ลำดับตอนที่ #54
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #54 : จุดซ่อนเร้น
เเล้วทั้งหมดก็เริ่มไต่ลงหน้าผาโดยมีปิเยพิษทารีไต่ลงไปนำหน้า ปิเยพิษทารีเองก็ไม่ใช่ไม่หวั่น
ไหวกับภาพเบื้องล่าง มันลึกเสียจนจิตใจกังวลไปหมด ตอนอยู่ที่นี่เขาไม่เคยลงไปลักษณะแบบนี้
มาก่อน มีแต่การห้ามปรามกันเมื่อมี ปิเยใดคิดทำการเช่นหนี้ หลายครั้งมีปิเยเคยพลัดตกลงไป
เหมือนกัน แต่นั่นคือวาระสุดท้ายของปิเยเหล่านั้น เพราะร่างแหลกสลายกระจายชิ้นนับไม่ถ้วน เมื่อ
คิดเช่นนั้นเขายิ่งหวาดกลัวยิ่งนัก ซึ่งไม่ต่างกับมนุษย์ทุกคนเลย
" ยี๋ ทำไมขามันสั่นอย่างนี้ล่ะพี่อรัญ จะไหวไม๊เนี่ยน่ากลัวจัง ใจหวิวหวิวไปหมด "
ดุจปรายกล่าว ระหว่างที่ไต่ตามลงมา เสียงเธอสั่น และสีหน้าเธอซีดเผือด มีความรู้สึกจะเป็น
ลมเสียให้ได้
" อย่ามองลงไปข้างล่างละกัน จะทำให้ใจเสียได้ พอลงมาหน่อยนี่ลมแรงจริงจริง มิน่าว่าทำไมตรง
นี้ไม่มีหิมะ อยู่ "
อรัญพยายามปลอบและแนะนำแฟนสาวแต่ตัวเขาเองก็ไม่ต่างจากแฟนสาวเท่าใดนักแต่เขา
พยายามเก็บอาการไว้ เพื่อไม่ให้แฟนสาวของเขาใจเสียไปมากกว่านี้ ซึ่งทุกคนก็ไม่ต่างกันทั้งหมด
รู้สึกขาสั่น ด้วยความหวาดเสียว แต่ยังดีที่มีเถาวัลให้ได้จับอย่างแน่นหนา พวกเขารู้สึกได้ว่าเป็นคง
มีเถาที่เหนียวแน่นและยึดติดแน่นกับแผ่นผาอย่างมั่นคง เพราะทันทีที่มือพวกเขาจับและรับน้ำหนัก
ห้อยตัวพวกเขา มันไม่มีทีท่าว่าจะไหวอ่อนแต่อย่างใดเลย
" พักที่ซะง่อนหินใหญ่นี่ก่อนเหอะ รู้ว่าพวกจ้าจะไม่ใหวแล้ว "
เสียงปิเยพิษทารีกล่าวขึ้น หลังจากที่ได้ไต่ลงมาสักพัก และมองเห็นชะง่อนหินยื่นออกมา พอที่ทุก
คนจะหยุดพักตรงนั้นได้
" โอ๊ย ทำไมมือเท้าเย็นเฉียบไปหมด เลือดลมเดินหรือเปล่าไม่รู้เนี่ย ถ้าเกิดเป็นลมทำไงเนี่ย ดูไม่
ชินขึ้นเลย "
ทันทีที่จามิกรลงนั่งตรงพื้นหินที่ยื่นออกมาฉากกับหน้าผา เธอสะบัดขาและบ่นพิมพำ
" นั่นนะสิจา ตอนแรกก็ว่าใจสู้ล่ะนะแต่พอไต่ลงมาจริงจริงคนละเรื่องเลย ยิ่งตอนเผลอดันมองไป
ข้างล่างด้วยแล้ว ใจหายแว๊บเลย แข้งขาจะหมดแรงเสียให้ได้ "
แสงดาวกล่าวตอบเพื่อนสาว พร้อมเธอเองก็บีบนวดเท้าป้อยป้อยให้เลือดลมเดิน
" สู้แฟนผมไม่ได้ ไม่พูดอะไรเลยเห็นไม๊ หน้าซีดอย่างเดียว "
อรัญ กล่าวสัพหยอกดุจปรายเพื่อให้เธอสบายใจขึ้นและหายเกร็ง พร้อมเอามือลูบผมแฟนสาวเพื่อ
เป็นการปลอบโยน
" อืม ที่ปรายไม่พูด ไม่บ่น เพราะมันกลัวและจุกจนพูดไม่ออกน่ะสิ "
ดุจปราย ตอบดูเริ่มผ่อนคลายขึ้นบ้าง
" ตอนนี้ที่ว่าน่ากลัว ยังดีกว่าตอนที่ผมหล่นลงไปไม่ได้นะ ตอนนั้นใจหวิวมากเลย จะหัวใจวายให้
ได้ รู้สึกเลย ดีนะที่ลอยตัวขึ้นมาได้ก่อน ถ้าหล่นไปอีกหน่อยคงหัวใจวายก่อนถึงพื้นแน่ "
อัครชัย กล่าวถึงความรู้สึก
" ใช่เลยพี่หมอ คนที่อยู่ข้างบนเพื่อนจา ก็จะหัวใจวายเหมือนกัน ตอนที่พี่หมอหล่นมา นี่ถ้าพี่หมอ
ไม่กลับขึ้นไป จาคงต้องเสียเพื่อนไปแน่ "
จามิกร กล่าว
ทั้งหมดพยายามพูดคุยกันเพื่อให้คลายความหวาดเสียวและเกร็งของร่างกายได้ผ่อนคลายลง
ปิเยพิษทารีให้ทุกคนได้พักตรงนี้ เพราะเขาสังเกตว่าไต่ลงไปอีกจะเป็นหน้าผาที่เว้าเข้าไป ไม่เรียบ
เสมอตั้งฉากกับพื้นข้างล่างซึ่งตอนนี้พอจะมองเห็นแล้วแต่รู้ว่ามันลึกมากเพราะต้นไม้ด้านล่างดู
เขียวและมองดูเป็นต้นเล็กไปหมด
" ดูจากสายตาแล้วน่าจะลึกอีกกว่าหนึ่งกิโลนะ นี่เราไต่ลงมาได้ไม่กี่เมตร ไต่ลงไปถึงนั่นคงใช้เวลา
เป็นวันแน่ "
ปิเยพิษทารี กล่าว
" โห ถ้าเราต้องไต่ในสถานการณ์กดดันและน่ากลัวแบบนี้เป็นวันวันเลยเหรอ จะทำได้ไม้เนี๊ย
ขนาดลงมาไม่ถึงยี่สิบนาที ใจยังหวิวหวิวจะขาดเสียให้ได้ และลงไปนี้หน้าผาเว้าเข้าไปอีก โอ้ยน่า
กลัว "
ดุจปรายกล่าว เธอย่นจมูกด้วยความหวาดกลัว
" นั่นนะสิ ถึงจะพยายามยังไงก็ไม่วายหวาดกลัวกันอยู่ดี นี่แหระปัญหา ถ้าเราหวาดกลัวกันจนสติ
เสีย บางทีเราก็อาจทนการกดดันจากความกลัวทำให้เราปล่อยมือโดดลงไปเองก็เป็นได้ "
อัครชัยกล่าว ความที่เขาเป็นหมอถึงรู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าอาการกลัวของทุกคนถึงขีดสุด
" หรือว่าเราจะกลับขึ้นไปดี ดูท่าท่างจะไม่ใหวเหมือนกันนะ ใจฝ่อชอบกล "
แสงดาว กล่าว เธอได้ยินแฟนหนุ่มพูดเธอยิ่งใจเสีย หลายครั้งเหมือนกันที่ตอนไต่ลงมาเธอใจหวิว
หวิวด้วยความหวาดกลัวจนบางครั้งเกือบมีอาการอย่างที่อัครชัยบอกเหมือนกัน
" อย่าเลยยังไงเราก็ต้องหาทางไปที่นั่นอยู่ดี ถึงจะกลับขึ้นไปสุดท้ายเราก็คงต้องตัดสินใจลงกันมา
อยู่ดี เพราะทางนี้คงเป็นทางที่สะดวกที่สุด ตอนนี้เรามากันไกลมากเหลือ อีกไม่ถึงวันเราจะมา
ถอดใจเลย ถ้าเรายังกลัวอยู่เราพักที่นี่สักพักใหญ่ใหญ่ คงจะคลายความหวาดกลัวลง ถึงตอนนั้น
เราก็ค่อยไปกันต่อ "
ปิเยพิษทารี กล่าวเขารู้สึกว่าพวกมนุษย์เริ่มใจฝ่อแล้วแต่เขาคิดว่าทุกคนก็ไม่น่าจะมีทางเลือกที่
มันดีกว่านี้ได้
อัครชัยแนะนำให้ทุกคนสูดหายใจ เข้าปอดลึกลึกเพื่อกลับมาหายใจได้สะดวกขึ้น ทุกคนพยายาม
ทำใจ แต่ก็ดูมันยากจริงจริงกว่าทุกคนคิดว่าน่าจะพอทำใจได้ก็กินเวลาเป็นชั่วโมง
" ไปเถอะคิดว่าพอทำใจกันได้บ้างแล้ว "
ปิเยพิษทารี เอ่ยปากชวน เพราดูสีหน้าทุกคนดีขึ้นไม่ซีดเผือดเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว
แทนคำตอบทุกคนกุลีกุจอเก็บสิ่งของที่ติดตัวมาสะพายขึ้นหลังเตรียมพร้อม ไม่วายนี่ทุกคนจะ
สำรวจในกระเป๋า หนอนเรคินยังคงสงบนิ่งอยู่ในนั้น อัครชัยนึกเสียดายที่มันไม่ได้เข้าร่วมช่วยเหลือ
เพราะเขารู้ว่าถ้าทำได้เขาคงไม่ต้องกระอักกระอ่วมใจกับอาการกลัวความสูงเช่นนี้
ปิเยพิษทารีรีบไต่ลงส่วนหน้าผาที่ผลุบเข้าไปทันที ทุกคนมองตามแล้วกลับเริ่มใจเสียอีกครั้ง
เพราะความลาดหน้าผาผลุบเข้าไปจนแทบมองไม่เห็นว่ามันเว้าไปแค่ใหน ทุกคนรู้ว่าการไต่ลงไป
มือคงต้องจับไว้ที่เถาวัลย์ และร่างกายคงห้อยต่องแต่ง เท้าไม่มีที่ให้เหยียบเพราะความเว้าลึก
เข้าไปของหน้าผา คงทำให้เกิดความเสียวสุดยอดกว่าหน้าผาที่พึ่งไต่ลงมาเป็นแน่
แต่เมื่อไต่ลงมาจริงพวกเขากลับดีใจ เถาวัลย์บริเวรนี้ กลับยื่นยาวออกมาจากหน้าผาห้อยอยู่ เป็น
จำนวนมาก นั่นทำให้พวกเขาสามารถทั้งเหยียบและจับมันได้มั่นคง ถึงด้านล่างจะดูเวิ้งว้างว่าง
เปล่ากว่าตอนที่ไต่มาข้างบน เพราะเหมือนพวกเขาลอยตัวอยู่ในอากาศโดยมีหน้าผาอยู่บนหัว
แต่ความที่มีมากมายของเถาวัลย์ทำให้พวกเขาทั้งเหยียบทั้งจับหรือบางทีสามารถนั่งได้อย่าง
มั่นคง ถึงจะมีความหวาดเสียวอยู่เหมือนเดิมแต่ที่จับและเหยียบอยู่มั่นคงก็ช่วยทำให้ใจสบายได้
กว่าเดิมเยอะ
ปิเยพิษทารี ดีใจที่ได้เห็นมีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าของพวกมนุษย์ที่ไต่ตามเขามาเขารู้ว่าพวกมนุษย์
คงสบายใจขึ้นเขาเองก็ดีใจ และยิ่งดีใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าความเว้าลึกของหน้าผายังทอดไปอีกไกล
มาก นั่นคือหมายความว่าเถาวัลย์ก็ยังคงมีลักษณะเช่นนี้ไปอีกไกลเช่นกัน เพราะมันต้องยื่นออกมา
เพราะต้องการอากาศและเเสงแดด ทั้งหมดไต่ลงเรื่อยและรู้ว่ามันได้ลงมาต่ำพอสมควรเมื่อสามสี่
ชั่วโมงผ่านไป และเบื้องหน้าหน้าผาก็กลับมาตั้งฉากกับพื้นดินอีกปิเยพิษทารี จึงมองหาที่พัก
เพราะรู้ว่าทุกคนน่าจะล้าพอสมควรแล้ว
" ลานหินผาสีดำข้างหน้านั่นเราจะพักก่อน ปิเยข้าคิดว่าเราน่าจะลงมาได้สักครึ่งนึงแล้วถ้ามีถ้ำ
อย่างเจ้าเห็นจริงและตรงกับบันทึกของปิเยพิษเซลล่าเราคงต้องหากันแถวนี้ "
ปิเยพิษทารี ร้องบอกพวกมนุษย์ที่ไต่ตามลงมา ก่อนหน้านี้เพราะความสะดวกเขาไม่ใด้ชวนทุกคน
พักลากยาวไต่ลงมาหลายชั่วโมงหลักจากที่พักตอนนั้น เขาชี้มือไปที่ลานหินสีค่อยข้างดำที่อยู่ด้าน
ล่างลงไปไม่ไกลนักและทุกคนก็มองตามจุดหมาย
ปิเยพิษทารีไต่ลงดิ่งไปและเมื่ออีกไม่ถึงเมตรเขาก็ปล่อยมือจากเถาวัลย์กระโดดปล่อยตัวลงไป
แต่เมื่อส่วนที่เป็นร่างของเขาที่เหมือนเท้าสัมผัสพื้นหิน เขาก็ต้องเสียหลัก เพราะพื้นนั้นมันลึ่นมาก
เขาไม่ทันระวังตัวร่างไถลลื่นไปส่วนปลายของลานหินจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ ดีที่เขาไวและคว้า
เถาวัลย์ขอบลานหินไว้ได้ทันและดึงร่างตัวเองขึ้นมาบนลานหินได้อีกครั้ง
ทุกคนตกใจแต่ก็ยังใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นปิเยพิษทารีช่วยตัวเองให้ปลอดภัยได้อีกครั้ง พวกมนุษย์ รู้
ว่าการกระโดดลงลักษณะปิเยพิษทารี ไม่ปลอยภัย จึงได้ไต่ลงช้าช้าและหย่อนขาลงให้ถึงพื้นลาน
หินก่อนปล่อยมือจากเถาวัลย์
" มันลื่นมากนี่เอง ที่เห็นดำดำนี่มันเป็นเรือกเรือกเลย อะไรกัน เปียกลื่นลื่นอยู่บนลานหินนี่ "
กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ
" มันไม่ได้ลื่นอย่างเดียวนะพี่กานต์ มันเหม็นมากด้วย เหม็นเหมือนขี้ของอะไรซักอย่างหนึ่งสาบ
สาบเหมือน เวลาเราอยู่ในถ้ำแล้วได้กลิ่นขี้ค้างคาว "
จามิกรกล่าว เเละทำจมูกย่นด้วยความเหม็น
" มันก็คงเป็นขี้ค้างคาวนี่เเหละมันคงมาขี้ไว้ตอนมาพักที่นี่ตอนกลางคืน ที่นี่มันคงเป็นที่พักของมัน
ตอนออกหาอาหารอยุ่ประจำเเหระ "
อัครชัย กล่าว
" ถ้าเป็นค้างคาวคงเป็นค้างคาวพวกนั้นแน่เลย ดูแลขี้มันกองใหญ่และเหม็นมากเลย เราคงจะพัก
ตรงนี้ไม่ได้นานหรอกเหม็นขนาดนี้ เราช่วยกันหาถ้ำเถอะ ถ้าไม่เจอตรงนี้ก็รีบลงไปอีกให้พ้นตรงนี้
เหอะ เหม็นจะแย่อยู่แล้ว "
แสงดาวเร่งเร้า เพราะรู้สีกได้ว่ามันเหม็นสุดจะทน
ทุกคนพยาสอดส่ายตามองไปรอบรอบตัวเพราะสังเกตุหาถ้ำที่คาดว่าน่าจะมี แต่จากการสังเกตุไม่
พบอะไร คงเห็นแต่หน้าผาที่มีแผ่นตีบตัน ไม่มีรูหรือโพลงแต่อย่างใด
" ไม่เจอเลยไต่ลงไปอีก "
ปิเยพิษทารีกล่าว เขารู้ว่าทุกคนไม่อยากจะอยู่ตรงนี้นานเพราะความเหม็น
ทั้งหมดไต่ลงอีกครั้งทั้งที่แทบจะไม่ได้ถือว่าเป็นการพักผ่อนได้เลยตรงลานหน้าผาตรงนี้ ความ
กลัวในการไต่ลงไปลดน้อยลง จากการผลักดันของความเหม็นที่เหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย
และถึงแม้จะลงมาได้และห่างลานหินลงมาพอสมควรพวกเขาก็ยังได้กลิ่นที่ติดเท้าพวกเขามาและ
โดยเฉพาะที่ติดร่างของปิเยพิษทารี ที่ล้มลื่นบนลานผา แต่ก็ยังดีที่มันคงพอมีกลิ่นน้อยอยู่บ้างกว่า
เดิม พวกเขาจึงพอทนได้
" ปีนไปด้วยช่วยดูกันไปด้วยละกันเผื่อเจอ บางทีอาจมีถ้ำอยู่แถวนี้ เพราะค้างคาวมันอยู่ถ้ำ "
ปิเยพิษทารีร้องบอก
" ขออยู่ให้มีถ้ำอยู่แถวนี้ที่เถิด "
เสียงอรัญพึมพำเบาเบา แต่ดุจปรายที่และคนที่ไต่อยู่ใกล้ใกล้ได้ยิน
" อ้าว มาหาถ้ำแต่ไม่อยากให้เจอถ้ำ ยังไงเนี่ย "
ดุจปราย งง ความหมายคำพูดของแฟนหนุ่ม
" นั่นนะสิ พี่อรัญจะมาภาวนาไม่ให้เจอถ้ำแถวนี้ แล้วที่เราไต่กันลงมาอย่างอยากลำบากนี่เราจะมา
เพื่ออะไรกัน "
แสงดาว เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ยินคำพูดอรัญ เธอก็สงสัย
" เจอถ้ำแถวนี้ก็จะเจอเจ้าของขี้เหม็นนั่นด้วยสิก็รู้อยู่พวกนี้ต้องอยู่ในถ้ำ "
อรัญอธิบาย ทุกคนจึงถึงบางอ้อ
" เออจริงด้วย "
กานต์ กล่าวเขาพึ่งเข้าใจ
" แต่รู้สึกว่าตอนที่ผมหล่นมาไม่ใช่แถวนี้นะตรงนั้นรู้สึกมีแต่ผาหินโล่งโล่ง และถ้ำก็อยู่เด่นเห็นได้
ชัดไม่มีต้นม้นขึ้นที่หน้าผาทึบทึบแบบนี้ ถ้ำอาจจะไม่ได้อยู่แถวนี้ก็ได้"
อัครชัย ตั้งข้อสังเกต
" แต่ปิเยข้าคิดว่า พิษเซลล่าน่าจะต้องลงมาทางนี้ เพราะพวกเราไต่ลงมาทางนี้ดูเหมือนจะ
สะดวกที่สุด ถ้าเราจะไต่ลงมาตามหน้าผา พิษเซลล่าก็คงเช่นกัน เพียงแต่พวกเราอาจจะยังลงไป
ไม่ถึงถ้ำเพราะมันอาจจะอยู่ต่ำลงไปอีกก็เป็นได้ บางทีถ้ำที่เจ้าหมอเห็นคงไม่ใช่ถ้ำที่เก็บรางพิษ
ก็ได้ "
ปิเยพิษทารี แสดงความเห็น
" ถ้างั้นลงไปกันต่อเถอะลองไต่ลงไปตามที่คิดว่าน่าจะลงไปได้ถนัด บางทีท่านพิษทารีอาจพูดถูก
ผมก็เห็นด้วยเหมือนกันว่าทางนี้น่าจะไต่ได้ง่ายกว่าทางอื่นอื่น และปิเยพิษเซลล่าคงจะมาทางนี้ก็
เป็นได้ ถ้ามัวช้านี่ก็ครึ่งวันแล้ว ถ้ามามืดที่หน้าผาจะเกิดอะไรขึ้นน่าจะรู้นะ ไม่อยากไปเป็นขี้เปื้อน
อยู่หน้าผานั่นนะ "
อรัญกล่าว เขาอดขี้เล่นไม่ได้
ปิเยพิษทารีเริ่มไต่ลงอีกครั้ง อรัญพูดถูกถึงจะดูขี้เล่นไปบ้างแต่ทุกคนก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง
ทั้งหมดดูคลายกังวลเรื่องความลาดชันของหน้าผาไปมาก กอปรกับความสูงดูน้อยลงจากพื้นเบื้อง
ล่างเขาเริ่มมองเห็นพื้นดินชัดเจนขึ้น ประเมินว่าที่ไต่ลงมากับที่ไต่ลงไปไล่เลี่ยกัน นั้นก็หมายความ
ว่า ถ้าไต่ลงไปถึงข้างล่างโดยไม่เจออะไรคงเป็นเวลามืดค่ำพอดี จึงไม่น่าจะมัวรีรออะไรอีก
อัครชัยผู้ที่ไต่ตามปิเยพิษทารีเป็นคนแรก หยุดชะงักเพราะสังเกตุว่าปิเยพิษทารีส่งสัญญาณให้
หยุดเคลื่อนใหวเขาจึงส่งสัญญาณไปบอกทุกคนให้หยุดเช่นกันเมื่อไต่ลงมาอีกสักพัก
" มีอะไรเหรอ ท่านพิษทารี "
อัครชัยถามอย่างสงสัย
" ปิเยข้าได้กลิ่น..."
ปิเยพิษทารีตอบแต่ดูเหมือนเขาไม่แน่ใจว่าได้กลิ่นอะไร
" ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลยมีแต่กลิ่นเหม็นที่ติดเท้าเรามาแล้วก็ตัวท่านพิทารี "
แสงดาว กล่าว
" เราไม่ใช่คนที่นี่บางทีเราอาจจะไม่ได้กลิ่นเหมือนท่านพิษทารีก็ได้ฟังก่อนว่าท่านพิษทารีได้กลิ่น
อะไร "
อัครชัย แสดงความเห็น แต่ยังไม่ทันที่ปิเยพิษทารีจะพูดอะไรต่อ
" อุ๊ยรู้สึกว่า ในกระเป๋าหนอนเรคินจะขยับตัวนะ เหมือนมันจะออกมาจากกระเป๋า "
ดุจปราย ตกใจเล็กน้อยรู้สึกถึงมีการเคลื่อนใหวในกระเป๋าที่เธอสะพายอยู่และนั่นคงมีแต่หนอน
เรคินเท่านั้นที่น่าจะเคลื่อนไหวได้
" นั่นสิ จาก็เหมือนกัน เอ๊ะทำไมมันจะออกมาตอนนี้หรือว่ามันจะออกมาช่วยเราแล้ว หรือเรากำลัง
จะเจอกับอะไร"
จามิกร ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกได้ในกระเป๋าเช่นกัน
" พวกเราก็เหมือนกัน "
แสงดาวร้องบอกเพราะเห็นหนอนเรคินซึ่งตอนนี้มันออกมานอกกระเป๋าแล้วทั้งของเธอและแฟน
หนุ่ม
" เราอาจจะเจอ แล้ว ปิเยข้าได้กลิ่นพิษอย่างหนึ่งเป็นไปได้ว่าเราคงใกล้จุดที่ปิเยพิษเซลล่าเก็บ
รางพิษไว้แล้ว หนอนเรคินคงรับรู้ได้เช่นกันจากกลิ่นที่ได้ มันจึงเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าต้องถอยออก
ไปหน่อย รู้สึกว่าหนอนเรคินจะมีผลต่อพิษด้วยแน่ ไม่รู้ว่าจะด้านดีหรือด้านร้าย "
ปิเยพิษทารี บอกทุกคน
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะขยับตัว หนอนเรคินที่อยู่ในกระเป๋าทุกคนกระโดดออกจากกระเป๋าและถอยกรูด
ห่างออกไปจากที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็ว
" มันคงไม่เป็นผลดีกับหนอนเรคินแน่ มันถึงมีอาการเช่นนี้ พิษนี้ปิเยข้ารู้จักและร่างปิเยข้าก็มีภูมิพิษ
ต้านทาน กลิ่นแบบนี้ ปิเยพิษทาวีซิส เป็นปิเยที่มีพิษกลิ่นของมันเมื่อใครได้สูดดมเป็นเวลานานจะ
ควมคุมตัวเองไม่ได้ทั้งร่างกายและทั้งจิตใจ แม้แต่ปิเยด้วยกัน พิษเซลล่าคงเอามันมาที่นี่เพื่อมา
เฝ้ารางพิษก็ได้ เพราะไม่มีปิเยใดเคลื่อนย้ายพวกมันได้นอกจากปิเยพิษเผ่าพันธุ์เรา ไปพวกเรา
ช่วยกันค้นหาเราใกล้ถึงแล้ว"
ปิเยพิทารีบอก พร้อมเร่งเร้าทุกคน
" เอ๊ะ เดี๋ยว เดี๋ยวท่านพิทารี มันร้ายกาจขนาดนั้นท่านยังจะให้พวกเราไปเข้าใกล้มันอีกเหรอ ขนาด
หนอนเรคินยังถอยกรูดขนาดนั้น "
อรัญ ถามด้วยความสงสัย
" เออลืมบอกไป ปิเยทาวีซิส มีพิษ ก็ต่อเมื่อได้กลิ่นมันเป็นเวลานานเกินสิบวันขึ้นไป มันจึงจะมีผล
ตอนนี้พวกเจ้าไม่ได้เป็นปิเยและไม่ได้กลิ่นแสดงว่ามันต้องมีผลกับพวกเจ้าใช้เวลามากกว่านั้น จึง
ไม่มีผลอะไรเลยกับพวกเจ้าตอนนี้ ส่วนหนอนเรคินเป็นส่วนหนึ่งของท่านติอากอ และเป็นปิเยที่มี
พลังมาก ยิ่งมีกำลังมากทำไร ปิเยทาวีซิสก็จะมีผลมากเท่านั้น หนอนเรคินจึงต้องถอยกรูดอย่าง
นั้น "
ปิเยพิษทารี อธิบาย
" โล่งอกไปที ไปง้้นพวกเราช่วยหากันเถอะ "
อรัญถอนหายใจอย่างโล่งอก
" นี่ไงเจอแล้ว "
และ ปิเยพิษทารี ก็เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เบื้องหน้าขณะนี้จุดหมายที่พิษทารีบอกบังเหลี่ยมหินมาจาก
ที่ทั้งหมดเดินมาไม่ไกล ปากถ้ำค่อนข้างใหญ่มีความกว้างและสูงประมาณสามเมตรก็ประจักแก่
สายตาทุกคนตามคำบอกของปิเยพิษทารีที่ชี้ให้ดู
" นี่ไงปิเยพิษ ทาวีซิส "
ทุกคนเห็นต้นไม้พันเตี๊ยมีดอกเพียงดอกเดียวชนิดหนึ่งคือจุดหมายที่ปิเยพิษทารีชี้ให้ดู และอยู่
หน้าถ้ำ ปิเยพิษทารีก็เดินไปถอนมันจากพื้นติดมือขึ้นมาและขว้างมันลงไปให้ตกลงไปเบื้องล่าง
หน้าผาทันที
" ถอนมันขึ้นจากพื้นมันก็สิ้นฤทธิ์แล้ว เดี๋ยวกลิ่นมันหมดแถวนี้ หนอนเรคินก็คงเข้ามาได้ ดูสิตรงนี้
ลานโล่งเลยไม่มีปิเยกล้าเข้ามาใกล้ตรงปากถ้ำนี้เลยแสดงว่ากลัวปิเย ทาวีซิสแน่ เรามาถูกแล้วใน
ถ้ำนี้ มีรางพิษอยู่แน่ "
ปิเยพิษทารี กล่าวน้ำเสียงเขาดีใจอย่างเห็นได้ชัด จุดหมายที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตากันมาแสนไกล
บัดนี้อยู่ในถ้ำข้างหน้านี้แล้ว
" เจอกันซักทีนะ "
อัครชัยกล่าวกับทุกคน
" ใช่ รางพิษต้องอยู่ในนี้แน่ไม่มีปิเยใดกล้าเข้าไปเอาได้ พิษเซลล่าเข้าใจหาที่ซ่อนถ้าไม่มิดชิด
อย่างนี้ คงอยู่ไม่ถึงพวกเรามาเอาแน่ ่"
ปิเยพิษทารี กล่าวชื่นชนหลานเผ่าพันธุ์พิษของตนเอง
"เราพักกันก่อนเดี๋ยวหายเหนื่อยแล้วค่อยเข้าไปเอากัน "
และปิเยพิษทารีก็กล่าวต่อ และนั่นก็เป็นสิ่งทีทุกคนอยากจะบอกเขาอยู่ดีเพราะความล้าที่ไต่
หน้าผากันลงมาตรงนี้และได้พักเพียงน้อยนิด
" ถ้าเราได้มาแล้วจะทำไงต่อล่ะท่านพิษทารี "
อรัญถามขึ้นระหว่างนั่งพัก
" เราก็ต้องไต่ลงไปข้างล่างคงจะเกือบมืดพอดีและหาที่พัก ซึ่งแถวนั้นปิเยข้ารู้ว่ามันมีถ้ำหิราอยู่
ตรงใหนบ้างคงจะพอหลบจากแองโกล่าได้ และรุ่งเช้าเราค่อยลัดเลาะตามแนวหิราขึ้นไปมัจติสขอ
อยู่ที่นั่นสักพักและเราก็จะกลับ "
ปิเยพิษทารี อธิบายแนวทาง น้ำเสียงเขาดูผ่อนคลายขึ้นเยอะ
" ทีนี้หวังพวกเราคงไม่ต้องเจอกับอะไรแล้วมั้ง ขากลับเราก็คงรู้ว่าตรงใหนน่าจะมีอะไรอันตราย
แล้ว และเมื่อมีซากอะไร ที่พอให้หนอนเรคินเข้าไปได้ คงเป็นพาหนะให้พวกเราขี่กลับได้"
ดุจปรายพูดกับแฟนหนุ่ม
" คงงั้นแหละดูลงไปข้างล่างก็ไม่น่ากลัวเท่าไรถึงจะชันแต่ตอนนี้กำลังใจพวกเราดีแล้ว อาจจะไต่
ได้เร็วกว่าตอนไต่ลงมาเยอะ พี่คิดว่าบางทีบ่ายเราอาจจะถึงข่างล่างนั่นก็ได้ "
อรัญตอบแฟนสาว เขาดูมีหลักการและจริงจังขึ้นคงเป็นเพราะความสบายใจในสถานการณ์ตอนนี้
นั่นเอง
" เฮ็อ คิดถึงลานดินตรงข้างล่างนั่นจัง ถ้าลงไปถึงนะจะจูบสักที "
จามิกรชี้ให้กานต์มองดูจุดหมายที่คิดว่าอีกไม่นานจะได้ลงไปถึงที่นั่น ความหวาดกลัวจากความสูง
คงหมดไปเมื่อไปถึงตรงนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" มัจเจ เหตุใดดูเจ้าถึงอยากให้ปิเยข้าอนุญาติเรื่องการมีไพร่พลที่มีร่างกายดั่งไพร่พลของ พวกติ
อากอมัน ปิเยข้าก็บอกเจ้าแล้ว มนุษย์เป็นของชั้นต่ำ และไม่นานเราก็จะข้ามไปทำลายพวกมันอยู่
แล้ว "
ปิเยโอ๊คคาระ กล่าวขึ้น หลังจากที่ได้ยินจุดประสงค์ของมัจเจเรื่องการขออนุญาติทำให้ร่างกายปิเย
ไพร่พลที่กำลังจะสร้างมาใหม่มีร่างกายคล้ายมนุษย์ ตามที่ปิเยของติอากออยู่ในขณะนี้
" ปิเยข้าเห็นว่า น่าจะยังมีเหตุผลอะไรซักอย่าง นะที่พวกนั้นพยายามเพิ่มร่างของปิเยที่เหมือน
มนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อย อย่างที่ปิเยท่านเคยบอก ท่านตะเคียน่า คงไม่แนะนำอะไรที่ไม่มีประโยชน์
กับติอากอแน่ เพียงแต่เราไม่เข้าใจเหตุผลเท่านั้นเอง ทางทีดีปิเยข้าคิดว่าเราน่าจะหาทางป้องกัน
ไว้ โดยทำให้ส่วนหนึ่งของปิเยเรา เป็นอย่างพวกมันทั้งทั้งที่ปิเยข้าก็ยังไม่รู้ว่าพวกนั้นทำไปเพราะ
อะไรแต่คิดว่าเราจะผลิตไพร่พลขึ้นมาอีกมายมายได้ในเวลาข้างหน้านี้ ไม่แน่อาจทำให้พวกเรามี
ร่างกายที่เหมาะสมในการผ่านประตูตะเนยาไปก็ได้เมื่อเราได้ทำลายพวกติอากอแล้ว และพวกเรา
ก็มีซากมนุษย์ที่อยู่กับเราตอนนี้อยู่เราก็น่าจะใช้โอกาสนี้เอามันมาเป็นต้นแบบ ในการแต่งร่างให้
เหมือนมนุษย์ และปิเยข้าจะเสริมพิษให้ร่างพวกนั้นด้วย เพื่อให้เรามีพิษสงค์มากกว่าพวกมัน แม้ถึง
มีร่างคล้ายกันก็ตาม "
ปิเยมัจเจ กล่าวตอบพร้อมอธิบายเหตุผล
โอ๊คาระ ครุ่นคิดอยู่สักครู่จึงได้เอ่ยขึ้น
" ปิเยเจ้าพูดก็มีเหตุผล ตะเคียน่าคงมีแผนอะไรซักอย่างเป็นแน่แท้ ที่จริงปิเยข้าคงจะเอาแต่
อารมณ์และความรู้สึกตัวเองอย่างเดียวคงไม่ได้ ศึกครั้งนี้ ถ้าดูให้ดีพวกเราทำได้ไม่ราบคาบก็ยัง
วางใจไม่ได้ งั้นทดลองดูก็ได้ แต่ร่างมนุษย์ผู้หญิงที่เจ้าเอามาดูไม่เเข็งแรงเท่าใดนัก อีกอย่างเป็น
ร่างที่ไม่สมบูรณ์เจ้าจะทำได้เหรอ"
" คงได้นะท่าน อย่างน้อยก็เคยเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตเหมือนกัน ถึงร่างมนุษย์ทีอยู่กับปิเยเราเราน่าจะดู
อ่อนแอกว่าร่างที่พวกติอากอมันสร้างขึ้น แต่ปิเขข้าจะทดแทนมันด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยพิษ
สงค์ ชนิดที่พวกมันต้องสยบอย่างราบคาบเลย"
ปิเยมัจเจกล่าว
ร่างกายมนุษย์ที่มัจเจและ โอ๊คคาระพูดถึง คือร่างของหญิงชาวนา ที่ได้เกือบเคยตกเป็นเหยื่อของ
นกเงือกร่างยักษ์ และที่พวกของอัครชัยพยายามช่วยไว้คราวมีชีวิตอยู่ แต่ด้วยความบังเอิญ ร่าง
ตอนที่มีชีวิตอยู่นั้นได้ตกลงมาจากต้นไม้เสียชีวิต และพวกของอัครชัยได้ฝังไว้ และมัจเจได้ใช้
เรคาเข้าควบคุมร่างนั้น และนำกลับเข้ามาอยู่ในทัพของมัจเจ ดังนั้นร่างที่มัจเจพยายามสร้างให้ปิเย
ของตัวเองร่างเหมือนซากมนุษย์คนนี้ มัจเจจึงได้ปิเยที่มีรูปร่างไม่ต่างจากซากศพมนุษ์ที่เดินได้
ซึ่งแตกต่างจากร่างที่พวกติอากอที่สร้างจากต้นแบบมนุษย์ผู้ชายที่มีร่างกายสมบูรณ์เพราะยังมีชีวิต
อยู่เป็นแบบให้ในขณะนั้น
" อีกไม่เกินสามเดือน ท่านโอ๊คคาระ พวกเราก็จะสร้างไพร่พลที่เพียงพอและมีเรคารียะมีจำนวน
มากมาย และเมื่อนั้นเราจะเหยียบย่ำ พวกของติอากอ ข้ามประตูตะเนยาไปยังโลกมนุษย์ ปิเยข้า
รับรอง"
ปิเยมัจเจ กล่าวกับโอ๊คคาระอย่างมั่นใจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" ตอนนี้ ปิเยพิษทารี และมนุษย์พวกนั้น จะถึงรางพิษแล้ว ปิเยข้ารับรู้ได้ จากเรคินแห่งข้า และ
ตอนนี้พวกนั้นรู้เเล้วว่าเรคินแห่งข้าส่งไปช่วย พวกเขาสื่อสารกับเรคินแห่งข้าได้อีกด้วย และเมื่อ
ทั้งหมดได้ รางพิษมา คงอีกไม่ถึงเดือนพวกนั้นคงจะเดินทางกลับมา "
ปิเยติอากอ กล่าวกับปิเยตะเคียน่า ปิเยทาร์และไพร่พลปิเย ที่รอฟังข่าวและรอความหวังอยู่
" คงมาช่วยปิเยเราได้ทันแน่ นับว่ามีโชค ปิเยเราที่ซุ่มดู พวกมัจเจ ที่ผ่านมาจู่จู่พวกมันก็เสีย
ไพร่พลไปมากมาย จนไม่เพียงพอเข้าต่อกับปิเยเรา กว่ามัจเจจะสร้างเพิ่มได้คงอีกนาน และนั่นก็
คงทำให้ ปิเยพิษทารีและพวกมนุษย์กับมาทัน เราคงไม่เพลี่ยงพล้ำศึกครั้งนี้แน่ "
ปิเยทาร์ กล่าว
" แต่มนุษย์ ผู้เดียวที่ถูกแยกไปสิ ปิเยข้าหวั่นชอบกล เรคินแห่งข้าที่อยู่ในร่างเขา ส่งข่าวเผ่าพันธ์
ประหลาดที่จับเขาไป ดูไม่รู้เจตนาเลยว่าจะทำอะไร ที่พวกนั้นมีอาวุธที่ทำลายล้างได้สูงมาก ตอน
นี้เรคินแห่งข้าไม่กล้าแสดงตัวให้ผิดสังเกตุ ยังดีนะ ที่มนุษย์คนนั้นก็ยังไม่รู้ว่ามีเรคินอยู่ในตัวมัน
ด้วย ถ้าเขารู้และบอกกับพวกเผ่าพันธ์นั่นไม่รู้ว่าเรคินแห่งข้าจะเป็นเช่นไร เพราะพวกนั้นมีเครื่องมือ
ที่ส่องเข้ามาในร่างกายของมนุษย์ ได้ "
ปิเยติอากอกล่าว อย่างหวั่นวิตก
" ปิเยข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั่นเคยมาที่นี่แต่สื่อสารกับปิเยข้าไม่ค่อยได้ เหมือนพวกมันจะมา
ตามหาอะไรซักอย่างหนึ่งหรืออย่างไรนี่แหระ ปิเยข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจและพวกมันก็คงไปที่โอ๊คคาระ
เช่นกัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะสื่อสารกับโอ๊คคาระรู้เรื่องหรือเปล่า "
ตะเคียน่า กล่าว
" ดูแล้วพวกมันพยายามจะให้มนุษย์ที่มันจับไปช่วยสอนภาษาและการสื่อสารเสียมากกว่า และ
ตอนนี้ยังสื่อสารกันไม่ได้มาก ไว้เมื่อเข้าใจกัน เรคินของปิเยข้าคงเข้าใจและ พวกเราคงรู้ว่าพวกนั้น
มันต้องการอะไร "
ติอากอ สรุป
และทันใดก็มีปิเยส่งข่าวร่างหนึ่งก็เข้ามารายงาน
" ท่านปิเยทาร์ ฝั่งของทัพมัจเจมีความเคลื่อนไหว มีการสลักร่างให้ปิเยเหมือนมนุษย์ อย่างกับ
พวกปิเยเรา และตอนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อย ปิเยเราเฝ้าข่าวอยู่ได้แจ้งมา "
ปิเยทาร์ พยักหน้ารับข่าว และปิเยที่แจ้งก็ได้กลับออกไป
" มัจเจมันคงเลียนแบบปิเยเรา มันคงสงสัยว่าทำไมปิเยเราถึงทำเช่นนี้ เป็นการดีที่มัจเจมันคงไม่รู้
ว่าร่างกายปิเยที่สลักได้คมหิรานั้น จะต้องบอบช้ำและบาดเจ็บมาก ถ้าไม่มีน้ำจากลำภาชีระเข้า
ประสานบาดแผล ระหว่างที่แผลบนร่างปิเยพวกมันยังไม่หายดี มันคงยังไม่เข้ามาในเวลาอันใกล้นี้
แน่ "
ปิเยโอ๊คาระ กล่าว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
" ข้างในมืดมากเลยนะท่านพิษทารี มองไม่เห็นเลย เราเข้าไปเราจะรู้ได้ยังไงรางพิษเก็บอยู่ตรง
ใหน และถ้ำนี้กว้างใหญ่ขนาดใหน "
อัครกล่าว ขณะมองลอดเข้าไปในถ้ำเพราะทั้งหมดคิดว่าคงได้เวลาเข้าไปหารางพิษในนั้นแล้ว
" ไม่ต้องกลัว ลืมไปแล้วหรือร่างข้าสร้างให้เรืองแสงได้ ความมืดไม่ใช่อุปสรรค มาตามปิเยข้ามา "
ปิเยพิษทารีกล่าว พร้อมสาวเท้าออกนำไปเข้าในถ้ำ
" อุ๊ย สะดุดหิน ท่านพิษทารีตรงนี้ก็มืดแล้วนะให้แสงเลย "
เสียงอรัญที่พลาดไปสะดุดหิน เข้าเพราะมองไม่เห็นพื้น
" ถอยก่อน ออกไปก่อน "
สิ้นคำสั่งปิเยพิษทารีทุกคนรู้ถึงสิ่งผิดปรกติ พวกเขาถอยกรูดกลับออกมานอกถ้ำอย่างรวดเร็ว และ
เมื่อออกมาข้างนอกอัครชัยจึงถามเหตุผลปิเยพิษทารี
" มีอะไรเหรอ ในถ้ำมีอะไรใช่ใหมถึงได้รีบออกมา หรือว่าท่านเห็นอะไร "
" ยังไม่รู้ว่ามีอะไร รู้แต่ว่าทำไมร่างปิเยข้าจึงสร้างแสงในถ้ำแห่งนี้ไม่ได้ หรือคงเป็นเพราะมีรางพิษ
อยู่ข้างใน หรือว่าถ้ำคงถูกปกคลุมด้วยพิษของทาวีซิสเป็นเวลานานแล้วจึงทำให้ร่างข้าไม่สามารถ
สร้างแสงในถ้ำนี้ได้ ปิเยข้าสงสัยว่าเราคงต้องเข้าไปในนี้มืดมืด ร่างปิเยข้าคงไม่สามารถสร้าง
แสงในที่แห่งนี้ได้ "
ปิเยพิษทารี ตอบ
" โอ๊ยตายล่ะ ถ้าเราต้องเข้าไปมืดมืดคงลำบากแน่เลย ขนาดเมื่อกี้เข้าไปหน่อยเดียวสะดุดหินแระ
เจ็บด้วย แล้วถ้ำใหญ่ขนาดใหน จะต้องสะดุดอีกกี่ก้อนหรือมีหินงอกหินย้อยแหลมแหลมอีก ไม่ใช่
ง่ายเลยนะ "
อรัญ โอดครวญ
" นั่นสิ ปิเยข้าก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีแสง ลำบากแน่ ถ้ำนี้ไม่เคยรู้ด้วยว่ามีอยู่ ข้างในเป็น
ยังไง ใหญ่หรือยาว แค่ใหน แล้วรางพิษจะเก็บไว้ตรงใหน เริ่มมีปัญหาแล้วสิ "
ปิเยพิษทารี เริ่มบ่น
" ถ้าไม่ได้แสงจากตัวท่านพิษทารี ก็น่าจะมีแสงจากความสว่างของดวงอาทิตย์บ้าง ที่จริงถ้ำนี้ก็หัน
หน้าไปทางดวงอาทิตย์นะ แต่มีหินตรงปากถ้ำนี้กั้นอยู่ ไม่งั้นแสงอาทิตย์คงส่องตรงเข้าไปข้างใน
ได้บ้าง ดูนี้สิ หินที่กั้นตรงนี้ เป็นหินที่น่าจะมีการเคลื่อนย้ายมาวางไว้เป็นก้อนกลมกลม ถ้าพวกเรา
เคลื่อนย้ายหินนี่ออกไปแสงน่าจะส่องเข้าไปได้บ้าง"
กานต์ ตั้งข้อสังเกตุ
" ใช่ พิษเซลล่าคงเคลื่อนย้ายหิรานี้มากั้นไว้เพื่อให้ปากถ้ำดูเล็กลงและเพื่อไม่ให้ใครมองเข้าไป
เห็นข้างในได้ชัด แสดงว่าถ้าเอาหิราพวกนี้ออกไป ต้องเห็นข้างในชัดแน่ "
ปิเยพิษทารี กล่าวและเห็นด้วยกับความวินิจฉัยของกานต์
" งั้นพวกเราช่วยกันเอาหินนี่ออกเหอะ ก้อนใหญ่ต้องช่วยกันดันหลายคน มา"
อัครชัย ร้องบอกทุกคน
ก้อนหินมีลักษณะกลมและมีขนาดใหญ่ พวกเขาแปลกใจว่าปิเยพิษเซลล่าสามารถเคลื่อนย้ายหิน
เหล่านี้มาได้อย่างไร พวกเขาทั้งหมดต้องออกแรงกันเต็มที่จึงจะผลักดันแต่ละก้อนออกไปได้
และด้วยความกลิ้งกลมของมันหิน ที่ถูกผลักดันออกมา หินได้กลิ้งลงที่ต่ำและร่วงหล่นลงไปสู่ด้าน
ล่างของหน้าผาทันที และทันทีที่หินก้อนสุดท้านถูกผลักกลิ้งออกไป
" โอ้โฮแสงสว่างส่องเข้าไปได้จริงจริง ถ้ำนี้ยาวมากเหมือนกัน และเป็นแนวตรงกับแสงของ
อาทิตย์ที่ส่องเข้าไปด้วย คงสว่างเกือบทั้งหมดในถ้ำ อย่างนี้เราคงหารางพิษได้ไม่ยากแน่"
แสงดาวกล่าว อย่างดีใจ ที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
" จริงด้วยสิ ผิดคาดเลย"
อัครชัย กล่าวสนันสนุนแฟนสาว
" เอ๊ะ เดี๋ยวเดี๋ยว อย่าพึ่งเข้าไป "
กานต์ ร้องห้าม ขณะที่ทุกคนขยับจะเดินเข้าไป ในถ้ำที่สว่างแล้วตอนนี้
คำห้ามของกานต์ทำให้ทุกคนมองเข้าไปในถ้ำ และเห็นสิ่งผิดสังเกตุ ถ้ำที่สว่างอยู่เมื่อครู่นี้ บัดนี้ใน
นั้นมีสีดำเริ่มเคลื่อนใหวอยู่ในนั้นและมันก็เริ่มเคลื่อนไหวจะออกมาข้างนอกด้วย
" หลบออกมาทางนี้ก่อน "
ปิเยพิษทารีร้องเรียกให้ทุกคนหลบมาข้างหน้าถ้ำและเบี่ยงออกไปด้านข้างเพื่อให้พ้นกับสิ่งที่พุ่ง
ออกมาจากภายในถ้ำ ร่างสีดำค่อนข้างใหญ่เกือบเต็มปากถ้ำพุ่งออกมาจากภายในถ้ำและเมื่อมัน
พ้นปากถ้ำ สิ่งนั่นก็โผบินขึ้นบนอากาศ
" ค้างคาวพวกนั้นนี่ พวกมันอยู่กันที่นี่เองดูสิมากมายหลายตัวด้วย ดูสิพักเดียวท้องฟ้าดำเลย "
จามิกร บอกกับทุกคน เบื้องหน้าของทุกคน ค้างคาวใหญ่ยักษ์พวกเขาจำได้ดี มันเคยโจมตีพวก
เขาหลายครั้ง ตอนนี้มันบินออกจากถ้ำที่ทุกคนจะเข้าไปเมื่อสักครู่นี้ โผขึ้นสู่ท้องฟ้าพวกมันตกใจ
ที่จู่จู่ก็มีแสงสว่างเข้าไปในถ้ำที่มันอาศัยอยู่
" อย่างนี้นี่เอง ว่าแล้วทำไมค้างค้าวพวกนี้มันถึงดุร้ายและแปลกประหลาดนัก เพราะมันอยู่ในถ้ำที่มี
ไอพิษของปิเยทาวีซิสครอบงำอยู่นี่เอง "
ปิเยพิษทารี กล่าว
" เอ๊ะ ทำไมพวกมันบินสะเปะสะปะกันอย่างนั้น บ้างก็บินชนกัน บ้างก็บินชนหน้าผา ร่วงไปหลาย
ตัวแล้ว "
กานต์เริ่มสังเกตุและชี้ให้ทุกคนดู
" พวกนี้มันเป็นสัตว์กลางคืนนะพี่กานต์ กลางวันมันคงมองไม่เห็นอะไรเท่าที่ควรแต่ก็ดีแล้วถ้ามัน
เห็นชัดเราอยู่ตรงนี้มันคงเห็นแน่ แล้วจะทำไงกันต่อไป พวกมันน่าจะออกไปหมดแล้ว บนฟ้านั่น
เป็นพันเลย "
จามิกร บอกแฟนหนุ่ม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น