข้ามาข้างในนี้ "  



    เสียงปิเยพิษทารีกระซิบอย่างแผ่วเบาตอบ และทุกอย่างก็เงียบกริบ


    " เราค่อยๆย่องเข้าไปอีกหน่อยอย่าพึ่งเปิดไฟนะ ถ้ามีพวกมันจริง พวกเราจะเป็นเป้าได้ "


    ปู่อินทร์กล่าว แต่เมื่อทุกคนต้องคลำในความมืดกลับมีเสียงที่ดัง คือทุกก้าวที่ย่ำลงในลำน้ำ

    น้อยๆที่ใหลอยู่ ทุกคนจึงพยายามเดินให้ช้าลงอีกเพื่อให้เสียงนั้นดังเบาลง  หลังจากที่ย่องเเละ

    ย่ำมาตามอุโมงค์ สักพัก พวกเขาก็มาถึงช่วงโค้งของอุโมงค์ เมื่อได้เห็นเช่นนั้น พิษทารีก็กล่าวขึ้น


    " ไม่เห็นมีอะไรสงสัยเสียงที่ดังคงมีอะไรอยู่ข้างนอกอุโมงค์ไกลๆ  และเสียงมันสะท้อนเข้ามา "  


    แต่เมื่อทั้งหมดย่องเข้ามาใกล้และพ้นอุโมงค์ที่โค้งมา ปู่อินทร์ซึ่งขณะนี้นำอยู่ข้างหน้าถึงกับหยุดกึก

    กระทันหัน และพยายามดัน พวกเขาทั้งหมดถอยหลังมาหน่อยหนึ่ง  เบื้องหน้า สิ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าน่า

    จะเป็นทางออกเพราะมีแสงสว่างนั้น ทุกคนกลับเข้าใจผิด ท่ามกลางแสงสว่างที่เห็นชัดอุโมงค์  ยังทอด

    ไปสุดลูกหูลูกตา แต่ทว่าท่ามกลางแสงสว่างนั้น 

    ทุกคนก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก รูปร่างใกล้เคียงมนุษย์ เดินเพ่นพ่านกันไปมา  และแสงสว่างนั้นเกิด

    จากแท่งอย่างหนึ่งที่ตั้งไว้สองข้างผนังของอุโมงค์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×