ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #18 : รู้เขา รู้เรา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 473
      14
      7 ก.ค. 62




    หลังจากที่ฝังกลบร่างของผู้เสียชีวิตอีกหนึ่งร่างเป็นที่เรียบแล้ว

    ทั้งหมดก็ตัดสินใจเดินทางไปจุดที่ หญิงคนนั้นได้บอกว่ามีผลไม้สำรับแก้ มัจจิรา นั้นโดยทันที

    พวกเขาเดินทางลงจากเขาลงไป และอีกชั่วโมงเดียว ก็ได้มาพบส่วนที่เป็นบริเวรแม่น้ำ แม่น้ำ

    สายนี้ใหญ่กว่าแม่น้ำที่ใหลขึ้นเหนือ เมื่อสองสามวันก่อนมาก แต่แม่น้ำเส้นนี้ใหลลงไต้ 

    ความกว้างใหญ่ของแม่น้ำสายนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่า ต้นทางของ แม่น้ำสายนี้อาจมีความใกลถึงเป็นพัน

    กิโลเมตร และนั่นคงเป็นปลายทางที่เขาต้องเดินทางไป ถ้าไม่ได้ล่วงรู้ว่ามีผลไม้ถอนปรสิตอยู่บริเวรนี้   

    และ ณ.ริมเเม่น้ำแห่ง

    นั้นต้นไม้กลุ่มหนึ่งก็ได้ชูผลสร้างอยู่เต็มต้น  ปู่อินทร์เห็นเช่นนั้น เขาจำมันได้ดีแม้เวลาจะผ่านมา

    เป็นร้อยปีแล้วก็ตาม 



    " นี่ไงไอ้นี่แหละ ที่ข้าเคยกินมันเข้าไป  "


    แกไม่พูดอย่างเดียวยังชี้ให้ทุกคนดูด้วย ผลไม้ที่อยุ่ตรงหน้าทุกคนคือผลไม้ที่ปู่อินทร์บอกว่าเคย

    กินมันเข้า และจะเป็นผลไม้แก้พิษ ของ มัจจิรา ในร่างกายทุกคนด้วย เพราะเป็นบริเวรที่หญิงชาว

    กระเหรื่ยงบอก นอกจากไม้ผลกลุ่มนี้ บริเวรนี้ ก็ไม่ไม่ผมไม้อย่างอื่นให้เห็น  อัครชัยเด็ดผลไม้

    นั้น 
    เขาลังเลเล็กน้อยที่จะกินมัน  

     
    " ถ้าเกิดมันถอนปรสิตได้ แต่พวกเราต้องอยู่อีกสองสามร้อยปีล่ะจะทำไง " 


    อัครชัย แสดงความคิดเห็น


    " ช่างมันเถอะหมอ เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่าลืมว่าเรายังมีคนข้างหลังอีกหลายคนที่เราต้องกลับไปช่วยเขา 

    ถ้าวิธีนี้สำเร็จ มีอายุยืน ข้าว่ามันก็น่าจะดีกว่าตายไวนะ "


    ปู่อินทร์ ตอบ

    สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลองกัดกินผลของไม้นั้นทันที 


    " เป็นไงมั่งหมอ รู้สึกเป็นไงมั่ง "


    แสงดาว กระเส่าถามด้วยใจจดจ่อด้วยความอยากรู้


    " ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เหมือนเดิมทุกอย่างและร่างกายไม่มีความรู้สึก ร้อน หนาว หรือร่างกาย

    ชาแต่อย่างใรเลย "


    เขาบอกความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไรกับทุกคน 

    ตอนนี้ทุกคนเริ่มไม่แน่ใจ เนื่องจากทุกคนคิดว่าถ้าเป็นผลไม้อย่างที่ผู้หญิงกระเหรี่ยงคนนั้นบอกจริง

    อาจมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดกับร่างกาย อัครชัยบ้างหลังจากกินผลไม้นี้ คล้ายกับว่าผลไม้ทั้งสอง

    ต้องมีปฎิกริยาอะไรบ้างในการทำลายล้างซึ่งกันและกัน แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็เห็นว่า คนที่ตายไปก่อน

    หน้านี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบอกเรื่องที่ไม่เป็นความจริง และนั่นทำให้ทุกคนที่เหลือรีบกินผลไม้นั้นทันที 

    และก็มีอาการเช่นเดียวกับอัครชัย 


    "บางทีการที่มันแก้พิษกันอาจไม่เห็นผลในทันทีทันใดก็เป็นได้"

     
    ปู่อินทร์แสดงความเห็น

    และที่จริงก็เป็นอย่างนั้น ปรสิตต้นไม้ในร่างกายบัดนี้ได้ถูกสารพิษในผลไม้อีกชนิดหนึ่งทำลาย

    สิ้นแล้ว ตอนนี้มันรอเวลาอย่างเดียวคือให้ร่างกายของคนทั้งหมดขับมันออกมาเท่านั้นเอง และ

    เมื่อทุกคนได้ขับถ่ายของเสียในร่างกายออกมาครั้งนี้ พวกเขาได้สังเกตุว่ามีสิ่งที่ลักษณะคลายรากไม้ 

    ถูกถ่ายปนมากับของเสียในร่างกายของพวกเขา

    และนี่ก็เป็นครั้งแรก ที่พวกเขากินน้ำได้น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาดีใจกันมาก ตอนนี้พวกเขารู้แน่

    แล้วว่าร่างกายพวกเขาบริสุทธิไม่มีสิ่งใดแฝงอยู่แล้ว  และในการขับถ่ายหนักครั้งต่อไปปรสิตต้นไม้ที่สิ้น

    ฤทธิอยุ่ในร่างพวกเขานั้นก็ถูกถ่ายออกจากร่างกายโดยสิ้นเชิง  


    เมื่อทั้งหมดมั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่ในร่างกายแล้ว ที่นี้การเดินทางเพื่อจะไปต่อหรือการไปทำลายต้นแม่

    ของมัจจิรา ก็ไม่มีความจำเป็นต่อไป  และบางคนมีความตั้งใจว่าจะหาทางผ่านของมิติ กลับสู่มิติโลก 
    โดยเร็ว.


    " แต่ข้าว่า.. เออ..ไม่รู้ยังไงนะ ข้ารู้สึกว่าถ้าเรากลับเหมือนเรากำลังพยายามละทิ้งหน้าที่อะไร

    บางอย่าง เหมือนที่นี่รอคอยความหวังจากพวกเราให้ช่วยเหลือ  ข้ารู้สึกว่าที่นี่ถูกกดดัน จาก

    มัจจิรา มากกว่าที่มันจะปกครองแบบร่มเย็นเป็นสุข เหมือนมันคอยแย่งอาหารของต้นไม้อื่นโดย

    ใช้กำลังและความสามารถพิเศษของมัน ที่จริงแล้วมันอยู่ไกลจากที่นี่มาก มันไม่จำเป็นต้องมา

    หาอาหารถึงนี้ก็ได้  ข้าสังเกตจากรากไม้ที่กินซากศพต่างๆเป็นอาหาร บางทีพวกมันต้องทำ

    อย่างรวดเร็ว บางที่ข้าคิดว่าต้นไม้เหล่านั้นมันคงคิดว่ารากของมันอาจกำลังถูกแย่งอยุ่ตลอด

    เวลาก็เป็นได้  "                                                                                              



     คำพูดของปู่อินทร์ ทำให้ทุกคนคิด  แต่ อัครชัยตอนนี้เขามีความรู้สึกอยากกลับบ้านมากกว่า

    และเขาก็คิดว่าทั้งหมดไม่รวมปู่อินทร์ ก็คงคิดอย่างเขา เช่นกันตอนนี้ร่างกายเขาก็ไม่ได้มีพันธที่

    จะสุ่มเสี่ยงกับ ปรสิตต้นไม้แล้ว แล้วเขานึกเป็นห่วงแม่และหน้าที่การงาน ของเขา และกานต์ก็เช่น

    กัน                      


     
    " ผมก็คิดเหมือนปู่อินทร์ นะครับ แต่พวกเราก็มีห่วง เราจะนำผลไม้นี้กลับไปให้พ่อของเราล้าง  

    มัจจิราออกจากตัวเหมือนกัน  ถ้ามีโอกาสแล้วไม่ทำเราก็เหมือนเนรคุณ วัตถุประสงค์ที่มากัน

    ทุกคนก็เพื่อสิ่งนี้ ส่วนเรื่องของดินแดนนี้ ให้ธรรมชาติเขาจัดการกันเองไม่ดีกว่าหรือครับ "      


    กานต์แสดงความเห็น 

      
    "แต่ตอนนี้ ปรายกับเห็นไปอีกอย่างนะคะ พี่กานต์ บางทีปู่อินทร์อาจพูดถูก เมื่อร่างกายเราหมด

    พันธะ แล้วเราก็จะกลับ เหมือนเราเอาตัวรอด  ทั้งๆเราได้มารับรู้แล้วว่ามีใครเดือดร้อนจากการ

    กระทำของ มัจจิรามากแค่ใหน  เรื่องพ่อและครอบครัว ปรายก็ห่วงนะ แต่พวกเราจะลืมหรือ

    เปล่า เรามาอยู่ที่นี่เกือบห้าวันแล้ว และไม่รู้อีกกี่วันเราจะหาทางออกจากที่นี่กลับไปได้ ห้วง

    เวลาที่ผ่านมา เรารู้ว่ามันห่างกัน หนึ่งวันต่อประมาณสิบปี ตอนนี้เราได้จากที่นั่นมา น่าจะคงห้าสิบปีแล้ว

    และอีกกี่วัน ที่เราจะหาทางกลับออกไปจากที่นี้ได้ ถึงตอนนั้น ไม้ผลที่นำไปให้พ่อของพวกเราอาจหมด

    ประโยชน์แล้วก็เป็นได้ "                                                                                    


    ดูจปรายพูดได้ตรงจุดเลยทีเดียว  และแสงดาวก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน                              


    " ถูก  อย่างปรายพูดแล้วล่ะ แสงดาวมีความรู้สึกว่าเราถูกกำหนดให้เข้ามามากกว่า ให้มาทำ

    หน้าที่อะไรสักอย่าง มากกว่ามาทำเพื่อตัวเองและเพื่อพ่อของเรา    ดูทุกอย่างมันมีจังหวะที่

    เหมาะสม ว่าจะเป็นการเดินทาง รวมทั้งปรายเองที่ตอนแรกมองว่าเขาจะต้องเหงาเพราะไม่มีคน

    รู้ใจแต่เหมือนมีบางอย่างส่ง อรัญ มาให้    เหมือนรู้ว่าจะต้องส่งกำลังใจในการเดินทางไปทำ

    หน้าที่   ส่วนแสงดาว กับ จาไม่ต้องพูดถึง หมอกับคุณกานต์ ทำให้เราสองคนมีความรู้สึก

    อย่างไร  และรวดเร็วขนาดใหน เป็นความรู้สึกที่ตอบไม่ได้  แต่ตอนนี้แสงดาวคิดว่าพอรู้เเล้ว

    ตอนนี้แสงดาวคิดว่า อะไรหลายๆอย่างประกอบ กันนี้ อาจจะเป็นพรหมลิขิตหรืออะไรสักอย่างที่

    ทำให้พวกเราต้องไปทำงานนี้  "


    พูดจบแสงดาวมองไปที่ จามิกร  แทนคำตอบ จามิกา พยักหน้าเหมือนรับรู้เข้าใจและเห็นด้วย

    กับสิ่งที่แสงดาวเพื่อนของเธอพูด อัครชัยใช้ความคิด แฟนสาวพูดก็ถูก ที่จริงแล้วเขาเองเรื่องการตัดสิน

    ใจที่จะกลับเขาคำนึงถึงเธอด้วยนั่นเองเกรงว่าการเดินทางต่อ อาจจะทำให้แฟนสาวลำบาก แต่เมื่อแฟน

    สาวและผู้หญิงคนอื่นที่เดินทางมา ดว้ยกัน   มีความคิดแน่วแน่ในแนวทางนี้เขาก็ไม่ขัด ส่วนกานต์เองก็

    เช่นกันเมื่อเห็นแฟนสาวเห็นด้วยกับปู่อินทร์และแสงดาว มีหรือเขาจะถอย และทั้งหมดก็ไปหยุดที่อรัญ

    สายตาทุกคนที่มองเขาเหมือนถามว่าเขาจะเอายังไง อรัญรับรู้ได้เมื่อทั้งหมดมาที่เขา เขายิ้ม

    และทำท่าจะขยับปากพูด ยังไม่ทันได้พูดอะไร แสงดาวก็พูดแซงขึ้น            
                       


    " ผมก็แล้วแต่คุณดุจปรายนะครับ คุณดุจปรายไปใหนผมก็ไปนั่น "                                      


    น้ำเสียงสัพหยอกของเเสงดาวทำท่าดัดเสียงพูดแทนอรัญ  ทำให้อรัญอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เพราะ

    นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าจะพูดอยู่พอดี เขามีความสุขมากที่ได้ยินแสงดาวพูดคำนี้แทนเขา  และนั่น

    แหละคือคำตอบทีจะบอกกับทุกคนว่าเขาจะไปต่อหรือจะกลับ        
                                     


    " ที่จริงเราถามผิดคนละมั้งแสงดาว ถามอีกคนแต่ไปได้คำตอบที่อีกคน "                          

      
    จามิกรยังแซวไม่เลิก                                                                                      

     
      " หือจา..น่ะ "                                                                                                

     
    โดนแซวหลายครั้งเข้า ดุจปรายก็เริ่มเขินหนัก ส่วนอรัญก็ยิ่งพูดไม่ออกไปใหญ่ แต่สายตาของ

    ทั้งคู่ ก็สบประสานกันตลอด  

    และปู่อินทร์ก็ตัดบทขึ้น                                                                                    
     


    " เป็นอันว่าเราทั้งหมดตั้งใจไปต่อนะ ทุกคนต้องรู้นะว่าทางที่จะไปต่อมันคงไม่ได้โรยด้วยกลีบ

    กุหลาบเหมือนตอนนี้ พวกเราอาจเสี่ยง อาจลำบาก อาจต้องสูญเสีย ทั้งบางส่วนหรืออาจจะ

    ทั้งหมด เราก็ไม่สามารถรู้ได้    สิ่งที่เราคิดว่าเราถูกกำหนดให้ไปมันอาจไม่ทั้งหมดก็ได้ ข้าคิด

    ว่าต่อไปนี้แหละ เราจะได้รับการต่อต้านจาก มัจจิรา เต็มตัวแน่ๆ  มันเป็นใหญ่ที่นี่มันคงรับรู้ได้

    แล้ว ว่าเราคิดจะทำอะไรกับมันในขณะที่มันก็คงรู้ว่าเรากำลังเดินทางขี้นไปหามัน "                
             


    ปู่อินทร์พูดได้แค่น้้น พลันแม่น้ำด้านข้างของพวกเขา ก็ได้ยินเสียงตูม..เหมือนมีอะไรขนาด

    ใหญ่อย่างหนึ่งหล่นลงน้ำ และแรงที่มันหล่น ทำให้น้ำกระเด็นมาเปียกพวกเขา ทุกคนเริ่มหัน

    ไปมองที่แม่น้ำตามเสียงนั้น แม่น้ำบริเวรที่คาดว่าน่าจะมีอะไรหล่นลงไปนั้น บัดนี้น้ำบริเวรนั้นเป็น

    ระลอกคลื่นอย่างเห็นได้ชัด และเหมือนมีอะไรขนาดใหญ่มากขวางอยู่ในลำน้ำ น้ำเมื่อใหลลง

    มากระทบเข้าตรงนั้นมวลน้ำก็ยกตัวขึ้นสูงมากจนเห็นได้ชัด และอะไรไม่ร้ายเท่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่

    ไต้น้ำนั้น มันกำลังเคลื่อนมาทางพวกเขาอยู่  ทั้งหมดถอยห่างออกจาก แม่น้ำแต่ช้าไปเสียแล้ว

    ทันทีที่สิ่งที่เคลื่อนอย่างเร็วมาโผล่ที่ข้างตัวเขา พวกเขาจำมันได้ดี                                
     


    "  จงอางยักษ์อีกแล้ว ปู่อินทร์ มันยังไม่ตาย แล้วที่เราเห็นเมื่อเช้านี้ ... "


    อรัญ อุทานขึ้นหลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่โผล่มาชัดๆ  

    "
     ไม่ใช่ มันคนละตัวกัน คงเป็นคู่ของมัน ตัวนี้เป็นตัวเมีย "                                            


    ปู่อินถอยพลางตอบไปพลางจากสิ่งที่เขาเห็น  แต่ทว่าคราวนี้ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำนี้พอให้

    พวกเขาหลบ ได้และอสรพิษร้ายตัวนี้ก็ฉลาดพอที่จะไม่เปิดโอกาสให้ทุกคนหนีมันได้ มันใช้

    ร่างกายที่ยาวและใหญ่ของมันโอบล้อมคนทั้งหมดไว้  สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด แม้ปู่อินทร์

    เองเขาก็รู้ดีว่าอันตรายแค่ใหน แม่ทุกคนจะมีมีด แต่ขนาดใหญ่ของมันพร้อมเกร็ดหนาที่มันมะ

    เมื่อม เขารู้ได้ว่ามีดอาจไม่ระคายผิวมันด้วยซ้ำ  แต่งูยักษ์ ก็คงได้แต่ใช้ลำตัวที่ยาวใหญ่ของมัน

    โอบล้อมไว้อย่างนั้น มันแลบลิ้นแปลบๆ เฉี่ยวหัวพวกเขาไปมา  ทั้งเจ็ดหันหลังชนกันอยู่กลางวง

    ของร่างอสรพิษยักษ์                                                                                  
           


    " มันคงเป็นตัวเมียคู่ของตัวที่เราฆ่ามันไป  พวกเราดูตามันสิ มองออกเลยว่ามันมีความโกรธ

    แค้นพวกเรามาก พวกเราระวังนะ ถ้ามันรัดเข้ามาแทงเข้าไปที่ร่างมันเลย "                                      


    ปู่่อินทร์บอกกับทุกคน แต่ในใจเขาเองกับไม่มั่นใจว่ามีดจะทำอะไรร่างมันได้มากแค่ใหน เพราะ

    ไม่ใช่จุดที่อ่อนเหมือนโพรงปากที่สามารถแทงได้อย่างตัวเมื่อวาน    และร่างใหญ่ขนาดนี้ถึง

    แทงเข้าจะต้องสักกี่แผลถึงจะหยุดมันได้                               

      
    "
     ปู่รู้ได้ยังไงว่ามันเป็นตัวเมีย ปู่ดูจากหงอนมันเหรอ "                                                


    อรัญถามขึ้น ที่จริงสถานการณ์อย่างนี้เขาไม่น่าจะถามอะไรขึ้นด้วยซัำไป แต่เขาก็อยากรู้        


    " ไม่ใช่ ดูจากลักษณะรูปร่างของมัน ตัวเมื่อวานมันตัวผู้ แต่ตัวเนี้ยตัวเมืย พวกนี้ลองมันโกรธ

    แค้น ที่คู่มันโดนทำร้าย หรือว่ามันหวงใข่ มันจะดูร้ายมาก ส่วนหงอนปรกติจงอางจะไม่มีหงอน

    แต่ตัวนี้ทำไมมีไม่รู้ "                                                                                        


    คำตอบของปู่อินทร์ทำให ้กานต์ซึ่งสังเกตบริเวรหงอนขนาดเท่าแขนคน ที่มีอยู่บนหัวของ

    อสรพิษยักษ์อยู่แล้ว ยิ่งสังเกตุ ยิ่งขึ้น เขาสงสัยว่าเขาเคยเห็นหงอนลักษณะนี่ที่ใหน และทันใด

    นั้นเขาก็นึกออก เขาหันไปทางปู่อินทร์                                                                                                          

    " ปู่ ๆ หงอนนั่นมันเหมือนรากไม้ที่เจาะกินร่างงูตัวผู้เมื่อเช้านี้เลยอ่ะหรือว่า มันจะกินงูนี้ แต่มัน

    กินเฉพาะสิ่งที่ตายไม่ใช่เหรอ "                                                  
                             


    คำพูดของกานต์ทำให้หลายคนสังเกตุ และก็เห็น เป็นจริงเช่นเดียวกับเขา  ที่จริงแล้วอย่างปู่

    อินทร์บอก งูจงอางไม่มีหงอน แต่ที่ทุกคนเห็นจริงๆแล้วมันก็แค่อะไรที่แหลมๆ ตั้งอยู่ที่หัวงู

    มากกว่า และมันเหมือนรากไม้ที่พวกเขาเคยเห็นจริง                                                  


    " นี่แหละคงเป็นรากของมันล่ะ  มัจจิรา ตอนนั้นที่กินซากเราคงแยกไม่ออกว่าอันใหน รากมัน

    กับ รากพืชท้องถิ่นทั่วไป เพราะตอนนั้นมันยุ๊บยับไปหมด ตอนนี้มันไปอยู่บนหัวงู ตรงนั้น ตรงนั้น

    เป็นส่วนที่เป็นสมองงู เป็นไปได้ใหมว่า มันไม่ได้กิน แต่มันกำลังควบคุมสมองงูตัวนี้อยู่ "            


     คำตอบของปู่อินทร์ มีเหตุผลที่เดียว  ทั้งหมดเริ่มคิดว่าสิ่งที่ปู่อินทร์พูดเริ่มเป็นไปได้ นี่กระมัง

    คือผลที่แสดงได้ว่ามันรับรู้แล้วว่าทุกคนเป็นศัตรูกับมัน และงูยักษ์ตัวนี้คือเครื่องมือที่มันใช้ต่อ

    ต้านพวกเขา  และยิ่งงูตัวนี้มีความโกรธแค้นพวกเขาอยู่แล้วที่ทำให้คู่ของมันตาย คงทำให้มันดุร้าย

    ขึ้นอีกหลายเท่า                                                                                              

    ทั้งหมดอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และสิ่งที่ปู่อินทร์คิดก็เกิดขึ้น วงขดตัวงูยักษ์ที่พวกเขาอยู่ตรง

    กลางนั้นเริ่มรัดเข้ามา ทุกคนยังจำได้ดีว่าปู่อินทร์สั่งไว้ว่าอย่างไร เมื่อวงขดเริ่มรัดเข้ามาใกล้

    ปลายมีดของทุกคนก็ถูกแทงสวนเข้าไปทันที    


    "  ปั๊ก.." 


    สียงมีดกระทบกับเกล็ดมันวาวดำมะเมื่อมเบื้องหน้า

     แต่เสียงที่ได้ยินกับทำให้ทุกคนหน้าเสีย  เพราะเสียงมีดกระทบเมื่อกี้นี้ มันไม่ได้มี

    เสียง สวบ อย่างที่พวกเขาอยากได้ยิน นั้นหมายความว่ามีดที่พวกเขาเสียบเข้าไปมันไม่ได้

    ระคายผิวเจ้าอสุรพิษยักษ์เลยเเม้แต่น้อย หนำซ้ำทำให้พวกเขาสะท้านข้อมือจนเคล็ด และเมื่อ

    ทุกคนทุกคนคิดว่าจะแทงซ้ำก็สายไปเสียแล้ว เพราะวงรัดนั้น ได้ถูกบีบเข้ามาถึงตัวพวกเขาแล้ว

    ตอนนี้พวกเขารู้สึกอึดอัด มีดที่ใช้อยู่เมื่อสักครู่นี้ บัดนี้ได้ถูกวงรัดงูยักษ์บีบรัดเข้ามารวมกับร่าง

    พวกเรา และบางคนก็ได้สัมผัสกับคมของมันบาดเข้ากับร่างกาย สถานการณ์นี้บอกได้เลยว่า

    พวกเขาไม่สามารถจะต่อกรกับงูยักษ์ได้เลย เพียงเเต่รอเวลาเท่านั้น เวลาที่เจ้าอสรพิษยักษ์มัน

    จะปิดเกมส์ของมัน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ร่างทั้งหมดถูกเจ้างูยักษ์รัดเข้าด้วยกันจนเเทบจะเป็น

    เนื้อเดียว ทั้งหมดหายใจเริ่มขัดและขาดอากาศหายใจ เพราะถูกบีบรัดอย่างรุนแรง  ดุจปรายคิด

    ว่าคราวนี้จะเอา ชีวิตมาทิ้งเสียแล้ว และ  ระหว่างนั้นเองพื้นดินตรงหน้าเธอ สิ่งหนึ่งก็ได้

    แทรกขึ้นมา ดุจปรายเห็นและจำมันได้ดี  เธอรู้สึกหดหู่และรำพึงรำพันในใจ  


    " หรือว่าพวกเราตอนนี่จะมีใครตายแล้วเหรอ มันมาแล้ว รากไม้กินซาก  "







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×