ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #10 : กำแพงอารยะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 597
      26
      10 ก.ย. 62




    รุ่งเช้า ทั้งหมดตื่นแต่ไก่ขัน ความอ่อนเพลีย จากการเดินทางเมื่อวานคลายไปมากหลังจากที่

    ได้พักผ่อนหนึ่งคืน ทั้งหมดแปลกใจว่าทำไมเวลาที่พวกเขานอนใกล้แนวป่าแบบนี้ถึงจะนอนผิด

    ที่กับ ที่นอนอยู่บนเตียงแบบที่บ้าน แต่ทุกคนกลับหลับสนิท ซึ่งผิดปรกติวิสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

    มากบุญช่วยจ้างชาวบ้านที่มีอาชีพหาของป่าสองคนช่วยนำทางและขนสัมภาระ ระหว่างที่

    เตรียมตัวจะออกเดินทาง  บุญช่วยเริ่มสังเกตุว่า บางคนที่ไปอาจจะอ่อนแอเกินไปสำหรับเดิน

    ทางเข้าป่าหรือเปล่า ในขบวนมีทั้งคนแก่และผู้หญิง โดยเฉพาะ ดุจปราย พยาบาลสาว หล่อนดู

    บอบบางกว่าคนอื่น เธอเหมาะที่จะอยู่ในห้องเเอร์ มากกว่าจะมาเดินป่า ที่รกชัฎ และมีภยันตราย

    พอสมควร แต่เมื่อทุกคนต้องการอย่างนั้นเขาคงไม่อาจจะขัดได้ คิดเเต่ว่า เต็มที่การเดินทางก็

    อาจจะยืดออกไปเพื่อรอคนที่อ่อนแอ ส่วนเรื่องการป้องกันอันตรายจากป่านั้น เขากับพรานสอง

    คนคงจะมีวิธีป้องกันคนทั้งหมดได้  

    แต่เมื่อเริ่มออกเดินทาง สิ่งที่บุญช่วยคิดไว้ผิดถนัด ทุกคนที่เขาเคยคิดว่าจะเป็นภาระในการเดิน

    ทาง กลับเดินป่าด้วยความทะมัดทะแมงจนผิดสังเกตุ และไม่มีทีท่าว่าจะหมดแรงด้วยซ้ำไป 

    การเดินทางภายไต้การนำทางของพรานป่ากลับเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเกินคาด พรานป่าทั้ง

    สองก็แปลกใจเหมือนกัน ที่บุคคลที่คาดว่าจะต้องรอไปตลอดการเดินทาง กลับติดตามทั้งสอง

    ได้อย่างกระชั้นชิด เขาเองด้วยซ้ำ ทั้งสัมภาระและมีดหวดไปเบื้องหน้าเพื่อเบิกทาง กลับรู้สึก

    อ่อนล้า แต่แรกคิดว่าจะต้องรอขบวนไปตลอดเมื่อผู้ติดตามสามารถเดินตามได้ทัน เขาก็ต้อง

    เร่งเพื่อให้เห็นว่าเขาเข้มแข็งและคล่องเเคล่วสมกับเป็นคนป่าผู้ชำนาญ แต่เมื่อต้องเดินทาง

    อย่างรวดเร็ว เขากลับรู้สึกกดดัน  จนในที่สุด เขาก็ยอม พร้อมทำมือเป็นสัญญาณให้ทุกคน

    หยุดพักพร้อมกันก่อน  สถานที่พักการเดินทางมีลำธารเล็กๆ ทั้งหมดได้สังเกตเห็น และสิ่งที่

    ทำให้สองพรานและบุญช่วยต้องแปลกใจมากอีกครั้งก็คือ  ผู้ติดตามของเขาทั้งหมด ได้วาง

    สัมภาระลงและก้มลงดื่มน้ำในลำธารนั้น บุญช่วยคิดจะห้ามเพราะเกรงว่าจะไม่สะอาด แต่ไม่ทัน

    ซะแล้ว เป็นที่น่าสังเกตุว่าทำไมทุกคนไม่ได้รังเกียจน้ำนั้นเลย ทั้งๆที่ต่างก็มีความรู้มีการศึกษา

    กันทั้งนั้นและอีกทั้งยังเรื่องสุขภาพ ที่ทุกคนก็น่าจะตระหนักและรู้ดีเกี่ยวกับน้ำสะอาดที่สามารถ

    นำเข้าสู่ร่างกาย ว่าน่าจะต้องเป็นอย่างไร แม้แต่พรานป่าเองยังไม่กล้ากินน้ำลักษณะลำธาร

    เล็กๆแบบนี้และที่แปลกกว่านั้น ทั้งหมดหยุดนิ่งกับการกินนานมาก คาดว่าทุกคนคงพาน้ำเข้า

    กระเพราะหลายลิตรเลยที่เดียว  ระหว่างที่บุญช่วยและพรานป่าทั้งสองกำลังตะลึงพูดอะไรไม

    ออก คงเดชก็เริ่มสังเกตเห็นอาการของพวกเขา


    " ขอโทษทีนะครับ พวกเราลืมตัวไปหน่อย เลยไม่ได้ขอคำแนะนำเกี่ยวกับน้ำที่ดื่มนะครับ พอดี

    ทุกคนหิวกันมากนะครับ "




    บุญช่วยสะดุ้งเล็กน้อง เพราะสะดุดคำพูดของคงเดช และเขากำลังมองเพลินใช้ความคิด



    " ไม่เป็นไรมิได้ครับ ผมเกรงว่าน้ำจะมีเชื้อโรคนะครับ  ปรกติน้ำลำธารเล็กไม่ค่อยมีไครกล้าดื่ม

    เดินป่าจะต้องใช้วิจารญาณพอสมควรครับ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้ แต่เข้าใจครับว่าทุกคน

    คงเหนื่อย แต่ที่แปลกใจมากคือทำไมทุกคนเดินป่ากันคล่องมากล่ะครับ  อย่างที่ผมทราบทุกคน

    ไม่เคยเที่ยวป่ามาก่อนเลยไม่ใช่หรือครับ "




    คำถามของบุญช่วยทำให้ทุกคนเริ่มมองหน้ากัน อัครชัยจึงได้พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น



    " ทีแรกเราก็อธิบายตัวเองไม่ได้เหมือนกันครับ ผมมีความรู้สึกว่าเมื่อเข้ามาในป่า ผมรู้สึกว่า

    เหมือนเราสดชื่นป่ามีกลิ่นอ่อนๆที่หอมและรู้สึกร่างกายเรามีการตอบสนองกับกลิ่นป่า จากการที่

    พวกเราได้คุยกันคิดว่า ไอ้สิ่งที่อยู่ในตัวเรามันอาจได้สัมผัสสัญชาติญาณของที่อยู่ของมันนะครับ

    มันเลยส่งผลมาถึงพวกเรา ยิ่งเราได้ดื่มน้ำตรงนี้แล้วด้วย มันเย็นและชื่นใจมาก เนี๊ยเดินมาสามสี่

    ชั่วโมงยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลยนะครับ คิดว่าพวกเราทุกคนก็เป็นเหมือนกัน"




    คำตอบของอัครชัย  บุญช่วยถึงจะไม่รู้ว่าเป็นยังไง แต่ก็พอเข้าใจบ้างเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขา

    มันอธิบายยากและแปลกประหลาด แต่พรานสองคนสิพวกเขางงเป็นไก่ตาแตกต่างมองหน้ากัน

    เพราะไม่รู้ที่มาที่ไป เมื่อได้ยินสิ่งที่อัครชัยพูด และไม่มีไครมีเวลาพอที่จะอธิบายให้เขาฟัง จะมี

    ก็แต่บุญช่วยที่บอกให้เขาทำตามหน้าที่ไป ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นๆ และเมื่อพักคลายเหนื่อย

    แล้วพรานทั้งสองก็ส่งสัญญาณให้เดินทางต่อ



    และก็เป็นเช่นเดิมทั้งหมดก็ได้เดินทางกันอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดการเดินทางที่กำหนดว่าจะใช้

    เวลาเดิน สองวันก็สามารถถึงที่หมายได้ในวันเดียว


    ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ทั้งหมดได้เห็นกระท่อมหลังหนึ่ง มีกองไฟเล็กๆจุดให้

    แสงสว่าง  อัครชัยได้สังเกตุเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟจากรูปร่างเขาน่าจะเป็นชายหนุ่ม

    รุ่นราวคราวเดียวกับเขา ถึงเขาจะดูรุงรังคงเพราะอยู่แต่ป่าแต่เนื่องจากเขาเป็นหมอมีความ

    ชำนาญจากการสังเกตุรูปร่างของคนพอสมควร และยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ข้อสังเกตุเขาก็เด่นชัด

    ขึ้น  เสียงโครมครามกรอบแกรบ ของการเดินทางของกลุ่มคน ทำให้ผู้อยู่ข้างกองไฟเริ่มหันมา

    มอง จริงอย่างอัครชัยคิด ชายหนุ่มคนนั้น กวาดสายตามาที่ทุกคนและมาหยุดนิ่งที่พรานทั้ง

    สองและบุญช่วย ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทันพูดอะไร ชายผู้นั้นก็พูดขี้น  ด้วยเสียงตวาดอันดัง



    " ไอ้ช่วย ไอ้ยะ ไอ้กวาง กูบอกพวกมึงแล้วไงว่าไม่ให้พาใครมาที่นี่ พวกมึงเห็นคำพูดกูไม่มี

    ความหมายเหรอ "



    ทั้งหมดหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงตวาดนั้น แสงดาวรู้สึกโกรธกับคำพูดที่ตวาดนั้น อย่างน้อย

    บุญช่วยก็ดูแก่กว่าผู้ตวาดหลายปีนัก ทำไมเขาถึงใช้ถ้อยคำมึงกูกับเขาได้ แต่ก่อนที่เธอจะคิด

    อะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงของกานต์ พูดสวนเสียงที่ตวาดนั้น


     "ใช้ถ้อยคำสมกับอยู่ป่าจริงคุณ ขึ้นมีงขึ้นกูเลยเหรอ น้าช่วยเขาก็แก่กว่านายหลายปีนะ แล้วนี่

    เป็นไครกัน ใหนน้าช่วยว่าปู่ของเขาอยู่คนเดียว แล้วคนนี้เป็นไคร ทำไมพูดจาสามหาวแบบนี้ หรือว่าเป็น

    คนบ้าดูไว้ผมเผ้าเข้าสิ  "


    กานต์โต้ตอบอย่างคนที่อดอารมณ์ไม่ได้ เมื่อเห็นชายผู้นึ้ตวาดและใช้คำพูดไม่ไพเราะ แต่

    ทันใด ก็ต้องหยุดเพราะบุญช่วยได้เอามือมาอุดปากเขาไว้ 


    การกระทำของบุญช่วยทำให้ทุกคนเริ่มแปลกใจ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรเสียงตวาดนั้นก็ดังขึ้นอีก 



    " กูบอกแล้วไง ว่าพวกมึงอย่าพาใครมาหาปู่ ถ้าพวกมึงยังคิดว่ากูเป็นปู่พวกมึง พาพวกนี้กลับไป

    เดี๋ยวนี้ " 




    คำพูดของผู้ตวาดคราวนี้ทำให้ทุกคนชะงัก ชายหนุ่มคนนี้พูดราวกับว่าเขาเป็นปู่ของบุญช่วย

    และยังไม่ทันที่ทุกคนจะคิดอะไร สับสนไปมากกว่านี้  บุญช่วยซึ่งรู้ดีว่าทุกคนคงไม่เข้าใจอะไร

    บางอย่างแน่ จึงได้ยกมืออธิบายเรื่อง 




    "  คือว่าทุกคนครับ แบบนี้ครับ คนที่อยู่ตรงหน้านี่เเหละครับปู่ชวด ผม "



    ทั้งหมดถึงกลับตะลึง เป็นไปได้ไงหรือบุญช่วยหลอกพวกเขา จะเป็นไปได้ยังไงเพราะคนที่อยู่

    ตรงหน้า อายุอานามน่าจะไม่เกินสามสิบห้าปีด้วยซ้ำไป  และขณะที่ทุกคนกำลังสับสนอยู่นั้น

    ชายผู้นั้นได้ฉวยไม้ ไล่ตีคนทั้งหมดทันที่พร้อมทั้งพูดไปด้วย




    " นี่ขนาด เอ็งบอกว่าข้าเป็นไครเลยเหรอวะไอ้ ช่วย ไปไปกันให้หมด ข้าบอกแล้วไงไอ้ช่วยถ้า

    ทุกคนรู้ว่าข้าเป็นใคร มันจะนำความเดือดร้อนมาสู่ข้า ทำไมเอ็งไม่ฟัง ยังเอาไปบอกคนกลุ่มนี้ได้

    ข้าจะตีมันให้ตายทุกคนเลย จะได้ไม่มีไครรู้เรื่องข้า "




    ชายหนุ่มผมรุงรังพูดพลางเงื้อไม้ไล่ตีเขาไปทั่ว แต่ก่อนทีทุกคนจะได้รับบาดเจ็บ บุญช่วยก็

    ตะโกนขึ้น




    "  คนพวกนี้เป็นเหมือนปู่นะ เขาเคยเดินทางไปป่าที่ปู่เคยบอก กับพวกเรา "



    คำพูดของบุญช่วยทำให้ชายหนุ่มผู้ถือไม้หยุดชะงัก เขาลดไม้ที่เงื้อลง



    "  เอ็งว่าไงนะไอ้ช่วย "




    เขาถามพร้อมหันมาทางบุญช่วยอย่างสงสัยในสิ่งที่ได้ยินเมื้อกี้



    " อย่างที่บอกครับปู่พวกเขาเคยไปที่ป่านั่น และพวกเขาขอให้ฉันพามาหาปู่ เพราะว่าพวกเขาก็

    มีปัญหาที่เกิดจากป่านั้นเหมือนปู่เช่นกัน "




    คำอธิบายของบุญช่วยทำให้ชายผู้นั้นนิ่งสนิท ความคิดของเขานึกถึงคำพูดที่ว่าคนพวกนี้เดิน

    ทางไปป่าประหลาดเหมือนกัน เขาเคยคิดว่าจะมีเขาโชคร้ายแค่คนเดียวที่ได้เดินทางหลง

    เข้าไปในป่าที่เป็นตำนานของบรรพบุรุษแห่งนั้น  และได้รับซะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 

    และระหว่างที่เขากำลังความคิด คนกลุ่มเบื้องหน้าเขาก็กำลังงงกับสิ่งที่เกิดขี้นอย่างมาก 

     บุญช่วยมองออกจึงเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง 



    " คืออย่างนี้ครับ ที่ปู่ผมยังดูหนุ่มทั้งที่อายุมากแล้ว จากคำบอกเล่าที่เขาเคยเล่าให้ฟังเขาหลง

    ไปในป่าที่ไม่เคยเห็น และได้กินผลไม้ชนิดหนึ่งเพื่อประทังชีวิต แกคาดว่าน่าจะเป็นผลไม้นั้นที่

    ทำให้แกไม่ยอมแก่  เรื่องเป็นยังไงต่อไปให้ปู่เล่าดีกว่าครับ เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็เห็น

     แกเป็นอย่างนี้มาตลอดไม่แก่ จนมาตอนหลังแกก็เลยหนีมาอยู่ป่าที่นี่แหละครับ และก็บอกห้าม

    หลานๆทุกคนไม่ให้บอกเรื่องนี้กับไคร เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ไว้ให้แกเล่าให้ฟังดีกว่านะครับ "




    คำพูดของบุญช่วยทำให้ทำให้กลุ่มหมออัครชัยประหลาดใจยิ่งนัก  เรื่องประหลาดของคนที่ไม่

    ยอมแก่แม้แต่อายุร้อยกว่าปีแล้ว อัครชัยเอง เขาเคยได้ยินมาบ้างว่ามีคนเคยอายุเกินสองร้อยปี

    แต่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่าได้มาประสพพบกับตัวเองก็วันนี้เอง แล้วทำไมเขาถึงไม่แก่ ซึ่งถ้า

    เขากินผลไม้ชนิดเดียวกันนั่นจริงทำไมพ่อเขากับทุกคนที่ไปที่นั่นจึงได้แก่ล่ะ หรือว่ามีอะไร

    มากกว่านั้น ชายหนุ่มผู้ที่ตอนนี้ทั้งหมดได้รับรู้แล้วว่าเป็นปู่ของบุญช่วยสงบลงมาก เขาได้เชื้อ

    เชิญให้ทุกคนหาที่นั่งลงข้างๆเขา และรอยยิ้มเริ่มมีที่ริมฝีปากเขา และเขาก็ได้พูดขี้น




    " ไม่คิดเลยว่าจะมีคนหลงไปที่นั่นแล้วรอดกลับมาได้เหมือนข้า  แล้วไปยังไงกัน "



    คงเดชได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ปู่บุญช่วยฟัง ระหว่างนั้นบุญช่วยได้แนะนำว่าปู่ของเขาชื่อนาย

    อินทร์เพื่อให้ทุกคนได้สนทนากันได้สนิทกันขี้น  เรื่องที่คงเดชเล่าทำให้ลุงอินทร์เริ่มเข้าใจ




    " หลงเข้าไปเหมือนข้านะเหรอ  แต่ตอนนั้นข้าหลงเข้าป่านั้นไปเพราะหลบพายุไซโคลนที่พัด

    ถล่มพม่า และพื้นที่ป่าแถบนั้น เพราะตอนนั้นข้าเป็นพรานป่าล่าสัตว์อยู่แถวป่าลึกแถบนั้น แต่

    ตอนนั้นข้าไม่ได้บาดเจ็บอย่างที่พวกเอ็งหรอก แต่ยอมรับว่าไม่รู้ทิศทางเหมือนกัน จากการ ที่

    พวกเอ็งเล่ามานี่แสดงว่าพวกเอ็งยังคงยังไม่รู้สิว่าที่นั่น คืออะไร เอาอย่างนี้ใหนๆก็ชะตากรรม

    เดียวกันแล้ว ข้าจะเล่าเรื่องที่รู้มาทั้งหมดให้ฟัง " 




    นายอินทร์จัดแจงขยับนั่งให้เข้าที่เข้าทาง แสดงว่าเรื่องที่เขาจะเล่าให้ฟังยาวพอสมควร เมือ

    ได้ที่แล้วแกก็เริ่มเล่า




    " ตอนนั้นตอนที่ข้าอายุสามสิบสามปีข้าเป็นพรานป่าที่มีชื่อเสียงมาก มีคนจ้างข้าให้นำทางไป

    เที่ยวป่าด้วยเงินแพงๆ เพราะทุกคนมั่นใจในฝีมือ  แต่ด้วยความที่ข้ามั่นใจในตัวเองมากเกิน

    ไปข้าไปฝืนคำของบรรพบุรุษทีเคยห้ามไว้ เรื่องเกี่ยวกับผืนป่าต้องห้าม บทเทือกเขาที่มีสายน้ำ

    ใหลย้อน ขึ้นเหนือ บรรพบุรุษบอกว่าปรกติสายน้ำมักใหลลงทางไต้เพราะต้องใหลลงทะเลแต่

    ถ้าที่ใดมีสายน้ำที่ย้อนให้พึงระวัง แต่ข้าไม่เชื่อ ข้าแอบเข้าไปในผืนป่าที่บรรพบุรุษพรานป่ารุ่น

    ก่อนได้ห้ามไว้ข้าและได้พลัดหลงหาทางออกไม่ได้ในผืนป่าแถบนั้นเป็นอาทิตย์ แต่ยังดีที่ข้า

    รู้จักการล่าสัตว์ จึงได้ดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นได้ แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่ต้องจำมาจนถึงทุกวันนี้ เย็นวัน

    นั้นระหว่างที่ข้ากำลังจะพักผ่อนเพื่อรุ่งเจ้าจะได้หาทางกลับบ้านอีก พลันท้องฟ้าที่ครึ้มเพราะ

    เริ่มจะมืดก็กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ด้วยสัญชาติญาณข้ารู้ทันทีเลยว่าข้าต้องเจอกับพายุุแล้ว

    ก่อนที่ข้าจะเดินทางมาหลงป่านี้  เคยมีคำเตือนจากวิทยุว่าอีกไม่กี่วันนี้พื้นที่แถบนี้ จะมีพายุ

    ไซโครน  ขึ้นชายฝั่งแถบประเทศพม่า บริเวรที่ติดกับผืนป่าแห่งนี้ พายุพัดแรงมาก ทั้งฝนทั้งลม

    ต้นไม้หักโค่นเป็นจำนวนมาก ส่วนข้าก็โดนลมและฝนและตอนนั้นมันก็มืดมาก ข้าวิ่งหนีไปไม่รู้

    ทิศทาง และเหมือนป่าฎิหารย์ ระหว่างที่ข้าวิ่งไปไม่รู้ทิศทางนั้น จู่ๆก็รู้สึกว่า พายุได้สงบลงทันที

    ทันใด ข้าหยุดวิ่ง ให้ตายเหอะ สิ่งที่อยู่ตรงหน้า และรอบตัวตอนนั้น ถึงมันจะมืดสลัวแต่ก็พอ

    มองเห็นได้  ซากปรักหักพังของต้นไม้เมื่อโดนพายุพัดเมื่อสักครู่นี้ กลับไม่มีให้เห็น ภูมิประเทศ

    รอบตัว มีต้นไม้อยู่ก็จริงแต่มีแต่ต้นไม้ที่ไม่เคยรู้จัก มีหลายต้นมีลูกออกผล  ข้าเลือกที่จะหยิบมา

    ผลหนึ่งเพื่อดูว่ามันเป็นผลของไม้ที่ข้ารู้จักหรือไม่ และสุดท้ายข้าก็ไม่สามารถจำได้ว่านี่เป็นผล

    อะไร ถึงแม้ข้าจะเป็นผู้ที่ชำนาญป่า และคิดว่าน่าจะรู้จักผลไม้ป่าทุกชนิดก็ตาม ความกลัวเริ่ม

    เกิดขี้นนึกถึงคำที่บรรพบุรุษเคยสอนและห้ามเกี่ยวกับป่าแถบนี้  ตอนนั้นคิดว่าเมื่อมันเข้ามาได้ก็

    ต้องออกไปได้ มายังไงก็น่าจะต้องกลับไปอย่างนั้น ตอนนั้น เริ่มตั้งสติหลับตาและออกวิ่งย้อน

    ไปในทิศทางที่คาดว่าจะหลงเข้ามา ตามที่บรรพบุรุษเคยสอนไว้  จำได้ว่าข้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

     นานแค่ใหนไม่รู้ ความรู้สึกข้าเหมือนสะดุดกับอะไรสักอย่างหนึ่ง เท่านั้นเองร่างของข้าก็ลืมกลิ้ง

    ไม่เป็นท่า  และทันทีที่ข้า ลืมตา ก็พบว่าข้าได้วิ่งสะดุดกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่ล้มอยู่  ก็ประหลาดใจ

    มาก ตอนนั้นกลับเป็นเวลากลางวัน มองไปรอบตัวมีต้นไม้ล้มอยู่เป็นจำนวนมาก จำได้ว่าที่นี่เป็น

    ผืนป่าที่เคยยืนต้นก่อนที่จะโดนพายุพัดและที่เคยหลงเมื่อสักครู่นี้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงเป็นตอน

    กลางวันได้ ระหว่างที่ข้ากำลังงงอยู่นั้น ข้าได้สังเกตุเห็นคนกลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดเขาแต่งเครื่อง

    แบบ   ข้าจึงเดินเข้าไปหา คนกลุ่มนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เดินสำรวจต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดอยู่

    เเละเมื่อพวกเขาเห็นข้าเขาจึงได้ทักขึ้น  อ้าวมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ ข้าตอบว่าข้าหลงป่าพวกเขา

    พากันหัวเราะ มึคนหนึ่งถ้าทางจะเป็นหัวหน้า ได้บอกกับข้า มาหลงป่าอะไรกันแถวนี้ ป่าโล่งจน

    ขนาดนี้แล้วมองเห็นไปถึงใหนถึงใหนแล้ว ถ้าเป็นอาทิตย์ที่แล้วก็ว่าไปอย่าง ทำไมไม่มาหลง

    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก่อนที่พายุจะมาล่ะ แล้วพวกเขาก็พากันหัวเราะ ข้างงกับคำพูดพวกเขาและ


    ที่ทำให้ข้าต้องงงยิ่งขึ้น คือข้าเริ่มสังเกตว่าต้นไม้ที่ถูกพายุพัดหักไป บางต้นกลับมีใบที่เริ่มแห้ง

    เป็นไปได้ยังไง ก็เหตุการณ์พายุได้เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง   พึ่งมารู้ตอนหลังช่วงเวลาที่ข้าวิ่งหลงเข้าไป

    ในนั้นป่าประหลาดนั้นเพียงครู่เดียว มันกินเวลาที่โลกของเราเป็นสัปดาห์   สิ่งที่ได้เห็นกับสายตา

    หลายอย่าง ยืนยันคำพูดของเจ้าหน้าที่ป่าไม้พวกนั้นว่าพายุนัดพัดผ่านไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วจริงๆ 

    ะหว่างที่งงเจ้าหน้าชักชวนข้าให้กลับบ้านพร้อมเขา และข้าก็ออกเดินทางตามเจ้าหน้าที่พวกนั้นมา มา

    ได้สักพักรู้สึกหิว พึ่งจะรู้ตัวว่าในมือนั้นถือผลไม้ลูกนั้นติดมือมาด้วย  และเมื่อเดินเท้ามาได้พอสมควรก็

    หยุดพัก ตอนนั้นข้าสองจิตสองใจที่จะเล่าเรื่องที่ไปประสพพบเจอ และผลไม้ที่ติดมือมานี้ ให้ทางเจ้า

    หน้าที่ป่าไม้พวกนั้นฟังดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเก็บเป็นความลับ เพราะกลัวพวกเขาจะหัวเราะ

    เยาะเอาอีกและเมื่อหิวมากขึ้น ข้าเลยตัดสินใจ จะกินผลไม้นั้น โดยตอนพัก ข้าได้แอบเอาบางส่วนแบ่ง

    ให้ทากที่อยู่บริเวรนั้นกิน  เมื่อเห็นว่าตัวทากได้กินแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ข้าจึงตัดสินใจกินมัน และ

    นั่นเองหลังจากที่ข้าได้กินผลไม้ในวันนั้น หลังจากนั้นพอหลายปีผ่านไป คนรุ่นราวคราวเดียว

    กับข้า ก็ได้เริ่มแก่ลงตามอายุขัย แต่ข้ากลับรู้สึกว่า ข้ายังเหมือนเดิม และยิ่งนานไปข้าจึงเป็นจุด

    สังเกต ทุกคนเริ่มมองข้าเป็นตัวประหลาด  ข้าจึงเริ่มศึกษาค้นคว้าสาเหตุที่ข้าเป็นอย่างนี้ จน

    กระทั่ง วันหนึ่งได้พบกับพรานเฒ่า ชาวก้าเหมี่ยคนหนึ่ง เขาบอกเขามีสมุดบันทึกของคนใน


    ตระกูลเขา เกี่ยวกับเรื่องป่าแห่งหนึ่ง  เมื่อได้อ่านแล้วข้าถึงเข้าใจทั้งหมด และข้าได้ลอก

    ข้อความในหนังสือทั้งหมดก่อนที่ก้าเหมี่ยคนนั้นจะตาย  เดี๋ยวข้าจะหยิบหนังสือมาให้ดูและ

    อ่านให้ฟังละกัน







    "


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×