ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #7 : ปรากฎการพร้อมหน้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 664
      29
      11 ก.พ. 62





    ไม่ถึงสิบนาที ร่างระหงในชุดเครื่องแบบสีขาว ก็ได้ตามพยาบาลเวรเข้าหาหมออัครชัย ส่วน

    สมรพยาบาลเวรซึ่งได้ล่วงหน้ามาก่อน ได้เข้ามาบอกกับหมออัครชัย



    " ไปบอกให้แล้วค่ะ สักพักคงมา เเหมพอหนุ่มแถวนั้นรู้ว่าท่านผอ.เรียก คุณ ดุจปรายมาหานะคะเห็น

    ทำหน้าละห้อย สงสัยอกหักล่วงหน้ากันเป็นแถวแล้วล่ะค่ะ  " 



    พยาบารเวร สัพยอกเมื่อเธอเห็นสิ่งที่เธอบอก อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเป็นธรรมดาหนุ่มหล่อกับสาว

    สวย เป็นความเหมาะสมและลงตัวในความคิดของคนที่คิดว่าทั้งคู่ก็ยังเป็นคนโสด ว่าแล้วเธอก็

    ขอตัวไปทำงานต่อ


    ระหว่างที่ ทั้งหมดกำลังใจจดใจ ประตูห้องก็ถูกเคาะ ทันทีทีประตูเปิดออก ร่างบาง ๆ ก็เข้ามา


    " สวัสดีค่ะท่าน ผอ ออ มีอะไรให้ดีฉันรับใช้หรือค่ะ "


    เธอกระพุ่มมือไหว้พร้อมคำถาม

    อัครชัยรับไหว้ และเธอเองก็ได้หันไปใหว้กับผู้ชายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหมออัครชัยด้วย ร่างนั้น

    เป็นสตรีในชุดสีชาวที่สะดุดตายิ่งนัก ทั้งรูปร่างหน้าตา เธอเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง อาจ

    สวยจนใครๆต้องเหลียวหลัง หมออัครชัยเองวันนั้นเขาก็ไม่ได้สังเกต พยาบาลเวรให้หนังสือมา

    ก็เซนต์รับไป ไม่ได้หันไปมองหน้าเธอด้วยซ้ำในวันนั้น แต่สิ่งที่สะดุดอีกอย่างคือชุดพยาบาล

    ของเธอตัดเป็นแขนยาว ซึ่งต่างจากพยาบาลทั่วไป  ถ้าเป็นคนอื่นจะแปลกใจ แต่ผู้ชายทั้งสาม

    กลับเข้าใจดี 


    " แขนยังไม่หายเหรอหนู  พวกเราบางคนหายแล้วนะ "


    คงเดชถาม 


    " เกือบแล้วค่ะ เอ๊ะ คุณลุงรู้ได้ยังไงคะ หนูไม่เคยรู้จักคุณลุงมาก่อนและไม่เคยบอกอะไรคุณลุงเลยคุณ

    ลุงจะรู้ได้ยังไงว่าหนูเป็น... เอ้อ..อะไร "


    ดุจปลาย สงสัย คนที่ทักเธอรู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นอะไร  ถึงเธอรู้อยู่ว่าเธอเป็นอะไรแต่เธอเอง

    ได้ปกปิดมันไว้ด้วยเสื้อแขนยาว และเธอก็มั่นใจว่าไม่มีใครเห็นแผลนั้นได้


    หมออัครชัย เห็นเธอเหวอด้วยความสงสัย เขาจึงตัดบท





    " ต้องขอโทษคุณ ดุจปรายด้วยนะครับ พอดียังไม่ได้อธิบาย พอดีพวกเรารู้ อุ๊ย..จะว่ารู้ยังคงไม่

    ได้ พอดีพวกเราสงสัยว่า คุณดุจปรายจะเป็นคนที่เราตามหานะครับ ถ้าเป็นจริงคนนั้นจะต้องมี

    แผลตกสะเก็ด นะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ ถ้าตกลงคุยกันแล้ว ไม่ใช่เป็นคุณ ดุจปราย พวก

    เราต้องขอโทษด้วยไว้ล่วงนะครับ ที่เอาเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าให้คุณฟัง "





    ดุจปลาย ได้ฟังเรื่องที่หมออัครชัยพูด เธอรู้สึกงง แต่ สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งประหลาดใจ คือพวกเขา

    รู้ได้ยังไงว่าเธอมีแผลตกสะเก็ด





    " คะ เรื่องแปลกน่ะ ปราย ได้เจอมาทั้งชีวิตเเล้ว จะฟังเรื่องแปลกอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป แต่

    ทำไมพวกคุณถึงได้รู้คะว่า ดิฉัน เอิป.ปราย มีแผลตกสะเก็ด เรื่องที่พวกคุณจะเล่าคงแปลกมากจริงๆ แต่

    มีสิ่งหนึ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งทำไมปรายรู้สึก คุ้นเคยกับพวกคุณจังเลย เหมือนไม่ใช่เราพึ่งเจอ

    กันครั้งแรก ปรายเห็นคุณลุงคนนี้ปรายรู้สึกเหมือนอบอุ่น เหมือนคุณลุงเป็นญาติผู้ใหญ่ และคุณ

    หมอกับคุณผู้ชายคนนั้น เหมือนพี่ชายของปราย รับรู้เหมือนประหนึ่งว่าทั้งหมดจะปกป้องดูแล

    ปรายได้ ปรายกล้าต่อ ปากต่อคำ กล้าพูดเล่น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ปรายจะเป็นคนขี้อาย ทำไมปราย

    รู้สึกแบบนี้ และเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงคะ" 





    " พวกพี่ก็เช่นกัน ใหนๆเราก็ความรู้สึกเดียวกันแล้ว ขอเรียกตัวเองพี่ละกัน ทั้งที่พวกเราก็เกิดวัน เวลา 

    เดียวกัน แต่ไม่รุ้ว่าคิดว่าตัวเองเป็นพี่ได้ไง เพราะแรกเห็นพี่มีความรู้สึกประหลาดที่เห็นพยาบาลคนนี้ตรง

    หน้า รู้สึกประหนึ่งว่าได้พบสายเลือดเดียวกันยังไงยังงั้น ทั้งที่พี่เป็นลูกคนเดียว ไม่เคยมีความรู้สึกนี้มา

    ก่อน แต่กลับรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ "


    กานต์บอกความรู้สึกกับ ดุจปรายและบอกความรู้สึกของตัวเองที่แปลกประหลาด

    คงเดชยิ้ม เขาเองก็เช่นกันรู้สึกเอ็นดู พยาบาลคนนี้อย่างแปลกประหลาด มีความผูกพันลึกๆ

    และทำให้เขาคิด ว่าไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลย ว่านี่คือคนที่่ตามหาร้อยเปอร์เซนต์



    " พ่อเป็นไงมั่งจะหนูปราย สบายดีใหม ไม่ได้เจอกันนาน "


    คำพูดของคงเดช ทำให้หนุ่มทั้งสองมองหน้ากัน ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่า บัดนี้คงเดชสรุปเรียบร้อย

    ว่าเธอคือคนที่พวกเขาตามหา ส่วนเขาทั้งสองก็คิดเหมือนคงเดชเช่นกัน เพราะความรู้สึกทีเจอ

    กันนั่นเอง




    "  คุณพ่ออยู่บ้าน คะ ก็ป่วยบ่อยค่ะ เป็นเหมือนหนูนี่แหละ แต่อายุมากแล้วก็ต้านทานโรคได้น้อยหน่อย 

    อยู่ที่ปายคะ  แม่ฮ่องสอนค่ะ อยู่กับคุณแม่ คุณลุงรู้จักคุณพ่อนี้เอง ถึงได้รู้ว่าหนูเป็นโรคอะไร เราเป็น

    ญาติกันใช่ไหมค่ะ หนูถึงมีความรู้สึกอย่างนี้ เมื่อเจอพวกคุณลุง "



    ดุจปราย ต้องข้อสังเกต



    " ไม่ได้เป็นญาติกันหรอกจ้าหนูปราย แต่เรารู้จักกัน ไม่ได้เจอกันนาน เจอกันครั้งสุดท้ายหนูยัง

    ไม่เกิดด้วยซ้ำ ทำไงจะติดต่อกับเขาได้จ๊ะ ลุงอยากเจอเขา "




    " ไว้พรุ่งนี้ หนูลากลับดอยพอดีจะบอกให้นะคะ ที่หนูอยู่ไม่มีสัญญาณโทรศัพค่ะ สูงมาก ว่าแต่

    จะบอกได้หรือยังค่ะว่า เราเป็นอะไรกัน  หรือแค่รู้จักแล้วเรียกมาทักทายใช่ใหมค่ะเนี่ย "




    ดุจปราย สัพพยอกอย่างติดตลก หล่อนแปลกตัวเองเป็นที่สุดทำไมถึงได้สนิทกับคนกลุ่มนี้ง่าย

    ขนาดนี้ เหมือนคุ้นเคยกันมาตลอด 




    " เป็นอันว่าเอาอย่างนี้ล่ะกัน "



    หมออัครชัยสรุป และกล่าวต่อ



    "  เอาเป็นว่าเรื่องทุกอย่าง ถ้าเล่าให้น้องปรายของเราฟังตอนนี้ น้องก็คงเข้าใจยากหน่อย ไว้

    น้องกลับไปบ้านให้นอ้งพาคุณพ่อ มาทีนะ อีกสองวันมาพบกับพวกเราที่นัดกันไว้ ที่กรุงเทพคาดว่าอีก

    สามวันน้องกลับแล้วก็มาคงจะพอดี ไว้อธิบายกันที่นั่นและมีหมวดเกริกพ่อของน้องปรายช่วยอธิบายให้

    น้องปรายฟังอีกทีละกัน ยังไงพ่ออธิบายให้ลูกสาวฟังต้องเชื่อทุกอย่างแน่ไม่ต้องอธิบายกันมาก "




    ดุจปรายค่อนข้างงง หมออัครชัยพูดประหนึ่งว่าพ่อของเธอชื่อหมวดเกริก แต่ที่จริงแล้วพ่อของ

    เธอไม่ได้เป็นทหารหรือตำรวจ เขาเป็นเพียงชาวไร่ธรรมดา ที่ทำไร่อยู่บนดอย



    " มิได้นะคะ พ่อของปรายไม่ได้มียศศักดิ์ เป็นตำรวจหรือทหาร พ่อของปรายเป็นชาวไร่ธรรมดา หรือว่า

    ทุกคนกำลังเข้าใจผิด อาจจะมีการเข้าใจผิด.."


    " เอา งี้แล้วกัน เดี๋ยววันนั้นที่นัดกันลุงจะทำให้พ่อของหนูเป็นทหารให้ได้ ให้หนูไปบอกด้วยละกัน ว่ามี

    เขาต้องการให้มาหา ชื่อจ่าโสรส "


    ดุจปรายงง ทำหน้าเหรอหรา ได้แต่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ซักอะไรอีกและขอตัวกลับไป เพื่อวันรุ่งกลับ

    ดอยขี้นจะได้เดินทางไปรับพ่อของเธอตามที่ได้นัดหมายกันไว้  เมื่ออยู่กันโดยไม่มีเธอ อัครชัย

    สงสัยอะไรบางอย่างจึงได้ถามคงเดชขึ้น



    " คุณลุงแน่ใจเหรอครับว่าพ่อของคุณดุจปรายจะเป็นหมวดเกริก ถึงสถานการณ์ต่างๆจะดูเหมาะ

    เจาะ แต่ทุกอย่างก็มีโอกาสพลิกผันได้เสมอนะครับ " 





    " โอ้ย..ลำพังความรู้สึกเราผมไม่แน่ใจหรอก แต่หน้าตา คุณหนูดุจปราย แทบจะถอดแบบหมวด

    เกริกมาเลยนะ เวลาเห็นหน้าเธอทำให้นึกถึงพ่อของเธอ "




    ได้ยินคงเดชพูดอย่างนั้น หมออัครชัยและกานต์จึงเข้าใจ และแน่ใจกันมากขึ้น ต่อจากนี้สิ่งที่

    พวกเขาจะทำคือ กำหนดวันที่จะไปพบกันและนัดหมายทุกคนให้ไปตามวันและสถานที่ๆนัด

    หมาย


    สามวันต่อมา ชานเมืองของกรุงเทพแห่งหนี่ง ที่ถูกกำหนดให้เป็นที่นัดหมายของทุกคน ชายสูง

    อายุสองคน นั่งรอด้วยใจจดจ่อ ระหว่างนั้น รถเก๋งคันหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามา ทันทีที่ประตูรถเปิด

    ออก ร่างของชายสูงอายุอีกคนหนึ่งได้ก้าวลงจากรถ ทั้งสามโผเข้าหากัน น้ำตาแห่งความตื้น

    ตันใหลอาบแก้มของคนทั้งสาม 




    " ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอแกอีกว่ะ ไอ้จ่า  น้อยด้วย "




    ชายชราผู้มากับรถได้เอ่ยขี้น พร้อมตบบ่าคนทั้งสองเบาๆ สิ่งที่เห็นทำให้ผู้ที่อยู่ในรถที่มากับเขา

    ด้วยอดน้ำตาซึมไปกับคนทั้งสามด้วยไม่ได้ 





    " เข้ามานั่งก่อน หมวดล่ะ ใหนว่าาจะมาด้วย ไม่เห็นเลย"



    อดีตพลทหารน้อยได้ถามคงเดชขึ้น



    " เห็นลูกชาย ข้าว่าติดต่อกันเมื่อกี้อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงคงถึง พอดีเขามาจากสายเหนือรถติด

    มากว่า "




    คงเดชตอบพร้อมกับเกาะบ่าคนทั้งสองเดินเข้าบ้าน



    "เอ้อคุณวรรณา เอาน้ำเอาท่ามาเลี้ยงแขกหน่อยสิ เขามากันแล้ว"



    อดีตพลทหารน้อยซึ่งบัดนี้เข้าได้เปลี่ยนชื่อใหม่ตัวเอง เป็น ประชัย ได้เรียกบอกภรรยา เพราะ

    บ้านหลังนี้ ที่ให้เป็นจุดนัดพบของพวกเขา เป็นบ้านของประชัย   วรรณาเมียของประชัย ได้

    ยกมือไหว้ คงเดชพร้อมทั้งกานต์และหมออัครชัยก็ได้ไหว้เธอด้วย และเธอก็ได้จัดแจงน้ำให้ทุก

    คน แต่สิ่งที่คงเดชสังเกตและสะดุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเธอ วรรณาเมียของอดีตพลทหารน้อย 

    ผ่ายผอม ช่างเหมือนกับ ภรรยาสองเขา  ยังมิทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ ปิคอัพขับเคลื่อนสี่ล้อ

    ยกสูงคันหนึ่งก็ได้เคลื่อนเข้ามา ทันทีผู้ขับลงมาจากรถ ดุจปรายนั่นเอง และคนที่ที่มาด้วยนั่นจะ

    เป็นไครเสียไม่ได้นอกจากอดีตหมวดเกริกนั่นเองน้ำตาแห่งความปิติและตื้นตันเริ่มจับที่ขอบตา

    กันอีกครั้ง ดุจปรายเองเห็นพ่อของเธอร้องไห้ทำให้เธออดที่จะน้ำตาซึมไปด้วย ปรกติตั้งแต่เธอ

    จำความได้ ไม่เคยเห็นพ่อของเธอเสียน้ำตาให้กับใครมาก่อน  แต่เมื่อเธอรู้เรื่องทั้งหมดที่ได้รับ

    ฟังจากพ่อของเธอซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้มาก่อน เธอรู้ว่าพ่อของเธอคงรู้สึกอย่างไร เมื่อได้

    มีโอกาสได้มาพบกันคน ทั้งหมดอีกครั้งในครั้งนี้ 



    " นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ตั้งแต่แยกกันวันนั้น ฉันได้โบกรถปางไม้ ที่แรกคิดว่าเขาจะ

    เข้าไปตัวจังหวัด แต่เมื่อหลับในรถและมาตื่นอีกครั้ง รถได้มาอยู่บนดอย ปาย แม่ฮ่องสอน เลย

    ตัดสินใจ อยู่ที่นั่น เพราะคิดว่าคงเป็นโชคชะตากำหนดแล้ว ถ้ากลับไปบ้านเกิด คงเป็นตัวตลก

    เลยอยู่ที่นั่นและได้กับแม่น้องปรายและอยู่มาจนทุกวันนี้แหละ "




    อดีตร้อยตรีโอภาส หรือหมวดเกริก ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ประพาส เล่าถึงเรื่องที่เกิด

    ขึ้นหลังจากนั้น หลังจากที่แยกกันไป  ส่วนอดีตจ่าโยธิน และปัจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น สุทิน และ

    ประชัย หลังจากวันนั้นที่แยกทางกันทั้งสองได้โบกรถคันเดียวกัน ระหว่างปรึกษาหารือกันมาใน

    รถ เห็นว่าอย่างไรเสีย อะไรก็คงกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจ เข้าไปเป็นกรรมกร

    ก่อสร้างในกรุงเทพ และได้ภรรยาที่นั่น  สิ่งที่เหมือนกันของทั้งหมดที่แยกกันคือ เขาได้ไปขอมี

    บัตรประชาชนได้ โดยไปแจ้ง เป็นบุคคลพื้นที่สูง และสิบปีต่อมาเข้าก็ได้บัตรประชาชน จริงอยู่

    หมายเลขบัตรอาจจะไม่เหมือนคนทั่วไป แต่แทบไม่มีข้อจำกัดใดที่สามารถทำได้ตามสิทธิของ

    ประชนของไทยเลย

    แต่ไม่มีไครรู้ได้ว่า ผู้กองโยชิ ไปได้อย่างไร ยังคงเป็นความลับที่ตายไปพร้อมกับเขา แม้แต่

    ลูกชายเขาที่อยู่ ณ.ที่นี้ผู้กองโยชิก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง

    เมื่อถามสารทุกข์สุขดิบกันพอสมควร ประพาสก็ได้บอกกันพวกเขา ว่า 




    " มีอยู่อย่างหนึ่งวะข้าไมได้บอกทุกคน  วันนั้นวันที่ผมเก็บผลไม้มาให้กิน ผลไม้นั้นไม่ได้มาจากต้นเดียว

    นะ ผู้กองโยชิ กับจ่าโสรสกินด้นเดียวกัน เลยได้ผลไม้มาเป็นผู้ชายทั้งคู่ ส่วนที่เหลือสามคนกินอีกต้น 

    เลยได้ผลเป็นผู้หญิงว่ะ ฮ่า...



    อดีตหมวดเกริกกล่าวเขาหัวเราะอย่างติดตลก เขารู้สึกว่าเรื่องเดียวเขายังไม่ได้บอกให้ทุกคนรู้ในวันนั้น 

    จะถือโอกาสบอกซะวันนี้เลย จะได้ไม่มีอะไรเป็นความลับที่ติดค้างไว้คนเดียว



    " ผมก็มีเรื่องอยากจะบอกเหมือนกัน "



    หมออัครชัยกล่าวแทรกขึ้น



    "จากบันทึกของคุณพ่อ เครื่องบินญี่ปุ่นที่ตก ลำหนึ่งภายในบรรทุกทองคำไว้หลายถุง พ่อบันทึก

    ไว้ว่ารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกกับทุกคน เพราะคิดว่าจะนำไปกลับมาส่งคืนทางการ ผมขอเป็น

    ตัวแทนพ่อผม บอกเรื่องนี้กับทุกคนละกัน "




    อัครชัยกล่าว



    " ผู้กองโยชิมีเลือดรักชาติสูงส่งจริงๆนะครับ  แต่ไม่รู้หลังจากที่เขากลับไปครั้งนั้น ความสับสน

    จะทำให้ชาติ คิดยังไงกับเขา  เรื่องทองคำคงไม่ต้องเก็บมาคิดหรอกครับ ป่า นรกนั่นคงไม่ย้อน

    กลับไปอีกแล้วล่ะครับ หมอ  ผมว่าป่านั่นมันยังไงชอบกลนะครับ ทำไมเราไม่รู้เลย ว่ามีป่าแบบนี้

    อยู่เลย "



    สุทินกล่าวพร้อมแสดงความคิดเห็น ทำให้อัครชัยได้พูดเสริมขี้น


    " จริงครับหลังจากที่กลับมาใหม่ๆ ผมพยายามสืบหาสถานที่นี้ดู โดยเช่าเครื่องบินบินดูหลายสัปดา

    แต่ไม่มีวี่แววป่าแห่งนั้นเลยนะครับ  กะว่าถ้าเจอจะเข้าไปศึกษาผลไม้อะไรนั่นดู


























    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×