ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #61 : ขวาก หนาม

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 222
      23
      15 ก.ค. 62

     และ เห็บ อีกตัวก็ถูกดึงออกมา โดยทั้งสามหนุ่ม และเมื่อตัวที่สองหลุด เจ้าตัวกินมดยักษ์

    ได้ใช้ขาอ้วนอ้วนของมันเอามาเกาบริเวรที่เห็บเคยเกาะอยู่ คงเป็นเพราะความคันนั่นเอง


    " ตรงนี้หมดแล้ว นะเจ้ายักษ์ เป็นไงดีขึ้นใหม "


    อรัญกล่าวพร้อมกับตบปากแบนเบาเบา


    " พี่อรัญ ถามมันแต่มันขยับขนแหลมมัน หรือว่ามันทำให้เห็นว่าอาจมีแถวหลังมันอีกอีก "


    จามิกร กล่าว  และความสงสัยของเธอก็เป็นจริง  

     ทั้งสามพยายามแทรกตัวเข้าไประหว่างหนามแหลมที่ไม่ถี่มากนักและดึงเห็บตัวเล็กบ้าง

    ใหญ่บ้างโยนออกมาได้อีกหลายตัว แต่ที่มันเกาะอยู่บริเวรหลังนี้  ค่อยข้างเอาออกง่ายไม่

    ได้ฝังตัวลึกเหมือนบริเวรโคนปาก และเมื่อสามสาวไม่สามาถเขี่ยเห็นจำนวนมากได้อยู่ใน

    วงจำกัดแล้ว ทั้งสามจีงพยายามเอาไม้ทิ่มมันให้ตาย และระหว่างที่ผู้่ชายทั้งสามกำลัง

    กุลีกุจอคลำหาเห็บอยู่นั้น บังเอิญทำหนามแหลมอันหนึ่งหลุดเข้า อรัญจึงเอาหนามนั้นส่ง

    ให้แฟนสาว ดุจปรายจึงเอามันมาแทนไม้ ทิ่มไปยังร่างเห็บยักษ์ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนมากนับ

    ร้อยตัว จนพื้นแดงฉานไปด้วยเลือดและมีกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปหมด และเมื่อเห็นว่าหา

    เห็บที่อยู่ตามร่างตัวกินมดไม่เจอแล้ว พวกเขาจึงออกมาหาทั้งสามสาว


    " เอ๊ย ตัวกินมดมันลุกแล้ว "


     และเมื่อทั้งสามหนุ่มคล้อยหลังมา จามิกรก็ร้องบอก ทั้งสามหนุ่มทีแรกตกใจ แต่เมื่อเห็นตัวกินมด

    แค่ลุกขึ้นและสบัดตัวไปมา พวกเขาก็เข้าใจ


    " มันคงคันมันน่ะ จึงสบัด สบายตัวล่ะที่นี่ เจ้ายักษ์เอ๋ย "


    อรัญ กล่าวหลังจากเห็นกริยาอาการของเจ้าตัวกินมดยักษ์ เขาสงสัยว่ามันคงจะเหมือนสุนัขเวลาที่

    ถูกกัดจัดเอาเห็นหมัดออกไปได้ มันมีอาการเช่นนี้ 

    ตัวกินมดยักษ์ รู้สึกสบายตัวขึ้น เห็บพวกนี้ติดตัวมันมานาน จนออกลูกออกหลานมากมาย และมัน

    ได้ทำให้ตัวกินมดยักษ์รำคาญ และเกิดอาการคันมานานแล้ว แต่มันไม่รู้จะทำอย่างไรได้ มันดีใจ

    และแปลกใจ ที่มีมนุษย์ มากำจัดความรำคาญและทรมาณนี้ไปได้ และมันเห็นบุญคุณของทุกคน

    เป็นอย่างมาก ประกอบกับ มันคิดว่าอาหารการกินของมันมีมากอยู่แล้วไม่เห็นมีความจำเป็นต้องมา

    ทำอะไรกับผู้มีพระคุณร่างน้อยน้อยนี้


    " มันมองเราด้วยสายตาเป็นมิตรแน่เลย ดูมันไม่ดุร้ายใส่พวกเราเหมือนก่อนนี้ แสดงว่ามันคงไม่ทำ

    อันตรายพวกเราอีกแน่ "


    จามิกร เปรย


    " ใช่อย่างน้อยก็พักนึงและ แต่เราก็จะไว้ใจอะไรมากไม่ได้ สัตว์หน้าขน เขาบอกว่าอย่าไว้ใจ ตอนนี้

    ในขณะที่มันยังดีกับเราอยู่ พวกเรารีบเดินทางกันต่อดีใหม หวังว่ามันคงจะตามเราไปได้อีกสักพัก 

    ถ้ามันไปกับเราด้วยเราก็คงจะปลอดภัย จากพวกมดปลวกแน่ หรือถ้าโชคดีมันดีกับเราตลอด เรา

    อาจจะพามันไป ที่ภูเขาคนนอนเลยก็ได้ นั่นยิ่งทำให้เราปลอดภัยไปใหญ่ "


    อัครชัย แสดงความคิดเห็น

    ไม่รอช้า ทุกคนเห็นว่าเป็นโอกาสดีดีที่ต้องใขว่คว้าไว้แล้ว ทั้งหมดเก็บของที่ก่อนนี้ระเกะระกะขึ้น

    บ่า อรัญส่งสัญญาณชี้มือบอกเจ้าตัวกินมดยักษ์ ว่าทุกคนต้องเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียง

    ไต้ และดูมันก็เข้าใจเมื่อทุกคนออกเดินทาง มันก็เดินตามหลังทุกคนมาอย่างไม่ห่างนัก นั่น

    ทำให้ทุกคนสบายใจขึ้น สำหรับสิ่งที่ห่วงว่าจะถูกโจมตีพวกเขา จากเจ้าของรูและเจ้าของทางเดิน

    เตียนโล่งที่พวกเขากลัว 


    " กลายเป็นได้เพื่อนใหม่ไปซะนี่ พวกเราโชคดีจริงจริง " 


    ดุจปราย กล่าวพร้อมทั้งมีรอยยิ้มที่มุมปาก เธอสบายใจขึ้นมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


    " นั่นสิ ดีนะที่เรามีนักคีตะวิทยามาด้วย ไม่งั้นคงจะไม่เข้าใจธรรมชาติของ สัตว์ตัวนี้เหมือนกัน นี่ถ้า

    ปู่อินทร์อยู่เราก็จะคงได้สบายกว่านี้อีก ที่นี่เป็นป่าที่คล้ายกับโลกแทบทุกอย่างแล้ว เพียงแต่ว่ามัน

    ดูใหญ่กว่าเท่านั้น ถ้ามีพรานป่าเก่งเก่งอย่างลุงอินทร์อยู่ พวกเราก็ลำบากน้อยลงแน่ "


    แสงดาว แสดงความคิดเห็น

    ทั้งหมดเดินทางลงไต้ไปเรื่อยเรื่อย โดยมีตัวกินมดยักษ์ก็ตามมาไม่ห่าง ถึงแม้ทางที่เตียนจะสิ้นสุด

    ไปบ้างบางส่วน แต่ก็มีทางเตียนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นระยะระยะ และเริ่มมีรู หลายรูต้นตอมาบรรจบ

    กันของทางเตียนเพิ่มมากขึ้น จนทุกคนรู้สึกได้ว่าโชคดีแล้วที่เพื่อนใหม่ทำให้เจ้าของรูกลัวไม่งั้น 

    ความเพิ่มจำนวนของรู นั่นหมายถึงจำนวนของเจ้าของรูต้องมากมาย พวกเขาคงไม่ได้เดินทางกัน

    มาอย่างสบายแบบนี้แน่


    " อุ๊ย "


    อัครชัยอุทานอย่างตกใจ ระหว่างที่ คิดเพลินเพลินขณะเดินทาง ขาข้างหนึ่งของเขาเกิดผลุบใน

    ขณะที่เหยียบเข้ากับพื้นขณะเดินนำหน้าทุกคน หนำซ้ำขาอีกข้างหนึ่งก็เช่นกันเขารู้ได้ทันทีว่าข้าง

    ล่างพื้นตอนนี้มีโพลงอยู่แน่นอน เมื่อขาสองข้างได้ผลุบลุงไปทำให้ตัวของเขาก็เสียหลักและจะ

    หล่นลงไปในโพลงด้านล่างอีกด้วย ดีที่กานต์ประสาทสัมผัสไว เขาได้คว้าร่างของอัครชัยได้ทัน

    ท่วงทีก่อนที่จะผลุบลงพื้นไป และอรัญก็เข้าช่วยอีกแรง ดึงตัวอัครชัยขึ้นมา


    " มีหลุมอยู่ไต้ดินน่าจะลึกนะ เมื่อกี้หล่นไปเกือบครึ่งตัวแล้วขายังหยั่งไม่ถึงเลย "


    อัครชัย กล่าวความตระหนกในขณะที่ตะเกียกตะกายโดยมีอรัญและกานต์ดึงพยุงอยู่ข้างข้าง


    " มันจะรูหรือโพลงอะไร ก็น่ากลัวทั้งนั้น รีบพากันออกมาก่อน "


    จามิกร ร้องสั่งเธอคิดว่าในรูถ้าอยู่ไต้ดินมันต้องมีสัตว์ที่น่ากลัวอย่างเช่นหนอนยักษ์หรือมดยักษ์

    อย่างที่ทุกคนกลัวนั่นเอง

    ตัวกินมดยักษ์ดูจะรับรู้ถึงความผิดปรกติที่เกิดกับมนุษย์ ทั้งหกคนข้างหน้ามัน มันรีบเร่งสาวเท้าเข้า

    มา และเมื่อกลุ่มมนุษย์ทั้งหกกระจายออกไปมันก็มุดปากแหลมไปที่หลุมดินที่อัครชัยตกไปเมื่อกี้นี้

    ทันทีทุกคนเห็นอาการของตัวกินมดยักษ์ดูผิดปรกติไป มันมุดปากลงไปและนิ่งสักครู่เหมือนจับ

    ความเคลื่อนใหวหรือรอฟังอะไร และทันใดมันก็เริ่มใช้ขาตะกุยดินทันทีของมันดูไวมากจนทุกคน

    มองแทบไม่ทันไม่ช้ามันก็มุดส่วนหัวไปในดินจนมิด แต่ขาของมันก็ยังตะกุยไม่หยุด จนฝุ่นดินฟุ้ง

    กระจายไปทั่ว

    และไม่นาน ตัวกินมดยักษ์ก็หยุดตะกุยดิน พวกของอรัญมองดูอาการของตัวกินมดยักษ์อย่างใจจด

    ใจจ่อ และตัวกินมดยักษ์ก็เริ่มถอยออกมา จากโพลงดินที่มันขุด


    " โอ มันได้ตัวอะไรคาบออกมาด้วย "


    กานต์ กล่าวอย่างตื่นเต้น ซึ่งทุกคนก็สังเกตุเห็นแบบนั้นเช่นกัน

    เจ้าตัวกินมดยักษ์คาบสิ่งหนึ่งออกมา ทุกคนเห็นก็รู้ว่ามันน่าจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเพราะมัน ดิ้นกระ

    แด่ว กระเเด่วอยู่ในปากของเจ้าตัวกินมดยักษ์อย่างเห็นได้ชัด และเมื่อทุกคนเห็นเต็มตา 


    " โอ พวกเราได้เห็นแล้ว นั่นมันมดยักษ์ที่พวกเราอยากเห็นกันไง รูปร่างมันไม่ผิดเพี้ยนกับมด

    ธรรมดา แต่มันตัวใหญ่มาก ใหญ่เท่ามนุษย์อย่างพวกเราเลย ดูมันดิ้นสิ ขามันไหวไหวดูมันเร็วมาก

    เลย นี่เองกระมังอย่างที่ต้นสนพูดได้ว่าไว้ ว่ามันไวมาก ถ้าขานั่นยืนอยู่กับพื้น"


    กานต์ กล่าวอีกครั้ง

    และไม่นานตัวกินมดยักษ์ก็ขย้อนสิ่งที่อยู่ในปากของมันลงคอของมันไป


    " โห มันกลืนลงไปทีเดียวเลยมิน่ามดยักษ์พวกนี้ถึงได้กลัวมันไม่กล้าออกมาจากรู นี่ถ้าหมอ ไม่ไป

    ตกรูมันเข้า พวกเราคงไม่ได้เห็นตัวมัน " 


    กานต์ กล่าวอย่างตื่นเต้นที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ถึงมันจะรวดเร็วแต่เขาก็เห็นตลอด

    เหตุการณ์ 

    ทุกคนดูสบายใจในการเดินทางขึ้น พวกเขามั่นใจว่าถ้าตราบใดที่ยังมีเจ้าตัวกินมดยักษ์ พวกเขา

    เดินทางได้อย่างปลอดภัยแน่ แต่..

    เมื่อพวกเขาเดินทางมาได้อีกไม่กี่ชั่วโมง เส้นทางเตียนโล่งที่เดินกันมาดูเหมือนมันจะสิ้นสุด เบื้อง

    หน้ามีป่าขนาดใหญ่ขวางอยู่ และ รอยเตียนโล่งที่เป็นทางเดินก็เหมือนไม่มีรอยที่จะเข้าไปในป่า

    ด้วย ซึ่งยังความสงสัยให้กับทุกคน ทุกคนเข้าใจว่าปรกติแล้วการหาอาหารของพวกมดน่าจะขยาย

    อนาเขตเข้าไปในป่านี้เพื่อหากินได้ เพราะดูเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่ทำไมไม่มีรอยที่เป็นทางเดิน

    ของมดเข้าไป มันดูผิดสังเกตุชอบกล


    " แปลกนะทำไมรอยมดมันมาสุดอยู่แค่นี้ ป่าก็ดูไม่น่ามีอะไรมีต้นไม้สวยงามมากด้วย ต้นไม้ก็แปลก

    แปลกอยู่นะ ดูเผินเผินเหมือนต้นไม้ในหนังเทพนิยายเลยว่าไม๊ "


    จามิกร ถามความเห็นหลังจากที่เธอได้สังเกตุผืนป่าข้างหน้า 


    " อย่างจาว่าจริงจริง ป่านี้ดูสวยงาม ทั้งต้นไม้เถาวัลย์ ดูมีลวดลาย และหลากสีสรร น่าดูยิ่งนัก และ

    พวกเราก็คงต้องบุกมันไปด้วยเพราะมันอยู่ในทิศที่เราจะไป  เรื่องมดป่านี้มันคงอยู่ไกลรูของมัน

    มาก มันจึงไม่ขยายอนาเขตรุกเข้าไป ก็ดีแล้วนี่ เราก็จะได้ไม่ต้องคอยมาระวังมัน เรามีตัวกินมดไป 

    ด้วย ป่าหนาทึบแบบนี้มัน คงพอจะพาพวกเราลุยเข้าไปได้หรอก เหมือนตอนที่เราเจอมันทีแรก

    ตอนลุยป่ามาไง " 


    กานต์ ตอบและตั้งข้อสังเกตุ

    ทั้งหมดไม่รอช้าพยายามหาช่องทางแหวกป่าประหลาดนี้เข้าไป มันไม่ได้แน่นมาพอที่มนุษย์ตัว

    เล็กเล็กอย่างพวกเขาจะเข้าไปไม่ได้ แต่ทุกคนก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปรกติ 


    " เดี๋ยวก่อน ตัวกินมดยักษ์มันไม่ยอมเข้ามา ทำไมมันไม่ตามมา ทำไมมันเดินวนอยู่ข้างนอกแบบ

    นั้น " 


    กานต์ บอกทุกคน


    " ใช่ มันไม่ยอมเข้ามาจริงจริงด้วย ที่จริงป่านี้ก็ไม่ได้แน่นเกินจนเจ้าตัวกินมดมันแหวกเข้ามาไม่

    ได้  แต่มันไม่ยอมเข้ามามากกว่า หรือว่าจะมีอะไรที่ทำให้มัน และพวกมดกลัวจริงจริง ถ้ามันไม่เข้า

    มาพวกเราจะทำไง " 


    แสงดาว ถามความเห็น


    " พวกเราก็คงต้องไปโดยไม่มีมันน่ะสิ ยังไงพวกเราก็ต้องเดินหน้าไปต่อ ถึงรู้ว่ามีอันตรายจนตัวกิน

    มดนั่นไม่ยอมเข้ามา "


    อัครชัย ตอบ


    " นั่นเหมือนมันรู้นะ ว่าเราจะต้องจากกับมัน มันหันหลังจะไปแล้ว "


    กานต์กล่าว หลังจากเห็นอาการของเจ้าตัวกินมดยักษ์


    " จริงด้วย ไปดีนะเจ้าอ้วน เราคงได้ร่วมชะตากรรมเพียงเท่านี้ อย่างน้อยแกก็ช่วยพวกเรามาระยะ

    หนึ่ง ถึงแกจะทำเพราะตอบแทนพวกเราก็ตาม "


    อรัญ กล่าว เขารู้สึกใจเสียนิดนิด ที่เห็นตัวกินมดหนามแหลมเดินจากห่างออกไป


    " เอาล่ะ ที่นี้ก็มาเฝ้าระวังกันเถอะนะ ขนาดเจ้าตัวกินมดยักษ์มีพิษสงขนาดนั้นยังขยาดไม่กล้าเข้า

    มาเลย ป่านี้คงไม่ชอบมาพากลแน่ "


    อัครชัยกล่าว น้ำเสียงเขาดูจริงจริง และหวาดวิตก


    " ป่าที่จะทำให้สัตว์กลัวได้ อาจจะมีพวกต้นไม้ที่มันกินสัตว์หรือคนเป็นอาหาร อย่างพวกหม้อข้าว

    หม้อแกงลิงแบบนั้น พวกเราต้องระวัง อย่าเผลอไปเข้ากับดักหรือเข้าใกล้ต้นไม้ ที่มีลักษณะแบบ

    นั้นเข้า พวกมด หรือตัวกินมดอาจดูไม่ออกว่ามีต้นไม้แบบนี้ เมื่อมันรู้ว่ามีการสูญเสียพวกพ้องมันใน

    ป่านี้มันจึงไม่กล้าเข้ามา "


    จามิกร กล่าว และให้ทุกคนเฝ้าระวัง และเธอก็กล่าวสรุป


    " ทางทีดีอย่าไปเดินใกล้ต้นไม้ทุกต้น มากล่ะกันบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าต้นใหนมันจะเป็นอย่างที่

    เราสงสัย ดูมันแปลกตาและเกี่ยวพันกันไปหมด ดีนะที่ข้างล่างมันเตียน "


    ทุกคน เริ่มระแวดระวังตามคำของจามิกร ทุกย่างก้าวที่เดิน ต่างคนต่างแบ่งหน้าที่กันเฝ้าระวังความ

    ผิดปรกติในทุกทิศทาง 


    " ดู ไม่ผิดปรกตินะต้นไม้ก็ดูไม่มีใบใหญ่ใหญ่ ที่จะดักและห่อหุ้มตัวพวกเราได้ จะเป็นพวกเถาวัลย์ก็

    ดูมันนิ่งนิ่ง คงไม่ลงมาเกี่ยวพันดึงตัวพวกเราไป "


    อรัญ ตั้งข้อสังเกตุ เขาคิดว่าถ้าได้มีคำพูดบ้าง ทั้งหมดคงดูผ่อนคลายกันไปบ้าง เพราะตอนนี้ทุก

    คนดูจนจ่อ จนรู้สึกเครียดไปตามตามกัน 


    " ดะ เดี๋ยว  " 


    และทุกคนก็ต้องสะดุด เมื่อได้ยินเสียงกาน เขารอ้งบอกและทำมือให้ทุกคนหยุด พร้อมชี้มือไปสิ่ง

    ที่เขาสงสัยจามิกร พยายามมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ที่กานต์เห็นเป็นสิ่งผิดสังเกตุ


    " น่าจะเป็นยางไม้นะดูมันเหลืองเหลืองเหนียวเหนียว ไม่น่าจะเป็นโคลนดูดด้วย หรือน้ำซับอะไร

    ซักอย่าง อยู่ที่พื้นไม่น่าจะน่ากลัวอะไร นิดหน่อย "


    จามิกร แสดง ความคิดเห็น หลังจากที่ได้พิจารณาสิ่งที่เห็น เธอประเมินดูแล้วไม่น่าเป็นสิ่งทีน่ากลัว 

    ทั้งหมดจำเป็นต้องเดินผ่านไป คิดอยากจะเลี่ยงอยู่เหมือนกันเพื่อความไม่เสี่ยงอะไร แต่ถ้าจะ

    เบี่ยงมัน ก็อาจจะต้องเข้าไปใกล้ต้นไม้ ที่ทุกคนเห็นว่ามันน่าจะมีความเสี่ยงมากกว่า


    " มันหยุ่นหยุ่นเหนียวเหนียวนะ เหมือนจะติดหนึบกับเท้าด้วย มันไม่แปลกเหรอจา "


    กานต์ อดสงสัยไม่ได้ จึงถามแฟนสาวขึ้น 


    " มันอาจจะเป็นยางไม้ที่รากไม้มันคลายตัวออกมาก็ได้นะ คิดว่าไม่น่ากลัวหรอก แต่ถ้ามันอยู่บน

    ใบไม้แล้วเราไปติดเข้านะมันน่ากลัว เพราะมันจะทำให้พวกเราติดกับดักใบไม้นั้นได้ เหมือนต้นไม้

    กินเเมลงหลายอย่างมันก็ใช้วิธีการแบบนี้ พอแมลงไปติดเข้าก็หนึบหนีมันไม่ได้สุดท้ายก็เป็น

    อาหารของมัน "


    จามิกร อธิบายทำให้กานต์ดูโล่งใจขึ้น

    และขณะที่ทุกคนกำลังทุลักทุเลที่จะผ่านสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเป็นยางไม้ไป และระหว่างที่ดุจปรายยก

    ขาที่ติดหนีบขึ้น เธอกับเสียหลักล้มลงก้นจ้ำเบ้า 


    " อ้าว ระวังให้ ดีสิยิ่งบอบบางอยู่ "


    อรัญถลันเข้าไปช่วยแฟนสาว เข้ารู้สึกว่าเพราะร่างบอบบางที่มีแรงน้อยของเธอจึงทำให้ล้ม แต่ใน

    ใจของดุจปรายตอนนี้ เธอรู้ว่าเริ่มมีบางสิ่งผิดปรกติ ร่างเธอที่ทรงตัวไม่อยู่มีบางอย่างทำให้เธอเสีย

    หลักล้ม


    " พี่อรัญ รู้สึกว่าแผ่นดินมันสะเทือนนะ มีแผ่นดินใหวหรือเปล่าเนี่ยปรายยืนไม่อยู่เลย "


    ดุจปราย กล่าวขณะส่งมือให้แฟนหนุ่มดึงพยุงตัวเธอขึ้น  เธอบอกสิ่งที่เธอรับรู้ว่าที่เธอล้มไปไม่ใช่

    เพราะเสียหลักแต่เธอรู้สึกว่าพื้นไต้ขาเธอมันขยับได้ 

    คำพูดของดุจปรายทำให้ทุกคนที่ได้ยินสงสัย โดยเฉพาะจามิกร เธอใช้ความคิดและคิดว่าดุจปราย

    คงไม่อุปทานไปเองแน่  


    " ทุกคนเอามีดออกมาเร็ว "


    เสียง จามิกรร้องสั่งเร็วปรื๋อเธอเริ่มสงสัยอะไรสักอย่างหนึ่ง

    ทุกคนไม่รอช้ารีบทำตามโดยไม่รู้เหตุผลว่าจามิกร จะให้เอามีดมาทำอะไร


    " ที่พื้นเอามีดกรีดรอบรอบตัวพวกเราเร็ว "


    จามิกร ร้องสั่งอีกครั้ง และเธอเองก็ทำอาการให้ดู อย่างที่ ร้องบอกกับทุกคน  เธอเอามีดปัดลงพื้น

    คมมีดมิดไปเกือบครึ่งเล่ม และกรีดพื้นเป็นรูปวงกลม รอบตัวของเธอ ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็แปลกใจ 

    ว่าทำไมจามิกรถึงทำเช่นนั้น  แต่หลายคนก็ทำตาม ยกเว้นดุจปรายที่ไม่สู้เข้าใจนัก เธอแปลกใจที่

    ทำไมเมื่อเธอรู้สึกได้ว่าพื้นมันเคลื่อนไหวการปักมีดลงไปแบบนั้นมันจะช่วยอะไรได้ 

    แต่อรัญกลับเริ่มเข้าใจ เขารู้สึกได้ว่า พื้นที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่นี้กำลังจะสั่นไหวอยู่เหมือนกันแต่มัน

    สงบลงเมื่อเอามีดกรีดรอบพื้นที่ที่เขายืนอยู่ แต่เขาเห็นอาการของแฟนสาวดูจะไม่เข้าใจ และไม่

    ตอบสนองต่อคำบอกของจามิกร 

    ไวเท่าความคิด อรัญเอื้อมไปคว้าข้อมือแฟนสาว กระชากสุดแรง เขารู้ว่าตอนนี้ดุจปรายเป็นคน

    เดียวจะไม่มีความปลอดภัย เพราะไม่ทำตามที่จามิกรบอกเมื่อสักครู่

    ร่างบางระหงที่กำลังระร้าระลังอยู่ ปลิวตามแรงดึงของแฟนหนุ่ม เธอเสียหลักเซถลาเข้ามา และนั่น

    ก็ทันเวลาพอดี

    และแล้ว ทุกคนตกใจ ที่จู่จู่พื้นดินที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ทั้งหมดก็ถูกตลบยกขึ้น เหมือนแหหรือยอยก

    ปลา  ใชคดีที่จามิกรเดาถูก มีดที่กรีดเป็นวงรอบตัวทุกคนตามคำบอกของเธอนั้น ตัดขาดพื้นที่ 

    ส่วนที่ทุกคนอยู่ทำให้ไม่เข้าไปอยู่ในแผ่นที่ถูกยกขึ้นไปด้วย แผ่นที่ยกสูงขึ้นไป จึงมีรูขาดตรงจุดที่

    ทุกคนกรีดเป็นช่องไว้ แผ่นที่ถูกยกขึ้นเมื่อขึ้นไปสูงได้พอสมควรมันก็เกิดอาการม้วนเข้าด้วยกัน 

    นั่นหมายความว่าถ้าทุกคนไม่ตัดส่วนที่ตนยืนอยู่ตอนนั้นออกมา พวกเขาก็คงถูกยกขึ้นไปด้วยและ

    ถูกม้วนเข้าไปอยู่ในนั้นแน่


    " อะไรเนี่ย ทำไมพื้นมันยกตัวขึ้นไปได้ และนั่นมีสายโยงไปที่ต้นไม้ด้วย มันเหมือนยอยกปลาเลย 

    มีใครมาดักอุปกรณ์พวกนี้ไว้  เพื่อดักพวกเรา  หรือตัวอะไรที่ผ่านมาแน่ แน่"


    ดุจปราย กล่าวเสียงสั่น เธอตกใจและแปลกใจ ที่ เห็นเหตุการประหลาดเช่นนี้ และนึกตำหนิตัวเอง

    และก็รู้สึกผิดที่ไม่เชื่อคำจามิกร จนทำให้เกือบเสียท่าถูกม้วนขึ้นไป ถ้าอรัญช่วยเธอไม่ทัน

    ทุกคนมองมาที่จามิกรเป็นตาเดียว จามิกรคงจะพอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เธอถึงได้

    เตือนทุกคนได้


    " มันคืออะไรหรือจา หรือว่ามีสัตว์หรือต้นไม้อะไรดักพวกเราแบบนี้ จาถึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นแบบนี้ "


    แสงดาว ถามด้วยความสงสัย อยากได้คำตอบจากเพื่อนสาว


    " ใช่ ที่จริงมันเป็นแค่จาสงสัย ที่จริง ตอนปรายหกล้มจาก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าพื้นมันเคลื่อน

    ไหว  จนเกือบเซเหมือนกันและคิดว่าน่าจะมีอะไรจงใจทำให้พวกเราเราติดอยู่กับอะไรหนืดหนืดนี้ 

    แน่ ทำให้เข้าใจว่าน่าจะเป็นกับดัก เพราะสงสัยอยู่แล้วว่าของหนืดพวกนี้ มันเหมือนกับที่จับแมลง 

    ของดอกไม้หรือไปไม้กินแมลง แต่มันวางอยู่กับพื้น ถ้ามันเป็นกับดักคิดว่าพื้นที่เคลื่อนไหวคง

    เคลื่อนตัวและมีผลกับพวกเราแน่ จึงให้ทุกคนพยายามกรีดพื้น เพื่อแยกส่วนที่พวกเรายืนอยู่ออก 

    และมันก็ได้ผล"


    จามิกร อธิบาย สิ่งที่เธอเข้าใจ


    " มันก็แปลกนะ ทำไมพื้นมันขยับเป็นชิ้นเป็นอันได้ พวกเราถึงไม่สงสัยไงว่ากำลังอยู่ท่ามกลาง

    แผ่นกับดักที่จะยกตัวขึ้น ดูสิมันเป็นแผ่นมากกว่าที่จะเป็นตาข่ายและมันก็สีเดียวกับพื้นเลยเราไม่

    สามารถรู้ได้เลยว่าส่วนใหนของพื้นที่มันจะยกขึ้น  แล้วอะไรทำกับดักที่กลมกลืนกับพื้นนี้ไว้ "


    อรัญ ตั้งข้อสังเกตุ


    " แต่จาคิดว่าจาพอจะรู้นะ ที่จริงมันก็เป็นการวางกับดักเพื่อหวังให้อาหารของมัน หลงเข้ามา

    เหมือนต้นไม้กินแมลงทั่วไปนั่นเเหละ เพียงแต่ใบของมันไม่ได้ชูขึ้นไปเหนือพื้น นั่นคงเป็นเพราะ

    มันจะทำให้พวกเราหรือตัวอะไรที่ผ่านมาสังเกตุเห็นได้ มันจึงพรางตัว วางใบของมันลงกับพื้น แต่

    มันพลาดที่ว่าทิ้งยางเหนียวเหนียวของมันให้จาสงสัยได้ มันจึงทำไม่สำเร็จ "


    จามิกร อธิบาย


    " หมายความว่า ที่จาสงสัยว่านี่น่าจะเป็นต้นไม้กินแมลงหรือ ถ้าอย่างงั้น สิ่งที่ยกขึ้นไปนั่นก็คือ ใบ

    ของมันหรือ เพียงแต่ว่ามันอาจจะพรางให้เป็นสีเดียวกับพื้น หรืออาจจะอยู่กับพื้นมานานจนสีมัน

    กลืนไปกับพื้น จนพวกเราสังเกตุไม่รู้ใช่ใหม "


    แสงดาว แสดงความเห็น


    " ใช่แล้ว สิ่งที่จาสงสัย เป็นอย่างที่แสงดาวบอกเลย สิ่งที่ยกขึ้นไปคือใบไม้ใบหนึ่ง มันเป็นกับดักที่

    ของต้นไม้ที่นี่ต้นใดต้นหนึ่งมันหวังจะกินพวกเรา ถ้าพวกเราไม่หลุดออกมาได้ตอนนี้ "


    จามิกร อธิบาย


    " ปรายขอโทษนะ เกือบไปแล้วไม่เชื่อคำบอก จา  "


    ดุจปราย กล่าวเสียงสลด


    " ไม่เป็นไรหรอก ปราย ยังไงเสียคนข้างข้างกายปราย ก็คงไม่ปล่อยให้ปรายเป็นอันตรายหรอก ถึง

    จะถูกใบไม้มันจับไปได้  พี่อรัญก็ต้องขึ้นไปช่วยอยู่ดี " 


    จามิกร กล่าวปลอบ ทำให้ดุจปรายคลายความใจเสียคงมาบ้าง


    " ที่นี้เราจะต้องระวังนะ นี่กระมัง ที่ทำให้ตัวกินมดยักษ์และ พวกมดยักษ์ไม่กล้าเข้ามาป่าในนี้ มันมี

    กับดักอยู่แบบนี้นี่เอง"


    อัครชัย กล่าวพร้อมตั้งข้อสังเกตุ


    " แต่ว่าเรามีความสงสัยอยุ่อีกอย่างหนึ่งนะ คิดว่าป่านี้คงไม่ได้มีแค่ใบไม้แบบนี้อย่างเดียวหรอกนะ 

    ใบไม้ไบนี้ใหญ่ก็จริง แต่ถ้าเทียบกับตัวกินมดแล้ว มันคงไม่พอที่จะใช้กับดักแบบนี้ดักสัตว์ใหญ่

    ขนาดนั้น ได้ คิดว่าจะต้องมีกับดักที่ใหญ่และร้ายกาจกว่านี้แน่ พวกเราต้องระวังตัวให้ดี " 


    กานต์ แสดงความคิดเห็น

    ทั้งหมด พยายามเอายางเหนียวหนืดที่ติดอยู่ตามขาออก มันเหนียวมาก แต่ทุกคนก็พยายามเอา

    ออกจนได้


    " แปลกอยู่นะทำไมต้นสนยักษ์ไม่เตือนพวกเราเรื่องป่าแห่งนี้ จะว่าเขาไม่รู้ก็ไม่น่าจะใช่ จะว่าไปป่า

    นี้ก็อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ต้นสนยักษ์อยู่สักเท่าไร  แต่ต้นสนยักษ์ไม่พูดถึงเลย เหมือนเขาไม่รู้ว่ามีป่า

    แห่งนี้  "


    อรัญ ตั้งข้อสังเกตอย่างสงสัย เพราะถ้าเขาได้รู้ว่ามีป่าที่อันตรายอยู่ตรงนี้ พวกเขาก็คงไม่เกือบ

    พลาด เสี่ยงต่อชีวิตอย่างเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้านี้


    "  นั่นสิ เราไม่ได้รู้มาก่อน ทำไมต้นสนยักษ์ไม่เตือนเรา ป่าอันตรายขนาดนี้ และดูต้นไม้ที่นี่ก็จะ

    เคลื่อนใหวได้อีกแล้วด้วย ไม่นิ่งเหมือนที่ต้นสนยักษ์บอกหรือว่าต้นสนนั่นจะไม่รู้จริงจริง เป็นไปได้

    ใหมว่า อาจเพราะไม่มีต้นสนพวกของเขาอยู่แถวนี้ เขาถึงไม่ได้รับรู้ นี่แสดงว่ายังมีอันตราย ที่

    ต้นสนยักษ์ไม่รู้รอเราอยู่อีกมากมายเป็นแน่ "


    ดุจปราย ก็สงสัยเช่นเดียวกับแฟนหนุ่มของเธอ


    " อาจเป็นได้ที่ต้นสนยักษ์ไม่รู้ ถ้ารู้เขาคงบอกแล้วล่ะ ว่าแต่อย่างที่บอกนั่นล่ะ เราต้องระวังกันให้

    มาก ป่าสวยงามประหลาดนี้ดูจะมีพิษสงความอันตรายอยู่ทั่วไปแน่ และไม่รู้ว่าเราจะพ้นมันไป

    เมื่อไรแน่ เราคงจะค้างกันที่นี่ไม่ได้ในคือนี้ "


    อัครชัย สรุป

    และทั้งหมดก็ไม่รอช้าอย่างที่อัครชัยบอกไม่ควรค้างคืนในป่าเช่นนี้ และนี่มันก็เป็นเวลาเย็นมาก

    แล้วพวกเขาต้องรีบเดินผ่านป่านี้ไปให้เร็วที่สุด  แต่ด้วยความระมัดระวัง การเดินทางจะไม่ได้ไปเร็ว

    อย่างที่ทุกคนคิดเท่าใดนัก


    " ดูนั่นสิ ต้นไม้ต้นนั้น มันมีลำต้นหนามแหลมใหญ่มากเลย  น่ากลัวจังแต่ละอันมันเหมือนหอกเลย 

    นั่นถ้ามันทิ่มเข้าก้บตัวอะไร คงเสียบมิดแน่ ดีนะที่เราไม่เดินผ่านไปใกล้มัน "


    ระหว่างเริ่มออกเดินทางใหม่ กานต์ ชี้ให้ทุกคนดูจากต้นไม้ที่เขาสังเกตุเห็น 


    " นั่นนะสิ ดูมันแหลมและน่ากลัวชอบกล และดูสิหนามมันมีไม่กี่อันก็จริงแต่มันหันมาทางนี้ทั้งหมด

    เหมือนธรรมชาติมันจงใจให้มีหนามแบบนี้ เพื่ออะไรกัน  จะว่าหันไปหาแสงแดด แต่มันหันมาทาง

    เรา ที่เป็นทางไต้ของต้นมัน คิดไม่ออกจริงจริง ว่ามันหันมาทางนี้เพื่ออะไร "


    แสงดาว ก็รู้สึกฉงนเหมือนกัน เพราะเป็นช่วงที่พยายามสังเกตุการเฝ้าระวังอันตรายด้วย ต้นไม้จึง

    เป็นสิ่งที่น่าสงสัย แต่เธอได้สบายใจขึ้นเพราะต้นไม้ต้องสงสัยไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่จะเดินไป


    " มันคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวกินมดยักษ์กลัวหรอกนะ อันซะขนาดนั้น มันคงไม่วิ่งทะเล่อทะล่า เข้าไป

    ทิ่มได้หรอกนะ "


    อรัญ กล่าวและเขาดูอารมณ์ดีขึ้นเพราะสิ่งที่น่ากลัวคงไม่มีผลกับการเดินทางต่อเพราะมันอยู่ไกล

    พอสมควร 


    " คงงั้นแหละ มันก็คงเป็นแค่ต้นไม้มีหนามปรกติต้นหนึ่งล่ะถึงน่ากลัว ก็คงไม่มีผลอะไรต่อเรา สิ่งที่

    น่ากลัวคือทางที่เราจะเดินกันไปโล่งโล่งนี่หล่ะ ว่าจะมีอะไรรออุ้มพวกเราเหมือนใบไม้นั่นอีกใหม "


    จามิกร บอกทุกคน คำพูดของจามิกรดูเหมือนเธอไม่คิดว่าน่าจะมีอะไร แต่ทำให้มีใครคนหนึ่ง

    ฉุกคิดขึ้น อัครชัยนั่นเอง  เขาสังเกตุว่าอย่างจามิกรบอก ทางโล่งโล่งที่กำลังจะผ่านไป ดูมันไม่มี

    ต้นไม้ให้เกะกะเสียอย่างที่น่าจะเป็นเลย ดูมันจงใจเปิดช่องทางให้มีสิ่งที่เคลื่อนไหวผ่านไปได้ คิด

    ได้อย่างนั้นเขาทำมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด

    ทุกคนตกใจอาการของอัครชัย พยายามมองไปรอบรอบอย่างเลิ่กลั๊กไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร อัคร

    ชัยจึงมีสัญญาณเช่นนั้น


    " มีอะไรหรือพี่หมอ พี่หมอเห็นอะไร ทำไมพวกเรายังไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติเลย "


    จามิกรถามขึ้นด้วยความสงสัย


     "  มีสิ คำพูดของจานั่นแหระให้ระวังทางที่จะเดินไป สังเกตุสิ ว่าข้างหน้าเราถ้าไม่นับว่ามันรกไม่

    มากนะ ดูมันเป็นช่องทางเดียวทีเราจะไปได้ ลองคิดอย่างซีเรียสนะ เหมือนมันเป็นทางที่บังคับให้

    เราต้องไปทางนี้ อาจจะมีอะไรรออยู่ก็ได้นะ หรืออาจมีใบไม้นั่นอีกก็เป็นได้นะ "


    อัครชัย ตอบ สิ่งที่เขาคิด


    " อืม ถ้าคิดว่าอย่างนันมันก็จริงนะ แต่บางทีพี่หมออาจจะระแวงเกินไปนะ เรื่องใบไม้คงไม่น่ามี

    หรอก จาไม่เห็นมียางเหนียวนั่นเลย ที่มองเห็นน่าสงสัยก็น่าจะเป็นรากไม้สองสามรากนั่น แต่มันก็

    ปรกตินะที่ผ่านมาเราก็ผ่านรากไม้มาไม่รู้เท่าไรเหมือนกัน ที่ดูดูยังไม่มีอะไรน่าสงสัยนะ "


    จามิกร ตอบ พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตุ


    " ก็จริงอย่างจาเหมือนกันนะ แต่อย่างที่พี่หมอพูดถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะต้องระวังเหมือนกัน งั้นพบกัน

    ครึ่งทาง มีรากไม้ที่จาว่าจะน่าสงสัย อยู่ในทางที่พี่หมอคิดว่าตั้งใจให้พวกเราผ่านไป หรือรากไม้มัน

    จะเกี่ยวพันรัดพวกเราไว้ ถ้าเราผ่านไปจะเป็นไปได้ใหม "  


    แสงดาว แสดงความคิดเห็น


    " อืม อะไรที่นี่เป็นไปได้ทั้งนั้นแหระ แล้วพวกเราจะทำไงรากไม้นั่นมันก็ดูปรกตินะ แต่เราก็จะเสี่ยง

    ไปใกล้มันถ้ามันรัดพวกเราได้จริงก็น่ากลัวอยู่นะ "


    จามิกร กล่าวตอนนี้เธอรู้สึกลังเลอย่างบอกไม่ถูก และทุกคนก็มองหน้ากัน อย่างใช้ความคิด 


    " เอางี้สิ เราลองเอาหินโยนไปก่อนไม๊ให้ถูกรากไม้นั่นโยนไปจากตรงนี้แหระไกลไกล เผื่อมีอะไร

    เกิดขึ้น  คิดว่าถ้ามันเป็นรากไม้ที่จะรัดพวกเราได้ เมื่อโดนหินที่เคลื่อนใหวเข้าไป มันก็คงเหมือน

    พวกเราเคลื่อนใหวเข้าไปโดนมัน มันก็จะมีปฎิกริยาเอง ถ้ามันไม่มีอะไรก็แสดงว่ามันเป็นรากไม้

    ธรรมดา "


    อรัญ แสดงความคิดเห็น ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยเป็นวิธีที่น่าจะปลอดภัยที่สุด

    กานต์มองหาและเจอเข้ากับก้อนหินเหมาะมือก้อนหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมาและโยนออกไปทันที ถึง

    เป็นการโยนครั้งแรก แต่มันก็แม่นเหมือนจับวาง ก้อนหินที่โยนไปโดนรากไม้ต้องสงสัยเข้าพอดี

    แรงกระแทกของหิน ทำให้รากไม้ กระเทาะบิ่นเป็นแผลแตกไปพอสมควร


    " ไม่มีอะไรเลยมันไม่ขยับเลย เรากลัวไปเอง "


    อัครชัย ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่ารากไม้ที่กลัวอยู่นั้นไม่มีปฎิกริยาอะไร และเขาก็ขยับพร้อม

    จะเดินนำอีกครั้ง


    " ฟิ๊ว ฉึก "


    เสียงอะไรอย่างหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้ามา มันแหวกผ่านกิ่งไม้ต่างต่างมา เสียงมันกระทบใบไม้

    ทำให้ทุกคนได้ยินได้ถนัด และมันก็พุ่งปักเข้าตรงที่บริเวรรากไม้ที่กานต์ข้วางไปโดนเมื่อสักครู่นี้ 

    และมันมีนับเป็นสิบสิบอัน จนมองดูเป็นกลุ่มใหญ่

    อัครชัยถึงกับขาสั่นด้วยความตกใจ ดีที่เขาขยับไปข้างหน้าไม่ได้กี่เก้า ถ้าเดินเข้าไปกว่านี้อีกสัก

    หน่อย สิ่งที่พุ่งมาคงสอยเข้ากับร่างเขาเป็นแน่แท้


    " อะไรกันนี่มันขวากนี่หรือว่าเป็นหอกทำไมมันพุ่งมาจากใหน มีใครหรือคนป่าอะไร ดักโจมตีพวก

    เราไหม "


    อัครชัย ระร่ำลักถามทุกคน เขายังสยองไม่หายนึกถึงว่าหลาวแหลมพวกนี้มีเป้าหมายเป็นร่างของ

    เขาจะเป็นเช่นไร 

    ทุกคนพยายามสอดส่ายสายตาหาที่มาของหลาวแหลมที่พุ่งมาปักข้างหน้า พวกเขาก็สงสัยตามที่

    อัครชัยสงสัย เหมือนกัน แต่จามิกรไม่ได้สนใจ อย่างอื่นในขณะที่เธอเห็นวัตถุที่พุ่งมาได้ชัด จามิกร

    จำมันได้ถึงแม้แต่เมื่อสักครู่นี้เธอจะเห็นมันอยู่ไกลไกลก็ตาม


    " มันไม่ใช่ มีคนป่าหรืออะไรหรอกพี่หมอ พี่หมอและทุกคนดูที่ต้นไม้หนามแหลมเมื่อกี้สิ ตอนนี้มัน

    ไม่มีแล้ว "


    จามิกรบอก พร้อมชี้ให้ทุกคนดู  และในขณะที่ทุกคนเห็นได้ชัด


    " เออ จริงด้วยเมื่อกี่พวกเรายังเห็นอยู่เลย แล้วมันไปใหนแล้วล่ะ หรือว่า มัน มัน มันพุ่งมานี่ใช่ใหม 

    ที่พุ่งมาอยู่ข้างหน้าเรานี่มันหนามนั่นใช่ใหม "


    อัครชัย เริ่มผูกโยงเรื่องได้


    " โอใช่แน่เลยรูปร่างมันเหมือนกันไม่มีผิด แสดงว่ารากไม้นี่คงเป็นรากของต้นมัน อย่างนี้มันต้อง

    เป็นการวางกับดักเราไว้ ถ้าเราไปโดนรากมันพวกเราก็เป็นเป้ามันแน่ ดีนะที่พวกเราโยนหินไป

    ก่อน "


    แสงดาว กล่าวเธอรู้สึกเข้าใจและโล่งใจขึ้น


    " นี่ไงล่ะถึงเป็นเจ้าตัวกินมดยักษ์ก็คงไม่รอดแน่ถ้ามาไม้นี้ เมื่อกี้ที่มันพุ่งมาดูรวดเร็วและแรงมาก 

    ต่อให้หนังเหนียวแค่ใหน ก็คงต้านความคมและแรงของมันไม่ได้แน่ ดูสิทิ่ม่ดินไปมิดเกือบครึ่งอัน

    เเน๊ะ "


    กานต์ กล่าวพร้อมทั้งยกเหตุผลสิ่งที่เห็นประกอบ


    " แล้วทีนี้จะกล้าไปกันไหมล่ะ อุตส่าเห็นว่าเป็นป่าไม้ที่สวยงามมาก แต่พวกต้นไม้ที่นี่มันเล่นบท

    โหดแบบนี้ ต่อไปนั่นยังมีรากไม้ที่โผล่อีกหลายอันอยู่นะมันจะมาลักษณะเดียวกันหรือเปล่า "


    อรัญกล่าว เขาเริ่มฝ่อ


    " ยังไงก็ต้องไป เราถอยไม่ได้ ถ้าเราถอยเมื่อไรจะไปถึงจุดหมาย "


    อัครชัย ยังย้ำจุดยืนเดิม


    " จริงอย่างพี่หมอว่า อย่างน้อยตอนนี้ต้นไม้หนามแถวนี้มันก็ไม่มีให้เห็นแล้วนะ รากไม้นั่นอาจ

    เป็นต้นไม้ต้นนี้ก็ได้ มันอาจจะมีพิษสงค์แค่นี้ ดูแล้วรากไม้ที่เหลือนั่นต้องเป็นชนิดเดียวกับต้นไม้ที่

    โดนหินเราไปแน่แน่ "


    จามิกร แสดงความคิดเห็น


    " ก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้นจริงจริงเหอะ แต่เพื่อความไม่ประมาท เราคงต้องทดสอบเหมือนเดิมนั่น

    แหระ เริ่มกันเถอะเย็นมากแล้ว "


    อัครชัย กล่าว เขาเร่งเพราะรู้ว่าถ้ายิ่งมืดต้นไม้พวกนี้อาจมีพิษสงค์อะไรอีกก็ได้ 

    กานต์ได้รับสัญญาณให้ทำตามที่เขาทำเมื่อสักครู่นี้ แต่คราวนี้ด้วยความระวังตัวทุกคนขยับถอยห่าง

    ออกมากว่าเดิมแต่ทุกคนก็หยุดกึกเมื่ออรัญที่ห้อยท้ายอยู่ดันหลังแฟนสาวและทุกคนไว้ ทุกคน

    ตกใจในอาการของอรัญ แต่เมื่ออรัญชี้ให้ดูทุกคนก็เข้าใจ


    " ไม่ต้องถอยไปมากไอ้ใบยางเหนียวนั่นมันลงมาปูที่พื้นอีกแล้ว "


    คำกล่าว ของอรัญทำให้ทุกคนเห็นตาม ใบไม้ยักษ์สีพื้นที่ลอยตัวขึ้นไปเมื่อสักยี่สิบนาทีที่แล้วเมื่อ

    ไม่ได้เหยื่อขึ้นไปตอนนี้มันกลับลงมาอยุ่ที่พื้นตามเดิม เพื่อรอเหยื่อรายต่อไปแล้ว  ถึงสีมันจะกลืน

    กับพื้นเหมือนเดิม แต่รอยกรีดใบที่ทุกคนทำไว้เห็นได้เด่นชัด


    " เอาล่ะกานต์ เอาเลย ให้โดนทุกรากเลยเพื่อความเเน่ใจ "


    อัครชัย บอกกับกานต์

    กานต์มองหาหินที่จะเอามาขว้างตามเดิมเมื่อเจอเขาก็ขว้างออกไป แต่คราวนี้มันไกล ทำให้เขา

    พลาดเป้าไปสองสามครั้งแรก และครั้งที่สี่ เขาขว้างไปโดนรากไม้อันเก่าและโดนหนามที่ปักพื้น

    เข้าอย่างจัง แต่มันไม่มีปฎิกริยาอะไร เมื่อเห็นว่ามันไม่ถึงเป้าหมาย เขาจึงเคลื่อนใกล้เข้าไปอีก 

    และในที่สุดก็ถูกเป้าหมาย คือรากไม้รากหนึ่งเข้าอย่างจัง


    " เฮ้นั่นไงถูกแล้ว "


    ดุจปรายกล่าวอย่างถูกใจ เธอก็ลุ้นตามกานต์ผู้ที่ขว้างไปด้วย และขณะที่ทุกคนกำลังใจจดจ่อว่า

    อะไรจะเกิดขึ้น 


    " เอ๊ะ เสียง "


    ทันใดทุกคนก็ได้ยินเสียงผิดปรกติ  ทางทิศตะวันออกที่อยู่ตรงข้ามกับทุกคนยืนอยู่มีเสียงลึกลับ

    ที่เหมือนจะคุ้นหู กระทบไบไม้และกิ่งไม้มาอีกครั้ง


    " มันมาจากทางด้านนู้นแสดงว่ารากนั้นไม่ใช่ต้นไม้ต้นนี้แน่ แสดงว่ารากไม้ทั้งหมดที่เราเห็นไม่ได้มี

    แค่ต้นเดียว  "


    จามิกร แสดงความคิดเห็นและไม่นานหนามแหลมอีกนับสิบอัน ลักษณะใหญ่ทำกับหอกก็โผล่มา

    ให้ทุกคนได้เห็น แต่คราวนี้ทุกอันหาได้ปักลงพื้นได้หมดไม่ เพราะมันพลาดกระทบเข้ากับหนามไม้

    ที่ปักอยู่ก่อนแล้ว ทำให้มันพลาดเป้าหมายการปักลงพื้นกระเด็นเกลื่อนอยู่หลายอัน และนั่นทำให้

    มันกลิ้งไปกระทบกับรากไม้อีกหลายอันที่กานต์ยังไม่ได้ทันขว้างไปโดน และทันใดเสียงกระทบ

    จากด้านหลังของทุกคนก็แว่วมา


    " หมอบลงเร็วมันคงมีต้นหนึ่งอยู่ทางหลังเรา "


    จามิกร ร้องสั่งอย่างรวดเร็วเธอรู้ว่าอันตรายแน่ถ้ายังขืนยืนอยู่เป็นเป้าแบบนี้ เมื่อทั้งหมดทิ้งตัว

    หมอบลงกับพื้นได้ไม่นาน พวกเขาเห็นสิ่งเคลื่อนไหวพุ่งเฉียดหัวทุกคนไปไม่ถึงคืบ


    " เกือบเป็นไก่เสียบไม้แล้วไม่ล่ะมันพุ่งมาแรงมากถ้าเรายังขืนยืนอยู่มันเสียบทะลุแน่ "


    อรัญกล่าว พร้อมพยายามพยุงตัวจะลุกขึ้น แต่เขาก็ต้องเสียหลัก เมื่อแฟนสาวดึงตัวเขากลับลงไป

    หมอบตามเดิม


    " อย่าพึ่งลุกไป ปรายว่ามันยังไม่หมด "


    ดุจปรายกล่าวกับแฟนหนุ่ม เพราะเธอเห็นว่าไม้แหลมที่มาครั้งนี้ มันก็กระทบเข้ากับไม้หนามแหลม

    ที่มีอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน พร้อมทั้งกระเด็นกระจัดกระจายก็ไปถูกกับรากไม้ที่ยังไม่เคยได้ถูก

    กระทบอีกหลายอันเช่นกัน ดุจปรายคิดถูกคราวนี้ทุกทิศทุกทางปรากฏเสียงให้ทุกคนได้ยิน และ

    แทบจับใจความไม่ได้ว่าคราวนี้มันน่าจะมาทางทิศใหน ทำได้อย่างเดียวทุกคนพยายามหมอบให้

    ต่ำที่สุดและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง จนเสียงดังว่าไม้แหลมพวกนั้นมันปักลงกับพื้นและเสียงไม้

    ที่มาได้หยุดเสียงกระทบใบไม้และกิ่งไม้เงียบเสียงลง


    " มันคงหมดแล้วล่ะพี่อรัญมันเงียบเสียงไปแล้ว " 


    ดุจปราย กล่าวกับแฟนหนุ่มพร้อมทั้งเอามือไปสัมผัสแผ่นหลังอรัญเบาเบา แต่มือของเธอก็ได้ก็ได้

    สัมผัสเข้ากับสิ่งหนึ่ง มันเย็นและชื้นแฉะผิดปรกติวิสัยที่น่าจะเป็นเหงื่อของอรัญ และเธอก็คิดถูก

    เมื่อเธอมองเห็นสิ่งนั้น


    " เลือดนี่ นี่พี่อรัญโดนมันด้วยเหรอ "


    ดุจปราย ร้องเสียงหลง สัญชาติญาณ และสีแดงที่เปลื้อนมือเธอทำให้เธอรู้ได้ทันที

    อัครชัย รีบลุกขึ้นมาดู กลางหลังของอรัญถูกเฉี่ยวและบาดเป็นทางยาวและแผลของมันก็ลึกพอ

    สมควร จนทำให้ผู้บาดเจ็บสลบไปโดยไม่รู้ตัว


    " บาดแผลลึกเหมือนกันอรัญคงสลบไป ดูจากการหายใจแล้วคิดว่าเขาคงยังพอทนได้ "


    อัครชัย ประเมินอาการ เขาเป็นหมอ มองออกว่าอาการอรัญอยู่ในขั้นใหน


    " แล้วเขาจะฟื้นตอนใหนค่ะพี่หมอ ปราย กลัวจัง "


    ดุจปรายกล่าวเสียงสั่น เธอใจเสีย ที่จริงความที่เธอก็เป็นพยาบาล เธอก็พอประเมินอาการแฟน

    หนุ่มออก แต่ตอนนี้เธอไม่มีสติจะทำอะไร ถ้าได้ยินคำตอบจากอัครชัย เธอจะใจชื้นขึ้นมากกว่า


    " ไม่นานคงฟื้น ดูจากบาดแผลแล้ว ไม่รุนแรงขนาดทำให้สลบได้ อาจสลบไปเพราะความตกใจ

    มากกว่า   ถ้าตอนนี้ได้น้ำเย็นเย็นเช็ดตัวคงฟื้นแน่ "


    อัครชัย กล่าว พร้อมทั้งเริ่มซับเลือด และดูเหมือนเลือดเขาจะเริ่มหยุดซึมออกมาแล้ว


    " นี่ดีนะที่พวกเราหมอบกันไปจนติดดินไม่เช่นนั้น มันไม่แค่เฉี่ยวไปแบบนี้แน่ ดูสิมันไปสุมปักกัน

    ตรงนั้น เป็นร้อยร้อยอันเลย "


    กานต์ กล่าวพร้อมชี้ให้ทุกคนดู ไม้แหลมหลายสิบอันบ้างก็ปักอยู่กับพื้นบ้างก็กระเด็นกระดอน

    เพราะกระทบกันตอนที่พุ่งมา ทำให้มันกลิ้งอยู่กับพื้น มองดูเป็นกองเลยทีเดียว


    " คิดว่ามันคงมาหมดแล้วหล่ะ ดูมันกระทบกับรากไม้ทุกอันแล้ว "


    จามิกร กล่าว เธอประเมินจากสิ่งที่สายตาเธอมองเห็น


    " ถ้ามันหมดแล้ว เราก็ต้องรีบไป เราจะรอช้าไม่ได้ยิ่งเย็นเท่าไรคิดว่ายิ่งอันตราย ถ้ามืดด้วยเราจะ

    ยิ่งมองไม่เห็นอันตราย เราต้องช่วยกันพยุงอรัญไป ไปเถอะ "


    อัครชัย กล่าว คำพูดเขาดูไม่ห่วงอรัญที่ยังสลบอยู่ แต่ทุกคนก็เข้าใจเจตนาของเขา และทุกคนก็

    เห็นด้วย ร่างอรัญถูกพยุงขึ้น เขายังไม่ฟื้นจึงคอพับคออ่อนไป ต้องใช้ถึงสามคน ประคองร่างและ

    คอที่อ่อนไปอ่อนมาอีกด้วย ทั้งหมดเดินผ่านไม้แหลมไปอย่างทุลักทุเล กานต์อดไม่ได้ที่จะลอบ

    มองไม้แหลมที่ตกอยู่กับพื้นเขาอดทึ่งไม่ได้ ไม้แหลมที่แต่เดิมมันเป็นหนามของต้นไม้ก่อนจะพุ่ง

    ออกมา ดูแล้วมันไม่เหมือนหนามเอาซะเลย มันเหมือนกับไม้ที่มีผู้บรรจงเหลาให้เหมือนอาวุธ ที่จะ

    พุ่งมาทำร้ายกันเสียมากว่า จะเป็นสิ่งที่หลุดมาจากต้นไม้ 


    "  เอ๊ยนั่น  " 


    จามิกรร้องขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะเธอ เห็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เธอไม่ได้ร่วมพยุงอรัญด้วยจึง

    ทำให้เธอสังเกตุเห็นอะไรได้ก่อนใคร  และทุกคนก็ได้เห็นเช่นเดียวกับเธอ


    " น้ำนี่ แม่น้ำใหญ่มากเลย แล้วทำไมพวกเราไม่ได้ยินเสียงน้ำใหลมาก่อนหน้านี้เลย ไม่คิดว่าจะมี

    แม่น้ำอยู่ใกล้ใกล้นี้ ดูสิไม่มีเสียงน้ำใหลเลย "


    กานต์กล่าว เขารู้สึกแปลกใจ


    " จริงด้วยทำไมน้ำที่นี่ใหลไม่มีเสียงเลย ดูสิมันก็ใหลแรงและเร็วเหมือนกัน มันจะมีอะไรผิดปรกติ

    ใหม "


    จามิกร ก็แปลกใจด้วยเช่นเดียวกับแฟนหนุ่มของเธอเหมือนกัน


    " คงไม่มีอะไรผิดปรกติหรอก น้ำก็คงเหมือนน้ำนั่นแหระ แต่ที่นี่มันอาจจะมีธรรมชาติที่ไม่เหมือนที่

    โลกเรา จึงทำให้น้ำใหลไม่มีเสียง เอาเถอะ เราต้องการน้ำพอดี เพื่อทำให้อรัญฟื้น "


    อัครชัย กล่าวเขาส่งสัญญาณให้วางร่างอรัญลง และให้ใครคนใดคนหนึ่งไปเอาน้ำมา 

    จามิกรเข้าไปเอาผ้าชุบน้ำให้เปียกกลับมาส่งให้อัครชัย 


    " แปลกนะน้ำที่นี่เย็นอย่างกับน้ำเเข็งเลย "


    จามิกร กล่าวพลางส่งผ้าที่ชุบน้ำให้กับอัครชัย 


    " ดีแล้ว ยิ่งเย็นยิ่งทำให้อรัญฟื้นตัวได้ไว "


    อัครชัยกล่าว พร้อมทั้งเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามใบหน้าและลำตัวอรัญ ไม่นานอรัญก็เริ่ม

    ขยับตัวและลืมตาขึ้น 


    " นี่เราเป็นอะไร วูบไป เฉยเฉยเลย เอ๊ะทำไมเจ็บแปล๊บข้างหลัง "


    อรัญกล่าวพร้อมกับห่อหลังด้วยความเจ็บ


    " พี่อรัญโดนไม้แหลมนั่นที่หลังนะสิ "


    ดุจปรายกล่าว น้ำเสียงเธอดูแจ่มใสขึ้นเมื่อเห็นว่าแฟนหนุ่มของเธอฟื้นแล้ว


    " ไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลไม่ลึกเท่าไร ไกลหัวใจเยอะ "


    อัครชัย กล่าว


    " เหรอหมอ  ถึงแผลมันอยู่ข้างหน้ามันก็ยังไกลหัวใจอยู่ดี เพราะหัวใจเรามันอยู่ตรงนี้ "


    อรัญ กล่าวพร้อมชี้มือที่ดุจปราย


    " ว่าแล้ว เราได้อรัญคนเดิมกลับมาแล้ว มุกเสี่ยวไม่รู้สถานการณ์ เฮ้อแต่ก็ดีใจนะที่นายไม่เป็นไร

    มาก "


    อัครชัย กล่าวอย่างขำขำ พร้อมตบบ่าอรัญเบาเบา พร้อมทั้งกล่าวต่อ 


    " นายค่อยยังชั่วก็ดีแล้ว เราจะได้ไปต่อสะดวกนี่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว "


    " เราจะไปกันยังไงต่อละพี่หมอ นี่มันมีแม่น้ำขวางอยู่  หรือเราจะลุยน้ำกันไป น้ำลึกหรือเปล่าไม่รู้ "


    แสงดาว กล่าว


    " นั่นสิดูแล้วน้ำต้องลึกแน่ ถึงมันไม่มีเสียงแต่น้ำมันก็ใหลแรงด้วยจะเอายังไงกัน "


    จามิกร แสดงความคิดเห็น 


    " นั่นสินะ จะลุยน้ำไปโดยที่เราไม่รู้ว่ามันลึกหรือเปล่าก็ดูไม่ปลอดภัย แต่อยู่ตรงนี้ก็ไว้ใจไม่ได้แน่ 

    ลองคิดกันซิว่าควรจะเอายังไง "


    อัครชัย ตั้งคำถาม เขาเองก็ยังคิดอะไรไม่ออกตอนนี้



    " เอางี้ไม๊ รู้สึกว่าน้ำต้นน้ำทางตะวันออก ที่ใหลมานี้รู้สึกว่ามันจะใหลมาค่อนไปทางไต้ เราเดินสวน

    ต้นน้ำนี่มันไปใหม อย่างน้อยมันก็เป็นทิศทางที่พวกเรากำลังจะไป ไว้ถ้าไงเราแม่น้ำนี่มันเปลี่ยน

    ทิศยังไงเราค่อยหาทางข้ามน้ำกัน มันอาจจะมีทางข้ามที่ไม่ใช่แม่น้ำที่ลึกเสียท้้งหมดหรอก "


    กานต์ แสดงความคิดเห็น 


    " ดีเราเห็นด้วย อย่างน้อยเราก็ได้รอดพ้นไปจากตรงนี้ส่วนจะเจออะไรข้างหน้าค่อยว่ากัน "


    อัครชัย เห็นด้วย

    เมื่อได้ข้อสรุปทั้งหมดจึงเร่งออกเดินทางอีกทันที ซึ่งครั้งนี้ไม่ต้องพะวงเรื่องพยุงอรัญที่ช่วยตัวเอง

    ไม่ได้ไปด้วย  พวกเขาจึงเดินทางได้อย่างรวดเร็วขึ้น


    " แปลกนะ มีต้นไม้แปลกแปลกขึ้นอยู่กลางน้ำเต็มเลยดูมันน่าจะเป็นไม้ยืนต้น แต่ไหงไปอยู่ในน้ำ

    ได้ มันไม่เหมือนไม้น้ำเลยสักนิด "


    จามิกรกล่าว เธอเดินไปและก็สังเกตุไป ทุกคนต่างก็ดูอย่างที่จามิกรบอก แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิด

    เห็นอะไร เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นธรรมชาติของที่นี่เสียมากกว่า และทั้งหมดก็เดินลัดเลาะสวน

    ลำน้ำขึ้นไปเรื่อย และตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกทีแล้ว


    " เอ๊ นี่ไงมีต้นไม้ใหญ่มากล้มขวางแม่น้ำไว้ พวกเราจะข้ามใหม "


    กานต์ กล่าว ถึงจะเริ่มมืดแต่เขาพอมองเห็นได้ ต้นไม้ใหญ่และยาวมากต้นหนึ่งล้มพาดที่ลำน้ำ

    ความยาวของมันพาดผ่านมาและกิ่งก้านได้ยาวข้ามมาอีกฝั่งเหนือน้ำทำให้พอที่จะเป็นสะพานข้าม

    แม่น้ำไปอีกฝั่งได้


    " ก็คงต้องข้ามไปล่ะ ไปเถอะบางทีฝั่งนู้นอาจดูน่ากลัวน้อยกว่าฝั่งนี้ก็ได้ "


    อัครชัยกล่าวตอบ เขาแทบไม่ต้องคิดเลยเพราะที่ผ่านมามันไม่มีอะไรที่น่าจะคิดอยู่ในสถานที่ป่า

    แบบที่ผ่านมาเลย  การไปเผชิญอะไรเอาข้างหน้าดูจะเป็นสิ่งที่น่าทำที่สุด

    ทั้งหมดไต่ต้นไม้ใหญ่มากที่ล้มอยู่ ความมืดทำให้พวกเขามองไม่ค่อยเห็นแล้ว พวกเขาประมาณไม่

    ได้ว่าโคนของต้นไม้ที่ล้มอยู่นี้ยาวไปถึงใหน รู้แต่ว่าไต้ไม้ต้นที่พวกเขากำลังข้ามไปนี้มีน้ำใหลอยู่

    ด้านล่าง และพวกเราก็เริ่มประหลาดใจอีกครั้ง พวกเขาเริ่มได้ยินเสียงน้ำใหล ทุกคนรู้ถึงความเป็น

    ปรกติ ที่มันผิดปรกติไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเสียงน้ำใหล แต่ด้วยความรีบเร่งจึงไม่มีใครพูดกันเรื่องนี้

    จนทุกคนเริ่มรู้ ว่าตอนนี้พวกเขาได้ไต่ข้ามลำน้ำมาเรียบร้อยแล้ว เพราะเจอเข้ากับโคนต้นไม้ที่ราก

    ลอยอยู่บนพื้นดิน พวกเขาข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ของแม่น้ำแล้ว


    " มืดไปหมดเลยทำไงดี แต่เราข้ามน้ำมาแล้วจะไปทางใหน "


    อัครชัย ถามความคิดเห็น


    " มองไม่ออกเลยทั้ง ทิศใหนและช่องทาง สงสัยเราต้องเสี่ยงหาที่พักกันตรงนี้ก่อน ดูแล้วเราไม่น่า

    ไปต่อได้ มองอะไรไม่เห็นแล้ว "


    กานต์ ตอบ ถึงเขาจะมีสายตาที่ดีกว่าคนอื่น แต่มืดขนาดนี้ เขาก็จนแต้มเหมือนกัน

    เมื่อลงมติกันว่าไม่สมควรไปต่อ ทั้งหมดจึงหาที่พัก และต้นไม้ใหญ่ก็ดูจะเป็นที่ปลอดภัยที่สุด

    เหมือนเดิม  และไม่นานทุกคนก็หาต้นไม้ใหญ่ที่พอเหมาะได้ พวกเขาเลือกต้นไม้ที่ดูจะปีนยากสัก

    นิด เพราะนั่นมันจะปลอดภัยเพราะโอกาสที่จะมีตัวอะไรปีนตามพวกเขาขึ้นไปในเวลากลางคืนดู

    ยากสักหน่อย หรือถ้าจะมีด้วยความที่มันปีนได้ยากพวกเขาก็จะได้รู้ตัวเสียก่อนได้จะได้หาวิธี

    ป้องกันหรือหลบหนีได้ 

    แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่วายหวาด ระแวงต้นไม้ที่ขึ้นมานี้อยู่ด้วย เขาขึ้นไปอยู่บนนั้นด้วยความ

    ระมัดระวัง และสังเกตุความผิดปรกติของต้นไม้ที่พักอยู่ด้วยตลอดเวลาเช่นกัน แต่กลับไม่มีอะไรผิด

    ปรกติ จนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง

    ดุจปราย และอรัญ เป็นคู่เฝ้ายามผลัดสุดท้ายที่จะได้เห็นแสงอาทิตย์ก่อนใคร เเละฟ้าก็เริ่มสางทั้งคู่

    จึงได้เห็นว่าทิศใหนเป็นทิศตะวันออก 

    ในอ้อมกอดของอรัญ ดุจปรายมองออกไปที่แสงเรื่อเรือง นึกถึงอยู่ว่าถ้ามันสว่างพอจะได้เห็นว่า

    ภูมิประเทศและต้นไม้ที่อยู่นี้ มันเป็นเช่นไร และแสงอาทิตย์ก็เริ่มสาดแสงแรงขึ้นและเริ่มมากระทบ

    ผิวต้นไม้ที่ทุกคนอยู่ ดุจปรายใจจดจ่ออยู่ด้วยความระทึกใจเล็กน้อย เธอพยายามองลงไปโคน

    ต้นไม้ยักษ์นี้เพื่อดูว่ามันน่าจะเป็นต้นไม้เช่นไร แต่ทว่าเธอกับเห็นบางอย่างผิดปรกติ


    " พี่อรัญ มีบางอย่างเคลื่อนใหวอยู่ไต้ต้นไม้นี่นะ ดูหลายจุดด้วยมันดูยุบยับไปหมด "


    ดุจปราย บอกสิ่งที่เห็นกับแฟนหนุ่ม อรัญพยายามเพ่งมองลงไปเช่นกัน และเขาก็เห็นตามที่ดุจ

    ปรายบอก อรัญส่งสัญญาณ ให้แฟนสาวช่วยกันปลุกทุกคนให้ตื่น 


    " อื้อ ยังไม่สว่างดีเลย ขออีกหน่อยไม่ได้หรือ "


    สงดาว หรี่ตาเมื่อดุจปรายสะกิด เธอขยับตัวและนั่นทำให้อัครชัยที่อยู่ติดกันรู้สึกตัวไปด้วย เขา

    ได้ยินแฟนสาวกล่าวกับดุจปราย ว่ายังไม่สว่างดีทำไมถึงรีบปลุก สัญชาติญาณเขาจึงรับรู้ได้ถึงสิ่ง

    ผิดปรกติ ที่ทำไมดุจปรายจึงรีบปลุก


    " มีอะไรผิดปรกติใช่ใหม ดุจปราย อรัญ ถึงรีบปลุก แท้ "


    อัครชัยกล่าว คำพูดของเขาทำให้กานต์ และจามิกร ที่กำลังงัวเงียเพราะอรัญปลุกตื่นตัวขึ้นทันที

    เช่นกัน


    " ข้างล่างมีอะไรเคลื่อนใหวเต็มไปหมดเลย "


    อรัญกล่าวพร้อมกับชี้มือลงไป และทุกคนก็มองตามและกานต์ก็เป็นคนที่มองเห็นและวินิจฉัยได้

    ก่อนว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวนั้นน่าจะเป็นอะไร แม้เห็นได้ไม่ชัดเท่าไร เพราะแสงสว่างยังกระจ่างไม่พอ


    " นั่นมันเป็นมดยักษ์นี่ ดูหลายตัวด้วย นี่เรากำลังมาพักที่ใกล้รูของมันซะละมัง "


    กานต์ อุทาน อย่างตระหนก คำกล่าวของกานต์ ก็ทำให้ทุกคนตกใจเหมือนกัน


    " ดีนะที่เราเลือกต้นไม้ที่มีลำต้นตรงเช่นนี้ มันคงปีนไม่ได้เราถึงปลอดภัยทั้งคืน มันอาจจะอยู่ตรงนี้

    ทั้งคืนแล้วแต่เรามองไม่เห็น "


    จามิกร กล่าว

     ความสว่างเริ่มมีมากขึ้น และนั่นก็ทำให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านล่างชัดเจนอีกมากขึ้น  และพวก

    เขาก็ได้เห็น มดยักษ์จำนวนหลายตัว เรียกว่ามันเป็นฝูงก็ได้ ตอนนี้ความสว่างทำให้พวกเขารู้

    วัตถุประสงค์ ที่มดยักษ์ที่มาแล้ว เพราะมันพยายามจะปีนต้นไม้ต้นที่พวกเขาอยู่ แต่อาจเป็นเพราะ

    มันไม่มีเท้าที่เหมาะสมสำหรับการปีนต้นไม้มันจึงปีนมาได้เพียงนิดหน่อยก็ตกลงไป ตัวแล้วตัวเล่า

    สายตามันทุกตัวจับจ้องมองขึ้นมาข้างบนที่ทุกคนอยู่


    " คุณพระช่วย มันจะเล่นพวกเราแน่เลย ทำไงดีหลายตัวเลย แล้วเราก็ไม่มีตัวกินมดคอยช่วยด้วย "


    แสงดาว อุทาน


    " ถ้าเรายังไม่ลงไปคงปลอดภัยอยู่  หรือถ้าจำเป็นต้องลงไปการหลบหนีน่าจะต้องกลับไปฝ้่งโน้น

    นะ ตรงใหนนะต้นไม้ที่เราใช้ข้ามมาเมื่อคืน "


    ดุจปราย กล่าว ด้วยความสงสัย


    " นั่นไงต้นไม้ที่เราข้ามกันมา มดยักษ์ดูมันไม่สนใจเลย ต้นไม้มันล้มพาดลำน้ำแบบนั้นถ้ามันจะข้าม

    ไป  มันก็น่าจะข้ามไปฝั่งโน้นได้เหมือนตอนที่เราข้ามมา แสดงว่ามันก็ไม่กล้าข้ามไป  ถ้าเราหนี

    กลับไปได้ เราก็อาจจะปลอดภัยจากฝูงมดนี้ แต่. ถ้าเรากลับไปได้แล้วเราจะเดินหน้ากันต่อไปได้

    ยังไง ทิศที่เราจะไปมันตรงข้ามกับต้นไม้ล้มที่เราข้ามมานะ "


    อัครชัย กล่าว เขากำลังประเมินสถานการณ์อยู่ ทุกคนก็คิดอย่างเขาเช่นกัน


    " แสดงว่าเราไม่มีทางเลือกเลยนะเนี่ย เราจะลงไปยังไง พวกมันเป็นฝูงเลยรอเราอยู่ข้างล่าง ถึงจะ

    ผ่านพวกมันไปได้ กลับไปถ้าจะข้ามมาก็ต้องเจอกับพวกมันดักรออยู่ฝั่งนี้อีก มันรวดเร็วและ มีพิษ

    สงค์ขนาดนี้ ตัวต่อตัวยังแย่เลย นี่มันทั้งฝูง เลย และไม่มีทีท่าว่ามันจะไปใหนด้วย "


    จามิกร กล่าว เธอยังมองไม่เห็นทางเลี่ยงหรือหลบฝูงมดได้เลย


    " มีอยู่อีกทางนึง เราก็ต้องไต่ไปบนนี้เรื่อยโดยไม่ต้องลงไปข้างล่าง ดูสิต้นไม้ยักษ์ที่นี่มีเถาวัลย์พัน

    ต่อกันไปมาแต่ละต้น เป็นไปได้ใหมว่าเราจะไต่กันไป จนกว่าจะเห็นว่าไปถึงจุดที่ไม่มีพวกมดอยู่

    ข้างล่าง แล้วเราจึงค่อยหาทางลง "


    อรัญแสดงความคิดเห็น


    " โหมันก็ไม่ง่ายนะพี่ การไต่แบบลิงไปแบบนั้น มันสูงและเรี่ยวแรงเราจะมีกำลังพอจะห้อยโหนหรือ

    เปล่า ใหนจะสำภาระที่มีน้ำหนักถ่วงอยู่อีก และเถาวัลย์มันคงไม่มียาวไปแบบนั้นได้ตลอดหรอก 

    เราหาวิธีอื่นไม่ดีกว่าเหรอ "


    ดุจปราย ท้วงความคิดแฟนหนุ่ม


    " ใช่ปรายพูดถูก คงเป็นไปได้ยาก ยังไงเรายังอยู่ตรงนี้ก็ยังคงปลอดภัย ยังไม่มีอันตรายมากดดัน 

    ถ้าเราไต่ไปอาจจะหมดแรง นั่นยิ่งทำให้เราจะกดดันไปใหญ่ หนีก็ไม่ได้แรงก็หมด และนั่นไกลไกล

    นั่นเถาวัลย์มันไม่ต่อเนื่องอย่างปรายบอกจริงจริง ถึงไปเราก็ไปได้แค่ตรงนั้นไม่ไกลเท่าไร "


    กานต์ กล่าวเสริมคำพูดดุจปราย


    " แล้วถ้าไปถึงตรงน้้นได้และลงจากต้นไม้ตรงนั้นล่ะ พวกมดมันจะตามไปตรงนั้นใหม  ก็มองเห็นว่า

    ไม่มีทางอื่นเหมือนกัน พี่กานต์ลองดูซิว่าพอมีทางไม๊ตรงนั้นที่เราจะลงได้และมดยักษ์มันไปแถวนั้น

    ไม่ได้ "


    แสงดาว แสดงความคิดเห็นตั้งข้อเสนอแนะ 

    กานต์หันไปมองอย่างสำรวจอีกครั้งเพื่อจะหาเผื่อมีหนทางตามที่แสดงดาวตั้งข้อสังเกตุ สักครู่เขา

    ก็หันกลับมาจะบอกกับทุกคน แต่เมื่อเขาหันกลับมา ก่อนที่จะพูดอะไร เขารู้สึกได้ว่าก่อนที่จะหัน

    มา หางตาเขาสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างหนึ่งที่ผิดปรกติ และหันมายังไม่ทันพูดอะไร เขาก็หันกลับ

    ไปอีกครั้ง


    " ดูให้แน่ใจหรือพี่ "


    จามิกรถามแฟนหนุ่ม เพราะเห็นอาการหันรีหันขวาง กานต์หันกลับมาเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้าย

    เขาก็รีบหันกลับไป

    กานต์ ยังไม่พูดอะไรคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันเหมือนเพ่งมองอะไรสักอย่าง กานต์อยู่ในอาการนั้น

    สักพัก และทันใดเขาก็ผุดลุกขึ้น 


    " เป็นอะไรหรือพี่ " 


    จามิกร ถามอย่างตกใจที่เห็นอาการของแฟนหนุ่มเป็นเช่นนั้น 


    " แย่แล้ว มีมดยักษ์มัน..ไต่ขึ้นมาบนต้นไม้ได้ มันมาตามเถาวัลย์ และมันกำลังมาทางนี้ "


    คำตอบ ของกานต์ทำให้ทุกคนตะลึง

    สิ่งที่ทุกคนวางใจว่าอยู่บนต้นไม้แล้วจะปลอดภัย ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น และสิ่งที่กานต์เห็นไกล

    ไกลก็เริ่มเข้าใกล้มา จนทุกคนที่เมื่อกี้มองไม่ออก ก็เห็นตัวมันได้ชัดเจนขึ้น 

    ทั้งหมดผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ อดใจสั่นไม่ได้ แต่ในใจคิดว่าต้องมีสติ 


    " ทำไงดี มันมานั่นแล้ว และข้างหลังมันโน่นมากันเป็นแถวเลย "


    จามิกร กล่าวอย่างตระหนก คราวนี้ทุกคนได้เย็นว่ามันมีมดยักษ์ อีกจำนวนหนึ่งไต่เถาวัลย์ตามมด

    ยักษ์ตัวแรกมาอีก


    " ขั้นแรกเราต้องสู้มันก่อน จะยอมให้มันกินเราโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ว่าแต่แล้วยังงี้ไอ้ตัวข้าง

    ล่างมันจะไม่มีวิธีไต่ขึ้นมาอีกเหรอเราเห็นอยู่ว่ามันขึ้นมาได้ เราต้องระวังทั้งสองด้านใหม "


    แสงดาวถาม อย่างเร่งรีบและร้อนรน


    " ดูแล้ว มดทั้งสองฝั่งนี้มันน่าจะเป็นคนละอย่างกันนะ สีมันไม่เหมือนกัน แสดงว่ามดที่ไต่อยู่ข้าง

    บนนี้มันคงเป็นมดที่มีรังอยู่บนต้นไม้เป็นหลักอยุ่แล้ว และข้างล่างมันคงเป็นมดที่อยู่รูในดิน มันคง

    ไม่ถนัดปีนต้นไม้ ไม่งั้นมันคงปีนขึ้นมาแล้ว "


    จามิกร อธิบายพร้อมมีเหตุผลความเป็นไปได้ให้ทุกคนฟัง


    " เอาล่ะมันเข้ามาใกล้แล้วไงเราก็ต้องสู้ล่ะ ทุกคนเตรียมพร้อม "


    อัครชัย เสียงกร้าว ทุกคนไม่พูดอะไรกันต่อ เพราะจดจ่อกับอันตรายที่เข้ามาใกล้มากแล้วตอนนี้ 

    มดยักษ์สีดำไต่เข้ามาเมื่อมีระยะที่จะถึงร่างมนุษย์ มันเริ่มอ้าคมเขี้ยวของมันให้กว้างหวังจะจะงับ

    เข้ากับร่างมนุษย์ร่างใดร่างหนึ่งให้ได้ แต่เมื่อมีจำนวนถึงหกร่างตรงนี้ มันก็ยังคงลังเลว่าจะเลือก

    ร่างใหนก่อนดี หัวมันสายไปส่ายมาเพื่อหาโอกาสเหมาะที่จะโจมตีร่างที่มันเห็นว่าถนัด


    " ตุ๊บ "


    เเละเมื่อมันส่ายไปทางกานต์ กานต์สะบัด กระเป๋าสะพายฟาดเข้ากับปลายเขี้ยวด้านหนึ่งของมัน 

    มดยักษ์เสียหลักเล็กน้อย เป็นเพราะแรงกระทบของกระเป๋าไม่แรงพอที่จะทำอันตรายมันได้ แต่ก็

    ทำให้มันล่อถอยออกมาอย่างชั่งใจ


    " พวกเราถอยให้มันตามมา อยู่บนกิ่งไม้ตรงเราอยู่นี้ กิ่งนี้มันเล็ก ถ้ามันเกาะอยู่ตรงนี้ร่างของมันจะ

    ไม่มั่นคง เราอาจจะทำให้มันตกลงไปได้ง่ายกว่าตอนนี้  "


    อัครชัยกล่าว เขาวางแผนเพื่อให้มดยักษ์มีจุดอ่อน

    ทั้งหมดไต่ถอยไปที่กิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งที่ใหญ่กว่าเพื่อเปิดโอกาสให้มดยักษ์ไต่ตามมาและอยู่บนกิ่ง

    ไม้ที่เล็กกว่าที่มันเกาะอยู่ตอนนี้ 

    และก็เป็นไปตามแผน มดยักษ์ขยับตาม เพราะคิดว่ามนุษย์นั้นกำลังถอยหนีมันด้วยความหวาดกลัว

    และเมื่อมันไต่มาอยู่บนกิ่งไม้กิ่งใหม่ได้แล้ว มันจึงรู้ว่ามันคิดผิด เพราะกิ่งไม้ที่เล็กทำให้มันทรงตัว

    ได้ยาก แกว่งไปแกว่งมา และมนุษย์ก็ได้ระดมเข้าหามัน ทั้งแรงเหวี่ยงกระเป๋าไม่รู้กี่ใบที่มากระทบ

    เขี้ยวของมันตอนนี้ มันเสียหลักทันที แต่ระหว่างที่จะหล่นมันได้ใช้ขาของมันกอดกิ่งไม้ไว้แต่ตัว

    เสียหลักไปห้อยอยู่ข้างไต่กิ่งไม้ในลักษณะห้อยโตงเตง มีเพียงขาสองขาของมันเท่านั้นก็เกี่ยวรัด

    กิ่งไม้ไว้ได้ตอนนี้  และยังไม่ทันที่มันจะใช้สี่ขาที่เหลือมาช่วยเกาะกิ่งไม่ไว้อีก อัครชัยสะกิดกานต์

    ให้กลับไปที่กิ่งไม้เดิมทันที พร้อมร้องสั่ง


    " เราช่วยกันแกะขาที่เกาะกิ่งไม้มันออก ให้มันหล่นลงไป "


    ทั้งสองกระโดดกลับเข้าไปทันที และยังไม่ทันทีมดยักษ์จะได้ใช้ขาที่เหลือมาช่วยพยุงเกาะ ขาสอง

    ข้างที่เกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ ถูกอัครชัย และกานต์ แกะให้หลุดจากการเกาะแขวนอยู่บนกิ่งไม้ทันที  

    และทันใดร่างมดยักษ์ก็ร่วงลงไปข้างล่างอย่างไม่เป็นท่า

    ไม่ทันได้มองว่าหลังจากทีร่วงลงไปแล้วร่างมดยักษ์จะเป็นเช่นไร ตอนนี้มีมดยักษ์อีกฝูงหนึ่งก็เข้า

    มาใกล้อีกแล้ว 


    " มันมาอีกแล้วหลายตัวด้วยเราจะทำไง "


    ดุจปรายเสียงสั่น ตอนนี้เธอเริ่มขวัญเสีย ในจำนวนมากของมดที่มีขนาดใหญ่ตอนนี้ ดูน่ากลัวยิ่งนัก

    และมันได้เริ่มกระจายไปตามกิ่งไม้กิ่งนั้นกิ่งนี้  ทำให้พวกของอัครชัยเริ่มสับสนว่าตัวใหนจะเข้า

    โจมตีพวกเขาก่อน อัครชัยสบตามดตัวนั้นทีตัวนี้ทีอย่างชั่งใจ ตอนนี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีแผน

    อะไรอีก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้เพราะไม่ถึงสองเมตรมีสัตว์ยักษ์เขี้ยวยาวอยู่นับเป็น

    สิบยี่สิบตัวที่อยู่ใกล้เขาตอนนี้ และอีกนับร้อย อยู่ห่างออกไปรอที่จะเข้ามาโจมตีพวกมนุษย์อย่าง

    พวกเขาอีก และระหว่างจ้องตากันระหว่างมนุษย์และสัตว์ร้ายอยู่นั้น ตัวที่อยู่หน้าของอัครชัยและ

    ใกล้ที่สุดนั้น มันก็เริ่มเคลื่อนไหว ทีแรกอัครชัยคิดว่าสติเขายังดีอยู่ แต่เมื่อมานึกถึงว่ามดยักษ์ข้าง

    หน้าจะถึงตัวเขาในไม่ช้าพร้อมเขี้ยวคมใหญ่ และอีกหลายตัวคงจะกรูกันเข้ามาร่างของเขาคงขาด

    สะบั้น คิดได้เช่นนั้นเมื่อเห็นว่ามดยักษ์ข้างหน้าเริ่มตั้งท่าขยับ สัญชาติญาณความกลัวเขายกมือขึ้น

    มาปัดป้องและถลาถอยหลังเล็กน้อย พร้อมทั้ง หลับตาปี๋ด้วยความกลัวทันที ระหว่างที่เขาหลับตา

    เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังแรงขึ้นทั้งกิ่งไม้กระทบทันเสียงดังลั่น ความคิดเขานั่นคงเป็น

    เพราะความเคลื่อนใหวของมดทั้งฝูงที่อยู่ด้วยกันบนนี้ แต่ระหว่างหลับตาสติของเขาก็เริ่มกลับมา 

    ใจที่จะต่อสู้เริ่มชนะใจที่จะขลาดกลัวแล้วตอนนี้ คิดเช่นนั้นเขาต้องลืมตาและเผชิญหน้ากับมัน

    และอัครชัยก็ลืมตาขึ้นด้วยใจที่มุ่งมั่น



    " อ้าว ตรงหน้านี่ไม่มีมดยักษ์แล้วนี้ มันไปใหนล่ะ "


    อัครชัย กล่าวอย่างแปลกใจที่ลืมตามาครั้งนี้ ไม่ได้มีมดยักษ์ให้อยู่เผชิญหน้า อย่างที่ควรจะเป็น

    เหมือนตอนก่อนที่เขาจะหลับตาไป 


    " มันทุกตัวเหมือนพร้อมใจกันล่วงลงจากบนนี้ไป พี่หมอ บางตัวก็กระโดดลงไปนั่นลงไปอยู่ข้าง

    ล่างที่พื้นดินกันหมดแล้ว "


    แสงดาวที่เห็นเหตุการณ์อยู่ บอกกับแฟนหนุ่ม ซึ่งเธอก็แปลกใจกับอาการมดยักษ์เหล่านี้เช่นกัน 

    และนั่นทำให้เธอดีใจที่แฟนหนุ่มของเธอรอดจากอันตรายคับขัน ที่จะเกิดแหร่มิเกิดแหร่เมื่อกี้นี้


    " หรือว่ามันกลัวอะไรบนนี้หรือเปล่า มันจงใจลงกันไปทั้งฝูงเลยนะ บางตัวก็ไต่ลงไป บ้างก็กระโดด

    ลงไป หรือว่าจะมีอะไรที่พวกมันกลัวอยู่บนนี้อีกแน่ มันถึงหนีลงไปก่อน  แต่ปรกติแล้วพวกมดมัน

    ไม่ค่อยจะกลัวอะไรหรอกนะ มันสู้จะตาย"


    จามิกร ตั้งข้อสังเกตุ


    " โหจะมีอะไรที่ทำให้พวกมันกลัวขนาดเผ่นกันลงไปทั้งหมดเลยหรือ แล้วพวกเราล่ะยังอยู่บนนี้ ถ้า

    มีอะไรที่มดทั้งฝูงกลัว แล้วพวกเราล่ะอยู่กันบนนี้ไม่ไปเจอกับสิ่งนั้นแทนหรือ "


    ่อรัญ ครวญ


    " มันก็แปลกนะ ตอนนี้มันก็ยังไม่เห็นมีตัวอะไรมา แล้วมันจะรีบหนีไปทำไมอย่างปัจจุบันทันด่วน

    ขนาดนี้ หรือว่ามันจะรู้ล่วงหน้าได้ แล้วมดข้างล่างล่ะมันจะกลัวจนหนีไปด้วยใหม "


    แสงดาวกล่าว พร้อมมองลงไปเบื้องล่างเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยของเธอ


    " เอ๊ะ ทุกคนดูนั่นสิ "


    และ แสดงดาว ก็ร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ 


    " ทำไมเหรอ อ๋อมดข้างล่างมันก็ยังอยู่นี่ซ้ำ ตัวที่ลงไปก็ยังอยู่ข้างล่างเหมือนกัน ดูมันดำมั่งแดง

    บ้างยังไม่ไปใหน แปลกใจจังแล้วมดข้างบนมันลงไปทำไม "


    จามิกรกล่าว เมื่อเธอมองเห็นมดทั้งสองชนิดอยู่ข้างล่างแล้วเธอก็หันกลับมามองข้างบนและ

    พยายามมองว่ามีตัวอะไรจะมาทางใหนอีก


    " ไม่ใช่ ที่ให้ดูไม่ใช่ว่ามดที่ลงไปมันอยู่หรือไม่อยู่ ดูสิดูให้ดี มดทั้งสองชนิดมันกำลังสู้กันนะ "


    แสงดาว อธิบายสิ่งที่เธอเริ่มสังเกตุเห็นซึ่งทุกคนไม่ได้พิจารณาอย่างสนใจ เพราะมัวมองอยู่แต่ข้าง

    บน


    " เออจริงด้วย มันสู้กันจริงจริงด้วย นั่นมีหลายตัวขาหลุดด้วย คอขาดก็มี เออแปลกนะทำไมจู่จู่มัน

    ถึงลงไปสู้กันล่ะ ตอนแรกมันก็จะเล่นงานเราอย่างเดียว โอ๊ย .งง มันอยู่กันมาตั้งนานทำไมไม่สู้กัน

    มาสู้กันตอนที่จะกินพวกเรา "


    อรัญ กล่าว ในขณะที่เห็นเหตุการข้างล่าง อย่างชัดเจนแล้ว 


    " จานึกออกแล้ว ว่าทำไมมันถึงสู้กัน จำมดตัวแรกที่หล่นไปได้ใหม มันคงถูกมดข้างล่างที่เป็น

    คนละสายพันธุ์ รุมเอา พวกข้างบนเห็นคงลงไปช่วย มันเลยสู้กันใหญ่เลย "


    จามิกร ลำดับเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่ทำให้มดยักษ์สองสายพันธุ์ต้องเข้าต่อสู้กัน


    " ได้ ทีแล้วเราถือโอกาสนี้หนีใหม พวกมันคงห่วงแต่สู้กันคงไม่สนใจเรา "


    ดุจปราย เสนอความคิด 


    " เออแฟนเราความคิดดี นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ถ้าเราจะหนีตอนนี้ ทุกคนว่าไง "


    อรัญ เสริมเพราะเห็นว่ามีโอกาสช่วงเวลาน่าจะเหมาะสม


    " โอกาสดีแบบนี้จะรออะไรล่ะ เราไต่ลงไปเลย แล้วก็รีบหนี มันคงไม่สนใจเราหรอก ฟัดกันนัว

    ขนาดนั้น  ไปไต่ลงไปแล้วรีบไปเลย "


    อัครชัย เร่งเร้าและนำหน้าเร่งไต่ลงข้างล่างต้นไม้ยักษ์อย่างรวดเร็ว และเมื่อลงไปถึงเขาถอยห่าง

    จากโคนต้นเล็กน้อยเพื่อให้คนต่อไปลงไปได้ไม่เกะกะ เขาเหลียวซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าน่าจะ

    ปลอดภัย มดยักษ์หลายตัวยังคงสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาส่งสัญญาณกวักมือ

    ให้คนที่อยู่ข้างบนตามลงไปและแสงดาวที่เป็นคนที่สองที่เร่งไต่ตามลงไป และขณะที่เธอไต่ได้ลง

    ไปไม่ถึงครึ่งทาง  ผู้ที่อยู่ข้างบนกลับเห็นว่ามีมดยักษ์ตัวหนึ่ง ได้หยุดการต่อสู้เมื่อเห็นร่างของอัคร

    ชัยลงไปอยู่ที่พื้น และมดยักษ์ตัวนั้นมันก็อยู่ในบริเวรด้านหลังของอัครชัย มัดสบัดหนีจากคู่ต่อสู้มัน

    ทันทีและทะยานเข้าหาร่างอัครชัย ที่ไม่ทันได้ระวังตัว เพราะมันรวดเร็วจนคนข้างบนร้องบอกแทบ

    ไม่ทัน


    " พี่หมอระวัง "


    แสงดาวเธอร้องเสียงหลง

    อัครชัยรู้โดยสัญชาตญาณว่าภัยจะมาถึงตัวจากด้านหลังเขาขยับตัวหลบ แต่ด้วยความว่องไวของ

    มดยักษ์ที่เหวี่ยงวงเขี้ยวอันใหญ่โตเข้ามาหมายจะกัดร่างเขาให้ขาด แม้แต่อัครชัย ที่พยายามหลบ

    ให้พ้นคมเขี้ยวไปได้ แต่ก็ไม่วายโดนเข้ากับปลายเขี้ยวของมันเข้าอย่างจัง อัครชัยได้รับรู้ว่านี่เอง

    เป็นสัตว์ยักษ์ที่มีกำลังมหาศาล เพราะแค่โดนไม่ถนัด ร่างกายเขาโดนกระแทกจนกระเด็นไม่เป็น

    ท่า เขาจุกและไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกหนี มดยักษ์ร้ายไม่ปล่อยเวลาให้เสียโอกาส มันพุ่งเข้าหาร่าง

    ที่นอนอยู่กับพื้นทันที คมเขี้ยวอันเดิมที่พลาดเป็นไปเมื่อกี้นี้จ่อเข้ามาใกล้ร่างอัครชัยอีกครั้ง คราวนี้

    ดูมันมั่นใจ เพราะเหยื่อมันตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงเเม้จะลุกหนี 

    อัครชัยได้แต่มอง เขาไม่มีเรี่ยวแรงจริงจริงด้วยความจุก เขาเห็นเขี้ยวมัจจุราชเข้ามาใกล้มากแล้ว 

    เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจาต้องหลับตาอีกครั้ง ด้วยความกลัวสุดขีด คราวนี้เขาคงไม่โชคดี

    เหมือนตอนที่อยู่บนต้นไม้แล้ว เขาอยากจะลืมตาแล้วเห็นว่ามดนั่นหายไปเหมือนเมื่อตอนอยู่บน

    ต้นไม้  และเสี้ยวนาทีอัครชัยก็ลืมตาอีกครั้ง แต่คราวนี้มดยักษ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่ได้หายไป มันอยู่

    ห่างหน้าเขาไปไม่ถึงคืบ อัครชัยตัดสินใจที่จะจ้องหน้าของมดยักษ์อีกครั้ง นึกปลงว่าไม่มีเรี่ยวแรง

    ขนาดนี้  อย่างจะดูเหมือนกันว่าคมเขี้ยวยักษ์ของมดยักษ์ที่อยู่ข้างหน้านี้มันจะตัดเข้ากับอวัยวะส่วน

    ใดของร่างกายเขาก่อน  และเขาคิดว่าน่าจะเป็นคอของเขา คิดเช่นนั้นเขาก็ย่นคอพยายามให้สั้นลง

    แต่สักครู่เขากลับเห็นว่ามันไม่ทำอะไรเขาเหมือนอย่างที่เขากลัว เหมือนมันหยุดอยู่่กับที่บางคร้้ง

    รู้สึกว่าเขี้ยวยักษ์ที่อยู่ตรงหน้ากลับถอยห่างไปเสียนิดหน่อยด้วยซ้ำ อัครชัยเริ่มแปลกใจว่าเป็น

    เพราะอะไรมดยักษ์มันมีอาการชะงักเช่นนี้ 

    แต่ทุกคนที่อยู่ข้างบนกลับรู้ ว่าทำไมมดยักษ์จึงหยุด ในขณะที่จะถึงร่างของอัครชัยอยู่แล้ว นั่นเป็น

    เพราะด้านหลังของมดยักษ์สีแดง มีมดสีดำตัวหนึ่งเขามากัดก้นของมันและดึงร่างมดยักษ์สีแดงไว้

    ได้พอดี มันไม่ได้คิดว่าจะช่วยอัครชัย เพียงแต่ว่ามดสีแดงเป็นคู่ต่อสู้ของมันที่หลบมา มันตามมาสู้

    ต่อ จึง เป็นเวลาจังหวะพอดี  มดยักษ์สีแดงพยายามดึงเพี่อให้ใกล้ร่างอัครชัยมากที่สุด มันเห็น

    เหยื่อข้างหน้าก็หมายจะจัดการให้ได้ แต่ศัตรูที่อยู่ข้างหลังก็ไม่ยอมให้มันหนี และระหว่างดึงกันอยู่

    นั้นจู่จู่มดยักษ์สีดำที่อยู่ด้านหลังก็เกิดปล่อยคมเขี้ยวที่กัดก้นมดสีแดงที่มันกัดอยู่ 

    และนั่นก็เป็นโอกาสให้มดสีแดงทันที มันพุ่งคมเขี้ยวเข้าไปใกล้ร่างอัครชัยได้อีกคร้้งและตอนนี้มด

    ยักษ์สีแดงยืนค่อมร่างของเขาไว้ได้แล้วด้วย อัครชัยยังไม่มีเรี่ยวแรงพออยู่ดี เขามองร่างมดยักษ์ที่

    อยู่ข้างหน้าอย่างหมดหวัง รอเวลาเท่านั้นว่าเมื่อไรคมเขี้ยวมัจจุราชมัจจะทำงาน เขามองไปที่ต

    ของมัน ถึงไม่เป็นผู้มีความรู้เรื่องสัตว์อะไรมากก็บอกได้เลยว่ามดยักษ์ทีค่อมร่างเขาอยู่ตอนนี้ใน

    สายตาของมันไม่มีความปราณีอยู่เลย 

    แต่ระหว่างสบตากันอยู่นั้น พลันสายตาของอัครชัยก็เห็นสิ่งหนึ่งสีดำโผล่ขึ้นมาจากด้านหลังของ

    เจ้ามดยักษ์ที่ค่อมร่างเขาอยู่ และ


    " กรึ๊บ " 


    เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับส่วนหัวมดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าล่วงหล่นลงพื้นข้างข้างร่างของอัครชัย

    ทันที  มดยักษ์สีแดงมัวแต่ห่วงเหยื่อของมัน ทำให้เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ของมันที่กัดก้นของมันอยู่

    เมื่อสักครู่นี้ ปีนหลังของมันขึ้นมาปั่นคอมันเสียจนขาด เมื่อหัวขาด ร่างกายส่วนที่เหลือของมดยักษ์

    สีแดง ก็โซซัดโซเซแบกร่างมันยักษ์สีดำไปด้วย และเสียหลักไปไม่รู้ทิศทาง และหายเข้าไปในดง

    ป่า  นั่นจึงเป็นความโชคดีของอัครชัย  คนที่ยังอยู่ข้างบน ถอนหายใจกันอย่างโล่งอกเมื่อเห็น

    เหตุการณ์เปลี่ยนไปเช่นนั้น และทั้งหมดก็รีบลงมาได้ทุกคน 


    " ทำไงดี มดพวกนี้เจอพวกเราไม่ได้เลยนะ เราจะฝ่าไปโดยคิดว่ามันไม่สนใจเราไม่ได้แล้วนะ "


    อัครชัยกล่าว ในขณะที่ทุกคนพยายามพยุงเขาลุกขึ้น


    " นั่นสิ แล้วนี่หมอก็ยังไม่มีแรงด้วย เอางี้ไม้เรากลับไปที่ต้นไม้ที่เราข้ามน้ำมานั่นก่อน อย่างน้อย 

    คิดว่ามดทั้งสองชนิดคงไม่กล้าไป แล้วค่อยหาทางกันใหม่ เอาไม๊ "


    แสงดาว กล่าวพร้อมถามความเห็น 

    แต่ในขณะที่ใครยังไม่ทันตอบสถานการณ์ก็บังคับให้ทุกคนต้องไปอย่างที่แสงดาวบอกแล้ว เพราะ

    นั่นเริ่มจะมีมดที่ต่อสู้กันสองสามตัวเริ่มจะสนใจพวกมนุษย์ อีกแล้ว 

    และการฉุดร่างของอัครชัยเร่งหนีก็เริ่มขึ้น โดยมีมดยักษ์ที่แยกออกมาจากวงต่อสู้ตามออกมา แต่

    ทั้งหมดก็ถึงต้นไม้ยักษ์ที่ล้มขวางทางน้ำได้ก่อน และมดยักษ์ก็หยุดกึกเมื่อเห็นว่าทุกคนหนีได้แล้ว

    มันก็กลับไปสู้กันต่อ



    " โอ๊ย เหนื่อย เราจะโชคดีได้กี่ครั้งเนี่ยใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว "


    แสงดาวถอนหายใจ เธอรู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้ากว่าคนอื่นเพราะใจเสียที่เห็นแฟนหนุ่มตกอยู่ใน

    อันตราย สองคร้้งสองคราแล้วในเข้านี้ 





     


     































    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×