ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #58 : สายสัมพันธ์ ฉันท์มิตร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 189
      17
      13 เม.ย. 63

     ไม่ต้องรอให้หัวหน้าต้องสั่งอีก เหล่าไอซ์โดร์นเมื่อเข้าใจเหตุผลที่หัวหน้าผู้เป็นเกรดสองแล้ว ได้

    เข้าประชิดต่อกรกับฝูงตัวด้วงประหลาดจากทางด้านหลังของมันทันที และก็เป็นจริงอย่างที่หัวหน้า

    เกรดสองได้ประเมินไว้ ลำตัวด้านหลังของตัวด้วงประหลาดนี้มันอ่อนนุ่ม จนอาวุธคมสามารถแทรก

    ลงไป ในผิวเนื้อของมันได้ง่ายและทันทีที่อาวุธคมได้ปักลงไปเจ้าด้วงประหลาดแสดงอาการ

    เจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด และมันพยายามจะหันงาด้านหน้ามันกลับมาตอบโต้แต่ทำไม่ถนัด เพราะ

    จำนวนของมันที่มีหลายตัวกำลังพยายามเบียดกันลงรู จึงเป็นโอกาศให้ผู้พวกโอซ์โดร์นที่จู่โจมมัน

    จากด้านหลังมีโอกาสที่จะปลิดชีพมันก่อนที่จะทันได้หันกลับมาต่อสู้  ลำตัวที่มีเอวคอดรอยต่อ

    ระหว่างหัวที่เเข็งเเกร่งกับลำตัวที่อ่อนนุ่ม ถูกอาวุธคมบั่นให้ขาดได้แทบจะโดยง่าย ตัวแล้วตัวเล่า 

    จนถึงตัวที่คาบร่างของเกรดสิบทั้งสองด้วย


    " ทีแรกคิดว่าพวกท่าน จะไม่มาช่วยแล้ว เห็นพวกท่านเฉยเฉยกัน คิดว่าคงปล่อยให้ข้าทั้งสองไป

    เป็นอาหารไอ้พวกนี้แล้ว "


    เกรดสิบผู้ได้รับการช่วยเหลือร่างหนึ่ง กล่าวอย่างดีใจ เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ที่ได้รับการ

    ช่วยเหลือถึงแม้ร่างเขายังอยู่ในวงรัดงาแต่ตัวมันได้ขาดเป็นสองท่อนแล้ว


    " พอดีท่านหัวหน้ารอจังหวะอยู่นะสิ ทีแรกข้าก็เข้าใจผิดเหมือนกัน คิดว่าหัวหน้าท่านจะยอมเสีย

    สละให้พวกเจ้าไป เพื่อให้พวกเราที่นี่รอด เลยได้ตำหนิห้วหน้าไป มิน่าเล่าทำไมเขาถึง ให้เกรด

    สองขึ้นมาเป็นหัวหน้า เพราะเขามีความคิดที่สุขุมไม่บุ่มบ่ามนี่เอง  ถ้าเป็นข้าเมื่อกี้นี้ คงตะลุยเข้า

    มาเพราะความเป็นห่วงพวกเจ้า และคงได้เผชิญหน้ากับไอ้พวกนี้ด้านหน้าที่แต่ละตัวมีงาที่เเข็ง

    แกร่งและนั่นก็อาจจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้ เพราะงาของมันแข็งแกร่งมาก อาวุธมีคมทำอะไรมันไม่

    ได้เลย "


    เกรดสิบ ที่เข้ามาช่วยเหลือเพื่อนตอบและพยายามดึงวงงาให้คลายเพื่อให้ร่างกายเพื่อนหลุกจาก

    วงรัด


    " เอ๊ะทำไม มันก็ตายแล้วแค่มันไม่คลายงาออกหรือว่ามันยังไม่ตาย "


    เกรดสิบผู้ที่กำลังช่วยเหลือเริ่มสงสัยอีกครั้ง 


    " มันคงตายแล้วล่ะเพราะข้าไม่รู้สึกว่ามีแรงกระชับอยู่ตลอดเวลาเหมือนก่อนหน้านี้  แต่งามัน

    คงล๊อคหลังจากที่มันตายแล้ว คงเป็นธรรมชาติของมัน เจ้าคนเดียวคงไม่มีแรงพอเรียกพวกเรามา

    ช่วยเหอะ ตอนนี้มันเริ่มหนักแล้ว"


    ดิวาเกรดสิบ ประเมินจากสถานการณ์ความน่าจะเป็น จึงได้ให้คำแนะนำเพื่อนไป เขารู้สึกว่าตอนนี้

    ร่างกายเขาเริ่มแบกน้ำหนักส่วนหัวที่ขาดของด้วงร่างยักษ์นี้หลังจากที่มันขาดไปจากลำตัว และ

    ร่างดิวาเกรดสิบอีกสองสามร่างก็ถูกเรียกเข้ามาช่วย ต้องใช้หลายแรงช่วยกันวงงาแข็งแรงจึงถูก

    ง้างออกได้ พอที่จะผ่อนให้ร่างไอซ์โดร์นที่ถูกงับอยู่ได้ลอดตัวออกมาได้ 


    " โล่งอก นึกว่าจะไม่มีโอกาสออกมาข้างนอกงามันอีกแล้ว รีบไปช่วยพวกเราอีกร่างเหอะดูสิดูเขา

    ลำบากกว่าเรา ไอ้ตัวที่คาบเขาไปมันมุดลงไปได้ลึกแล้วดีนะอีกนิดเดียวถ้าเราไม่ฆ่ามันก่อนมันมุด

    หายไปในรูนั่นได้แน่ "


    เกรดสิบผู้ถูกช่วยออกมาได้ก่อนรู้สึกเป็นห่วงผู้ที่มีสถานการณ์เดียวกับเขาและรู้ว่าเกรดสิบร่างนั้นดู

    จะลำบากกว่าเขา เพราะเป็นร่างแรกที่ถูกด้วงประหลาดงับร่างไปก่อนเขา และเมื่อผู้ที่จับมันไปได้

    ถูกฆ่าตายในลักษณะที่มันกำลังจะมุดหัวลงรู ร่างเกรดสิบเพื่อนเขานั้นจึงห้อยหัวลงไปในรู อย่าง

    หลีกเลี่ยงไม่ได้  


    " โอพวกท่านมาช่วยข้า รีบรีบหน่อย " 


    และทันทีที่ผู้ช่วยเหลือเข้ามาถึงร่าง ร่างนั้นก็กล่าวกับพวกเขาอย่างรีบเร่ง


    " ไม่ต้องกลัวหรอกตัวที่คาบเจ้าอยู่นี่ มันตายแล้วเพียงแต่ส่วนหัวของมันยังคาบร่างเจ้าไว้แค่นั้น "


    เกรดสิบที่ถูกช่วยมาก่อนหน้านี้เข้ามาปลอบเพื่อน


    " ข้ารู้แล้ว ตอนนี้ข้าไม่ได้กลัวไอ้ตัวนี้ แต่ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีใครเห็นเหมือนข้า ข้าห้อยหัวอยู่อย่าง

    นี้มองเห็นเข้าไปในรูนี้ได้ มีพวกมันเต็มไปหมดเลย มันพยายามดันเข้ามาแล้ว "


    ไม่รอช้า เกรดสิบทุกร่างรีบเร่งเข้าช่วยกันงัดร่างเพื่อนออกมาจากอาการที่ห้อยหัวอยู่อย่างทุลักทุเล


    " นี่แสดงว่าในรูของหนอนยาวยักษ์คงมีไอ้ด้วงนี้เต็มไปหมด แสดงว่ารูที่ลอดผ่านถ้ำที่อยู่ของ

    พวกเราไป ก็อาจจะมีพวกมันอยู่ทั้งนั้น ที่พวกเราคิดว่าไอ้หนอนยักษ์นั่นมันหลบพวกเราไปทีใหน

    ได้เป็นแผนการณ์ของมันที่จะวางแผนส่งไอ้ด้วงนี้โผล่ขึ้นจากดินมาจัดการพวกเราพร้อมกันทีเดียว

    ทั้งหมด ไม่ได้การแล้ว " 


    เกรดสองผู้เป็นหัวหน้าสบถ หยั่งรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งหันหลังกลับเข้าไปในถ้ำอย่างรีบ

    เร่งพร้อมตะโกนสั่งลั่น


    " พวกไอซ์โดร์นทั้งหลาย ตอนนี้ภัยมาถึงตัวแล้วไต้พื้นที่เป็นรูที่ไอ้ตัวหนอนประหลาดยักษ์มุดไป

    ไต้พวกเรา มันเป็นกับดักจะมีตัวอะไรโผล่ตามรูนั้นมาจับพวกเรา พวกเราจงเร่งอพยพเข้าไปในถ้ำ

    ลึกจนกว่าจะเจอถ้ำที่เป็นหินไต้พื้น อย่าได้ห่วงสิ่งของ เร่งเอาชีวิตรอดเข้าไปก่อน "


    เมื่อได้ยินเสียงที่เป็นผู้นำสั่งการ เหล่าไอซ์โดร์นทุกเกรด ได้ส่งเสียงไปสัญญาณให้รับทราบกันต่อ

    ไป ไม่นานผู้ที่อยู่ในซึ่งเป็นเกรดต่ำต่ำที่อายะน้อยสุดก็เริ่มออกเดินทางเข้าไปในถ้ำลึกเข้าไปตาม

    คำสั่ง พวกที่เหลือเริ่มทยอยตามกันเข้าไปเป็นลำดับ  แต่การเดินทางก็ไม่ได้สะดวกนักเพราะก่อน

    หน้านี้ด้านล่างพื้นดินมีรูที่บากจุดพื้นดินไม่หน้าพอที่จะรับน้ำหนักร่างกายของพวกไอซ์โดรน บาง

    ร่างผลุบหลนลงไปจนความลึกแบบจะมิดหัว ต้องอาศัยผู้ที่อยู่ใกล้กันพยายามช่วยดึงกันขึ้นมาถึง

    กระนั้นเวลาช่วยดึง บางร่างก็กลับผลุบลงไปด้วยเช่นกันทำให้การช่วยเหลือและการเดินทางเป็นไป

    อย่างทุลักทุเลยิ่งนัก


    " หยุดทำไมล่ะท่านหัวหน้ารีบตามพวกเราไปไม่ดีกว่าเหรอ "


    ดิวาเกรดสิบที่พึ่งได้ช่วยกันได้ และตามมาร่างหนึ่งรู้สึกแปลกใจที่ผู้ที่เป็นหัวหน้าหยุดการเดินทาง

    และมองผู้ที่อยู่ข้างหน้าเคลื่อนที่ไปอย่างช้าช้า 


    " อืม พวกเราเดินทางกันช้ามาก อย่างนี้หนีไม่ทันแน่ "


    เกรดสองผู้นำกล่าวตอบ และดูเขาพยายามใช้ความคิดประเมินสถานการณ์อีกครั้ง


    " ใช่ท่านหัวหน้าพูดถูก ตอนที่ข้าเห็นพวกมันกำลังเพิ่มเข้ามามันไม่ได้ช้า อย่างที่พวกเราที่กำลัง

    เคลื่อนที่หนีมันตอนนี้ ตอนนี้พวกมันคงผ่านจุดติดขัดตรงที่พวกเจ้าช่วยข้ามาแล้ว  และคิดว่าตอนนี้

    ไต้ขาพวกเราในรูคงมีพวกมันอยู่แล้ว ทำไงดีล่ะท่านหัวหน้า "


    เกรดสิบ ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือมาร่างสุดท้ายแสดงความคิดเห็น


    " ถ้ามันถึงตัวพวกเราคราวละหลายหลายตัวพวกเราช่วยทุกคนไม่ทันแน่ และยิ่งถ้ามันเข้าไปถึง

    พวกเราเกรดต่ำต่ำด้วยแล้ว ร่างกายคงไม่สามารถต้านทางคมงาของมันได้แน่ เอางี้พวกเราเกรด

    สิบที่อยู่ด้านหลังนี้ทุกร่าง พวกเราช่วยกันปักอาวุธคมลงไปในดินที่คิดว่ามันน่าจะเป็นรูของมันเมื่อ

    เจอแล้วพวกเราพยายามตัดตอนทำลายให้รูมันพังเพื่อให้ดินลงไปปิดก้้นทางรูมันไว้หรือถ้าเจอมัน

    อยู่ในรูพวกเราก็ฆ่ามันซะ อย่าให้พวกมันเข้าไปถึงตัวพวกเราที่ล่วงหน้าไปข้างในได้ "


    สิ้นคำสั่ง อาวุธมีคมและแหลม ถูกปักจึ๊กลงไปในพื้นดินและมันก็ผ่านทะลุลงไปได้ง่ายเพราะข้าง

    ล่างเป็นรูโพลง และบางเล่มเจ้าของก็สัมผัสได้ว่าไปทิ่มเข้ากับอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้อยู่

    เบื้องล่างและบางเล่มก็กลับบินโค้งงอจากแรงกระแทกที่อยู่ด้านล่างเหมือนกัน 


    " ปักไว้อย่างนั้นไม่ต้องดึงขึ้นมา เราจะใช้อาวุธคมตรึงกั้นพวกมันไว้แถวนี้ คิดว่าถ้าโดนร่างของ

    มันคงบาดเจ็บและมันคงเดินหน้าไปไม่ได้ มันคงจะบาดร่างของมันไปหลายตัวเหมือนกัน "


    ผู้เป็นหัวหน้าสั่งพร้อมท้้งสังเกตุดูสถานการณ์  ด้วงประหลาดที่อยู่ไต้ดินถูกอาวุธคมแหลมปักลงไป

    จากด้านบน หลายเล่มมันปักเข้าเป้าหมายคือร่างที่กำลังเคลื่อนที่ไปในรูไต้ดินและมันคมพอที่จะ

    ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ และเมื่อเกิดขึ้นกับพวกมันหลายหลายตัว การเคลื่อนที่ที่จะไปทำการ 

    ทำร้ายพวกไอซ์โดร์นแต่แรก จึงต้องเป็นอันยุติ


    " น่าจะหยุดพวกมันได้แล้วล่ะ ไปพวกเราไปเข้าตามพวกเราไป พวกเราคงต้องเข้าไปให้ลึกที่สุด 

    ให้ไปถึงบริเวรถ้ำที่เป็นหิน เพื่อไม่ให้ไอ้หนอนนั้นมันขุดรูนำทางไอ้ตัวพวกนี้มาได้อีก "


    อซ์โดร์นผู้เป็นหัวหน้าสั่งหลังจากที่คิดว่าการปฏิการสกัดกั้น ผู้ที่บุกรุกเข้ามาได้ผลแล้ว พวกเขา

    ต้องรีบเข้าไปควบคุมการอพยพข้างในเพราะเมื่อสักครู่แค่สั่งให้ทั้งหมดเดินทางเข้าไปด้วยความ

    รีบเร่ง แต่ไม่มีผู้ที่ควบคุม ให้ผู้ที่อพยพเข้าไปในสิ่งที่ไม่เคยได้เข้าไปมาก่อน  ถึงจะรู้จากพวก

    มนุษย์ว่าไม่มีอันตรายใดใดในนั้น แต่การเป็นผู้นำก็ไม่ควรไว้ใจและเป็นหน้าที่ที่จะต้องนำพาทุกร่าง

    ไปในที่ที่ปลอดภัยที่สุด


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    " หนาวเหมือนกันนะ ดีนะที่ยังมีเปลือกของต้นไม้นี่ช่วยไว้ แสดงว่าเมื่อก่อนนี้เราไม่ค่อยหนาว

    เพราะมีเรคิน ของท่านติอากอช่วยปรับสมดุลในร่างกายไว้นี่เอง ที่นี้คงเจออะไรที่เป็นธรรมชาติของ

    ร่างกายพวกเราจริงจริงแล้ว " 


    ดุจปรายกล่าวหลังจากที่ได้ออกเดินทาง ตามกันมาตามทางที่กำหนดทิศทางไว้ เธอเป็นคนที่ร่าง

    บอบบางที่สุด ในดินแดนที่มีหิมะตกเช่นนี้เธอจึงหนาวเย็นยะเยือก


    " อดทนไว้นะ ปรายถ้าพวกเราออกกำลังเดินทางไปอีกสักหน่อย ให้ร่างกายร้อนคงดีขึ้น "


    อรัญปลอบแฟนสาว


    " ใช่ ตอนนี้เราไม่มีตัวช่วยแล้ว เนี่ยรู้สึกได้เลยว่าเราใช้กำลังเยอะขึ้น ในการเดินเท้าไม่เหมือนแต่

    ก่อน รู้สึกได้เลยว่าพวกเราบอบบางในสถาวะการเช่นนี้ มีหิมะตกเราหนาวกัน และไม่รู้ว่าเราจะทน

    ไปได้นานใหม ใจก็สู้อยู่หรอกนะ แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ ว่าร่างกายพวกเราจะสู้ได้อย่างใจคิดใหม "


    แสงดาว กล่าวอย่างวิตก เธอเองก็รู้สึกได้


    " นั่นสิมันเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพวกเราแล้วตอนนี้ อย่างท่านพิษทารีกล่าวไว้ไม่มีผิด ตอนที่เรามี

    ร่างกายที่เป็นของเราเองทั้งหมดต้องเผชิญกับปัญหาแน่ ยิ่งถ้าเราได้เจอกับเหตุการณ์ร้ายร้าย 

    อย่างที่เคยเจอกันมาพวกเราจะเป็นยังไงแค่เดินลุยหิมะสูงหน่อยก็เหนื่อยและหนาวกันขนาดนี้

    แล้ว "


    อรัญกล่าว เขาใจแผ่วลงไปบ้าง ยิ่งเห็นอาการที่เกิดขึ้นของแฟนสาว


    " ต้องได้สิ เราคงหนาวไปอีกไม่นานหรอก เพราะเส้นทางที่เราเดินค่อนลงไปทางไต้เรื่อย ที่สุดเรา

    ก็คงจะพ้นแนวหิมะในไม่ช้า อาการหนาวเย็นที่พวกเราเกรงว่าการที่เราจะต้องลุยหิมะเป็นเวลานาน

    คงดีขึ้นแน่ ยังไงเราก็คงไม่อยากทำให้ท่านพิษทารีผิดหวัง ที่เขาฝากความหวังไว้กับพวกเรา "


    อัครชัย กล่าวให้กำลังใจทุกคน 


    " เรื่องท้อไม่ท้ออยู่แล้วล่ะหมอที่พูดกันเรื่องความลำบากนี้ก็แค่เราประเมินร่างกายพวกเรา

    ต่างหากล่ะ มันไม่ใช่เรื่องหนาวอย่างเดียวนะ รุ้สึกจะมีเรื่องหิวด้วยนะ  เราไม่ใช่ว่าจะกินน้ำครั้งเดียว

    อยู่ได้ไปหลายหลายวันเหมือนแต่ก่อนได้แล้วนะ เนี่ยรู้สึกหิว ยิ่งเหนื่อยยิ่งหิว พวกเราจะกินอะไร

    กัน ถ้าเราไม่ได้กินพวกเราคงไม่มีแรงเดินต่อไปแน่ เพราะนี่ร่างกายของพวกเราเข้ามาอยู่ในโหมด

    ที่ปรกติแล้วนะ "


    กานต์ กล่าว


    " หิมะนี่กินไปคงไม่ปลอดภัยนะ เราต้องหาแอ่งน้ำและต้องกินน้ำแบบนั้น ร่างกายเราคงต้องปรับ

    สภาพกันน่าดู จะมีเชื้อโรคอะไรบ้างเปล่าก็ไม่รู้ "


    แสงดาวกล่าว  พร้อมทั้งห่อมือเข้าเครื่องนุ่งห้มเปลือกไม้ด้วยความหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้

    ทุกคนรับรู้ว่าดูจะเป็นอุปสรรค ต่อการดำรงอยู่ของทั้งหมดเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่ไม่มีคนนำทางแต่

    ทุกสิ่งรอบด้านดูโหดร้ายกับสิ่งมีชีวิตร่างเล็กเล็กทั้งหมดเหลือเกิน ทั้งต้นไม้ที่ดูยืนต้นทมึนใหญ่โต

    น่ากลัว พร้อมกับสายของหิมะ ที่ตกดูแล้วก็น่าจะมีจำนวนขนาดเกร็ดของมันที่ดูใหญ่กว่าตอนที่มัน

    ตกบนโลกมาก ซึ่งหลายคนก็เคยได้ไปสัมผัสมันที่ต่างประเทศจึงรับรู้ได้ ตอนที่ไปสัมผัสมันที่บน

    โลก พวกเขาดูเพลิดเพลินสนุกสนาน แต่สำหรับที่นี่ ดูมันเหมือนเป็นหายนะ ที่ไม่รู้ว่ามันจะคร่าชีวิต

    พวกเขาไปเมื่อไรก็ได้


    " ไหวไหมปราย "


    รัญหันไปกล่าวกับแฟนสาว พร้อมทั้งเอื้อมมือไปจูงให้แฟนสาว ให้เดินขึ้นมาให้ไล่เลี่ยกับเขา 

    เขารู้สึกว่าเธอช้าลงไป นั่นคงเป็นเพราะเธออ่อนกำลังไปนั่นเอง


    " ไหวพี่อรัญ ก็หนาวอยู่แต่พอทนได้ ที่ช้าเพราะหิมะตรงนี้มันสูงเลยเดินไม่ถนัด ยังไงเราก็คงไม่

    ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลารอหรอก แสงดาว กับจาไปได้ ปรายก็ต้องไปได้ "


    ดุจปรายกล่าวเสียงสั่นด้วยความหนาวเหน็บ  

    ทั้งหมดยังคงตั้งใจลุยต่อไปข้างหน้า ตามทิศทางที่ปิเยพิษทารีบอกไว้ และหวังว่าไม่น่าไกลนักคง

    มีแหล่งน้ำพอที่จะให้อาศัยดื่มแก้กระหาย เพื่อสำหรับเดินทางต่อไป เพราะถึงว่าอากาศมันจะหนาว

    เหน็บทุกคนก็ขาดน้ำที่จะดื่มไม่ได้ และไม่นานคำภาวนาในใจของทุกคนก็เป็นผล 


    " นั่นไงน้ำข้างหน้านั่น  มันอยู่กลางหิมะเลย แต่ทำไมมั่นไม่เป็นน้ำแข็งไปด้วยนะ แต่ช่างมันเหอะ

    พวกเรา ก็หิวมันแย่เเล้ว " 


    กานต์ ซึ่งตอนนี้เดินทางอยู่หน้าสุดของขบวนชี้ให้ทุกคนดู


    " ดีจริงเลยกานต์ ถึงน้ำมันไม่เเข็งไปด้วยมันก็คงเย็นมาก น้ำที่เย็นมากคงมีเชื้อโรคไม่กี่ตัวที่อยู่ได้ 

    มันคงเหมาะกับการกินน้ำแบบนี้นะ  "


    อัครชัยแสดงความเห็น ปนวิชาการตามประสาที่เป็นหมอ ทั้งหมดเร่งออกเดินไปจุดหมายแอ่งน้ำที่

    เห็นข้างหน้าอย่างรีบเร่ง  


    "  เอ๊ะ น้ำนั่น "


    และทุกคนก็สะดุดคำพูดของกานต์ ที่เหมือนเขากล่าวอย่างกับแปลกใจ  และพยายามมองไปจุดที่

    เป็นแหล่งน้ำตามที่กานต์ชี้มือ และทุกคนก็ได้เห็นความผิดปรกติ


    " น้ำค่อยค่อยยุบลงใช่ใหมทุกคนเห็นเหมือนผมใช่เปล่า "


    กานต์กล่าวอย่างแปลกใจกับภาพที่เขาคิดว่าเห็นเป็นเช่นนั้น 


    " ใช่เราก็เห็น รู้สึกว่าจะเป็นอย่างที่กานต์สงสัย มันไม่ใช่ภาพลวงตาเมื่อกี้ถึงเห็นไกลไกลแต่ก็มองรู้

    ว่าน้ำมันอยู่เต็มขอบ ตอนนี้มันลดลงไปเรื่อยเรื่อย เป็นเพราะอะไรพวกเราระวังตัวกันหน่อยนะดู

    แปลกแปลกนะ "


    อัครชัยกล่าว เขาเห็นถึงสิ่งผิดปรกติด้วยเช่นเดียวกับกานต์ และทุกคนก็เห็นเช่นกัน และพยักหน้า

    รับรู้ และพวกเเขาทุกคนยังคงก้าวเข้ามาใกล้แอ่งน้ำอย่างช้าช้าด้วยความระมัดระวัง และเมื่อมาถึง

    น้ำที่พวกเขาเห็นว่ามันลดลงก็เหือดแห้งหายไปจนสิ้น คงเหลือแต่พื้นแฉะแฉะร่องรอยของน้ำที่เคย

    มีอยู่จนเต็มแอ่งน้ำขนาดย่อมย่อมแห่งนี้ 


    " แปลกจัง ตอนที่มีน้ำอยู่ได้ท่ามกลางหิมะก็แปลกอยู่แล้ว ยิ่งแปลกเข้าไปอีกทำไมน้ำมันยุบหาย

    ไปได้ และเป็นเฉพาะตอนที่เราใกล้มาถึง เหมือนมีบางอย่างจงใจทำให้น้ำมันหายไปเพื่อไม่

    ต้องการให้พวกเราได้น้ำมาดื่มกินกัน  "


    อรัญกล่าวอย่างสงสัยและมึนงง


    " นั่นสิ ดูจะบังเอิญไปหน่อยไม๊ ที่น้ำมันจะเหือดแห้งไปตอนเราเกือบจะถึงนี่ หรือว่ามีอะไรที่นี่

    บังคับน้ำได้ ทำให้ไม่เป็นน้ำแข็งก็ได้ ทำให้แห้งไปก็ได้ แล้วทีนี้ทำยังไงจะเอาน้ำที่ใหนกินกัน "


    จามิกรณ์ กล่าว


    " หรือว่าจะเป็นรากไม้นั่นเปล่าที่อยู่ก้นแอ่งเนี่ย มองดูเต็มไปหมดเลย เป็นไปได้ใหมว่ามันจะดูดน้ำ

    ออกไปจนหมด "


    แสงดาว กล่าวจากสิ่งที่เธอสังเกตุเห็น 


    " อาจเป็นไปได้ เพราะดูแล้วจะเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อที่สุด  ถ้าเป็น ที่นี่แล้วอะไรเป็นไปได้หมด มัน

    คงช่วยกันดูดน้ำ ไปจนหมดเพราะรู้ว่าพวกเราจะมาแย่งน้ำของมัน แต่แหมมันไม่มีน้ำใจเลยนะพวก

    เราหกคนจะเปลืองน้ำมันซักเท่าไรกัน " 


    อัครชัยกล่าวเสริมแฟนสาวและกล่าวอย่างติดตลก


    " มันดูดน้ำไปจนหมดแบบนี้มันยังทำได้ แล้วถ้ามันคิดจะทำอะไรพวกเรามันจะทำไม่ได้เหรอ "


    ดุจปราย ถามขึ้นด้วยความสงสัย


    " โอ๊ยต้นไม้ที่นี่ถ้ามันคิดจะทำอะไรพวกเรา มันทำได้ทั้งนั้นแหละ และถ้ามันคิดจะทำมันคงไม่

    ปล่อยให้พวกเราดุ่มดุ่มมาถึงป่านนี้หรอก ดูอย่างท่านพิษทารี และพวกท่านติอากอซิ นั่นต้นไม้ทั้ง

    นั้นนะ เราเห็นแล้วว่าแต่ละต้น วิจิตรพิศดารขนาดใหน ดีนะที่เขาเป็นมิตรกับพวกมนุษย์อย่างเรา 

    เราช่วยเหลือเขาเขาช่วยเหลือเรามีบุญคุณต่อกันและเราก็คิดจะช่วยเหลือโลกของเขานี้ให้พ้นภัย 

    ถ้าเป็นศัตรูกันพวกเราคงแย่ไปแล้ว อย่างต้นไม้ที่นี่เหมือนกัน ถ้ามันเปลี่ยนใจ ไม่เลือกวิธีดูดน้ำ แต่

    เลือกเอารากที่ดูดน้ำแหลมแหลมของมัน นั่นพุ่งขึ้นมาทิ่มแทงพวกเรามันก็น่าจะทำได้นะ "


    อรัญกล่าว ถึงความเป็นไปได้เสียเหยียดยาว


    " เอ๊ะ พวกเราเดี๋ยวเดี๋ยวดูนั่น "


    กานต์ บอกทุกคนเพราะเขาเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างเคลื่อนไหว และสิ่งที่ทุกคนเห็นถึงความผิด

    ปรกติ  รากไม้ไต้แอ่งน้ำที่ดูสงบนิ่งแต่แรกตอนนี้มันเริ่มขยับได้ 


    " ตายแล้วหรือมันจะฟังคำพูดของอรัญออก ว่าพวกเรากลัวมันจะมาเคลื่อนไหวเอารากของพวกมัน

    มาทำอะไรพวกเราได้ดูสิมันขยับได้และมันยกขึ้นมาด้วยและปลายรากแหลมของมันทำท่าจะหันมา

    ทางนี้ด้วย "


    จามิกร กล่าวอย่างตระหนก ที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้


    " ไม่ได้การละ พวกเราถอยออกมาให้ไกลหน่อยดีกว่า ต้นไม้ที่นี่ดูจะไม่เป็นมิตรกับพวกเราเสียแล้ว

    นอกจากมันจะหวงน้ำแล้ว มันอาจจะทำร้ายพวกเราด้วยแน่ตอนนี้ ถอยก่อน "


    อัครชัย ร้องกล่าวเตือนทุกคน ไม่ต้องให้พูดซ้ำทุกคนเริ่มถอยห่างออกจากแอ่งน้ำในลักษณะ

    ป้องกันตัว แต่ยังหวาดระแวงพยายามลอบไปมองที่แอ่งน้ำเกรงว่ารากไม้ที่อยู่ในนั้นจะพุ่งเข้ามาหา

    ทุกคนอย่างที่กลัวกัน 


    " โอ๊ย "


    เนื่องจากไม่ทันระวังตัวมัวแต่มองไปที่แอ่งน้ำ อัครชัยสะดุดเข้ากับพื้นระหว่างที่ถอยออกมา เขาถึง

    กับเสียหลักหัวทิ่มและร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เขาหันกลับไปมองจุดที่เขาสะดุดล้มทันทีที่ตั้ง

    หลักได้แต่ฉับพลันเขากลับสะดุ้ง  


    " นั่นมันรากไม้นี่มันมาโผล่ตรงนี้ด้วย แสดงว่าแถวตรงนี้ต้องมีพวกมันหมดแน่เลย แสดงว่าพวกเรา

    กำลัง อยู่ใน เออ.. ออ.. "


    อัครชัยไม่พูดต่อ เพราะตอนนี้สายตาของเขาและทุกคนเริ่มสังเกตุเห็นพวกรากไม้มันผุดขึ้นจากพื้น

    หิมะ รอบรอบตัวทุกคนแล้วและมันก็สูงขึ้นมาเรื่อยและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยเรื่อยด้วย และความ

    หนาแน่นในจำนวนที่มีมาก และผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้พวกเขาเริ่มถอยไปทางใหนไม่ได้อีก

    แล้ว พวกมนุษย์ทั้งหมดจึงเข้ามารวมตัวอยู่เป็นกลุ่มตามสัญชาติญาณโดยมีรากไม้เคลื่อนไหวเข้า

    รายล้อมไว้แล้วในตอนนี้


    " มันต้องฟังคำพูดของอรัญออกแน่เลย คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่ดูสิถ้ามันทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้ามา

    แล้ว ถ้ามันพุ่งปลายแหลมเข้ามาทีละหลายหลายอันเนี่ยนะพวกเราปัดป้องไม่ทันแน่ ดูรากมันแข็ง

    แรงมากนะ ตอนนี้ร่างกายพวกเราคงนิ่มกว่า .."


    กานต์ ยังกล่าวไม่จบก็ถูก จามิกร แฟนสาวดึงเเขนให้หยุดพูด 


    " ไม่เอาพี่กานต์ อย่าพูดอะไรที่ทำลายกำลังใจพวกเราตอนนี้สิ  เรามาระวังพวกมันดีกว่า "


    จามิกรกล่าวกับแฟนหนุ่ม


    " พวกเราไม่เสียกำลังใจอะไรแบบนั้นแล้วตอนนี้ จา พี่กานต์ เขาพูดแบบประเมินสถานการณ์

    นะ แสงดาวเข้าใจ เขาพูดให้พวกเราป้องกันตัวและแสดงความเห็นว่าเราจะทำอย่างไรกัน ให้ทุก

    คนได้พูดเหอะ ว่าเราน่าจะทำยังไงกัน เวลาที่จะสู้หรือหาช่องทางหลบหนีคงมีไม่เยอะแล้ว "


    แสงดาว กล่าวกับจามิกร เพือนสาวของเธอเพราะเธอเข้าใจสิ่งที่กานต์พูด และระหว่างที่ทุกคน

    กำลังตระหนกและสับสนกับความคิดหาทางออกและทางหนีอยู่นั้น 


    " พวกเจ้าไม่ต้องตกใจหรอก "


    เสียหนึ่งดังขึ้นและพวกเขารู้สึกได้ว่ามันคำรามก้องและมีเสียงดังฝ่าแข่งกับเสียงพายุได้


    " เสียงใคร "


    ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน เพราะจำได้ว่าไม่ใช่เสียงของคนใดขึ้นหนึ่งในกลุ่ม และเป็นเสียงที่ดัง

    มากจนคิดว่ามนุษย์ไม่น่าจะเปล่งเสียงที่ดังขนาดนี้ได้


    " มอง มาสิมองขึ้นมาบนนี้ " 


    เสียงนั้นดังแข่งกับเสียงหิมะอีกครั้ง พวกเขาพยายามมองหาต้นเสียงและสายตาทุกคนก็ไปหยุดที่

    จุดเดียวกันและคิดว่าเสียน่าจะมาจากตรงนั้น 


    " เสียงมาจากต้นไม้เหรอ นี่เราเจอต้นไม้พูดได้อีกแล้วเหรอ หรือเราจะมีผู้นำทางอีกแล้ว "


    อรัญกล่าวอย่างตื่นเต้น เพราะเขาสงสัยว่าเสียงน่าจะมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและทิศทางของ

    เสียงน่าจะมาทางทิศนั้นและเป็นต้นไม้ใหญ่และสูงยืนต้นฝ่ากับสายหิมะอย่างแข็งแกร่งและสูงเด่น


    " พวกเจ้ามนุษย์น้อยเข้าใจถูกแล้ว เราคือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าต้นไม้ แต่ที่นี่เราคือปิเย  ข้าปิเย

    โซน พวกเจ้าถือว่าโชคดีแล้วที่ได้มาเจอกับปิเยข้า ที่รับรู้ภาษาพวกเจ้าได้ เป็นปิเยสุดท้าย เพราะ

    ผ่านจากนี้ไปอีกแสนไกลจะไม่มีปิเยใดได้รับรู้ภาษาของพวกเจ้าอีกเลยรวมทั้งปิเยต่อไปนี้ทำไม่ได้

    แม้แต่จะเคลื่อนไหวขยับรากได้อย่างปิเยข้าด้วย " 


    เสียงลั่นดังอีกครั้งและจุดที่ทุกคนสังสัยนั่นเป็นความจริงของที่มาของเสียงที่ทุกคนสงสัย


    " เสียงต้นไม้พูดได้จริงจริงด้วย พวกเราดีใจนะที่ท่านรับรู้พวกเราได้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทำไม

    ท่านถึงจะทำร้ายพวกเราล่ะ รากพวกนี้เป็นของท่านใช่ใหม ดูไม่เป็นมิตรเลย ท่านบังคับมันให้ล้อม

    พวกเราไว้ จริงอยู่เราไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่ขอท่านอย่าทำร้ายพวกเราได้ใหม เรื่องน้ำที่ท่านหวง

    พวกเราไม่เอาก็ได้แต่ขอให้ปล่อยพวกเราไป "


    อัครชัย เริ่มเจรจาโดยตะโกนขึ้นไปตามทิศทางของเสียงนั้น  


    " เรื่องหวงน้ำนั่นปิเยข้ายอมรับเพราะปิเยข้าต้องเสียพลังไปเยอะเหมือนกันที่จะทำให้น้ำเเข็งมัน

    เหลวได้ ไม่อยากแบ่งปันให้ใครแม้จะน้อยนิดก็ตาม และยอมรับว่ารากเหล่านั้นด้วยเป็นของข้าทั้ง

    นั้น แต่ปิเยข้าตอนนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้รากทำร้ายพวกเจ้า  แต่แรกปิเยข้าคิดว่าพวกเจ้าไม่ได้น้ำ

    แล้วคงจะไปต่อ  และปิเยข้าจะไม่คิดแสดงตัวด้วยซ้ำ ว่าปิเยข้าสื่อสารกับมนุษย์โลกเช่นพวกเจ้า

    ได้ แต่คำพูดของพวกเจ้าทำให้ปิเยข้าสะดุด พวกเจ้ารู้จักท่านติอากอ พร้อมทั้งปิเยสำคัญอีกหลาย

    ร่างที่นี่ได้อย่างไร และยังรู้สึกว่าพวกเจ้ารู้จักแบบค้นเคยกันอีกด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ปิเยข้าสงสัย  ที่ใช้

    รากกักพวกเจ้าไว้ ก็เพื่ออยากสอบถามเรื่องนี้  "


    เสียงต้นไม้ใหญ่ อธิบาย


    " โอ พวกเรากลัวแทบแย่ คิดว่าจะเป็นเป้าให้รากแหลมของท่านพุ่งมาเสียบอีกเสียอีก " 


    อรัญ กล่าวอย่างโล่งอก


    " ปิเยข้าขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิด และหวาดกลัวปิเยข้า "


    เสียงต้นไม้กล่าวอีกครั้ง 


    " ไม่เป็นไรแค่รู้ว่าไม่เป็นอันตรายพวกเราก็ดีใจแล้ว ว่าแต่พวกเราจะเล่าให้ฟังก็ได้ว่าพวกเรามา

    เกี่ยวข้องกับปิยากิออนี่ได้ไง รวมทั้งท่านติอากอด้วย เรื่องมีอยู่ว่า ..................................."


    รัญกล่าวเรื่องที่มาที่ไปที่ต้นไม้ต้นนี้อยากรู้แบบคล่าวคล่าวทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ต้นไม้ใหญ่ฟัง


    " โอ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงจริงหรือ อย่างนี้นี่เองพวกเจ้าถึงได้คุ้นเคยกับปิเยที่นี่นัก เรื่องมัจเจมัน

    จะทำการใหญ่ ปิเยข้าเริ่มสงสัยตั้งแต่มันปิเยข้ามาปล่อยไว้ที่นี่แล้ว เมื่อก่อนปิเยข้าก็อยู่ที่มัสเตติส

    เหมือนกัน  แต่ถูกมัจเจมันให้ไพร่พลปิเยที่เคลื่อนไหวได้และมีขนาดใหญ่และมีกำลังมากนำปิเยข้า

    ให้นำไปทิ้งที่ชายเขตปราการไพรีตทรอย    แต่พวกลูกน้องมันนำปิเยข้ามาทิ้งไว้ที่นี่เพราะพวกมัน

    ขี้เกียจไปถึงที่นั่นเพราะคิดว่ายังไงเสียปิเยข้าก็สิ้นชีตะอยู่ดี แต่โชคดีที่ปิเยข้าปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ 

    จึงรอดมาได้ ถึงไม่อยากอยู่ตรงนี้สักเท่าไร เพราะไม่คุ้นชินกับที่แบบนี้ แต่ปิเยข้าไม่สามารถเคลื่อน

    ไหวไปใหนด้วยตัวเองได้ จึงต้องทนลำบากอยู่ที่นี่ เพราะปิเยข้าทำได้ดีที่สุดก็แค่ ขยับรากไปมา

    อย่างที่พวกเจ้าเห็น และทำน้ำให้เหลวจากน้ำเเข็ง ดูดน้ำบ้างเล็กเล้กน้อยน้อย เพื่อเก็บไว้เป็น

    อาหารเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ "


    ต้นไม้ นามว่าปิเยโซนอธิบาย


    " อืมพวกเราถือว่าโชคดีที่ได้เจอท่าน ว่าแต่ว่าทำไม ปิเยมัจเจถึงได้คิดจะฆ่าท่านล่ะ ทำไมไม่เอา

    ท่านไว้เป็นพวกล่ะหรือไม่ ถึงท่านเคลื่อนไหวไปกับพวกเขาไม่ได้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาฆ่าท่านนี่ "


    ดุจปราย ถามขึ้นด้วยความสงสัย


    " มันมีเรื่องอยู่นะซี มันโกรธที่ปิเยข้าไม่บอกอะไรมันทุกเรื่องน่ะสิ ที่จริงปิเยข้ารู้รอบรู้แทบทุกเรื่อง

    ที่มีเหตุการณ์อยู่แถวนี้ และทุกที่ที่มีพวกของปิเยข้าอยู่ ที่จริงแล้วแทบทุกที่มีพวกปิเยเราอยู่แทบ

    ทั้งนั้น แต่ปิเยเราไม่มีร่างใดสื่อสารเป็นภาษาปิเยกลางและภาษามนุษย์ได้เช่นปิเยข้า ในบรรดาปิเย

    โซนเรามีภาษาของพวกปิเยเราเอง ที่ปิเยทั่วไปและพวกมนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้  และนั่นทำให้

    มัจเจอยากรู้หลายอย่าง จากปิเยข้าและข่าวสารต่างต่างที่เผ่าพันธ์ปิเยข้าส่งมาให้ปิเยข้ารู้ แต่ปิเย

    ข้าไม่ยอมบอก เพราะเกรงว่ามันจะทำให้ปิยากิออและเหล่าปิเยทั่วไปเดือดร้อน มัจเจมันโกรธจึง

    คิดว่าจะทำลายชีตะปิเจข้าเสีย


    ต้นไม้ อธิบายเหตุผลตอบข้อสงสัยดุจปราย


    " โอแสดงว่าสิ่งที่ท่านไม่ได้บอกกับมัจเจ คงเป็นเรื่องสำคัญน่าดู ถึงกับแทบต้องแลกมาด้วยชีวิต

    เลย พวกเราจะไม่ถามแล้วกันว่าเรื่องอะไร  แต่มีสิ่งที่พวกเราอยากรู้หลายเรื่องพวกเราจะถามท่าน

    ได้หรือเปล่า ตอนนี้ เรื่องทางที่เราจะไปข้างหน้าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า ที่ภูเขามนุษย์นอนเรา

    จะไปตามหารางพิษเพื่อเอาไปช่วยท่านติอากอและท่านปิเยทาร์ อย่างที่เล่าให้ท่านฟัง ที่นั่นไม่

    ค่อยได้ข้อมูลมาเท่าไรเลยเพราะไม่ค่อยได้มีพวกท่านที่บอกทางให้พวกเราไปที่นั่นมาก่อน ท่านจะ

    พอรอบรู้เรื่องนี้ไม๊ ท่านต้นไม้ " 


    อัครชัย ถือโอกาสถาม 


    " ได้ปิเยข้ารู้ ทั้งภูเขามนุษย์นอน รวมทั้งปราการไพรีตทรอยที่ล้อมรอบภูเขามนุษย์นอน มีพวกของ

    ปิเยข้าอยู่ที่นั่นมากเหมือนกัน พวกนั้นสื่อสารกับปิเยข้าอยู่ตลอด และสองที่นั่นก็เป็นสาเหตุให้มัจเจ

    มันพยายามจะล้างชีตะข้าเพราะเป็นที่ที่ไม่มีปิเยใดกล้าเข้าไป เพราะเกรงภัยปัวล่า มัจเจมันจึงไม่รู้

    ข้อมูลที่นั่นพอที่จะเอาพื้นที่ตรงนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ และมีความจริงที่ปิเยข้าไม่ได้บอกมัน

    เกี่ยวกับความลับที่นั่น ด้วย" 


    ต้นไม้ตอบอัครชัย


    " ความลับหรือ ท่านบอกได้ใหม พวกเรากำลังเดินทางไปที่นั่นถ้ารู้ทุกอย่างพวกเราอาจจะรอดพา

    รางพิษกลับไปช่วยท่านติอากอได้ "


    อัครชัยถามขึ้นอีกครั้ง เขาคิดว่าต้นไม้นี้ต้องรู้ดีพอสมควรแน่ดูเขาอธิบายอย่างมีเหตุผลและเป็น

    เรื่องที่พวกเขาไม่มีข้อมูลมาก่อนจริง


    " ได้ปิเยข้าตั้งใจจะบอกพวกท่านอยู่แล้ว ความลับก็คือ กลางภูเขามนุษย์นอนมีประตูดินที่จะ

    นำทางไปสู่โลกของมนุษย์ของพวกเจ้าอีกประตูหนึ่งนอกจากประตูอากาศที่ตะเนยา ที่จริงมีประตูที่

    กั้นระหว่างปิยากิออกับโลกมนุษย์อยู่หลายสามทาง ประตูอากาศที่ตะเนยา ประตูดินที่ ภูเขามนุษย์

    นอน และประตูน้ำที่ เบอวีน่า ทั้งสามประตูนี่ไปถึงโลกมนุษย์ของพวกเจ้าได้ถ้ารู้วิธีผ่านเข้าไป แต่

    อย่างประตูดินนี่พวกเจ้าคงใช้ผ่านไปไม่ได้ เพราะมันมีความหนาของดินค่อนข้างมาก พวกเจ้ามุด

    ดินไม่ได้คงจะตายเสียก่อน แต่ถ้าปิเยเราจะผ่านไปได้ปิเยข้าเลยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมัจเจมัน มัน

    ระแคะระคายเพราะว่าปิเยข้าเคยพลั้งเปรยเรื่องความลับนี้ให้มันฟัง จนมันคาดค้้นปิเยข้าและปิเยข้า

    ไม่ยอมบอกมันอีก มันจึงโกรธเลยทำกับปิเยข้าเช่นนี้ "


    ต้นไม้ ตอบพร้อมอธิบาย


    " โอท่านรอบรู้จริงจริง รู้กว่าทุกต้นไม้ที่บอกข้อมูลเรามาอีก ต้นไม้พวกของท่านไม่มีใครบอกเรื่องนี้

    มาก่อนเลย "


    อัครชัยรำพัน


    " ที่ปิเยข้ารอบรู้ได้เพราะมีพวกพ้องอยู่ทุกที่ พวกเราใช้การส่งข่าวบอกกัน สายลมจะนำคำของ

    พวกปิเยเราส่งไปให้ปิเยโซนเรารับรู้ ได้ในเวลาไม่นาน และตอนนี้ปิเยที่อยู่ทางไต้ลมรับรู้ได้

    แล้วว่าปิเยเรากำลังพูดอะไรอยู่กับพวกท่าน ปิเยเรารับรู้ได้แทบทุกที รวมทั้งที่ภูเขามนุษย์นอนก็

    มีพวกเราอยู่ ซึ่งตอนนี้พวกที่นั่นก็รับรู้แล้วเหมือนกันว่าจะมีพวกท่านเดินทางไป พวกเขายินดี แต่

    พวกเขาเสียดายที่ไม่มีโอกาสจะสื่อสารและช่วยเหลือพวกท่านได้ เพราะเป็นปิเยที่ยืนร่างได้อยู่

    อย่างเดียวไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนปิเยข้า "


    ต้นไม้อธิบาย


    " แสดงว่าท่านต้นไม้นี้คงรู้จริง ดูท่านอธิบายความเป็นเหตุเป็นผลได้ทุกอย่าง "


    อรัญกล่าวชื่นชม


    " ใช่ปิเยข้ารอบรู้แทบทุกอย่าง แต่มีข้อจำกัดอยู่ก็คือ สิ่งที่พวกปิเยข้ารู้ต้องเป็นสิ่งที่มองเห็นหรือสำ

    ผัสได้ พวกปิเยเราไม่ได้รู้จากความคิดเราเอง แต่เป็นเพราะสิ่งที่เห็น ถ้าบริเวรนั้นไม่มีปิเยโซนที่

    เป็นพวกเราอยู่แถวนั้น พวกเราก็จะไม่ค่อยรู้อะไรแถวนั้น อย่างเช่นปิเยข้าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับ

    ท่านติอากอ และพวกของมัจเจเท่าไรนัก เพราะแถวตะเนยาไม่มีพวกของปิเยข้าอยู่ และการเคลื่อน

    พลของมัจเจก็เช่นกัน ปิเยมัจเจพยายามให้ปิเยสมุนของมันเดินทางล่วงหน้าเข้ากวาดล้างจุดที่มี

    พวกของปิเยข้าอยู่ตลอดตามทางที่พวกมันเคลื่อนทัพไป ปิเยข้าจึงไม่ได้ข่าวทางนั้น และนั่นเป็น

    จุดอ่อนการรับรู้ของพวกปิเยเรา "


    ต้นไม้ยักษ์ พยายามอธิบายถึงข้อจำกัดการรับรู้


    " คงใช่พวกเราเดินทางขึ้นมาก็ไม่ค่อยได้เห็นมีต้นไม้แบบท่านอยู่เท่าไรนักเลย  " 


    อัครชัยต้้งข้อสังเกต และกานต์ก็ผุดถามขึ้น ด้วยความสงสัย


    " เออใหนใหนท่านก็รู้แล้วว่า มีประตุไปโลกเราได้ถึงสามที่่พวกเรารู้แล้วว่ามีประตูอากาศที่ตะนาว

    ศรี และประตูดินที่ภุเขาคนนอนแต่คงไม่สามารถผ่านไปได้อย่างท่านว่า และประตูน้ำที่ท่านกล่าวไว้

    ชื่อไรนะเมื่อกี้นี้น่ะ มันอยู่ที่ใหนล่ะ บางทีเราอาจจะจำเป็นต้องใช้มันผ่านไปยังโลกก็เป็นได้ แต่ไม่

    ได้หมายความว่าจะละทิ้งหน้าที่ตรงนี้หรอกนะ แต่เผื่อไว้ อะไรมันก็ไม่แน่นอน พวกเราดำน้ำกันได้

    ทุกคนบางทีถ้าจำเป็นต้องไปใช้ผ่านทางนั้นดูจะพอมีทางใช่ใหม "


    "  ประตูน้ำที่นั่นมันอยู่ไกลจากที่นี่มากมายนัก พวกเจ้าต้องเดินทางอีกเป็นปีถึงจะไปถึงที่นั่นได้ 

    เมื่อก่อนเคยมีปิเยข้าอยู่แถวเกาะกลางทะเลแถวนั้น จึงได้รู้ว่ามีประตูข้ามไปยังโลกของท่านอยู่ที่

    นั่น  แต่ตอนนี้ไม่มีพวกของปิเยข้าแถบนั้นแล้ว มันชื่อว่าประตูน้ำ เบอวีน่า และเป็นประตูที่ใหญ่

    ที่สุดในบรรดาประตูทั้งสามและมีแรงดึงดูดของประตูอยู่มากด้วย เพียงแค่มีอะไรผ่านเข้าไปบริเวร

    หน้าประตูก็มักจะถูกดูดข้ามไปอีกฝั่งโลกทันทีและมันคงเป็นแบบนี้ที่ฝั่งโลกมนุษย์ของพวกท่าน

    ด้วย มีมนุษย์มากมายที่รวมกลุ่มกันมาด้วยยานขนส่งแปลกแปลกใหญ่ถูกดูดข้ามมาจากฝั่งโลก

    ของท่านสู่ปิยากิออของเรา แต่พวกเขาก็สิ้นชีตะหมดเพราะที่เข้ามาตรงนั้นเป็นน้ำทั้งหมดปิเยเผ่า

    พันธุ์ ข้าตอนที่ยังอยู่แถวนั้น คงได้เห็นยานขนส่ง และร่างกายที่ไร้ชีวิตล่องลอยอยู่เป็นประจำ และ

    มีมนุษย์หลุดเข้ามาทางประตูนั้นมากกว่าทุกประตู เนื่องจากมันใหญ่และมีแรงดึงดูด  ซึ่งถ้าประตูตะ

    เนยามีแรงดึงดูดและใหญ่ขนาดนั้น ป่านนี่คงมีพวกมนุษย์อย่างเจ้าเต็มไปหมดแล้ว "


    ต้นไม้อธิบายอีก พวกของอัครชัยดูเพลินเพลินกับความรู้ที่ได้รับดูมันน่าตื่นตาและตื่นเต้นยิ่งนัก


    " ที่จริงก็น่าสงสารพวกเขานะ ถูกดูดเข้ามาตายมันอาจจะเป็นที่ใหนซักแห่งนะบนโลก พวกเราไม่

    ค่อยเคยได้ยินข่าวพวกนี้ ไว้มีโอกาสได้กลับไปที่โลก พวกเราจะไปสืบหาซะหน่อยเผื่อจะช่วยผู้คน

    ได้บ้าง "


    ดุจปราย เปรย


    " นั่นน่ะสิ น่าสงสารถ้าพวกเรากลับไปได้คงต้องไปหาทางช่วยอย่าง ปรายว่า งั้นแสดงว่าเราก็คง

    ใช้ประตูน้ำตรงนั้นไม่ได้ ใหนจะไกลและอยู่กลางน้ำอีก คงต้องไปหาทางกลับที่เขาตะนาวศรีเช่น

    เดิม  ว่าแต่แล้วประตูดินที่ ภูเขามนุษย์นอนนี่มีมาทำไม ในเมื่อไม่มีอะไรผ่านเข้าออกได้  หรือมี

    แค่ให้มัจเจมันได้รู้ความจริงหันกลับมาหาทางผ่านทางนี้ ไม่ยุติธรรมกับฝั่งโลกเราเลยนะ "


    อรัญกล่าวเสริมแฟนสาวและแสดงความคิดเห็น


    " ไม่ใช่ไม่มีอะไรจากโลกของพวกเจ้าผ่านเข้ามานะ ปัวล่านั้นไงมันข้ามประตูดินมาจากฝั่งโลกของ

    เจ้า และอีกหลายเผ่าพันธ์ด้วย รวมทั้งสะดือน่าที่มันชอนไชได้รากของข้าอยู่ตอนนี้ ก็มาจากโลก

    ของเจ้าเหมือนกัน พวกเจ้าไม่เคยเห็นหรือว่าพวกนี้มันอยู่ที่โลกของเจ้า รวมทั้งพวกไมด้าสิ่งที่ปัว

    ล่ากลัวที่อยู่แถวปราการไพรีตทรอยนั่นด้วย พวกนั้นผ่านประตูภูเขาคนนอนมาทั้งนั้น  "


    ต้นไม้ยักษ์ตอบ


    " เป็นอย่างที่เราสงสัยจริง ปลวกยักษ์พวกนั้นลอดมาจากโลกเราตรงนี้นี่เอง  ตอนอยู่โลกเราตัวกระ

    จิ๊ดริด มาอยู่ที่นี่ใหญ่โตกันหมด แล้วทีพวกเราทำไมไม่ใหญ่โตบ้างนะจะได้ไม่เสียเปรียบ "


    อรัญ สบถ


    " ตอนที่ทุกสิ่งมาที่นี่มันก็ตัวเล็กทั้งนั้นเมื่อมันมีลูกหลานสืบต่อกันมาหลายปีมันก็ใหญ่ขึ้นมาเรื่อย

    เรื่อย ถ้าพวกเจ้าอยากตัวใหญ่ ก็สร้างลูกสร้างหลานไว้ที่นี่สิ อีกสักห้าร้อยรุ่นอายุพวกเจ้าคงตัว

    ใหญ่แน่


    ต้นไม้ตอบ 


    " เราพูดเล่นนะท่านต้นไม้ ไม่ใช่ที่นี่ไม่น่าอยู่หรอกนะ แต่เราก็อยากอยู่ในโลกของตัวเองกันทั้งนั้น

    แหละ อยากท่านยังไม่อยากอยู่ที่นี่เลยเพราะมันไม่ใช่ที่ที่ท่านเคยอยู่ "


    อรัญกล่าว


    " ปิเยข้าก็พูดเล่นเช่นกัน ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ตนเองไม่เคยอยู่ พวกปัวล่าก็คงเหมือนกัน ที่จริง

    รุ่นแรกแรกของมันก็คงอยากกลับไปที่โลกมนุษย์เหมือนกัน มันถึงได้สร้างรังที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์

    ไว้ เพื่อเตือนใจ "


    ต้นไม้ยักษ์กล่าว แต่คำพูดกลับทำให้ทุกคนประหลาดใจ และเฉลยข้อสงสัยให้กับทุกคน


    " อ๋อ อย่างนี้นี่เอง นี่พวกต้นไม้พวกท่านติอากอก็ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าทำไมภูเขาลูกนั้นที่เป็นรัง

    ของปัวล่าจึงเป็นรูปมนุษย์  พึ่งกระจ่างแจ้งตอนนี้เอง แต่เมื่อกี่ท่านว่าพวกปัวล่ากลัวอะไรหรือ มัน

    ร้ายกาจและมีพิษขนาดนั้นยังจะมีอะไรต้องกล้วอีกหรือ " 


    อรัญถามขึ้นอีกด้วยความสงสัย


    " มี สิ มีอยู่สองอย่างที่ปัวล่ากลัว จนมันไม่เคยออกมานอกปราการรังของมัน สิ่งแรกคือเพื่อนที่มา

    ด้วยกันจากโลกนั่นเเหละ พวกปิเยข้าเรียกมันว่าไมด้า พวกนี้มันร้ายกาจมากมายนัก มันเร็วกว่าปัว

    ล่าสิบเท่า ตัวใหญ่กว่า สามเท่า และมีกำลังมหาศาลฉุดลากปัวล่าได้ทีเดียวคราวละหลายหลาย 

    ถ้าปัวล่าตัวใดหลงออกมาจากปราการรังของมันจะถูกพวกนี้จับกินจนหมด พวกปัวล่าจึงต้องอยู่แต่

    ในปราการรังเพราะจำนวนที่มากทำให้ไมต้าไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปได้  อย่างที่สองที่ปัวล่ากลัวก็คือ

    ดินที่ปราการไพรีทรอย ดินที่นั่นมีสารที่ทำให้ปัวล่าตาย  เพราะอะไรอันนี้ปิเยข้าไม่รู้เหมือนกัน หรือ

    ธรรมชาติจะสร้างให้มีอะไรมาป้องกัน พวกปิเยเราจากปัวล่าก็ไม่รู้ สองสิ่งนี่ปัวล่ากลัว และดินที่

    ปราการไพรีตทรอยก็ยังไม่ผลกับไมด้าด้วย บางทีพวกไมด้าก็ต้องสังเวยร่างของพวกตัวเองเพื่อ

    เป็นสะพานข้ามปราการไพรึตทรอยเพื่อไปจับปัวล่ามากินเช่นกัน ทั้งสองสามสิ่งจึงคุมกันเองที่นั่น

    ทำให้ไมด้าและปัวล่าไม่ออกมาข้างนอกเป็นภัยต่อปิเย "


    ปิเยโซนตอบ


    " แสดงว่า ถ้าเราไปที่นั่นคงไม่ได้มีสิ่งที่น่ากลัวแค่ปลวกยักษ์นั่นแล้วนะ ต้องมีอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น

    อีก มันชอบเนื้อของปลวก และมนุษย์อย่างพวกเราเนื้อคงเป็นสิ่งที่มันกินได้เหมือนกัน แต่อยากรู้ว่า

    มันเป็นตัวอะไร ถ้ามาจากโลกเรา"



    กานต์ กล่าวรำพึง


    " ปิเยข้าก็ไม่รู้จะอธิบายรูปร่างของไมด้ายังไงเหมือนกันก็ฟังจากปิเยที่นั่นมาอีกที ปิเยที่นั่นไม่กลัว

    ปัวล่าเพราะรู้จักวิธีใช้สารจากดินปราการไพรีตทรอยดูดเข้ามาไว้ในร่าง ทำให้ปัวล่าไม่กล้าเข้าใกล้

    แต่เมื่อพวกปิเยสิ้นชีตะเอง พวกปัวล่ามันถึงจะเข้าไปกินร่างปิเยนั้นได้  "



    ต้นไม้กล่าวต่อ













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×