ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #29 : ตาต่อตา ท้าประชิด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 231
      4
      8 ก.ค. 62




    ได้ฟังคำตอบจาก ปิเยตะเคียน่า ทำให้ทุกคนประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก พวกเขาเริ่มรู้สึกหนักใจ

    เกี่ยวกับศัตรูอีกครั้ง หนึ่ง หลังจากได้ทราบความทุกอย่างจากปิเยตะเคียน่า    


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    อีกด้านหนึ่ง...


     " ปรากฏตัวแล้วซีนะ สหายร่วมอายุกับข้า  หลายพันปีแล้ว ไม่ได้เจอกับมัน ตะเคียน่า พอมัน

    ปรากฏตัวมาก  ก็ทำลายแผนการณ์ เจ้าเสียยับเยิน เห็นไหม มัจเจ สิ่งที่จะทำให้เจ้าเกิดความ

    กลัวได้ "  


    ภายใน ร่างมัจเจที่ใหญ่โตนั้น ภายในมีต้นไม้ต้นหนึ่งซ่อนอยู่ โดยก่อนหน้านี้ไม่มีไครรู้เลยว่าใน

    ร่างของ มัจเจ จะมีต้นไม้ต้นนี้ซ่อนอยู่


      
    " โอ.. มันร้ายกาจสมคำเล่าลือตามที่ท่านบอกจริง เฮดาร่า ของข้าสะบั้นหมดเลย หนำซ้ำยังยืม

    พายีระ เป็นเครื่องมือในการทำลาย เรคา และ เรคารียะ เสียยับเยินหมดเลย  "


    มัจเจตอบ  


    " นั่นล่ะมันล่ะ หอกข้างแคร่แห่งข้า และเจ้าล่ะ พวกมันถูกคัดเลือกให้ไปโลกมนุษย์ ทั้งหมดแล้ว

     แต่มันร่างนี้ ยังคงอยู่ เพื่อจะเยาะข้า  ถ้ามันไม่อยู่ข้าคงจะอยู่ที่นี่ อย่างสบายใจ และคงไม่ต้อง

    กระเสือกกระสนหาทางไป ยังโลก เพราะไม่อยากอยู่ร่วมดินแดนกับมัน ทำไมนะ แต่แรก

    ประตูมิติไม่เปิดที่ หิมาลิส เผ่าพันธ์ที่มีความสามารถ เช่นข้า จักได้รับเกียรติไป ยังโลก แทนเผ่า

    พันธุ์ แห่ง ตะเคียน่ามัน หรือไม่มันก็ไปเสียทั้งหมด ไม่อยู่เป็นหอกข้างแคร่ทิ่มแทงใจข้าอยู่

    หลายล้านปีแบบนี้  "  


    ปิเยโอ๊คคาระ น้ำเสียงเเสดงอาการ เครียดแค้น  

     
    " อย่างไรเสีย ก็ ท่านก็ได้ข้าเป็น อาสา ขจัดเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงใจแห่งท่านแล้วนี่ จะช้าหรือ

    เร็วเท่านั้น   พวกปิเยทางไต้ทั้งหมด ก็ต้องสิโรราบ ให้กับพวกเราอยู่ดี หรือท่านไม่มั่นใจเมื่อ

    ร่วมมือกับข้า "


    มัจเจกล่าว  


    " ไม่หรอก ยังไงข้าก็มั่นใจ เจ้า มัจเจ ข้ามองร่างปิเยเช่น เจ้าไม่ผิด เจ้ามีอุปนิสัย เหมือนกับข้า     

    เจ้ากับข้ามีความกระตือรือร้นมากกว่า มันสองร่าง ตะเคียน่า และ ติอากอ นัก อุปนิสัยของสอง

    ร่างศัตรูเรา นั้น มันชอบอยู่นิ่งๆ มันเหมาะจะเป็นผู้อยู่ไต้อำนาจ พวกเราเสียมากกว่า จ้องแต่จะ

    ทำแต่ความดีที่มันอ้างบ้าบออะไรของมัน มันไม่รู้หรอก ถ้าวันหนึ่งมันต้องเป็นทาส ข้ามันยังจะ

    ทำอะไรอย่างนั้นได้อีกไหม ถึงเวลานั้นเมื่อมันอยู่ในเงื้อมมือข้า แม้จะยังหาทางฆ่า ตะเคียน่าไม่

    ได้  แต่ข้าสาบานได้ว่า จะไม่ให้มันได้อยู่อย่างสงบเลย "  

    โอ๊คคาระ กล่าว  

    " นายท่านและ ปิเยตะเคียน่า มีร่างเป็นอมตะ ไม่สามารถมีสิ่งใดทำสิ้นแห่งชีตะได้ ข้าเกรงว่า

    จะหาหนทางสิ่งใดไม่ได้ ในการทำลาย ปิเยตะเคียน่า หลังจากที่เราได้ทำลายติอากอ และ

    พลพรรค ทั้งหลายของมัน "  

    มัจเจถามขึ้น ด้วยสงสัยมานาน เกี่ยวกับการเป็นอมตะของทั้งสองร่างปิเยโบราณนี้


    " เมื่อ ตะเคียร่ายอมปรากฏร่างแล้ว ข้าก็ไม่มีความจำเป็นจักต้องปิดบังอะไรเจ้าแล้ว เรื่องที่ข้า

    เคยยืนยันมาตลอด เรื่องการทำลายร่างที่เป็นอมตะ ของข้าและตะเคียน่าที่ข้าเคยบอกว่าไม่มีนั้น

    ถูกเพียงครึ่งเดียว หมายความว่าในดินแดน ติยากิออนี้ ไม่มีสิ่งใดทำอะไรข้า และตะเคียน่าได้ ที่

    จริงแต่   ถ้าไม่ใช่ที่ดินแดนนี้...... อาวุธที่จะทำลายสองชีตะของข้าและ ตะเคียน่าได้ มีอยู่เพียง

    แต่มันไม่ได้อยู่ใน ติยากิออเท่านั้นเอง  แก่น สารีลักษ์ ของมนุษโลก ผู้ออกค้นหาความหลุดพ้น

    จนบรรลุเห็นแจ้ง แล้ว วิณญานะ ไม่ต้องเดินทางไกลแล้ว แก่นสารีลักษณ์ ของท่านเหล่านั้น สามารถ

    ปลิดชีตะสองร่างเราได้ และนั่นคือทันทีที่ใปยังโลกได้ เหล่ามนุษย์ ที่แสวงหาการไม่เดินทางไกลแล้ว

    จักเป็น กลุ่มแรก ที่จะต้องถูกข้าทำลายก่อน จนข้ามั่นใจว่าจะหมดสิ่งที่ทำร้ายข้าได้ จากนั้น ร่าง

    ข้าคงจะเป็นอมตะอย่างแท้จริง  และข้าจะใช้ แก่นสารีลักษณ์ ขจัดเสี้ยนหนามแห่งข้าด้วย


     โอ๊คคาระกล่าว และบอกสิ่งที่ปิดบังมาตลอด แต่ในใจ มัจเจตอนนี้กลับคิดไปอีกทาง

     
    """เจ้าคิดเหรอว่า ว่าเมื่อท่านได้สิ่งที่หมายแล้ว ทาสรับใช้อย่างข้า จะไม่หมดความหมาย
     
    โอ๊คคาระ เจ้าบอกเองนะ ว่าความคิดข้าเหมือนกับเจ้า ตอนนี้ข้าคิดว่า ถ้าเป็นข้าแล้วถ้าจะคิด

    เป็นใหญ่ ก็ไม่สมควรมีเมตตากับไคร แม้แต่คนที่ช่วยมาตลอด อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่ามี

    อะไรทำให้ชีตะท่านสิ้นได้  เมื่อถึงเวลานั้น ข้าขอความอมตะ แทนท่านแล้วกันนะ โอ๊คคาระ """


    และนี่คือความคิดของ มัจเจ และก็ต้องสะดุดเมื่อเสียงของ โอ๊คคาระดัง ขึ้นอีก


    " เรคารียะ ของเจ้า ได้ชุบตัวตามคำบอกแห่งข้าจนเก่งกล้าขึ้นมากแล้ว ส่งไปทำลายพวกมันได้

    เลยนะ มัจเจ ร่างดิโนสิพร้อมแล้วนี่ข้าอยากเข้าไป โลกเต็มทีแล้ว จำไว้อยู่ให้เราต้องชะงักการ

    เดินทาง ทุกอย่างต้องเสร็จก่อนเราไปถึงตะเนยา "


    " ได้นายท่านรับรอง ท่านต้องได้รับข่าวดี เร็วนี้แน่ "  


    มัจเจ รับคำ


    " อย่าให้พลาดอีกนะ พักนี้ข้าได้รับแต่ข่าวร้าย  และถ้าข้าอารมณ์เสียมากๆ เจ้าคงรู้นะว่า

    อารมณ์ ข้าจะเป็นอย่างไร "


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    และที่ตะเนยา  ปู่อินทร์ ได้เข้ามาหา ตะเคียน่า อีกครั้ง


    " ท่าน ตะเคียน่า แม่หนู จามิกรของเรา ข้ารู้สึกว่าเธอจะไม่สบาย ท่านพอจะมีวิธีแนะนำเรื่อง

    การรักษาหรือไม่  "


    ปู่อินทร์ ถาม เขาสังเกตุเห็น ว่า จามิกร ดูหงอยๆ และเขาได้สอบถามดู เธอบอกว่าตัวเธอร้อน

    ทั้งครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายจะเป็นไข้ ถ้าเป็นอยู่ป่า ตอนที่เขาอยู่บนโลก ปู่อินทร์ คงหาสมุนไพร

    รักษาให้ได้แล้ว แต่เป็นที่นี่ ปู่อินทร์แทบไม่รู้จักกับต้นไม้อะไรเลย เขาเห็นว่า ปิเยตะเคียน่า  น่า

    จะรู้เพราะเขาอยู่ที่นี่มานาน และก็แสดงให้เห็นบ้างแล้ว ว่าปิเยตะเคียน่า รอบรู้แทบทุกอย่าง


    "  ดู จากอาการแล้วแม่หนูคนนี้คงจะได้รับ ชีร่า แถบนี้ ที่ลอยมากับอากาศ แต่คงไม่ร้ายแรง

    นัก เพราะร่างกายยังไม่ได้ทรุดโทรม ลง  เชื้อชีร่าประเภทนี้  มีละอองใบ ของ ปิเยสะมันพรี ที่

    อยู่ทางเหนือ น่าจะรักษาให้หายได้  "  


    ปิเยตะเคียน่าตอบ อย่างรอบรู้ สมกับที่ปู่อินทร์คิดไว้แต่แรกทีเดียว  


    "  ปิเยสะมันพรี รักษา ชีร่า นี้ ได้เหรอท่านตะเคียน่า แต่ปิเย สะมันพรี มีละอองพิษ ปิเยเราไม่

    เคยมีใครกล้าก้าวล่างเขาไปในดินเเดนของ ปิเยสะมันพรี เลยอีกทั้งพวกนั้น ยังเป็นปิเย ที่

    เคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่สนองตอบต่อการสื่อสารใดๆกับปิเย อื่นๆเลย "


    ปิเยทาร์ กล่าว เขารู้จัก ต้นไม้พวกนี้พอสมควร แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเป็น ยารักษา อาการป่วยของมนุษย์ที่

    เกิดจาก ชีร่าได้



    " ใช่ ปิเยสะมันพรี มีละอองใบที่ทำลายชีร่า บางชนิดได้ แต่มันมี จุลชีวิต เหมือนปิเยที่เกิดบน

    โลกมนุษย์ คือไม่ติดต่อสื่อสารกับไคร ไม่เคลื่อนไหวบนดินได้อิสระ เหมือนปิเยเราบางส่วน และ

    ละอองเกสร มีพิษ เพื่อใช้สำหรับป้องกันตัวเอง แต่ข้ารู้ว่ามันมีเชื้อใบที่ทำลายชีร่าบางชนิดได้

    ที่จริง เขาไม่ได้เป็นปิเย ที่กำเหนิดจากดินแดนเรา เขาติดร่างกายกับมนุษย์ โลกมาสู่ดินแดนเรา

    และมาเจริญเติบโตที่นี่ จึงไม่เหมือนกับปิเยเรา "  


    ตะเคียน่าตอบอย่างรอบรู้ อีกครั้ง


    " งั้นพวกเราคงต้องไป หาต้นไม้นี้ มารักษาอาการของ จามิกรแล้วล่ะ เดี๋ยวจะเป็นหนักไปกว่านี้

    ผมคิดว่าผมอาจจะรู้จักต้นไม้รักษาโรคต้นนี้ก็เป็นได้ ถ้ามาจากโลกจริง ผมเป็นหมอ ก็ศึกษา

    สมุนไพรมาแทบทุกชนิดเหมือนกัน "


    อัครชัยกล่าว  

     
    " ข้าจะให้ปิเยข้า ไปส่งพวกเจ้าที่ต้นเขตถิ่น สะมันพรี แล้วกัน ไม่มีปิเยใดกล้าเข้าไปในถิ่นนั้น

    พวกเจ้าหาทางต่อจากนั้นละกัน คิดว่าไม่น่าจะยาก อีกอย่างคิดว่า คงไม่มี ปิเย ของมัจเจ กล้า

    เข้าไปโจมตีพวกเจ้าในดินแดนแห่งนั้นเช่นกัน ระยะทางจากนี้ไปถึงที่นั่นคงเกิน หนึ่งวันเล็กน้อย

    คงยังทันกับขบวนศัตรูที่ ท่านตะเคียน่า สงสัยว่าจะมาโจมตีเราที่นี่ "



    ปิเยทาร์กล่าว  ตะเคียน่าได้ยินเช่นนั้นเลยกล่าวเสริมขึ้น


    " ใช่ ดิโนสิก ตัวใหญ่ๆที่ว่าน่ากลัว อยู่ห่างจากที่นี่ต้องเดินทางสามถึงสี่วัน ในบริเวรนี้มีแต่ ดิโน

    สิกร่างเล็กๆ  ถึง เรคารียะจะควบคุมได้ก็ไม่ค่อยน่ากลัวอะไร เจ้าจงรีบไป รีบกลับ ที่จริงแล้ว    

    ดิโนสิก ที่น่ากลัวที่สุดคือ ดิโนสิค แถบดินแดน มัสติ๊สของ มัจเจนั่น เพราะที่นั่นเป็นน้ำเเข็ง

    สามารถคงสภาพร่างกาย ของดิโนสิค ได้ดี เผลอๆ เราจะได้เจอมัน ในสภาพที่เหมือนเมื่อหก

    สิบห้าล้านปีที่แล้วเลยทีเดียว "  


    ไม่รอช้าทั้งหมด เตรียมการเดินทางทันที และพวกเขาก็ตกลงกันว่า จะเดินทางไปด้วยกัน

    ทั้งหมดทุกคน เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ ทั้งหมดเดินทางขี้นไปทางทิศเหนือหนึ่งวัน

    เส้นทางเลียบ ลำน้ำ ภาชีระโดยการนำทางของต้นไม้ที่นำทางด้วยการชำนาญทาง ตามคำสั่ง

    ของปิเยทาร์ และเมื่อเข้าเวลาค่ำระหว่างที่เดินทางกันอยู่นั้น ต้นไม้ที่นำทางอยู่ข้างหน้า อยู่ดีๆก็

    หมุนคว้างล้มลง  พวกเขาตกตะลึง และเริ่มมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังตัว


    " ช่วยข้าที ช่วยดึงข้ากลับออกไป "  


    เสียงต้นไม้ที่นำทางและล้มลง บอก


    " กลับออกไป ไปใหนล่ะท่าน และกลับออกไปจากที่ใหน "

     
    พวกเขารู้สึกแปลกใจกับคำพูดที่ต้นไม้นั้นบอก เพราะพวกเขาไม่เห็นอะไรน่าสงสัย ที่จะทำร้าย

    ต้นไม้ เบื้องหน้าพวกเขาเลย  


    " เราเผลอก้าวล่วงเข้ามาในถิ่น สะมันพรี แล้ว ข้าต้องพิษของมัน พวกท่านช่วยลากร่างของข้าออก

    จากวงพิษนี้กลับไปที "  


    ได้ยินต้นไม้พูดเช่นนั้น พวกเขาเริ่มเดาออก ถึงจะไม่ได้เห็นวงอะไรอย่างที่ต้นไม้นั้นบอก ต้นไม้

    ถูกลากถูลู่ถูกัง ถอยหลังกลับมาทันที   และเมื่อลากกลับออกมาได้สามสี่เมตรเสียงของต้นไม้ก็

    ดังขึ้นอีก


    " โอ...ค่อย ยังชั่ว ข้าไม่เป็นไรแล้ว ข้าส่งพวกเจ้าแค่นี้หละนะ ถึงชายเขตดินแดน สะมันพรี แล้ว

    ข้าไม่อาจล่วงเข้าอานาเขตเเห่งนี้ได้ "  


    " ไม่เป็นไร ท่านปิเยต้นนี้  เราจะพยายามหาทางตามที่ปิเยทาร์ บอกเอง ขอบใจท่านมาก ท่าน

    กลับไป ตะเนยาได้ ขากลับพวกข้าไปถูกแล้ว ยอด ตะเนยาสูงเด่นเห็นแต่ไกลแบบนั้น ข้าไม่

    หลงตอนขากลับแล้ว "  


    ปู่อินทร์ กล่าว เขาเองมั่นใจ เรื่องขากลับ เพราะการเดินป่า เป็นประสบการณ์ในชีวิต ของเขา

    เนิ่นนาน หนทางที่ผ่านมา คงจะได้แน่นอน  



    " ได้ แต่เอ๊ะ..พวกท่านมนุษย์โลกนี้ พวกท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ ตอนที่นำร่างข้าออกมา

    จาก วงพิษถิ่น ปิเย สะมันพรี "


    ต้นไม้ต้นน้้นถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่ามนุษย์ เหล่าไม่ได้แสดงอาการอะไร ทั้งที่อยู่ในวงพิษ ที่

    ทำให้เข้าเกือบตายตอนนั้น


    " ไม่เป็นไรนี่ ท่าน เราก็เฉยๆ เหมือนปรกติ ไม่รู้ด้วยซ้ำ เห็นท่านอาการเป็นอย่างนั้น ยังสงสัยกัน

    อยู่เลย "


    อัครชัย ตอบ

     
    " โอ. ..นี่แสดงว่า ละอองพิษสะมันพรี ไม่มีผลกระทบกับพวกมนุษย์ เช่นพวกท่านแน่ คงเป็น

    เพราะมาจากโลกเหมือนกัน ดีเลย พวกเจ้าจะได้เข้าไปเก็บ ละอองใบของ สะมันพรีได้ง่ายขึ้น

    เข้าไปจากนี้อีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร ท่านจะได้พบกับ ปิเย สะมันพรี ข้าไม่ค่อยห่วงอะไรแระ

    อย่างนั้น ข้าขอกลับเลยละกันข้าจะนำเรื่องนี้กลับไปรายงานท่านปิเยทาร์ และพวกเราที่ตะเนยา

    ให้ทราบ ขอให้พวกท่านโชคดี  "



    พูดจบต้นไม้ก็ลุกขึ้นและเคลื่อนจากออกไป  


    " อีก หน่อยเดียวเองหนึ่งกิโลเมตร เราเดินกันไปต่อดีกว่า เดี๋ยวมืดมากกว่านี้ เจอต้นไม้ที่เป็นยา

    แล้ว ค่อยคิดกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป "


    ปูอินทร์ สั่งและออกเดิน  ทั้งหมดออกตาม เขาไปทันที ถึงมั่นใจว่าละอองพิษ อย่างที่ตะเคียน่า

    บอก ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้แล้ว แต่พวกเขาก็เดินทางอย่างระมัดระวัง เพราะเริ่มมืด

    มากขึ้นด้วย พวกเขาสังเกตุ เริ่มไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย คงอย่างปิเยทาร์ บอกไว้ เขาเดินกันมาสัก

    ครู่ในความมืด กะได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตรอย่างที่ต้นไม้นำทางมา บอกและแล้วปู่อินทร์ ก็บอก

    ทุกคน


    " ชัดเลย ข้าได้กลิ่นมันแล้ว อย่างที่นึกไว้จริงๆ ไม่มีผิด "

     
    " อะไรหรือคะ "


    ดุจปรายถามอย่าง สงสัย กับคำพูดของปู่อินทร์ ที่บอกว่าสัมผัสกลิ่นอะไรสักอย่าง  


    " ไอ้ต้นยานะสิ ข้าจำกลิ่นมันได้ "


    ปู่อินทร์ตอบ


    " ผมก็ได้กลิ่นเหมือนกัน ครับปู่ คาดว่าไม่ผิด"


    อัครชัยกล่าวเช่นกัน


    " อะไรกันเหรอคะ มันเป็นต้นยาอะไร "


    จามิกร ถามอย่างสงสัย เธอเองใจจดจ่อ อยู่กับมัน เพราะว่าเป็นความหวังที่จะทำให้เธอหาย

    ป่วยได้  



    " ต้นฟ้าทลายโจร "


    เสียงปู่อินทร์ และอัครชัยพูดขึ้นเกือบพร้อมกัน  อัครชัยเลยให้ ปู่อินทร์ อธิบายต่อ เพราะเห็นว่า

    เป็นพืชที่อยู่ในป่าและปู่อินทร์ คงรู้ดีกว่าเขา  



    "  ไอ้เจ้านี่เป็นต้นยา รักษาได้หลายโรคด้วย ที่บ้านเรา  โชคดีแล้วที่เป็นมัน ถ้าเป็นต้นไม้

    แปลกๆ ข้าไม่รู้ว่าจะกล้าให้ หนูจามิกรกินหรือเปล่า เด็ดเคี่ยวได้เลยนังหนูจามิกร  รสมันขม

    นิดหน่อย แต่รับรองอาการป่วยหายได้ชงัดนัก ที่ข้าอยู่ป่า เอาไปปลูกไว้หลายต้นเหมือนกัน "


    จามิกรเด็ดใบมาถือไว้ เธอพึ่งรู้สึกได้กลิ่นว่ามันเหม็นเขียวอย่างรุนแรงเมื่อเธอพยายามหยิบมัน

    เข้าปาก และทันทีที่ลิ้นรับรส สัมผัส


    " อึ๋ย... ขมไม่นิดหน่อยนะปู่ ปี๋เลย "


    จามิกรอุทาน พร้อมย่นคอ ด้วยความขม  


    " ฮ่า .. ถ้าบอกว่าขมมากเดี๋ยวเอ็งไม่กิน กินเข้าไปเยอะๆ ทนเอาหน่อย  ข้ามั่นใจแล้วพรุ่งนี้

    รับรอง อาการเอ็งดีขึ้นแน่ ใครจะกินเพื่อป้องกันไว้ก็ได้นะ "


    ปู่อินทร์กล่าว


    " ใช่แล้ว ฟ้าทลายโจร กินเพื่อป้องกันโรคได้ด้วยผมก็จะกินเหมือนกัน และอยากให้ทุกคนกิน

    ด้วย "


    อัครชัย กล่าวเสริมและแนะนำ ทุกคนทั้งหมดจึงได้ทำตามคำแนะนำนั้น  หลังจากที่ใบยาจำนวน

    หนึ่งได้ถูกเคี้ยวและกลืนอยู่ ปู่อินทร์ ได้พูดขึ้นว่า


    "
     สงสัยพวกเราต้องกางเต้นก์ นอนที่นี่แล้ว รู้สึกว่าจะปลอดภัยดี อย่างที่บอกคงไม่มีอะไรเข้ามา

    ที่นี่ได้ นอนพักเอาแรงไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกลับ "


    " ดีครับลุง เปลี่ยนบรรยากาศ "


    อรัญกล่าวสนับสนุน แต่น้ำเสียงเขาลากยางเเบบติดตลก เหมือนจะให้ใครบางคนรับรู้  


    " อีกแระ  "


    เสียงดุจปรายตอบอย่างรู้ทัน  และทั้งหมดก็หัวเราะขึ้น และต่างแยกย้ายกันห่างออกจากกันเล็ก

    น้อย  


    "  เข้าเวรผลัดละสองชั่วโมงนะ คราวนี้ห้ามหลับเด็ดขาด ไม่มีใครมาระวังอะไรให้ที่นี่มีแต่พวก

    เรา "


    เสียงปู่อินทร์ส้่ง  ทั้งหมดรับรู้ และเต้นก์ก็ถูกกางขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเห็นว่าจะเริ่มดีกแล้ว

    จามิกร รู้สึกได้ว่าในลำคอของเธอขมอยู่ ตลอดเวลา แต่อาการเจ็บคอหายไปมากหลังจากได้

    เคี้ยวใบยา ที่เดินทางมาหานี้ เธอรู้สึกดึใจ ที่อาการดีขึ้น  และเมื่อเต้นก์ทั้งหมดถูกกางเสร็จ

    เรียบร้อย ทั้งหมดเข้าไปประจำเต้นของตนเอง  อรัญล้มตัวลงนอนข้าง ดุจปราย ที่เข้ามานอน

    ก่อนเมื่อ เขาสังเกตุเห็นว่าแฟนสาวนอนเอามือก่ายหน้าผาก  



    " เป็นไรไปเหรอ ปราย หรือไม่สบาย "


    อรัญถามอย่างสงสัยในอาการที่เห็นของแฟนสาว

    "
     คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ยิ่งได้เห็นโลกเมื่อวานแล้ว  ยิ่งรู้ว่ามีหนทาง กลับบ้านโดยที่เวลาไม่ต่างกัน

    ด้วยได้ยิ่งคิดถึงไปใหญ่ "


    ดุจปรายตอบ ในความมืดมีหยดน้ำตาของเธอใหลซืมออกมา  ได้ยินเช่นนั้น อรัญรู้สึกสะเทือนใจ

    และสงสารแฟนสาวยิ่งนัก เขาเองก็มีอาการเช่นนั้นเหมือนกัน  


    " พี่สัญญานะ ว่าจะพยายามพาปรายกลับไปบ้านให้ได้ หลังจากที่เสร็จภาระกิจที่นี่ คิดว่าคู่อื่นๆก็

    คงคิดเหมือนเรา เราต้องทนนะ เราเหมือนถูกเลือกให้ได้ทำภารกิจนี้ เราจะเป็นกำลังใจให้กัน

    และกัน ก้าวผ่านมันไปให้ได้ " 

    อรัญปลอบแฟนสาว น้ำเสียงของเขาดูจริงจัง กว่าทุกครั้ง ดุจปรายพยัก หน้าในความมืดช้าๆ รับ

    รู้คำนั้น และซุกร่างในอ้อมกอดของอรัญ    ทั้งคู่หลับไปแบบนั้น

    จนกระทั่ง


    "  อรัญ อรัญ ..ดุจปราย ตื่นเถอะ ถึงผลัดของเธอสองคนแล้ว "


    ทั้งสองสะดุ้ง ลืมตาขึ้นในความมืดสลัวเห็น แสงดาวอยู่หน้าเต้นก์  


    " จะตีห้าแล้ว ที่แรกกะว่าจะช่วยอยู่ให้เธอสองคนนอนจนสว่าง ..ไม่ใหว "


    " ไม่เป็นไรขอบใจมากแสงดาว ที่จริงน่าจะเรียกตั้งแต่ตีสี่แล้ว ขอบใจมากอุตส่าเข้ายามมาให้

    อีกชั่วโมงเเนะ เธอไปนอนเถอะ พวกเราต่อเอง "


    ดุจปรายตอบ แสงดาวเดินไปที่เต๊นก์และมุดเข้าไปในนั้น ที่มีอัครชัยรออยู่ก่อนแล้ว อรัญและ

    ดุจปราย ถูกจัดให้เข้ายามเป็นผลัดสุดท้าย เขาทั้งสองถือโอกาสเก็บเต้นก์เลยเพราะคงไม่ได้

    นอนอีกแล้วคืนนี้ และทั้งคู่ก็เดินห่างจากเต๊นก์ทุกคนออกมาเล็กน้อย เพื่อว่าเวลาคุยกันจะได้ไม่

    รบกวนคนที่หลับอยู่ อากาศเย็นค่อนรุ่ง ทำให้ อรัญที่ยืนอยู่ คว้าร่างบางของแฟนสาวมากอดอีก

    ดุจปรายไม่ได้ขัดขืน แต่ได้พูดหยอกเขา


    " มองไปทางอื่นมั่ง ไม่ใช่มองแต่ปราย เดี๋ยวอะไรมาก็ไม่เห็น "

     
    แทนคำตอบ อรัญใช้มือยีหัวเธอ  และกลับมากระชับ วงกอดอีกครั้ง  และทั้งคู่ก็จูงมือกันไป

    ตามทิศต่างๆ เพื่อดูสิ่งที่จะเข้ามา ทั้งคู่ทำอยู่อย่างนั้นประมาณเกือบชั่วโมงจนเริ่มมองเห็น แสง

    อาทิตย์เริ่มจับที่ขอบฟ้า  



    " เช้าวันใหม่แล้ว ผ่านไปอีกวัน คงไม่มีอะไรแล้ว ปรายดูนะ อาทิตย์ยามเช้านี้ สวยมาก "


    อรัญบอกแฟนสาว พร้อมทั้งชี้มือไปทางทิศตะวันออก  ดุจปรายมองตาม และตอนนี้ดวงอาทิตย์

    เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้ว แต่ทันใดสายตาของทั้งสองก็สังเกตุเห็นสิ่งหนึ่ง ที่ทิศนั้น


    " ท่าไม่ดีแล้วปราย เรารีบไปปลุกทุกคนเร็ว อะไรไม่รู้กำลังเเหวกหญ้า มุ่งมาทางนี้"


     และ ..บัดดลนั้นทั้งสองก็แยกกันไปตามเต๊นก์ เพื่อปลุกทุกคนทันที



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×