ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #47 : ความสูญเสียที่คาดไม่ถึง(2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 134
      5
      11 ก.ค. 62



    "  อีกนิดเดียว คงทัน ถ้ามันไม่ยิงมาเสียก่อน นี่ไงถึงทางลงแล้ว "


    ปิเยพิษทารี ตอบ  พร้อมชี้ให้ดูเบื้องหน้ามีช่องทางลึกลงไปไม่กว้างมากนักช่องพอที่หมาป่าจะ

    วิ่งเข้าไปโดยเรียงเข้าไปได้ทีละตัวเท่านั้น ความหวังที่จะรอดมีมากขึ้นเมื่อหนทางที่พวกเขาวิ่ง

    ไปเริ่มลาดต่ำลงสองข้างทางที่พวกเขาวิ่งผ่านไปเป็นผนังหิน และเมื่อทางวิ่งลาดต่ำลงร่างพวก

    เขาก็ต่ำลง  จนร่างทุกคนเริ่มจะหายไปมองไม่เห็นจากพื้นดินข้างบน  ยานอวกาศก็เริ่มลับสายตา

    ไปด้วย


    " อีกนิดเดียวก็จะเป็นอุโมงค์แล้ว พวกเรารอดแล้ว "


    ปิเยพิษทารีกล่าว เขาคิดว่าคราวนี้คงจะรอดพ้นจากยานอวกาศแน่ เพราะว่าต่างฝ่ายต่างไม่เห็น

    กันแล้ว


    " ท่านพิษทารี ทางลงอุโมงค์ลงต่ำกว่านี้อีกหน่อยก็ดีนะ ถ้าหัวพวกเราพ้นต่ำลงไปกว่านี้อีกสัก

    นิดข้างบนก็คงไม่เห็น "


    ปูุ่อินทร์ แสดงความเห็นเขารู้สึกว่าถ้าหนทางมันลาดต่ำลงเรื่อยเหมือนตอนแรกก็น่าจะดีกว่านี้

    และหัวของพวกเขาคงจะพ้นพื้นดินไปแล้วทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น  



    "  แต่ เอ..ปรกติ แล้วทางที่นี่ก็ลาดต่ำลงเรื่อยๆนะ กว่าจะถึงอุโมงค์มันก็น่าจะต่ำจนมองไม่เห็น

    หัว แต่ทำไมคราวนี้รู้สึกว่ามันไม่ต่ำลงเรื่อยๆเลย หรือว่ามันอาจจะมีน้ำใหลเข้ามาและคงพาดิน

    เข้ามาด้วยเลยทำให้พื้นที่นี่สูงขึ้นหลายปีตอนที่ข้าไม่ได้อยู่นี่แล้ว  " 


    ปิเยพิษ ทารีกล่าว


    " มันไม่ได้แค่ไม่ต่ำลงนะท่านพิษทารี  พวกเรารู้สึกว่ามันเริ่มสูงขึ้นด้วยซ้ำ "


    จามิกรณ์ เริ่มรู้สึกได้เมื่อยิ่งวิ่งไป เธอกลับมองเห็นพื้นดินด้านบนอีกครั้ง  

    " ใช่จริงๆด้วย เราสูงขึ้น จน... นั่นไงเราเห็น ยานนั่นอีกแล้วอยู่ใกล้ๆนี่เอง "


    ปู่อินทร์ กล่าวเขารู้สึกแปลกใจ  ที่สถานการณ์ดูเหมือน กลับตาลปัตรมากดดัน  อีกครั้ง  ปิเย พิษ

    ทารีเเปลกใจ เป็นที่สุด แต่เขากลับใจชื้น  เพราะอย่างน้อยมันก็น่าจะใกล้  ปากอุโมงค์เต็มทีแล้ว  

    แต่ทว่า..


    " เอ๊ะ พวกเราสูงขึ้นเรื่อยๆ และหมาป่าวิ่งช้าลง โอ๊ะตายแล้ว  หรือจะเหมือนตอนนั้น "


    คำกล่าวของปู่อินทร์ ทำให้ทุกคนคิดได้ทันที เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ถ้า

    เป็นอย่างที่เคยเป็น  ในสถานการณ์เช่นนี้ ..


    " จริงด้วยหมาป่าจะร่างเปลี่ยนไปอีกแล้ว ปราย มัน..จะกลายร่างเป็นคนเหมือนพวกเราอีกแล้ว "


    รัญ ตะโกนบอกแฟนสาวลั่น สิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันว่ามันจะเกิดซ้ำ ก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง อย่างนึก

    ไม่ถึง ในสถานการณ์ที่กำลังต้องการหนีให้เร็วที่สุด  ร่างยักษ์ที่ตอนนี้มันกำลังจะกลายจากร่าง

    หมาป่าเป็นคนอีกครั้ง ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการเดินทางให้รวดเร็วเพื่อหลีกหนียานอวกาศ ที่จ่อ

    อยู่เบื้องหลัง



    " ลงจากหลังพวกมัน อยู่ก็จะสูงเป็นเป้านิ่งอีกนิดเดียวเราก็ถึงปากอุโมงค์แล้ว "


    สิ้นคำปิเยพิษทารี ทั้งหมดไต่ลงมาจากร่างที่กำลังจะกลายร่างอย่างทุลักทุเล


    " ท่านลงไปก่อนเหอะ ทีละคน ช่องทางเข้าไม่ใหญ่เท่าไรไปพร้อมกันจะทำให้สะดุดกันได้เดี๋ยวข้าจะส่ง

    ทุกคนตามลงไปแล้วข้าค่อยตามไป "


    ปู่อินทร์ร้องสั่งปิเยพิษทารี ทั้งสองใช้หมาป่าตัวเดียวกันขี่หลังมาทำให้ต้องมีคนใดคนหนึ่งลงไป

    ก่อนเพื่อความปลอดภัย ปู่อินทร์เลือกที่จะให้ปิเยพิษทารีลงไปก่อนเพื่อปิเยพิษทารีจะได้นำทางได้

    ทันทีเมื่อลงถึงข้างล่าง  และเมื่อทุกคนมาถึงปู่อินทร์ก็พยายามดันหลังทุกคนตามปิเยพิษทารีไป และ

    เมื่อทุกคนเข้าไปในปากอุโมงค์ได้ทั้งหมด ปู่อินทร์ก็คิดที่จะตามลงไปทันที เขาปล่อยมือเพื่อจะหย่อน

    ตัวไต่ลงไปแต่เขามีรู้สึกว่า ตัวเขาเหมือนมีอะไรดูดไว้ด้านบน  ทำให้ร่างเขาหย่อนลงไปข้างล่างไม่ได้ 

    ปู่อินทร์ ไม่รู้ว่ามีอาการ แบบนี้ได้อย่างไร  และ หูของเขา  แว่วเสียงของเครื่องยนต์  แผ่วๆ มาจาก

    ที่ใหนสักแห่งหนึ่ง  แต่ผู้ที่อยู่ที่พื้นดินทั้งหมดรู้ สิ่งที่ทุกคนเห็นตอนนี้คือ ยาน อวกาศรูปกลม

    ที่ทุกคนได้เคยเห็นมาแล้ว  บัดนี้  อยู่เหนือร่างของปู่อินทร์สูงขึ้นไปข้างบนไม่ห่างนัก พวกเขา

    มองเห็นฝุ่นละอองและใบไม้รู้สึกได้ว่ามันถูกดูดเข้าไปในยานรูปกลมนั้น  และแน่นอนร่างปู่อินทร์

    ก็เป็นเป้าหมายในการดูดนั้นด้วย พวกเขาพยายามจะวิ่งออกมาช่วยดึงร่างของปู่อินทร์แต่สายไป

    ในที่สุดร่างปู่อินทร์ ก็ไม่สามารถต้านทานแรงดูดอันทรงพลงนั้นได้ มือของเขาหลุดจากการจับ  และร่าง

    ปู่อินทร์ ก็หมุนคว้างหลุดลอยขึ้นไปในอากาศ และลอดเข้าไปในภายไต้ช่องดูดทรงกลมไต้ยานลำนั้น

    ทันที และประตูลมดูดไต้ยานนั้นก็ถูกปิดลงทันที  ทุกคนตกตะลึงเหตุการณ์มันเกิด ขึ้นเร็วมาก  ไม่มีใครรู้

    ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กับปู่อินทร์


    " หนีก่อนเร็วก่อนที่พวกเราคนใดคนหนึ่งจะเป็นเหยื่อรายต่อไป "


    ปิเยพิษทารี กล่าวทำให้ทุกคนได้สติ แต่ก็รู้สึกว่าห่วงหน้าพะวงหลังแล้วตอนนี้ใจหนึ่งก็อยากจะ

    ช่วย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเครื่องไม้เครื่องมือหรือจะเป็นอาวุธอะไรก็ไม่มีสักอย่าง



    " แต่ปู่..ปู่ "


    ดุจปรายพูดได้แค่นั้นเธอก็เริ่มร้องไห้ ทุกคนรู้ดีว่าดุจปรายรู้สึกเช่นใด อรัญรีบคว้าข้อมือแฟนสาว

    วิ่งตามทุกคนไปทันที เขาเข้าใจความรู้สึกแฟนสาตัวเองดี แต่ในสถานการ์เช่นนี้ คงไม่สามารถ

    ทำอะไรได้ดีมากกว่านี้  ทั้งหมดไม่รู้ว่ายานลำนั้นจะตามพวกเขามาอีกหรือไม่ รู้แต่ว่าทุกคนวิ่ง

    เข้ามาในปากอุโมงค์ได้ครบทุกคนยกเว้นปู่อินทร์ที่ถูกจับไป


    " ปู่ทำไมเราช่วยปู่ไม่ได้ ปู่จะเป็นอะไรใหม "


    ดุจปราย ยังคงเสียงสั่นและสะอึกสะอื้นอยู่

     
    " พวกนี้เป็นพวกร้ายกาจ พวกเราคงเสียเขาไปแล้วหล่ะ "    


    อัครชัยตอบ เขารู้ว่าการพูดเช่นนี้ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ แต่ทุกคนก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าเรื่องนี้

    เป็นเรื่องจริงแล้วตอนนี้


    " ตูม"


    ทั้งหมดต่างนิ่งเงียบ  เสียงระเบิดไม่คาดฝันครั้งนี้ทุกคนพอจะเดาออกว่าอะไรคือเป้าหมาย

     เพราะมีชิ้นส่วนเศษเล็กเศษน้อยของอะไรอย่างหนึ่งกระจายไปทั่ว



    " พวกเขาโดนพวกมันทำลายไปแล้ว  "


    จามิกรร้องบอก  ทุกคนถึงกับตลึง ร่างที่เหมือนพวกเขาที่ใหญ่โตและเปลี่ยนร่างกลับไปกลับ

    มาระหว่างคนกับหมาป่าและคอยช่วยเหลือพวกเขามาตลอดก่อนหน้านี้   บัดนี้แรงระเบิดทำให้

    ร่างพวกมันฉีกขาดกระจัดกระจายจนไม่เหลือเค้าราง ที่ใหญ่โต หนำซ้ำบางชิ้นส่วนยังกระจายมา

    เปื้อนร่างเปลือยเปล่าของพวกเขาอีกด้วย



    " หมดกัน ดีนะที่พวกเราหนีมาทันต่อไปนี้ ไม่งั้นคงไม่ต่างจากหมาป่านั่นเป็นแน่ ที่นี้ไม่มีพวกนั้นเราจะ

    ต้องเดินทางกันอย่างล่าช้าแน่ที่เสียพวกนั้นไป "


    ปิเยพิษทารี กล่าว เเต่เมื่อเขาหันไปมองทุกคนเห็นทุกคนอยู่ในอาการเศร้าสร้อยยิ่งนักทำให้เขา

    ระลึกได้ เขารู้สึกละอายใจ ที่ห่วงแต่จะเดินทาง ไม่ได้คำนึงถึงจิตใจของมนุษย์โลกทุกคนที่

    เสียใจที่ได้สูญเสียปู่อินทร์ไป


    " ข้าขอโทษ ข้าลืมไปมนุษย์โลกอย่างพวกเจ้ามีความอาลัยอาวรณ์ซึ่งกันและกันยิ่งนักเมื่อต้อง

    สูญเสียพวกเดียวกันไป  ต่างจากข้าที่เห็นเป็นเรื่องธรรมดา "


    ปิเยพิษทารีกล่าวอย่างละอายใจและไม่ได้พูดอะไรต่อ  สถานการณ์ที่ดูเศร้าสร้อยสะดุดลงทันที

    เมื่อทุกคนได้เห็นสิ่งหนึ่ง ทุกคนสังเกตุเห็นสิ่งหนึ่ง เคลื่อนใหวขยุกขยิกเป็นจุดเล็กๆ ห้าหกจุดมุ่ง

    ตรงมายังพวกเขา  



    " นั่น ใช่มันใหม  ..หรือว่าไม่ใช่ ทำไม ตัวมันสีฟ้าๆ ไม่เหลืองๆอย่างที่พวกเราเคยเห็น หรือว่าผม

    ตาฝาดไป"


    กานต์ร้องบอกทุกคน


    " ไม่หรอกพวกเราก็เห็น พี่กานต์ ไม่ได้ตาฝาดหรอกพวกเราก็เห็นพวกมันเป็นสีฟ้าเหมือนกันต่าง

    จากที่เคยเห็นพวกมันเป็นตัวสีเหลือง "


    จามิกรกล่าวสนับสนุนกานต์


    " จะ สีอะไรก็ช่างอย่างไร มันก็น่าจะเป็นเรคารียะของมัจเจมันเหมือนกัน แต่ทำไมคราวนี้มันไม่

    คิดที่จะหลบหนีพวกเราเหมือนทุกครั้ง น่าแปลกใจนะ ดูสิมันเข้ามาหาพวกเราได้ไม่ได้มีทีท่าว่ากลัว

    อะไรพวกเราเลย"


    อัครชัยตั้งข้อสังเกต สิ่งที่ทุกคนประจักษ์กับสายตาตอนนี้ พวกเขาจำมันได้ดีถึงแม้จะมีสีที่แตก

    ต่างจากที่เคยเห็นก็ตาม ร่างคล้ายหนอนตัวขนาดเท่ากำมือนี้ คงเป็นอะไรไปเสียไม่ได้นอกจาก

    เรคารียะ ที่มัจเจส่งมา แต่ที่น่าแปลกใจครานี้มันไม่ได้คิดจะหนีแต่อย่างใด มันคงคืบคลานเข้ามา

    หาทุกคนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  



    " มันมาจากใหนดูสิ หกตัว ปรกติมันพวกนี้ต้องอยู่ตามซากร่างที่มันควบคุมนี่นา "


    ดุจปรายตั้งข้อสังเกตุถึงที่มันมาด้วยความสงสัย ซึ่งทุกคนก็คิดเช่นนั้น


    " นึกออกแล้ว "


    อรัญโพล่งขี้น


    " อะไรเหรออรัญนึกอะไรออก อรัญรู้เหรอว่าพวกนี้มันมาจากใหน "


     ดุจปรายถามแฟนหนุ่มขึ้น


    " เป็นแค่เรื่องสงสัยนะ ที่ปรายบอกว่าพวกนี้มันน่าจะอยู่ในร่างที่พวกมันควบคุมไง เราลืมไปหรือ

    เปล่าว่าเรามีร่างที่สงสัยว่าจะมีอะไรควบคุมอยู่มาด้วย  พวกหมาป่าที่โดนยิงไปนั่นไง ตัวหนอนพวกนี้อา

    จะเป็นตัวที่ควบคุมพวกมันมา "


    คำตอบของอรัญทำให้ทุกคนคิดได้ สิ่งที่ทุกคนสงสัย ร่างหมาป่าทั้งหกตัวที่ถูกทำลายไปก่อน

    หน้านี้ พวกเขาสงสัยแต่แรกเหมือนกันว่าจะมีอะไรควบคุมพวกมันอยู่ และทันทีที่ร่างพวกมันถูก

    ทำลาย ก็ปรากฏร่างหนอนประหลาดทั้งหกตัวนี้ ในจำนวนที่เท่ากันพอดี ช่างบังเอิญเสียจริงๆ


     
    " เป็น ไปได้เหรอว่าพวกนี้มันจะเป็นสิ่งที่ควบคุมร่างพวกนั้นมา ทุกทีร่างที่พวกมันควบคุมจ้องจะ

    ฆ่าพวกเราอย่างเดียว แต่พวกหมาป่านั่นช่วยเรามาตลอดทาง "


    อัครชัยตั้งข้อสังเกตุ  


    " นั่นนะสิ ถ้าพวกนี้มาจากร่างนั่นจริง แล้วทำไมร่างพวกนั้นถึงช่วยพวกเราล่ะ แทนที่พวกมันจะ

    ทำร้ายพวกเรา "  


    แสงดาวก็สงสัยเหมือนอัครชัย


    " หรือว่าตัวพวกนี้ อาจไม่ใช่เป็นพวกของมัจเจ  อาจมีอะไรอย่างหนึ่งที่ส่งพวกนี้มาเพื่อช่วยเรา

    ท่านพิษทารีมีใครอีกใหมที่สามารถสร้างแบบพวกนี้ได้ นอกจากมัจเจ "


    ดุจปรายถาม ปิเยพิษทารีอย่างสงสัย


    " ปรกติแล้วก็ไม่น่าจะมีใครแล้วที่จะสร้างสิ่งแบบนี้ได้นอกจากมัจเจ  มัจเจเป็นปิเยที่ทำอย่างนี้ได้

    ท่านติอากอถึงจะเป็นปิเยเผ่าพันธุ์ลักษณะคล้ายกันก็ยังไม่เคยปรากฏว่าเขาจะทำได้ ข้าคิดไม่

    ออกจริงๆ "


    ปิเยพิษทารีตอบ


    " อย่าพึ่งพูดอะไรกันเลย  มันมาถึงแล้วทำอะไรก็ทำสักอย่าง เถอะ "


    จามิกรพูดตัดบทเพราะเห็นว่าตัวน่าสงสัยขยุกขยิกมาถึงที่ทุกคนอยู่แล้ว


    " ถ้ามันเป็นสิ่งที่ควบคุมหมาป่าพวกนั้นจริง มันก็คงไม่ทำร้ายพวกเรา ลองดูละกัน "  


    อัครชัยแสดงความเห็น ทุกคนใจจดจ่อเมื่ออยู่กันแทบจะว่าซึ่งหน้าแล้ว ร่างหนอนเมื่อเข้ามาใกล้

    มันกลับเคลื่อนใหวไปรวมตัวกันจุดหนึ่งใกล้ๆพวกเขา และไม่มีทีท่าว่าจะเข้าทำร้ายพวกเขาแต่

    อย่างใด  



    " จริงด้วยหมอเดาถูก มันคงไม่ทำอะไรเราแล้วล่ะ ดูสิมันสงบนิ่งอยู่ใกล้ๆพวกเราแล้วเนี่ย "


    แสงดาว กล่าวอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ  ที่ทุกคนเข้าใจความน่าจะเป็นได้ถูกต้องทุกอย่าง  แต่ตอน

    นี้ยังเหลือข้อสงสัยที่มาของพวกมันก่อน ที่จะมาอยู่ในร่างหมาป่าที่ตายแล้วได้อย่างไร  



    " มันคงจะติดตามพวกเราไปแน่พวกนี้ เมื่อก่อนมันคอยดูแลพวกเรา แต่ตอนนี้ ตัวมันเหลือแค่นี้

    เราคงต้องดูแลมันมั่ง เราคงรีบเดินทางโดยทิ้งพวกมันไว้ที่นี่ไม่ได้ "

     
    อัครชัยกล่าวพร้อมชำเลืองตาดูพฤติกรรมของมัน ซึ่งตอนนี้มันได้สงบนิ่งแล้ว ดูไม่มีพิษสงค์

    อะไรเลยตอนนี้



    " การพาพวกมันไปด้วยไม่ยากหรอก ขนาดของมันเหลือตัวเเค่นี้เอง แต่เรื่องที่ยากคือเราไม่

    สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วแล้วนี้สิ   อีกสองวันเราก็จะเข้าเขต น้ำเย็นก้อนแล้ว  ที่นั่นมี

    อากาศที่เป็นไอน้ำตกอยู่ตลอดเวลา และนี่คือเขตชานของมัสติสแล้ว คืนนี้เราควรจะพักที่นี่รอ

    ตอนเช้า เราอยู่ที่โล่งไม่ได้เวลากลางคืน เดี๋ยวพวกค้างคาวดูดเลือดมันจะมาอีก "


    ปิเยพิษทารีบอกถึงภูมิประเทศและ กล่าวสรุป  ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย  อุโมงค์เล็กแค่คนลอด

    ได้ ถูกใช้เป็นที่พักคืนนี้อย่างที่ปิเยพิษทารีแนะนำ พวกเขารู้สึกได้ว่ามีไอเย็นโชยมาแผ่วๆ ผ่าน

    ลอดอุโมงค์เข้ามาทางด้านในทำให้ร่างกายของทุกคนที่เปลือยเปล่าหนาวสะท้าน ดีที่ทุกคนได้

    ใช้ไออุ่นของกันและกันให้เป็นประโยชน์ได้ ปิเยพิษทารีสังเกตุเห็นอาการของมนุษย์โลก เป็น

    เช่นนั้นเขาจึงพูดขึ้น


    " พวกเราโผล่อุโมงค์ออกไปอีกด้านหนึ่งเราก็จะได้พบกับปิเยอาภีระ ปิเยที่นั่นไม่สามารถ

    เคลื่อนใหวได้จึงทำให้พวกเขาหนีอากาศหนาวที่บางครั้งแผ่ลงมาถึงแถบนี้ไม่ได้ พวกเขาจึง

    สร้างปลอกเปลือกหนาหุ้มห่อร่างกายไว้กันอากาศหนาว พวกเจ้าคงใช้เปลือกของปิเย

    เขาห่อหุ้มร่างกายได้ ข้ารับรองว่ามันอบอุ่นเสียมากกว่า เสื้อผ้าที่พวกเจ้าติดตัวมาอีก  "


    " ดีเลย พวกเรารู้สึกได้ว่าหนาวมากยิ่งไม่มีเสื้อผ้าแบบนี้ด้วย "


    จามิกร ตอบ   ฟ้าเริ่มมืด อากาศหนาวเย็นเริ่มแรงขึ้นอีก ไออากาศออกจากปากของทุกคนเวลา

    หายใจ  ต่างมองหน้ากันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่างห่อตัวในอ้อมกอดของกันและกันพร้อมทรุดร่างลง

    กับพื้นเผื่อให้สำผัสลมที่พัดเข้าอุโมงค์มาได้น้อยลง



    " เอ๊ะ พอเริ่มมืดก็ลมแรงเลย ดูสิดังลั่นเหมือนพายุมากกว่า "


    อรัญตั้งข้อสังเกตุ  เขาหันไปเพื่อพยายามจะหาคำตอบจากความเห็นของคนอื่นแต่ก็ต้องเงียบ

    เพราะอัครชัยส่งสัญญาณให้เขาเงียบ


    " ถอยเข้ามาอีกนิด พวกเราอยู่ใกล้ปากอุโมงค์เกินไป "


    ปิเยพิษทารีสั่ง เขาก็รับรู้สิ่งที่จะมาได้เช่นกันไม่ต่างกับ อัครชัย


    " อะไรเหรอ "


    อรัญพยายามกระซิบถาม เขางงกับอาการของทั้งสองเหมือนทั้งสองจะรู้ว่ามีอะไรไม่ปรกติเกี่ยว

    กับเสียงลมนั้น


    " รีบถอยเข้าไปก่อนเหอะ นะอรัญ อย่างที่ท่านพิษทารีบอก ปรายก็สงสัยเสียงนั่นเหมือนกัน  มัน

    เหมือน..... "


    ยังไม่ทันที่ดุจปรายจะพูดจบ


    " แจ๊ค "


    ร่างอรัญที่กำลังจะยืนขึ้นเก้ๆกังๆอยู่ มีสิ่งหนึ่งกระแทกเข้าอย่างจังจนร่างของเขาซึ่งตอนนี้อยู่ใกล้

    ปากอุโมงค์ที่สุด กระเด็นเข้ามาข้างใน พร้อมกับทับร่างของ ดุจปรายไปด้วย พร้อมหูของเขา

    ก็ได้ยินเสียงอันแหลมคมบาดหู น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เขางงว่ามีอะไรมากระแทกเขาพยายามจะ

    หันไปมอง แต่ร่างเขาก็ได้ถูกคนที่อยู่ข้างในลากร่างของเขา และดุจปรายเข้าไปข้างในเสียก่อน



    " เกิดอะไรขึ้น "


    เขาร้องถามอย่างตื่นตะหนกทันที่ที่ทรงตัวได้


    " ค้างคาวยักษ์ ไอ้ค้างคาวนะสิ มันพยายามจะคว้าร่างของพี่อรัญออกไป พอดีมันบินชนกับ

    ขอบอุโมงค์เสียก่อนขาของมันจึงได้แค่ชนร่างกายของอรัญ "


    เสียงดุจปรายตอบ เธอเห็นเหตุการณ์ตลอด แต่มันรวดเร็วเสียจนเธอร้องเตือนแฟนหนุ่มได้ทัน

    เสียงพายุที่อรัญได้ยิน ไม่ใช่เสียงลม แต่เป็นเสียงกระพือปีกของค้างคาวร่างยักษ์จำนวนเหนือ

    คณานับมันเยอะเสียจนฝูงของมันทอดขึ้นไปบนฟ้าได้จนสุดลูกหูลูกตาพร้อมบินฉวัดเฉวียนไปมา

    และมันมองพวกเขาเป็นเหยื่อ แต่ยังโชคดีที่ร่างกายของพวกมันใหญ่เสียจนไม่สามารถเล็ดลอด

    เข้ามาทำอะไรพวกเขาได้ เมื่อเข้าเข้ามาลึกพอสมควร



    " โอมืดปั๊บก็มาเลยเหรอ พวกมันเยอะขนาดนี้เลยเหรอ "


    อรัญอุทาน ถึงแม้จะมืดแต่เขาก็ยังสามารถมองไปเห็นเงาดำทมึนพริ้วไหวมองไกลออกไปบน

    ท้องฟ้าสุดลูกตา  



    " โอ ทำไมพวกมันมีจำนวนมากมายขนาดนี้   พวกนี้มันเป็นสัตว์ที่ได้อาหารจากผลปิเยเรา บาง

    เผ่าพันธุ์ แต่ตอนนี้พึ่งรู้พวกมันล่าสิ่งที่มีชีวิตเพื่อเป็นอาหารด้วย"


    ปิเยพิษทารีกล่าวอย่างสงสัย


    " พวกมัจเจมันคงวางแผนสร้างพวกนี้ขึ้นมาแน่มันคงจะนำค้างคาวยักษ์กระหายเลือดพวกนี้ ไป

    ยังโลกมนุษย์ของพวกเจ้าด้วยแน่ๆ ถ้าพวกมันผ่านประตูที่ตะเนยา ไปได้ "


    คำพูดของปิเยพิษทารี ตรงกับความคิดของอัครชัยเลยทีเดียว


    " นี่ก็แสดงว่า ถ้าพวกมันผ่านประตูมิติเข้าไปได้ มนุษย์โลกก็ต้องตกอยู่ในอันตรายหลายรูปแบบ

    เลยเชียวเหรอ "


    ดุจปรายรำพึง รำพัน


    " ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิตที่นี่ทั้งในนำ้และบนบกที่นี่คงถูกกัดกินจนเหลืออีกไม่มากแล้ว เมื่อมันค้างคาว

    มีจำนานมหาศาลเช่นนี้ มัจเจมันคงกะเวลาว่าพออาหารของค้างคาวยักษ์พวกนี้หมด ก็คงถึงเวลา

    ผ่านประตูมิติตะเนยาไปได้พอดี ซึ่งตอนนั้น เราก็คงยังไม่รู้ว่าค้างคาวพวกนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น

    เท่าไรแล้ว "


    ปิเยพิษทารีสรุป ทุกคนคิดตามคำที่พิษทารี พูดความ น่าสะพรึงกลัวของแผนการณ์ของ มัจเจ

    นั้น ล้ำลึกและโหดเหี้ยมยิ่งนัก ถ้าพวกมันทั้งหมดผ่านประตูมิติไปยังโลกได้


    " แต่ก็ยังดี อย่างน้อยค้างคาวดุร้ายพวกนี้ มันก็ยังออกหากินได้แค่เวลากลางคืนเท่านั้น เรายังมี

    โอกาสในเวลากลางวันที่จะเดินทางได้"


    กานต์ แสดงความเห็น


    " จริงด้วยเจ้าหนุ่มคนนี้พูดถูก เรื่องมันหากินได้แค่กลางคืน อีกหนึ่งวันเราก็จะเข้าเขตมัจเจติส

    แล้ว ที่นั้นมีละอองน้ำแข็งปกคลุม และฝนที่ตกลงมาก็เป็นไอน้ำ และเป็นถิ่นที่ข้าเคยอาศัยอยู่ข้า

    รู้จักทางหนีที่ไล่และที่หลบซ่อน ที่นั่นได้ดี คงไม่ลำบาก "


    ปิเยพิษทารีตอบ


    " พวกเราพักผ่อนกันก่อนเหอะ วันนี้เหนื่อยและหนักกันมาทั้งวัน แล้ว พรุ่งนี้คาดว่าเราเดินทางก็

    คงต้องคอยระวังแค่ ยานลำนั้น เพราะพวกหิริน กับ ซากดิโนสิคพวกนั้นคงถูกทำลายสิ้นไปแล้ว

    และมัจเจมันคงส่งอะไรมาอีกไม่ทันแน่ อีกไม่เกิน ห้าวันถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีกเราคงจะไปถึง

    ถ้ำเป้าหมายแน่ "


     ปิเยพิษทารีกล่าวสรุปอีกครั้ง ร่างทุกคนทรุดลงอย่างเหนื่อยอ่อน ลมเย็นยังคงพัดเฉื่อยฉิวๆเข้า

    มาในอุโมงค์อย่างไม่ขาดสาย อรัญมองดูแฟนสาวเห็นเธอน้ำตาซึม เธอคงคิดถึงการจากไปของ

    ปู่อินทร์  ถึงเเม้ว่าตอนนี้ทุกคนอาจยังไม่รู้ว่าปู่อินทร์ เป็นอะไรหรือไม่หลังจากถูกจับตัวไป แต่

    ชะตากรรมของร่างยักษ์ต่างๆ ที่ถูกอาวุธร้ายแรงทำลายไปเมื่อเย็นนี้ คงพอจะบอกได้ว่า ปู่อินทร์

    น่าจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร ท่ามกลางความหนาวเย็น ทุกคนก็ม่อยหลับไป  อย่างอ่อนเพลีย

    โดยมีปิเยพิษทารี อาสาเป็นผู้เฝ้าให้ ปิเยพิษทารีก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันที่จะได้กลับ เข้ามาเยือน

    สิ่งที่เขาเคยอยู่ หลังจากที่จากไปนับเป็นพันปี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×