ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #16 : เส้นทางเวลา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 458
      16
      7 ก.ค. 62






    แล้วทั้งหมด ก็เริ่มเดินทางต่อ เพื่อจะให้ได้ขึ้นไปสู่ยอดเขาเป้าหมาย โดยที่พวกเขามิได้ล่วงรู้

    เลย
    ว่า สิ่งที่กานต์เห็นและเข้าใจว่าตาฝาดนั้นมันมีอยู่จริง เพียงแต่มันมิใช่รถไฟธรรมดา แต่มัน

    เป็นสัตว์ร้ายใหญ่ยักษ์มรณะ ที่มันมีรูปร่างคล้ายขบวนรถไฟเท่านั้นเองและตอนนี้มันได้เคลื่อนใกล้

    พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆแล้ว มันมาเพราะว่าได้ยินเสียงของจามิกรที่ตะโกนไปในอากาศเมื่อไม่นานมานี้

    เอง  และเมื่อมันเลื้อยเคลื่อนเข้ามาใกล้เสียงเดินทางเคลื่อนใหวของมันทำให้ทุกคนเริ่มได้ยิน  

    ปู่อินทร์รับรู้ได้ก่อน เขาได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก เปะปะดังเข้ามาเรื่อยๆ เขายกมือให้ทุกคนหยุดเดิน

    เเละเงี่ยหูฟัง และทุกคนก็เริ่มมองไปตามทิศทางของเสียงนั้น


    ทิศตะวันตกที่พวกเขาอยู่ สิ่งที่เขาเห็นต้นไม้ที่มีขนาดเล็กมีการเคลื่อนไหวและล้มหักลง เหมือนมีอะไร

    แหวกผ่านเข้ามา  แต่ป่าทึบมองไม่ค่อยถนัด จนกระทั่ง ต้นไม้ที่โดนแหวกเริ่มใกล้เข้ามา และพวกเขา

    ก็เริ่มเห็นหัวขบวนของมัน  

    และทันทีที่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นซึ่งกันและกัน  เจ้าหัวขบวนมรณะก็ยกหัวของมันขึ้นสูงจากพีื้น

    และแผ่แม่เบี้ยหรา ลำตัวที่ใหญ่ขนาดใหญ่เท่า รถไฟนี้ ที่เมื่อสักครู่นี้ ที่กานต์ ได้เห็นในระยะ

    ไกลนั้น ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันยาวไปสิ้นสุดที่ใด แต่ทว่ามันสามารถทำให้พวกเขาทั้งหมดล้มตึงหงาย

    ท้องไปเหมือนถูกผลักยังไงยังงั้น ไม่ต้องมีการร้องบอกกันว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นอะไร

    สัญชาติญาณของทุกคนรู้ทันทีเลยว่า ตอนนี้ทางเดียวคือต้องกระเสือกกระสนหนีเอาชีวิตรอด


    และด้วยความที่เป็นพรานใหญ่มาก่อน ปู่อินทร์  ตะโกนขึ้นทันที ที่เขาเริ่มรวมรวมสติเอาไว้ได้


    " ตั้งสติไว้ หนี ไปคนละทางอย่างเป็นเป้านิ่ง ทำให้มันสับสน " 


    สิ้นเสียงสั่งการของปู่อินทร์ เหมือนทุกอย่างได้เตรียมการไว้ ว่าต้องทำการคำสั่งนี้ ทั้งหมดลุก

    ขึ้นอย่างทุลักทุเลย วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต คนละทิศละทาง 


    ได้ผลเลยทีเดียว เจ้าจงอางร่างยักษ์ สับสนยิ่งนักที่เห็นว่าเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าของมันตอนนี้ วิ่งไป

    คนละทิศละทาง มันได้แต่ผงกหัวไปมาชั่งใจอยู่ไม่รู้ว่าจะตามไปทางไหนดี ปู่อินทร์รู้สัญชาติ

    ญาณของงูจงอางดี เขาเลือกที่จะวิ่งเขาไปข้างๆลำตัวที่ใหญ่ของมัน  และทำให้มันสนใจ แต่มัน

    ก็ไม่สามารถฉกเขาได้ถนัด เพราะขนาดที่ใหญ่มากของมันทำให้มันไม่สามารถเอียงหัวมาฉก

    เขาได้ จนทุกคนวิ่งเข้าที่ซ่อนตามต้นไม้ใหญ่กันได้ทุกคน และจงอางยักษ์ก็ยังคงอาการอยู่เช่น

    เดิมเพราะงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มันพยายามยกหัวให้สูงขึ้นอีกเพื่อพยายามให้เห็นทุกคน

    แต่คงเป็นเพราะพวกเขาแอบแนบชิดกับต้นไม้ที่ค่อนข้างใหญ่กันทุกคนมันเลยไม่แสดงอาการว่า

    เห็นใคร เมื่อทุกคนเข้าใจว่ามันไม่เห็นพวกเขา  พวกเขาก็ใจชื้นขึ้นมาทันที ต่างคิดว่าสักพักเจ้า

    อสรพิษยักษ์นี้คงถอยกลับไปเป็นแน่  แต่ทว่าทุกคนคิดผิด บัดนี้เจ้าจงอางยักษ์ ได้อ้าปากของ

    มัน และแลบลิ้นที่มีสองแฉกขนาดยักษ์ของมันออกมาและตอนนั้นเองพวกเขาสังเกตุที่ตาขนาด

    ใหญ่ที่เกลือกกลิ้ง มองไปตามจุดต่างๆที่พวกเขาได้แอบซ่อนอยู่ ปู่อินทร์รู้ทันทีเลยว่า มันได้ใช้

    ประสาทสัมผัสที่ลิ้นของมันสำหรับหาที่อยู่ของเหยื่อมันแล้ว  และในไม้ช้าจุดที่อยุ่ของพวกเขา

    จะโดนโจมตีแน่ ความคิดแว๊บหนึ่งเกิดขึ้นในสมอง ปู่อินทร์ปลดเป้สะพายด้านหลังออก อาการ

    ของเขา พวกที่ซุ่มซ่อนอยู่ พยายามมองการกระทำของปู่อินทร์ ว่าแกต้องการจะทำอะไร แล้ว

    แกก็ส่งสัญญาณ  ให้ทุกคนทำตาม อัครชัยไม่รู้ว่าปู่อินทร์ทำอะไร แต่เขาซ่อนอยู่ใกล้ๆกับแก

    มากที่สุด สังเกตุเห็นสัญญาณที่แกส่งมาให้ทำตามเป็นภาษามือ บอกให้เขาปลดเป้สะพายบนบ่าออก

    เขาปลดเป้สะพายมาไว้ในมือ และรอคำสั่งว่าจะทำอย่างไรต่อ  ปู่อินส่งสัญญาณมือให้เขาโยนกระเป๋าเป้

    ออกไป อัครชัยยังไม่เข้าใจว่าจะให้โยนไปใหน จนกระทั่ง  เขาเห็นปู่อินทร์วิ่งออกมาจากที่ซ่อน เมื่อมีก

    ารเคลื่อนไหวในที่แจ้งเจ้างูยักษ์ หันขวับมาทันที และทันใดนั้นอัครชัยก็ได้ยินเสียงตะโกนของปู่อินทร์



     
    " โยนกระเป๋าเข้าปากมัน "



    ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร ทำไมปู่อินทร์ถึงให้เขาทำอย่างนั้น แต่เขาก็เชื่อใจว่าแกต้องมีเหตุผล

    ของแก  อัครชัยวิ่งออกมาจากที่ซ่อนโยนกระเป๋าขึ้นไปในอากาศบริเวรด้านหน้าของจงอาง

    ยักษ์  กระเป๋าของปู่อินทร์และของอัครชัยสองใบลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกัน เจ้างูยักษ์ เห็นสิ่งที่

    เคลื่อนไหวนี้ มันฉกสิ่งของที่เคลื่อนไหวนี้เข้าปากทันที  และในทันทีที่มันหุบปากลง เจ้ายักษ์ก็

    แผดร้องลั่นขึ้น และตอนนี้ร่างของมันเริ่มสะบัดไปมา ต้นไม้ต้นเล็กถูกลำตัวที่ใหญ่ของมันบิด

    ฟาดไปมาจนหักระเนระนาด ที่นี่้ทุกคนไดเห็นลำตัวของมันถนัดตา คุณพระช่วย ความยาวของ

    มันไม่น่าจะต่ำกว่ารอ้ยเมตร และหลายคร้้งที่มันสะบัดฟาดกับต้นไม้ที่พวกเขาซ่อนอยู่ น้ำลายฟูม

    ปากของมันหยดลงใบไม้และทำให้ใบไม้นั้นเกรียมใหม้ไปในพริบตา แสดงว่าอาจมีพิษที่ร้ายกาจ

    ของมันผสมอยู่ในน้ำลายของมันด้วย และระหว่างที่มันบิดตัวไปมาคล้ายจะทรมานอยู่นั้น มัน

    ก็ได้อ้าปากของมันออก กระเป๋าใบหนึ่งได้ล่วงหล่นออกจากปากของมัน  มันหุบปากกลับและยัง

    คงดิ้นอยู่และสุดท้าย มันก็หยุดดิ้น และเลื้อยอย่างรวดเร็วไปทางทิศที่มันมาเมื่อกี้นี้ เสียงร่าง

    กายมันกระทบกันต้นไม้ หักไปตลอดทางในครั้งนี้ที่มันกลับไป


    เเละทั้งหมดก็กลับออกจากที่ซ่อน มารวมตัวกันอีกครั้ง ทั้งหมดตื่นตระหนกกลับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ

    สักครู่นี้ 




    " โอ..ทำไมงูตัวนี้มันใหญ่ได้ขนาดได้ขนาดนี้ละคะ พวกเราเหมือนไม้จิ้มฟันของมันแค่นั้นเอง "



    ดุจปราย อุทานอย่างตระหนกหลักจากที่อยุ่รวมกันอีกครั้ง



    " มันคงเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นเฉพาะดินแดน ก็เป็นได้ ไม่ว่าต้นไม้หรือสัตว์ต่างๆ ที่นี่ใหญ่มาก แต่ยัง

    ถือว่าโชคดีนะที่มันยังเป็นสัตว์ ที่เป็นชนิดเดียวกับโลกเรา เหมือนไอ้แมงมุมที่เราเคยเจอมันมา  แต่ต่าง

    กันที่ขนาดเท่านั้น ข้าเคยเป็นพราน ยังพอรู้นิสัย หรือจุดอ่อนจุดแข็งของมัน ทำให้พอจัดการหรือ หลบ

    เลี่ยงมันได้ "                          


    ปู่อินทร์กล่าวเสริม และแสดงความเห็น                                                                  

     
    "  ว่าแต่..ปู่อินทร์ คิดได้ยังไงว่ามันกินกระเป๋าแล้วจะทำให้มันทรมาน และหนีไปได้ พวกเราคิด

    ไม่ออกจริงๆ "                                                                                                

     
    กานต์ถามขึ้นด้วยความสงสัย                                                                              


    " ไม่ใช่เพราะกระเป๋าหรอก ที่ทำให้มันทรมาณ มาดูนี่สิ "                                              


    ปู่อินทร์ เดินไปหยิบกระเป๋าอีกใบที่อสรพิษยักษ์นั้นได้คายคืนออกมา     หลักจากที่แกเปิด

    กระเป๋าออกทุกคนก็หายสงสัย    พวกเขาลืมไปว่าในกระเป๋านั้นมีมีดปลายแหลมที่คมกริบ อยู่

    ในนั้น และนั่นก็คงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้งูยักษ์ร้องลั่น   คงเป็นกระเป๋าอีกใบที่งูยักษ์ คายออกมา

    ไม่ได้ แสดงว่าระหว่างที่มันงับกระเป๋ามีดในกระเป๋าคงทิ่มเข้าในโพลงปากของมัน ส่วนกระเป๋า

    ที่หล่นมานี้ มันอาจจะงับกระเป๋าใบนี้ทางขวาง มีดจึงไม่สามารถทิ่มมันได้อีกเล่มหนึ่ง แต่สิ่ง

    ที่ทุกคนเห็นในกระเป๋าที่เปิดดูใบนี้ และเคยเป็นกระเป๋า่ของปู่อินทร์ บัดนี้ข้างในมีน้ำเหนียวเกาะ

    อยู่  ไม่ต้องสงสัยของในนั้นบางอย่างนุ่มและถูกย่อยสลาย รวมทั้งแผนที่ด้วย                      



     " ตายแล้ว..แผนที่ปู่เละเลย ส่วนของผมก็ติดไปกับกระเป๋าในปากไอ้ตัวนั้นด้วย ที่นี้เราจะทำยัง

    ไงกัน เราไม่มีแผนที่แล้วนะตอนนี้ "                                                                                                          



    อัครชัย กล่าว                                                                                                  


    "คงต้องแล้วแต่ละครับหมอ  ปู่อินทร์ตอนนั้นคงไม่มีเวลาพอจะคิดหรอกครับว่าต้องถนอม

    แผนที่ไว้ สถานการณ์ตอนนั้น ปู่ถนอมชีวิตพวกเราไว้ได้นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วครับ ส่วนต่อไป

    อะไรจะเกิดก็ค่อยว่ากันไปล่ะครับ "




    กานต์ ตอบ พร้อมกล่าวเหตุผลที่คาดว่าน่าจะเป็นความคิดของปู่อินทร์ที่ทำอย่างนั้น 

    และระหว่างนั้นทั้งหมดก็ได้เริ่มเดินทางกันต่อ เพื่อให้ถึงจุดหมายคือยอดเขาเบื้องหน้า ระหว่าง

    ออกเดินทาง จามิกรได้ถามทั้งหมดว่าเป็นไปได้ใหมว่างูยักษ์ตัวนี้ จะเป็นปราการที่ปกป้อง    

    มัจจิรา แต่ปู่อินทร์บอก ว่าบริเวรนี้มันน่าจะเป็นอานาเขตหากินของมันมากกว่า สังเกตว่ามัน

    เลื้อยมาจากระยะไกล แต่ไม่รู้ว่ามาจากใหน  

    หลังจากที่ทุกคนไต่ระด้บสูงขึ้นมาได้อีกพักใหญ่อีกไม่เกินสามร้อยเมตรข้างหน้านี้ ก็จะเป็นบริ

    เวรยอดเขาแล้ว   ลมข้างบนแรงมาก จนทั้งหมดซวนเซไปมา ปู่อินทร์ได้ตะโกนบอกทุกคน      


    "  ระวังตัวกันหน่อยนะ ระวังจะปลิวร่วงลงไป ถ้ายืนไม่อยู่ให้ก้มลงคลานเลย มาใกล้ๆกันหน่อย

    ก็ได้เกาะกันไว้จะได้ไม่เสียหลัก "                                                                        


    แล้วทั้งหมดก็เกาะกลุ่มกันอีกครั้ง และพยายากดันตัวกันขี้นไปเพื่อต้านกับแรงลม และขณะที่ยัก

    แย่ยักยันกันอยู่นั้น เสียงปู่อินทร์ก็พูดเปรยขึ้นดังๆให้ทุกคนได้ยิน                                      


    " เสียงลมอย่างนี้ เหมือนกับกระทบอะไรบนยอดเขา  หรืออาจเป็นไปได้ว่าบนยอดเขานี้อาจมี

    โขดหินหรือว่าถ้ำอยู่  "


    ขอ้สงสัยของปู่อินทร์ ทำให้ทุกคนสะดุดและหยุดการเดินทางอีกครั้ง อัครชัยหันมาถามแกด้วย

    ความสงสัย 




    " หรือว่า มัจจิรา มันจะอยู่ที่นี่จริงในถ้ำบนยอดเขานี้ "

    " ไม่รู้เหมือนกัน แต่เสียงลมที่กระทบยอดเขาดังอย่างนี้ ต้องมีอะไรแน่  พวกเราระวังตัวกัน

    หน่อยละกัน เอ้าเดินทางต่อ "




    แล้วทั้งหมดก็เริ่มเดินและเมื่อไต่ขึ้นมาอีกพักเดียว จริงอย่างปู่อินทร์บอก มีช่องหินเหมือนถ้ำ

    เล็กๆขนาด พอคนเข้าไปได้ปรากฎที่เบื้องหน้าทุกคน และช่องนั้นมีลมพัดเข้าไปทำให้มีเสียงที่

    ดังแปลกตามที่ปู่อินทร์บอกและถัดขึ้นไปเหนือช่องหินนั้น ก็เป็นลานกว้างบริเวรที่เป็นยอดเขา

    ลูกนี้แล้ว




    " เราจะขี้นไปยอดเขากันก่อนนะ แล้วค่อยลงมาเข้าถ้าสำรวจกัน "



    ปู่อินทร์สั่ง และทุกคนก็อ้อมไปข้างๆถ้าและไต่ขึ้นสู่จุดยอดเขา ยอดเขาลูกนี้ด้านบนเป็นลาน

    กว้างบริเวรสักไร่ได้ แต่ที่น่าแปลกมันกลับเตียนโล่งเหมือนมีใครมากวาดและใช้พื้นที่นี่อยู่

    ตลอด  พวกเขาสันนิฐานว่ามันอาจเป็นไอ้งูยักษ์ก็ได้ที่ขึ้นมาบนนี้ประจำ และเมื่อเห็นว่าลาน

    กว้างไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วทั้งหมดก็ตกลงกันว่าจะย้อนลงไปกลับเข้าถ้าเพื่อสำรวจ ระหว่างที่

    ออกันกันอยู่ที่ปากถ้า พวกเขาพยายามมองผ่านแสงรำไรที่ส่องเข้าไปด้านใน                        


    " จะมีตัวอะไรมีพิษอยู่ในนั้นใหม ปู่อินทร์ "


    อรัญถาม ขึ้นหลังจากที่เขาพยายามมองเข้าไปข้างในแล้วไม่ค่อยเห็นอะไร 



    " ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้ามีตัวมันคงไม่ใหญ่มากหรอก สังเกตจากทางเข้าสิ เล็กแค่ตัวคนเข้าไปได้

    แต่คงไม่ลึกเท่าไร ฟังจากเสียงลมที่ก้องกลับมา ยังไงก็ระวังตัวกันไว้ก่อน "            
                 


    ปู่อินทร์ไม่พูดเปล่าเขาหยิบมีดมาถือไว้มั่นและทุกคนก็ทำตาม  แล้วแกก็เป็นคนแรกที่แทรกตัว

    ผ่านทางเข้าเข้าไป และทันทีที่แกเข้าไปได้ในช่องหินหรือถ้ำนั้น ภายในไม่ได้กว้างจริงๆ อย่าง

    ที่ปู่อินทร์สงสัยแต่แรก ในนั้นความกว้างน่าจะประมานยี่สิบเมตรได้ และมีความสว่างทั่วมองเห็น

    ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ชัดเจนทีเดียว เมื่อทั้งหมดสามารถเข้ามาได้แล้วก็พยายามมองสำรวจ มีดใน

    มือกระชับมั่นเพราะเกรงอาจจะถูกโจมตี จากอะไรที่เขาไม่สามารถรู้ได้  และพลันสายตาทุกคน

    ก็สะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่งที่อยู่บนพื้น ทีแรกพวกเขามองกันไม่ค่อยชัดจึงได้เดินเข้าไปดูใกล้ และ

    ทุกคนก็ต้องตะลึงเมื่อได้เห็นสิ่งนั้นใกล้ๆชัดๆ


     

    " นี่มันซากศพมนุษย์ นี่  " 


    เสียงอุทาน ทั้งหมดดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน สิ่งที่พวกเขาเห็นคือร่างกายของคนที่เสียชีวิตแล้ว

    แต่คาดว่าคงนานแล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้รับกลิ่นที่เหม็นเน่าของซากนั้น                            


    " พวกเราเอาร่างเขาออกไปข้างนอกจะได้เห็นชัดกว่านี้ "                                              


    สียงปู่อินทร์สั่ง  อรัญ อัครชัยและกาต์ช่วยกันจับแขนขาของร่างนั้นพยายามจะพยุงร่างออกไป

    จากถ้าตามที่ปู่อินทร์บอก แต่ทว่า    เขาไม่สามารถจับร่างนั้นออกไปเป็นรูปทรงได้                                                                    


    " ปู่อินทร์ ทำไมร่างเขาป่นอย่างนี้ล่ะเหมือน แมงมุมตัวนั้นเลย "                                    

     
    อัครชัยได้บอกหลังจากที่จับร่างนั้น และทำให้เขารู้ว่าร่างนั้นเป็นปุยผงเหมือนดินทราย 


    " นั้นอย่าพึ่งทำอะไร คงเคลื่อนย้ายไม่ได้มาไครมีไฟจุดให้แสงสว่างหน่อยเราจะได้ดูกันเผื่อรู้ว่า

    เขาเป็นใคร "



    และทันทีที่ไปเริ่มให้แสงสว่างพวกเขาก็ได้เห็นร่างนั้นถนัดตา ร่างนั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุน่า

    จะประมาณ สี่สิบห้าปีได้ แต่ที่แปลกคือร่างนั้น ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ทำไมกลับไม่มีกลิ่นเหม็น

    อัครชัย สังเกตุไปทั่วร่าง เขาเป็นหมอทำให้วินิจฉัยเกี่ยวกับร่างกายคนที่ตายแล้วได้มากกว่าคน

    อื่น และเขาก็สังเกตุเห็นว่าร่างนี้มีจุดที่เป็นรูอยุ่หายจุด และร่างกายได้มีชิ้นส่วนที่หักอยู่หลาย

    ส่วนคาดว่าเขาคงเสียชีวิตจากการบอบช้ำนี้ หลังจากที่สำรวจพอสมควรแล้วเขาจึงหันมาบอก

    ทุกคน



    " เจ้าของร่างนี้ คงเสียชีวิตจากการมีอะไรมากระเเทกนะครับ  และที่ร่างกายป่นแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย

    ครับ ผมเห็นร่างกายเขามีรูหลายจุด แสดงว่าคงมีอะไรมุดหรือเจาะเขาไปตามรูนั้น  และมันคงจะ

    ดูดกินร่างกายเขาจนเหลือแต่สิ่งที่แห้งป่นอย่างนี้  เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากไอ้รากไม่นั่นนะ

    ครับเพียงแต่ว่า ไม้รู้ว่าเขาตายก่อน หรือถูกรากไม้เจาะก่อนเท่านั้นเอง "


    " แต่ ดูนี่สิครับ "


    กานต์เรียกและชี้ให้ทุกคนดู   สิ่งที่เขาชี้คือรอยทางยาวเล็ก ลักษณะเหมือนมีการลากอะไรไป

    กับพื้นจากปากถ้ำไปจึงถึงร่างนั้น 



    " สงสัย เขาได้รับบาดเจ็บมาจากข้างนอก และพยายากคลานเข้ามาและมาเสียชีวิตอยู่ตรงนี้

    แสดงว่าเขาอาจจะตายก่อนแล้ว จึงถูกดูดกิน เออใช่แล้วนี่ไงมีรูจากพื้นด้วย แสดงว่ารากไม้คง

    ผุดออกจากพื้นนี้แน่ "                                                                                        



    ปู่อินทร์ วินิจฉัยหลังจากที่เห็นรอยคลานนั้น


    " โอ.. อย่างนี้แสดงว่าพวกเราเวลานอนก็จะไม่ค่อยปลอยภัยนะสิคะ ไม่รู้เมื่อไรมันจะผุดมากิน

    เรา "


    ดุจปราย พูดพร้อมห่อปากด้วยความ สุดเสียว                                                             


    " แต่เราก็นอนกลางป่าที่นี่ กันมาสองสามคืน แล้วนะคุณปรายไม่เห็นมีอะไรเลย หรือว่าเป็นเพราะ

    ผมคอยดูแลคุณอยู่เป็นอย่างดีก็ไม่รุ อุ๊ย..



    พูดได้เท่านั้น อรัญก็ถูกกำปั้นทุบเข้าที่ใหล่  พร้อมทั้งสายตาที่ค้อนขวับจากดุจปราย


    " มันใช่เวลาไม๊เนี่ย. "


    และเป็นคำพูดทิ้งท้ายของดุจปราย พร้อมสะบัดหน้าไปแอบอมยิ้มอยู่ทางทิศอื่น

    ทุกคนเห็นอาการของพยาบาลสาว ต่างก็พากันยิ้มเช่นกัน




    " ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ว่าเขาเป็นใคร มายังไง แล้วจะทำยังไงดีคะ "



    แสงดาวถามขึ้น หลังจากที่ไม่พบอะไรในบริเวร ที่พบ ซากศพนี้ 



    " แต่ดูจากลักษณะหน้าตาแล้วเขาน่าจะเป็นคนแถบนี้ น่าจะเป็นชาวกระเหรี่ยงหรือไม่ก็ชาวเขา

    สังเกตุจากเครื่องแต่งกาย น่าจะมาหลงป่าแล้วหลุดเข้ามาเหมือนกัน แต่อะไรทำให้เขาตาย

    เหมือนถูกกระแทกอย่างแรง จะว่าตกเขาก็ไม่ใช่ เพราะว่าถ้าตกลงไป คงไม่ไต่ขึ้นมาตายข้าง

    บนนี่หรอก จะว่าโดยจงอางยักษ์กัดก็คงไม่ไช่ ถ้าโดนกัดน่าจะมีแผลที่ ฉกรรจ์ กว่านี้"                    


    ปู่อินทร์ได้เริ่มตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับการตายของชายคนนี้อีกครั้ง  และก่อนที่ทั้งหมดจะคุยกัน

    ต่อ ปู่อินทร์ก็ได้เอามือป้องหู อาการของเขาทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ 



    "  ได้ยินอะไรอีกหรือคะ หรือว่าเสียงไอ้งูนั่น "


    จามิกา กระซิบแผ่ว  ปู่อินทร์ส่ายหน้าแต่ยังไม่พูดอะไร 


    " เสียงลม "


    และเขาก็ได้พูดขึ้น ได้ยินคำตอบทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


    " ตกใจหมด นึกว่าปู่ได้ยินอะไรอีก พวกเราเกร็งกันแย่แล้วนะคะปู่ "


    แสงดาว กล่าว แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นปู่อินทร์ส่ายหน้าอีกครั้ง 




    " พวกคุณฟังให้ดีสิเสียงลม ดังแปลกๆไม่ค่อยสม่ำเสมอ เอ้าลองฟังดูสิ ดังขึ้นเรื่อยๆด้วย "        


    จริงอย่างปู่อินทร์ พูดหลังจากที่ทุกคนเริ่มตั้งใจฟัง เสียงลมที่ได้ยินดังเป็นจังหวะ วูบ วูบ และ

    ทันทีที่ได้ยินชัดขึ้นและแรงขึ้น ปู่อินทร์ก็กระซิบบอกทุกคน    
                                           

     
    " ระวังตัวไว้ให้ดีนะ พยายามอยู่นิ่งนิ่งกันไว้ อย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาด หยุดพูดกัน เดี๋ยวจะ

    ทำให้มันได้ยิน ถ้าไม่เห็นคนเดี๋ยวมันก็คงไปเองเเหละ "



    ทั้งหมดงงเป็นไก่ตาแตก เสียงลมนั้นทำไมทำให้ปู่อินทร์ ต้องสั่งพวกเขาแบบนี้ หรือว่าเสียงนึ้

    มันเป็นเสียงของสัตว์ชนิดใดที่พวกเขาไม่เคยได้ยินแต่เมื่อ ถูกสั่งให้เงียบเลยไม่มีใครพูดขึ้นอีก

    คงเก็บอาการไว้ และเสียงลมที่ดังเป็นจังหวะใกล้เข้ามา และสุดท้ายทุกคนก็รู้สึกได้ว่าบริเวรข้าง

    นอกมีการหมุนของลมเพราะฝุ่นได้ฟุ้งกระจายไปทั่ว เหมือนกับมีเครื่องบินมาลงจอด และทันใด

    นั้นเสียงลมก็เงียบไป และฝุ่นผงที่กระจายก็เริ่มจางลง  ปู่อินทร์ ทำสัญลักษณ์มือชี้ไปที่บนหัวที่

    เขายืนอยู่ ทุกคนรู้ทันทีเลยว่าความหมายของแกคือมีอะไรอยู่บนลานภูเขาข้างบนนี้ นึกอยากจะ

    ออกไปดู แต่ติดคำที่ปูอินทร์ได้ห้ามไว้ และทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบ แต่พักเดียวพวกเขาก็

    เหมือนได้ยินว่ามีเสียงเหมือนลากอะไร กรากแกรกบนลานนั้น ทุกคนมองไปที่ปู่อินทร์ เพราะ

    ความอยากรุู้ว่าแกจะตัดสินใจอะไร แต่แกก็คงยังส่งสัญญาณให้ทุกคนนิ่งอยู่อย่างนั้น  กานต์ยืน

    อยู่ใกล้ หน้าถ้ำมากที่สุด เขารู้สึกว่าร่างกายเขากระทบเข้ากับอากาศอุ่นๆด้านหลัง เหมือนกับว่า

    เป็นลมหายใจของอะไรสักอย่างทำให้เขาค่อยๆหันหลังกลับไปดู ทันใดนั้นเอง สายตาเขาก็มอง

    เห็นดวงตากลมโตดวงหนึ่งที่มองเข้ามาในถ้ำ ตานั้นใหญ่พอกับเจ้างูจงอางยักษ์ ที่เห็นเมื่อก่อน

    หน้านี้เขากระโดดเข้ามาด้วยความตกใจทันที และในเวลานั้น มีวัตถุขนาดใหญ่ทรงแหลมอย่าง

    หนึ่งพยายามแทรกเข้ามาจากประตูถ้ำ แต่เนื่องจากมันใหญ่จนไม่สามารถลอดช่องหินเล็กๆเข้า

    มาได้ แต่เหมือนไม่ละความพยายามสิ่งนั้นยังคงดันอยู่ จนหินทางเข้าเริ่มสั่นคลอน  ปู่อินทร์เห็น

    ดังนั้น เขาวิ่งไปที่หน้าถ้าบริเวรนั้นทันที เขาเสือกมีดแทงสวนไปที่ขอบวัตถุที่พยายามแทรก


    ปากถ้ำเข้ามาทันทีและทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียง



    " แจ๊ก ..."


     และทันได้นั้น ลมที่ได้ยินเสียง

    เมื่อสักครู่นี้ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้งและฝุ่นผงก็ปลิวตลบเช่นเดิม พร้อมทั้งวัตถุ ทรงแหลมที่พยายาม

    แทรกปากถ้ำเข้ามาเมื่อกี้นี้ ก็ถูกถอยกลับออกไปด้วย  และเมื่อปากถ้าเปิดออกและเสียงลมเริ่ม

    ดังไกลออกไป ปู่อินทร์เรียกทุกคนออกจากถ้ำ ทุกคนพรูออกมาและไต่ตามปู่อินทรขึ้นไปบน

    ยอดภูเขาที่เป็นลาน เมื่อไปถึงปู่อินทร์ชึ้ให้ทุกคนดู และสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตานั้น มีวัตถุที่บิน

    ได้ขนาดใหญ่ ซึ่งทีแรกทุกคนเห็นว่ามันเป็นอะไร แต่สิ่งที่เห็นปู่อินทร์ ได้อธิบายว่า มันคือ นกเงือก 

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×