ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #69 : ธรนีพิโรธ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 150
      25
      18 มิ.ย. 62

    " แต่ว่าถ้าทิ้งเจ้าไว้ตรงนี้ก็เท่ากับปล่อยให้เจ้าตายนะ แถวนี้ดูไม่ปลอดภัยเท่าไร เอางี้ล่ะกันเดี๋ยว

    เราอยู่กับเจ้าสักร่าง แล้วที่เหลือคงต้องเดินทางต่อไป  เจ้าบอกทางคร่าวคร่าว อาจไปถูก แต่ก่อน

    ที่เรายังมียานก็คงผ่านไป มาบ้างแล้ว เวลาวันครึ่งต้องไปทันแน่ " 


    มนุษย์ เดฟโดร์นแสดงความคิดเห็น


    " ได้ได้ ไปจากนี่อีกไม่เท่าไรจะถึงป่าสีน้ำเงินจากป่าลงไปทางทิศไต้อีกสักห้าสิบกิโลเมตรก็จะถึง

    ถ้ำไต้ดินที่มีความยาวมาก นั่นแหละ พวกไอซ์โดร์นหลบอยู่แถวนั้น  "


    ปู่อินทร์อธิบาย


    " มิน่าเล่าพวกไอซ์โดร์นหลบอยู่ไต้ดินนี่เอง พวกเรา หาอยู่หลายปีจึงไม่เจอ  พวกเราเคยผ่านไป

    แถวนั้นพอจำได้  เราจะทิ้งพวกเราไว้ช่วยเจ้าเลยล่ะกัน ส่วนข้าจำเป็นต้องไปเพราะรู้วิธีเปิดรหัส 

    มัลติทอร์เพียงร่างเดียว "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว พร้อมกับสั่งให้พรรคพวกหนึ่งร่างอยู่กับปู่อินทร์ และอีกสามร่าง

    ก็เร่งออกเดินทาง ปู่อินทร์มองตามไปเห็นทั้งมนุษย์เดฟโดร์นทั้งสามร่างห่างออกไป เขามี

    ความหวังว่าทั้งสามจะช่วยนับพับชีวิตของพวกไอซ์โดร์นได้ทันเวลา เพราะเร่งเดินทางได้

    โดยไม่ต้องติดขัดเพราะรอเขา 



    " ครืนครืน "


    แต่ความคิดของปู่อินทร์ก็สะดุดเมื่อเกิดมีเสียงผิดปรกติ ยังไม่ทันที่จะมองว่าเสียงมาจาก

    ทางใหน ปู่อินทร์กลับรู้สึกได้ว่าพื้นที่เขายืนอยู่เริ่มมีอาการสั่นสะเทือน เขาพยายามทรงตัว

    ให้ยืนอยู่ได้ แต่มนุษย์ดาวเดฟโดร์นที่อยู่ข้างเขากลับลัมกลิ้งไม่เป็นท่า ร่างกายที่ไม่

    ยืดหยุ่นของมนุษย์เดฟโดร์นไม่สามารถทรงตัวบนพื้นที่เคลื่อนไหวได้ดีอย่างกับร่างของปู่

    อินทร์ พื้นถูกเขย่าอย่างแรง พร้อมทั้งมีเสียงดังสนั่น ปู่อินทร์เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่หลาย

    ต้นล้มพับลง ดีที่มันอยู่ห่างจากที่เขายืนอยู่จึงไม่ได้รับผลกระทบจากถูกกิ่งก้านของมัน

    ฟาดร่างเขาได้ ปู่อินทร์รู้โดยสัญชาติญาณว่านี่ต้องเป็นแผ่นดินไหวแน่ ถึงแม้เขาไม่เคย

    เห็นมันจริงจริงแบบนี้มาก่อน เคยเห็นแต่ในภาพข่าว แต่เขาประเมินได้เลยว่าครั้งนี้มันเป็น

    แผ่นดินไหวที่รุนแรงกว่าที่เกิดบนโลกมากแน่แน่ และมันกินเวลาเกินกว่าห้านาทีดังนั้น

    ความเสียหายจึงทำให้ทุกสิ่งที่ปู่อินทร์เห็นพังราบเป็นหน้ากลอง พร้อมฝุ่นผง ท่วมท้นดุจ

    พายุฝุ่นยังไงยังงั้น และความสั่นสะเทือนก็สงบลง ปู่อินทร์ เร่งคนหามนุษย์เดฟโดร์นที่เมื่อ

    กี้อยู่ด้วยกับเขา และเห็นว่าเขาหกล้มกลิ้งไปกลิ้งมาหายเข้าไปในฝุ่นฟุ้งนั้น 


    " ท่านเป็นไรไหม "


    ปู่อินทร์ส่งเสียงเรียก หลังจากพอมองเห็นเงาลางลาง ที่กำลังเคลื่อไหวอยู่ในฝุ่นแห่งนั้น 


    " ไม่เป็นไร ดีนะเราไม่ได้อยู่แถวต้นไม้ข้างหน้านั้น ไม่อย่างนั้น เอ๊ะ พวกข้า พวกข้าอยู่ตรงนั้น ท่าน

    อินทร์ ก่อนนี้ พวกข้าเดินทางไปถึงแถวนั้นพอดี ตอนแผ่นดินใหว พวกเขาจะเป็นไรใหม "


    มนุษเดฟโดร์นพูดเหมือนนึกขึ้นได้


    " ตรงนั้นมันพังเละเทะแบบนั้นบอกไม่ได้หรอก เราเข้าไปดูกันเถอะ "


    ปู่อินทร์ กล่าว เขาดูจากไกลไกลแล้วความเสียหายขนาดนี้ ปู่อินทร์ไม่อยากคาดเดา ปู่

    อินทร์และมนุษย์เดฟโดร์น เดินออกฝ่าฝุ่นที่ยังไม่ค่อยเจือจางเท่าไรเข้าไปทิศทางที่คิดว่า 

    มนุษย์เดฟโดร์นทั้งสามน่าจะอยู่ตอนเกิดแผ่นดินไหว ความเสียหายที่เห็นกับพื้นที่ ปู่อินทร์

    ไม่อยากจะคิดว่าเดฟโดร์นทั้งสามจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ พื้นดินมีรอยแยกเล็กใหญ่ นั่น

    จึงทำให้ต้นไม้ล้มระเนระนาด และการเดินเข้าไป ท้้งสองต้องกระโดดข้ามรอยแยกแผ่น

    ดิน ที่ดูมันมีหลายรอยและดูเหมือนมันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยเรื่อยด้วย


    " ฯ0, ๐?.) "


    และปู่อินทร์ก็ได้ยินเสียงเดฟโดร์นที่อยุ่ข้างเขาเปล่งเสียงออกไปซึ่งปู่อินทร์คาดว่าน่าจะ

    เป็นเสียงเรียกเพื่อหาดำแหน่งเพื่อนของเขา แต่ปู่อินทร์ก็ฟังไม่รู้ว่าเดฟโดร์นนั้นพูดว่า

    อะไร และแปลกใจทำไมไม่ส่งภาษามนุษย์ เขาจึงจะได้รู้บ้าง เพราะเดฟโดร์ทั้งหมดหัดพูด

    ภาษามนุษย์ได้หมดทุกร่างแล้ว 


    " ,.+ฺ์  X 0  .>?  "


    และทันใดก็มีเสียงตอบกลับ


    " มีพวกข้ารอดอยู่ตรงนี้แน่ท่านอินทร์ ที่เมื่อกี้ใช้ภาษาของข้า เพราะคิดว่ามันมีเสียงที่ทะลุทะลวง

    มากกว่าภาษาของท่าน และส่งถึงถ้าพวกข้าต้องอยู่ไกล แต่นี่มีพวกข้าอยู่ใกล้ใกล้นี่เอง "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นกล่าว น้ำเสียงแสดงถึงความดีใจ


    " ข้าอยู่ตรงนี้ "


    และก็มีเสียงตะโกนกลับมาอีกครั้ง  ปู่อินทร์และเดฟโดร์นอีกร่างเร่งเข้าไปหาตามเสียงที่

    ตะโกนมา ทั้งสองต้องก้าวเดินขึ้นบนต้นไม้ล้มขนาดใหญ่เพราะมันพาดข้ามรอยแยก ที่

    ตอนนี้ทั้งสองเห็นว่ามันใหญ่จนไม่สามารถกระโดดข้ามได้แล้ว และทันใด สายตาทั้งสองก็

    เห็นร่างของมนุษย์เดฟโดร์นอีกร่าง ต้นเสียงที่ตะโกนมา


    "  ช่วยข้าด้วย  "


    สิ่งที่ทั้งสองเห็นคือร่างเดฟโดร์นร่างหนึ่งถูกกิ่งไม้ขนาดใหญ่ทับร่างไว้  แต่ร่างกายที่

    แข็งแกร่ง ทำให้ไม่บอบช้ำหรือบาดเจ็บจากการถูกกิ่งไม้ทับแต่อย่างใด แต่ร่างนั้นไม่

    สามารถลุกขึ้นเองได้ มีเพียงเสียงร้องเรียกให้ทั้งสองเข้าไปช่วย และร่างนั้นก็ได้รับการ

    ช่วยเหลือ ปู่อินทร์และเดฟโดร์นอีกร่างช่วยกันยกกิ่งไม้ออก ทำให้่ร่างที่อยู่ไต้กิ่งไม้นั่น

    หลุดรอดขึ้นมาได้ 


    " ท่านหัวหน้าและราฟวิ่ง ตกลงไปตรงรอยแยกนั้น "


    ทันทีที่ช่วยมาได้ เดฟโดร์นร่างนั้นก็บอกสิ่งที่เห็น ปู่อินทร์มองตาม รอยแยกที่เดฟโดร์บอก

    มันดูกว้างใหญ่มากและพวกเขาพยายามมองลงไป ความลึกของรอยแยกไม่สามารถมอง

    เห็นได้ว่ามันสุดอยู่ที่ตรงใหน


    " มันลึกขนาดมองไม่เห็นเลยหรือว่า ทั้งสอง ตะ ตะ ตายแล้ว "


    ปู่อินทร์ตะกุกตะกัก ไม่อยากเอ่ยคำนี้ให้เดฟโดร์นท้้งสองเสียกำลังใจ


    " ยัง ทั้งสองยังไม่ตาย ข้ายังจับสัญญาณทั้งสองได้ แต่อ่อนเต็มที ถ้าไม่บาดเจ็บหนักก็อาจจะอยู่

    ไกลมาก หรือว่ามีอะไรบังอยู่ สัญญาณชีพจึงอ่อนเช่นนี้ "


    เดฟโดร์นรีบตอบ ปู่อินทร์ใจชื้นขึ้น 


    " ข้าจะลงไปดู "


    เดฟโดร์นอีกร่างขันอาสา


    " แต่ท่านจะลงไปได้ไง ถ้าทั้งสองอยู่ลึกมากขาลงไปนะไม่เท่าไร แต่ขากลับสิ ท่านจะมีแรงปีนขึ้น

    มาหรือ  "


    เดฟโดร์นอีกร่างกล่าวท้วง


    " แล้วจะให้ข้าทำไง ข้าทิ้งให้ท่านหัวหน้ากับท่านราฟวี่ตายไปแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ "


    เดฟโดร์นผู้ขันอาสากล่าว


    " เอางี้ไม่ล่ะท่านทั้งสอง ท่านลองเอาเถาวัลย์ไม้นั่นมาต่อกันและห้อยลงไปสิ  ต่อลงไปเรื่อยเรื่อย

    จนกว่าจะถึงพวกนั้น เถาวัลย์น่าจะปีนง่ายขึ้นทั้งไปและกลับ ถ้าปีนไม่ใหวให้ข้างบนช่วยดึงขึ้นมา

    ก็ได้ "


    ปู่อินทร์เสนอแนะ เดฟโดร์นทั้งสองมองหน้ากัน อย่างใช้ความคิด ในที่สุดทั้งสองก็ พยัก

    หน้าเห็นด้วย เถาวัลย์ขนาดเหมาะมีอยาวหลายสิบเมตรสองสามเส้นถูกนำมาต่อกันให้ยาว

    ขึ้น และเดฟโดร์นผู้ที่ถูกไม้ทับเมื่อสักครู่ผู้ขันอาสาลงไป ปู่อินทร์ตั้งข้อสังเกตุในใจ ว่า

    ทำไมถึงไม่ให้ผู้ที่น่าจะมีความพร้อมทางร่างกาย ที่ยังไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ผ่านต้นไม้ทับมา

    หมาดหมาดเป็นผู้ลงไป  แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร  และระหว่างที่หย่อนลงไปตามตัวผู้ไต่ลง

    ไปเรื่อย เถาวัลที่เตรียมไว้เริ่มไม่พอ ปู่อินทร์และเดฟโดร์นที่อยู่ด้วยกันเร่งหานำมันมาเสริม

    ต่อลงไปอีก สามสี่เส้น จึงได้รับสัญญาณว่าข้างล่างมีการส่งสัญญาณว่าพอแล้ว คือมีเสียง

    แว่วเเว่วตะโกนขึ้นมาพอจับใจความได้ 


    " พบหัวหน้าและท่านราฟวี่แล้ว อยู่นี่ทั้งคู่ถูกรอยแยกบีบทับไว้ ข้าจะพยายามขุดเอาร่างออกมา "


    ปู่อินทร์ ใจชื้นขึ้น นึกในใจว่าจะได้เห็นเดฟโดร์นที่ล่วงลงไปตามรอยแยกของแผ่นดินไหว

    ในไม่ช้า 

    แต่เวลากลับเนิ่นนาน ปู่อินทร์รอความหวังอยู่นับสามสี่ชั่วโมง แต่เดฟโดร์นข้างล่างก็ยัง

    ส่งสัญญาณเสียงบอกอยู่ตลอดว่ากำลังช่วยอยู่อย่างเต็มที่ ข้างล่างไม่มีเครื่องมือพอที่จะ

    ขุดเอาเดฟโดร์นทั้งสองร่าง ออกจากการหนีบของเปลือกแผ่นดินที่แยกออกและไหวเข้า

    มาประกบกันเกือบเหมือนเดิม จนกระทั่งเวลาปาเข้าไป ตกห้าชั่วโมง จึงได้รับข่าวดีว่า

    สามารถช่วยเดฟโดร์นทั้งสองร่างได้แล้ว  แต่ทั้งสองร่างไม่มีแรงพอที่จะไต่ขึ้นมาให้ทั้ง

    สองช่วยดึงขึ้นมาที โดยเอาปลายเถาวัลย์ผูกร่างขึ้นมาได้ทีละหนึ่งร่าง และก็กินเวลาอีก

    ครึ่งชั่วโมง กว่าเดฟโดร์นทุกร่างจะขึ้นมาได้หมด

    ปู่อินทร์ เห็นสีรูปร่างของเดฟโดร์นทั้งสองที่ตกลงไปดูเปลี่ยนไป ทั้งสองยังไม่สามารถ

    เปล่งเสียงไป ซึ่งปู่อินทร์ก็แปลกใจว่าเป็นเพราะอะไร เดฟโดร์นร่างที่อยู่ข้างบนพอจะเดา

    ความคิดของปู่อินทร์ออก มันจึงได้อธิบายให้ปู่อินทร์เข้าใจ


    " ท่านคงสงสัยสินะ ว่าทำไมท่านหัวหน้ากับท่านราฟวี่จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ ทั้งสองฝังอยู่ในดินนาน

    ไอเดฟฮ๊อตในตัว ได้ถูกไอดินดูดไปจากร่างทั้งสองจนหมดสิ้น ทั้งสองจึงไม่มีแรงที่จะทำอะไร ถ้า

    จะให้มีพลังกลับมาเหมือนเดิม ต้องรอให้ร่างกายทั้งสองได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ 

    แสงแดดจะช่วย ชาร์จพลังทั้งหมดกลับคืนมา ตอนนี้พลังท่านหัวหน้าและท่านราฟวี่มีแค่เท่ากับ

    พวกไอซ์โดร์นเท่านั้น และนี่แหละทำให้สองเผ่าพันธ์เราแตกต่างกันที่ตรงนี้ พวกเดฟโดร์นเราจึง

    เเข็งเเกร่งกว่า "


    ปู่อินทร์พยักหน้า อย่างเข้าใจ


    " พรุ่งนี้เลยหรือ งั้นแปลว่าวันนี้พวกท่านก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้น่ะสิ ที่พูดก็ไม่ได้จะเร่งพวก

    ท่านล่ะนะ แต่ถ้าวันนี้ไม่ได้เดินทางพวกเราจะไปทันหรือ "


    ปู่อินทร์ กล่าว 


    " ทำไงได้ล่ะ พวกเราก็พยายามกันเต็มที่แล้วท่านก็เห็นอยู่ แต่พวกเราก็มีความหวังคิดว่าคงจะทัน

    เวลาครึ่งวันระยะทางแค่นี้ อาจจะเฉียดฉิวไปหน่อย "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นตอบปู่อินทร์


    " แต่แผ่นดินไหวคงทำให้ทางที่จะไปไม่ราบเรียบเหมือนแต่ก่อนนะ การเดินทางคงจะทำให้พวก

    ท่านช้าไปอีก"


    ปู่อินทร์ตั้งข้อสังเกต


    "  ไม่หรอก ศูนย์กลางแผ่นดินไหวน่าจะอยู่ตรงนี้คาดว่าไปอีกหน่อย คงจะพ้นเขตแผ่นดินแยกแบบ

    นี้แน่แน่  มันไม่ได้กินบริเวรกว้างไปกว่านี้เท่าไรหรอก นอกเสียจากว่ามันจะเกิดการไหวตรงใหน

    ขึ้นมาอีก และไปขวางทางที่เราจะผ่านไป นั่นล่ะจบเห่แน่ "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นอธิบาย 


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " โอไม่นะ ภูเขาทั้งลูกพังทลายลงในพริบตาเลย ดีนะพวกเราออกมาได้ทันเวลาพอดี "


    อรัญอุทาน สิ่งที่นางพญาปลวกคาดการณ์ เป็นจริงหลังจากที่พวกเขาและบรรดาปลวก

    ยักษ์ทั้งหมดออกมาจากรังไต้ภูเขาที่เป็นรูปคนนอนได้ทั้งหมด ทุกคนก็ได้รู้สึกว่าเกิดแผ่น

    ดินไหว ถึงแม้ว่าดูมันไม่แรงมากนักเหมือนได้รับแรงมาจากที่อื่น แต่ การสั่นสะเทือนทำให้

    ภูเขาทั้งลูกยุบและเตี้ยลงมา และนั่นก็หมายความว่านางพญาปลวกยักษ์ก็ได้ถูกฝังร่างอยู่

    ได้ภูเขานั้น และเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น อย่างที่เธอต้องการ


    " ที่นี่พวกเราทั้งหมดต้องอยู่ภายไต้การนำของพวกมนุษย์อย่างพวกท่านตามที่แม่ย่านางสั่งเสียมา

    แล้ว ต่อไปนี้จะทำเช่นไร ขอให้พวกท่านบัญชาการมาเถิด "


    ปลวกทหารที่เร่งนำทางพาทุกคนออกมา ได้กล่าวกับทุกคน 


    " พวกเจ้ามีจำนวนมากมายขนาดนี้ แล้วจะเชื่อฟังพวกเราได้จริงหรือ พวกเราตัวเล็กแค่นี้ ไม่มี

    นางพญาของท่านแล้ว บางทีพวกเราก็เกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมพวกเจ้าทั้งหมดให้เชื่อฟังพวก

    เราได้ "


    อัครชัยกล่าว ในสายตาเขาที่เห็นอยู่ตอนนี้ ฝูงปลวกยักษ์ทั้งหมดมีจำนวนมหาศาล จาก

    การที่รับปากแต่แรกกับนางพญาปลวกยักษ์ ตอนนี้อัครชัยไม่คิดว่าจะทำได้ ดูมันเป็นงาน

    ที่ใหญ่เหลือเกิน


    " พวกท่านไม่ต้องห่วง พวกเราถือคำของท่านแม่ย่านางเป็นที่สุด จะไม่มีลูกของแม่ย่านางตัวใด

    กล้าขัดคำสั่งของแม่ย่านางแน่ และตอนนี้ทุกตัวถูกแม่ย่านางสั่งให้ทำตามคำบัญชาของพวก

    ท่าน  ถึงแม่พวกท่านจะให้พวกเราไปตาย ก็จะไม่มีตัวใดกล้าขัดคำสั่งนี้  "


    ปลวกทหาร กล่าว


    " เอาล่ะสิทีนี้ มนุษย์แค่หกคนต้องมาเป็นแม่ทัพคุมสมาชิกปลวกยักษ์เป็นล้านล้าน ถ้าเราลงไปทาง

    ใหนต้นไม้คงถูกกินราบเป็นหน้ากลองแน่ "


    อรัญกล่าว เขาประเมินเหตุการณ์ที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้น


    " พวกท่านก็คงยังไม่เข้าใจพวกเราทั้งหมด อย่างว่าแหระพวกเราก็สร้างภาพไว้ให้น่ากลัวเช่นนั้น ที่

    จริงแล้วปลวกยักษ์อย่างพวกเราไม่เคยคิดทำร้ายต้นไม้  เรากินต้นไม้ก็จริง แต่เราก็เลือกที่จะกิน

    ต้นไม้ที่ตายแล้ว การกินต้นไม้ที่มีชีวิตเป็นการสร้างภาพที่ดูให้น่ากลัวเพื่อให้ต้นไม้ยำเกรงไม่กล้า

    มายุ่งกับพวกเราก็เท่านั้น  นั่นหมายความว่าถ้าพวกเราผ่านไปทางใหนสิ่งที่จะเป็นอาหารของเรา

    ก็จะมีแค่เศษต้นไม้ที่ตายแล้วเท่านั้น "


    ปลวกทหารอธิบาย


    " เออเนอะ ยังไงพวกเขาก็คงเหมือนกับปลวกที่โลกเรานั่นเเหระ กินแต่ไม้แห้ง อย่างนี้ก็ไม่ค่อยน่า

    เป็นห่วงเท่าไร จำนวนเยอะขนาดนี้ พวกเราพาไปด้วย พวกของมัจเจหนาวแน่ "


    กานต์ กล่าว


    " ใช่พวกเราไม่รู้ว่าพวกเราจะช่วยพวกท่านได้มากแค่ใหนถ้าไปถึงที่นั่น แต่มั่นใจว่าพวกเราสู้แบบ

    ถวายชีวิต ตามที่แม่ย่านางสั่งแน่ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราอยากจะบอก ตอนนี้พวกเราไม่มีรัง

    แล้ว  และไม่มีที่หลบภัย คงไม่นานยังไงพวกมดมันต้องรู้แน่  เราจะทำยังไง เพราะถ้าพวกมดมัน

    ยกกันมาทั้งฝูงตอนนี้ พวกเราเหลือไม่กี่ตัวไปช่วยท่านแน่ เผลอเผลอ พวกท่านก็อาจจะไม่มีชีวิต

    รอดไปด้วย นี่แหระปัญหาใหญ่ตอนนี้ และนี่เป็นบททดสอบแรกที่พวกท่านจะทำ ไห้สมกับที่แม่

    ย่านางฝากชีวิตลูกลูกทั้งหมดให้พวกท่าน  พวกท่านคิดกันซิว่าจะทำเช่นไร " 



    ปลวกทหารยักษ์ ถาม ทำให้ทุกคนถึงกับงง ไม่คิดว่าบททดสอบความสามารถในการนำพา

    ฝูงปลวกยักษ์จะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เมื่อต้องเจอกับปัญหาใหญ่ตรงหน้านี้แล้ว และ

    ใหนจะ ได้คุยไว้ด้วยว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธ์ที่มีสมองเป็นเลิศอวดไว้กับนางพญาปลวกเอวไว้

    แล้วด้วย 


    "  พวกท่านมีความเร็วในการเดินทางแค่ใหน ถ้าเทียบกับความเร็วของพวกมดยักษ์นั่น "


    อัครชัยเริ่มถาม เพื่อประเมินสถานการ


    " ถ้าเทียบกับมด เรามีความเร็วประมาณหนึ่งในสามของมันได้ แต่พละกำลังมดมันมีมากว่าพวก

    พวกเราถึงห้าเท่า พวกเราจะต้องมีประมาณสิบกว่าตัวถึงจะสู้พวกมันหนึ่งตัวได้  และพวกเราก็ต้อง

    ถวายชีวิตเกือบทั้งสิบจึงจะสามารถล้มมันหนึ่งตัวได้ "


    ปลวกยักษ์ตอบ 


    " ถ้าอย่างนั้น ไม่สมควรที่จะเลือกวิธีการต่อสู้นะพี่หมอ จะเสียกำลังไปเปล่าเปล่า พวกเราไม่รู้ว่า

    พวกมดมันมีสักเท่าไร อาจเยอะเท่ากับพวกปลวกนี่ก็ได้ แต่ถ้าเราหนี ไม่นานพวกมดต้องตามทัน

    แล้วตอนนั้นเราจะไปหลบที่ใหน "


    จามิกรแสดงความเห็น


    " เป็นไปได้ใหม ท่านปลวกทหาร ว่าเราจะออกเดินทางล่วงหน้าไปเงียบเงียบ มดอาจจะยัง

    ไม่รู้หรือว่ารู้ทีหลังพวกเราก็ไปไกลแล้ว "


    แสงดาว ตั้งคำถาม ขอคำเสนอแนะ 


    " อาจเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ได้ อันนี้ข้าตอบไม่ได้  พวกมดมันก็มีประสาทสัมผัสที่ไวเหมือนกัน ทุก

    ครั้งที่เราออกไปนอกรัง พวกมันก็ตามออกไปไล่กินพวกเราทุกที่ทุกครั้ง แต่ถ้าถามว่าทางใหน

    สมควรที่สุด ข้าก็เห็นด้วยกับการหนีนี่แหละ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะต่อสู้กับพวกมันซึ่งหน้า ถ้าเรา

    เลือกการเดินทางลงไต้ โดยพวกมดไม่รู้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่สุด แต่การเดินทางจำนวนทั้งหมดนี้มัน

    ก็เป็นการอึกทึก มันคงยากยิ่งในการที่พวกมดมันจะไม่รู้อีกนั่นแหระ ทั้งนี้คงต้องขึ้นแก่มันสมองอัน

    ชาญฉลาดของพวกท่านแล้ว "


    ปลวกทหารยักษ์กล่าว


    " ย้ำจริงนะหัวสมองอันชาญฉลาดเนี่ย ที่จริงตอนนี้พวกเราก็คิดว่าพวกมนุษย์อย่างเราคงไม่ฉลาด

    มากไปกว่าพวกปลวกอย่างพวกท่านแล้วล่ะ ดูเหมือนถูกพวกท่านมันมือชกยักไงก็ไม่รู้ ห้า ฮ่าฮ่า"



    อรัญ กล่าว เขานึกขำที่ดูเหมือนต้องตกมาเป็นเบี้ยล่างของการรับหน้าที่ ที่พวกเขาเองก็

    ยังรับปากไว้ โดยไม่คิดว่าปัญหามันจะใหญ่มากขนาดนี้ แต่จำต้องทำ


    " อืมถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เลือกทำอย่างที่ว่าเถิดยิ่งนานไปพวกมดรู้ก็ จะทำให้เวลาที่เรากลัวนั้นมา

    ถึงเร็วขึ้น จำไม่ได้หรือที่ผ่านมาโชคชะตาที่ยังพาพวกเรารอดมาได้ทุกครั้ง เราต้องมีศรัทธาสิ ไว้ถ้า

    มดมันตามมาจริงจริงค่อยว่ากัน "


    ดุจปราย สรุป


    " แต่ยังมีอีกเรื่องน่ะสิ ที่จริงพวกปลวกยักษ์ก็ว่าช้าแล้วนะ แต่ก็ยังเร็วกว่าพวกเรามากนะ ถ้าต้องรอ

    พวกเราด้วย วันนึงจะเดินทางได้กี่กิโลกัน  "


    กานต์แสดงความคิดเห็น


    " อันนี้ไม่ต้องเป็นห่วง พวกท่านก็ขี่หลังพวกข้าไปไง ถึงต้องแบกพวกท่านไปด้วยอาจจะหนัก

    หน่อย แต่ร่างกายพวกข้าใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ทำให้การเดินทางช้าลงเท่าไรหรอก "


    ปลวกทหารยักษ์ ตอบ


    " ดีเหมือนกัน งั้นเราไปกันเลย ขืนชักช้าอยู่รู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ "


    อัครชัย กล่าว ปลวกทหารยักษ์หกตัวถูกเลือกให้เป็นพาหนะ ให้มนุษย์ทั้งหกขี่ เมื่อปีนขึ้น

    ไปถึงบนหลังปลวกยักษ์ ทุกคนรู้สึกว่ากลับนั่งได้สบายกว่าที่คิดส่วนกลมลำตัวน้้นมีความ

    ยืดหยุ่นและนุ่มไม่แข็งเหมือนทุกคนได้นั่งบนเบาะรถยนต์ที่มีความนุ่ม พร้อมทั้งมีโหนกที่

    อยู่ด้านหน้าที่นั่งให้จับยีดมั่นไว้แบบไม่ต้องกลัวตกอีกด้วย และนั่นจึงทำให้ทั้งขบวนเดิน

    ทางไปได้อย่างรวดเร็ว ลัดเลาะเหลี่ยมภูเขาลูกแล้วลูกเล่ามุ่งหน้าลงทางไต้โดยสังเกตุจาก

    ดวงอาทิตย์ที่ตะวันออกและตะวันตกเป็นทิศที่ทำมุมบอกทิศทาง ปลวกทหารผู้ที่มีความสม

    บุกสมบัน ไม่ย่นย่อต่อการเดินทางแบบไม่หยุดพักผ่านคืนผ่านวัน ต้นไม้น้อยใหญ่ไม่ได้

    เป็นอุปสรรคในการเดินทาง ต้นไม้ที่เคลื่อนที่ได้ก็เลี่ยงหลบขบวนการเดินทางในครั้งนี้

    แบบไม่อยากจะเสี่ยงมาเข้าใกล้ด้วยความยำเกรงถึงจะพอเริ่มได้ข่าวเกี่ยวกับพวกปลวก

    อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่กล้ามีต้นไม้ต้นใหนกล้าเสี่ยง


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    " แดดออกแล้ว " 


    เสียงปู่อินทร์ลั่น  ส่งสัญญาณบอกกับพวกเดฟโดร์น เขาใจจดจ่อรอเวลาแดดออกเพราะมี

    เดฟโดร์นสองร้างรอใช้ประโยชน์จากการรับแสงแดดตรงนี้ และยังมีอีกหลายชีวิตอาจจะมี

    ชีวิตรอดได้ ถ้าเดฟโดร์นได้พลังยืนและไปปลดล๊อคระเบิดเวลานั้นได้ทัน


    " ข้าได้ชาร์จพลังกลับคืนมาบ้างแล้ว พร้อมที่จะเดินทางต่อแล้ว "


    และเสียงเดฟโดร์น ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยความดีใจ ร่างกายที่ปู่อินทร์เห็นใสใสตั้งแต่เมื่อ

    วานบัดนี้ดูมีสีเข้มขึ้น และเริ่มเหมือนกับที่เห็นอยู่เมื่อวาน พร้อมความคล่องเเคล่วของ

    ร่างกายก็กลับมาด้วย 


    " ท่านจะไปได้ทันหรือ เวลาอีกสามชั่วโมงเองยังเหลืออยู่อีกหลายกิโลอยู่นะ "


    ปู่อินทร์เริ่มเป็นห่วง วันนี้แสงแดดออกช้ากว่าทุกวันเพราะช่วงเช้ามีเมฆมาก ยิ่งทำให้เวลา

    ที่จะเร่งไปให้ความช่วยเหลือพวกไอซ์โดร์นก็มีน้อยลงไปอีกด้วยกว่าที่พวกเดฟโดร์นจะมี

    พลังเพิ่มกลับมา 


    " เวลาแค่นี้ถามว่ามั่นใจไหม ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจแล้ว มีเวลาแค่พอดีเท่านี้ แต่ก็หวังว่าไม่น่าจะมีเหตุ

    การอะไรที่ขัดขวางทำให้พวกเราต้องล่าช้าอีกหรือเสียเวลาไปอีกเท่านั้นจะทันแน่ ว่าแต่ท่านเหอะ

    ดูแลตัวเองให้ดีดีด้วย เวลาแค่นี้พวกเราคงกระเตงท่านไปอีกไม่ได้แน่ "


    หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าว กล่าวจบ ทั้งสามเดฟโดร์นก็ผลุนผลุนเร่งจากไป และไม่ช้าทั้งสาม

    ก็ลับสายตา ของปู่อินทร์ไป  

    หลังจากที่ห่างจากปู่อินทร์มาแล้ว มนุษย์ดาวเดฟโดร์นทั้งสามก็ออกเร่งเดินทาง ดูเหมือน

    จะมีโชคช่วย เพราะในขณะที่พวกเขาทั้งสามห่างจากจุดที่ปู่อินทร์อยู่มา ดูเหมือนความ

    เสียหาย จากการเกิดแผ่นดินไหวจะมีลดน้อยลงเรื่อยเรื่อย จนถึงขึ้นปรกติไม่มีต้นไม้ล้ม

    ขวางการเดินทางก็เร็วขึ้น มนุษย์เดฟโดร์นทั้งสามมีความหวังว่าจะไปช่วยพวกไอซ์โดร์น

    ได้ทันเวลาแน่ แต่พวกเขาก็พยายามไม่ประมาทพวกเข้าไม่ยอมหยุดพัก จนกระทั้งผ่านป่า

    สีน้ำเงิน อย่างที่ปู่อินทร์บอก และผ่านลงไปทางทิศไต้ ต้นไม้ใหญ่เริ่มหนาทึบขึ้น ทำให้การ

    เดินทางเริ่มช้าไปอีก แต่เดฟโดร์นทั้งสามก็พยายามผ่านไป จนเวลาล่วงเลยผ่านไป

    และเเล้ว เบื้องหน้าทั้งสามก็ปรากฏวงครอบกระจกที่เห็นแต่ไกล โดมใหญ่ที่กักขังพวก

    ไอซ์โดร์นไว้ในสูญญากาศ  หัวหน้าเดฟโดร์นแหงนหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์เข้าสังเกตุว่า

    มันอยู่เกือบจะตรงหัวแล้ว นั่นหมายถึงเวลาที่ตั้งไว้ของ มัลติทอร์ใกล้จะระเบิดไนไม่กี่นาที

    นี้แล้ว หัวหน้าเดฟโดร์นชั่งน้ำหนักว่าเขาจะไปปิดสวิทย์มันทันเวลาหรือไม่ เพราะถ้าเขาอยู่

    ใกล้ในขณะที่ช่วยพวกไอซ์โดร์นไม่ทัน แรงระเบิดต้องทำให้เขาแหลกละเอียดไปด้วยเช่น

    กัน แต่ความกล้าทำให้เขาเลิกคิดห่วงตัวเองทันที เขาไม่รู้ว่าเวลาน่าจะเหลือเท่าไร แต่ถ้า

    เขายิ่งช้าโอกาสรอดของพวกไอซ์โดร์นก็จะไม่มีในทันที คิดได้เช่นนั้น หัวหน้าเดฟโดร์นก็

    ขยับคิดในใจว่าตายเป็นตายแล้วตอนนี้


    " ตูม "


    ยังขยับได้ไม่เท่าใดเสียงสนั่นก็ดังขึ้นเสียงก่อน พร้อมฝุ่นผงกระจายฟุ้ง เดฟโดร์น

    ทั้งสามใจหายวาบ คิดว่ามาไม่ทันเวลาการระเบิดของมัลติทอร์เสียแล้ว ทั้งที่การช่วยเหลือ

    อยู่อีกแค่ไม่ก็ก้าวข้างหน้า  เสียงสนั่นนั้นทำให้แผ่นดินสะเทือนหวั่นไหว พวกเดฟโดร์นได้

    รับรู้สึกถึงเเรงสั่นสะเทือน จนทรงตัวไม่อยู่ ดีที่จับมือกันไว้ได้ทันและรีบหมอบล้มลงไปกับ

    พื้นที่กลางฝุ่นกระจายจนกลบ อยู่กับพื้นตรงนั้น 


    " ท่านหัวหน้า มัลติทอร์ระเบิดใช่ใหม นี่พวกเรามาช่วยพวกไอซ์โดร์นไม่ทันหรือนี่ "


    มนุษย์ดาวเดฟโดร์นถามผู้เป็นหัวหน้าขณะที่กัมต่ำอยู่


    " แต่ข้ากำลังคิดว่ามันไม่น่าจะใช่นะ  มัลติทอร์ลูกใหญ่ขนาดนี้ แรงระเบิดมันต้องจะรุนแรงกว่านี้  

    ถ้าเราอยู่ใกล้แค่นี้แล้วพวกเราไม่เป็นไรแสดงว่า ถ้าเป็นมัลติทอร์ ระเบิดจริงพวกไอซ์โดร์นก็จะ

    ตายไม่หมดหรอก ปรกติมัลติทอร์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้ยังมีพลานุภาพมหาศาลกว่านี้เยอะ "


    เดฟโดร์นผู้เป็นหัวหน้าตั้งข้อสังเกตุ พร้อมทั้งกล่าวต่อ


    " ข้าคิดว่ามันสะเทือนโยกเยกและฝุ่นตลบแบบนี้ มันเหมือน กับ .เออ เอิบ แผ่นดินใหว หรือว่าจะ

    เกิดแผ่นดินไหวซ้ำตรงนี้ขึ้นอีก "


    " แต่เสียงนั่นมันไม่ใช่เสียงของแผ่นดินไหวนะ มันเป็นเสียงระเบิดชัดชัด แผ่นดินไหวมันดังครืน

    ครืน ไม่ใช่ดังตูมเช่นนี้ "


    ลูกน้องเดฟโดร์นแสดงความคิดเห็น


    " อืม ข้าก็คิดยังงั้นอยู่เหมือนกันจึงสับสนแบบนี้อยู่ไงล่ะ หรือว่ามัลติทอร์ รุ่นใหม่ใหม่นี้ มันจะถูก

    สร้างมาให้มีแรงระเบิดที่ต่ำ เพราะต้องการสังหารแต่พวกที่อยู่กักขังอยู่ข้างในเท่านั้น เพราะยังมี

    สารพิษส่งเข้ามาก่อนเวลาที่มันจะระเบิด พวกข้างในก็ต้องตายหมดก่อนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นตั้งใช้

    การระเบิดมากนัก "


    หัวหน้าเดฟโดร์นตั้งข้อสังเกต 

    เดฟโดร์นทั้งสามขยับกายลุกขึ้น ฝุ่นผงกระจายจนทั่วและมองเห็นได้ในรัศมีไม่ห่างไกล

    จากตัวทั้งสามมากนัก  ทั้งสามพยายามใช้มือปัดฝุ่นให้ปลิวออกห่างจากตัว และอยากจะรู้

    เเละเห็นอะไรที่เกิดขึ้น  ที่มาของเสียงและฝุ่นผงนี้จะเกิดจากอะไร

     ทันใด พวกเขาก็ต้องตกใจ รอบรอบตัวเขาสังเกตุเห็นได้ว่ามีสิ่งเคลื่อนไหวตะคุ่มตะคุ่ม

    รายล้อมเข้ามา จากทุกด้าน ทั้งสามมองเห็นไม่ถนัดเพราะยังถูกพรางด้วยฝุ่นผงที่บังตา

    อยู่ ทั้งสามพยายามมองฝ่าไป เเละเริ่มสังเกตุได้ว่าสิ่งที่เข้ามารายล้อมนั่นมีร่างกายคล้าย

    กับพวกเขา แต่มีจำนวนมาก หนำซ้ำยังเห็นได้ว่าทุกร่างถืออะไรเข้ามาด้วย และทั้งสามคิด

    ว่ามันต้องเป็นอาวุธแน่แน่


    " พวกไอซ์โดร์นนี้ พวกเขายังไม่ตาย "


    หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าวกับเดฟโดร์นที่มาด้วยทั้งสองอย่างดีใจ ทันทีที่ร่างกลุ่มผู้รายล้อม

    ขยับเข้ามาใกล้อีก ทำให้เดฟโดร์นทั้งสามเห็นร่างเหล่านั้นได้ชัดขึ้น ร่างไอซ์โดร์นจำนวน

    มากรายล้อมอยู่รอบรอบเดฟโดร์ทั้งสาม ในมือถือของแหลมที่จดจ้องมาที่พวกเขา


    " พวกท่านใจเย็นเย็นก่อน ท่านรอดมาก็ดีแล้ว พวกเราว่าจะมาช่วยท่านอยู่พอดี "


    หัวหน้าเดฟโดร์นยกมือขึ้นปราม


    " ช่วยหรือ เจ้าขังพวกข้าไว้ตั้งสามวัน เพื่อให้พวกข้าคิดพวกเจ้าจะมาช่วยหรือ นี่ถ้าแรงแผ่นดิน

    ไหวไม่ทำให้มัลติทอร์ของเจ้าแตก ป่านนี้พวกข้าคงถูกมันระเบิดตายไปหมดแล้ว "


    เสียงดิวาเกรดสองผู้เป็นหัวหน้าของไอซ์โดร์น ลั่น และวงล้อมก็ถูกแหวกให้หัวหน้าเข้ามา

    ใกล้ จนเดฟโดร์นทั้งสามเห็นหน้าผู้พูดได้ชัด


    "  ท่านคงเป็นหัวหน้าของพวกไอซ์โดร์นสินะ  พวกข้าคิดจะมาช่วยพวกเจ้าจริงจริงเพียงแต่ยังไป

    ไม่ถึงชุดควบคุมการปิดต่างหาก แต่มันเกิดแตกเสียก่อน พวกเรายังคิดเลยว่ามันจะเกิดการระเบิด

    เพราะได้เวลา ยังคิดเสียใจกันอยู่เลย ที่ช่วยพวกท่านไม่ทัน "


    หัวหน้าเดฟโดร์นกล่าว  แต่กลับถูกตวาดลั่นจากหัวหน้าของไอซ์โดร์น


    " เจ้าไม่ต้องมาแก้ตัว ถ้าเจ้าคิดจะช่วยพวกข้าจริง เจ้าจะเอามัลติทอร์มาครอบพวกข้าไว้ทำไมเวลา

    ตั้งสามวัน ถ้าพวกเจ้าจะคิดช่วย เจ้าจะใช้เวลาให้มันเฉียดฉิวทันแหล่ไม่ทันแหล่นี้ทำไม และอีก

    อย่างทำไมพวกข้าจะไม่รู้ พวกเจ้าออกมาตามล่าพวกข้ามาตลอดตั้งแต่อยู่ที่ดาวของพวกเราแล้ว 

    บรรพบุรุษข้า ไม่เคยบอกให้ไว้ใจพวกเจ้าเลย เจ้าคิดหรือด้วยความรักตัวกลัวตายของพวกเจ้า แค่ 

    สบถคำพล่อยพล่อยออกมาแบบนี้ มันจะทำให้พวกเจ้ารอดตัวไปได้ "


    ได้ยินคำเช่นนั้นหัวหน้าเดฟโดร์นก็เดือดดานเช่นกัน


    " พวกเจ้าจะดูถูก นักรบชาวเราเกินไปแล้ว พวกเราไม่เคยรักตัวกลัวตาย ถึงจะรู้อยู่ว่าพวกข้าแค่

    สามจะไม่สามารถสู้พวกเจ้านับพันนับหมื่นได้ แต่เกียรติของข้าที่เจ้าหยามว่าขึ้ขลาดขนาดแสร้ง

    โกหกเพื่อเอาชีวิตตัวเองรอด ข้าคงยอมมิได้ ถึงข้าจะต้องตายเพราะพวกเจ้า ก็อยากให้พวกเจ้ารับ

    รู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นมันเป็นความจริง ถึงจะยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ก็ตาม มิได้เป็นสิ่งเสเสร้งแต่งคำขึ้น 

    มัลติทอร์ มีผู้ที่ครอบ พวกเจ้าก็จริง แต่มันไม่ใช่พวกข้าที่มานี้ มันเป็นนักรับรุ่นใหม่ที่ยึดอำนาจไป

    จากคิวเดฟโดร์นและมันตามมาฆ่าพวกเจ้าและก็ฆ่าพวกข้าด้วยเช่นกัน และมันเสียทีถูกพวกข้า

    จัดการมันได้เสียก่อน และพอรู้จากมันว่าพวกเจ้าถูกจับไว้จึงได้รีบมาช่วยพวกเจ้านี่ไง และที่ข้าอยู่

    มันไกลจากนี่มากรวมทั้งต้องประสบแผ่นดินไหวระหว่างทาง จึงทำให้ข้าเดินทางมาช้า เลยไม่ทัน

    ช่วยพวกเจ้าก่อนเวลา ไง "


    หัวหน้าเดฟโดร์นอธิบาย พวกไอซ์โดร์นมองหน้ากันและดิวาเกรดสองก็ถามความเห็นลูก

    น้องไอซ์โดร์น  


    " พวกเกรดสิบทั้งหลาย พวกเจ้าคิดเช่นไร ว่าสิ่งที่พวกนี้มันพูดจริงหรือไม่ ที่จริงเราเห็นยานที่มา

    วางกลของมัลติทอร์  ว่าไปถ้าเป็นพวกเดียวกันมันก็น่าจะต้องใช้ยานกลับมาดูผลงานของมัน ไม่

    จำเป็นต้องมาแค่สองสามร่าง และอีกอย่างพวกเขาเข้ามาอยู่ใกล้ในเวลาที่เฉียดฉิวเช่นนี้ ถ้ามัลติ

    ทอร์ระเบิดในลักษณะปรกติ พวกเขาก็ตายเหมือนกัน ดูเหตุผลแล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไรน่าเชื่อ

    ไม๊  "


    " จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามท่านหัวหน้า ตอนที่ข้ายังเป็นเกรดสองเช่นหัวหน้า เคยรับคำสั่งให้ถือคำ

    สอนของบรรพบุรุษเรา เรื่องการอย่าไว้ใจพวกเดฟโดร์นเป็นอันขาด พวกเราอย่านึกถึงเหตุผลอะไร

    ทั้งหมดเลย พวกนี้ทำให้พวกเราแทบสิ้นเผ่าพันธ์จากดาวเรามาแล้ว เป็นไปได้หรือว่าจะมีพวกเดฟ

    โดร์นที่หวังดีกับเราแบบนี้ หรือท่านจะเสี่ยงลองเชื่อมันดูก็ได้ แต่ถ้าเป็นข้านะ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม

    ก่อน "


    เกรดสิบร่างหนึ่งเเสดงความคิดเห็น 

    และมีเกรดสิบอีกร่างก็กล่าวเสริมเช่นกัน


    " ใช่แล้วท่านหัวหน้าเราอย่างเสี่ยงเลย ท่านก็เคยพูดไม่ใช่เหรอว่าจะไว้ใจแค่เผ่าพันธ์มนุษย์โลก

    เท่านั้น และจะไม่ไว้ใจเผ่าพันธ์ใดอีก ท่าน ลืมไปแล้วหรือ "


    " ข้าไม่ลืมหรอก เรื่องการเชื่อใจแต่มนุษย์โลกน่ะ เอาล่ะเมื่อพวกเจ้ามีความเห็นเช่นนี้ข้าก็เห้นด้วย 

    ยกให้พวกเจ้าจัดการล่ะกัน "


    หัวหน้าไอซ์โดร์นสรุป



    " เดี๋ยวก่อน เจ้า "


    หัวหน้าเดฟโดร์นร้องเรียก หัวหน้าไอซ์โดร์นที่ถูกร้องเรียกหยุดชะงักในขณะที่กำลังจะ

    แยกออกไป


    " มีอะไรอีกล่ะ ยังไงข้าก็ไม่เปลี่ยนใจแล้ว "


    หัวหน้าไอซ์โดร์น ตวาด


    "ข้ารู้ ไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าเปลี่ยนใจ ข้ารู้ว่าพวกของข้าทำกับพวกเจ้าไว้มากแค่ใหน หรือ

    แม้แต่ข้าเองทีแรกก็เหมือนกันถ้าเจอพวกเจ้า ก่อนหน้านี้ก็ต้้งใจจะกำจัดพวกเจ้าเหมือนกัน แต่มี

    สิ่งที่ทำให้ข้าเปลี่ยนใจไป เหมือนพวกเจ้าไง ทำไมคิดว่าพวกเจ้าจะไว้ใจแค่มนุษย์โลก เจ้าลอง

    คิดซิ ตอนนี้เราใช้ภาษามนุษย์โลกสื่อสารกันอยู่ เป็นเพราะนั่นหมายถึงเราต่างก็เจอมนุษย์โลก

    มาแล้วเหมือนกัน และต้องนานด้วยจึงได้รู้ภาษาของเขาได้ พวกเจ้าจะชื่อใหมถ้าข้าจะบอกว่าสิ่งที่

    ทำให้ข้าเปลี่ยนใจเรื่องที่ไม่ทำอะไรกับพวกเจ้า และยังคิดมาช่วยพวกเจ้าอีก มาจากวิถีมนุษย์

    โลก "


    หัวหน้าเดฟโดร์น กล่าว คราวนี้หัวหน้าไอซ์โดร์นและพวกเงียบกริบ เห็นเช่นนั้นหัวหน้า

    เดฟโดร์นก็กล่าวต่อ


    " มนุษย์โลกที่ชื่ออินทร์ ไง พวกเจ้าก็เคยเจอเขา อินทร์โน้วน้าวให้ข้ารู้จักการให้อภัยแก่กัน ชี้ให้

    เห็นว่าสงครามไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ซึ่งตอนหลังข้าก็เห็นด้วย และรู้สึกผิดกับพวกเจ้า และที่มานี่ 

    มนุษย์ที่ชื่ออินทร์ก็มาด้วย แต่ติดที่ว่าเรามีเวลาจำกัดถ้าต้องนำเขามาด้วยอาจทำให้เดินทางได้ช้า

    กว่านี้ พวกข้าจำต้องปล่อยเขาไว้ระหว่างทาง ไว้กับพวกข้าอีกหนึ่งร่าง ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อ ให้ฟัง

    จากปากของเขาก็ได้ ว่าเจตนาที่พวกข้ามาที่นี่จริงอย่างคำข้าว่าไม๊ "


    คำอธิบายของหัวหน้าเดฟโดร์นคราวนี้ดูมีน้ำหนักขึ้น เมื่อมีการกล่าวอ้างถึง ปู่อินทร์ ซึ่ง

    ชาวไอซ์โดร์นรู้ดี ว่าพวกมนุษย์ชุดนี้เป็นอย่างไร


    " แล้วคนอื่นอื่นล่ะ ตอนนี้ไปอยู่กับพวกเจ้าด้วยไม๊ "


    เกรดสองหัวหน้าเดฟโดร์น ถามน้ำเสียงดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด


    " พวกเราจับนายอินทร์มาคนเดียว  และเรามัวแต่จะให้นายอินทร์สอนการสื่อสารเลยไม่ได้ออกไป

    ใหน เลยไม่รู้ว่าที่เหลือขึ้นเหนือไปจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่คาดว่าน่าจะตายกันจนหมด เพราะ

    ตอนนั้นมีหนอนยักษ์เพ่นพ่านอยู่ทางเหนือและมันร้ายกาจมาก "


    หัวหน้าเดฟโดร์น อธิบาย


    " พวกเราเสียใจจริงจริง อย่างที่ว่าแหระถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่าจริงพวกเขาทั้งหมดคงเสร็จหนอนนั่น

    แน่ เพราะมันร้ายกาจจริง มันมาที่นี่เมื่อไม่นานนี้ กับฝูงสัตว์อะไรสักอย่างหนึ่ง พวกข้าเกือบจะเสีย

    ทีพวกมันเหมือนกัน  ดีที่ว่าเหมือนมันใช้แค่เป็นทางผ่านไปเฉยเฉยพวกเราเลยรอด มีแต่ที่อยู่ที่ถูก

    มันทำลายเสียยับเยิน "


    หัวหน้าไอซ์โดร์น กล่าว เมื่อเริ่มเข้าใจกัน อาวุธในมือพวกไอซ์โดร์นที่จรดจ่อจึงค่อยค่อย

    ลดลง ทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้น 

    และเมื่อพูดคุยกันได้ เกรดสิบไอซ์โดร์นนับสิบร่างขันอาสาที่จะไปนำพาเอาตัวปู่อินทร์ใน

    เวลากลางคืนที่จะถึงนี้ และจะให้ปู่อินทร์เป็นผู้ประสานต์ความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายตาม

    คำอ้างของหัวหน้าเดฟโดร์นอีกครั้ง

















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×