ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #43 : เงยหน้า ท้ามฤตยู

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 164
      5
      9 ก.ค. 62

     
     



    เมื่อรู้สึกได้ ว่าหมาป่าพวกนี้เป็นมิตร  ก็ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นอีก พวกเขาต้องเดินทางไปอีก

    ไกลจะทำอย่างไรกับพวกมัน  ทุกคนคิดหนัก การเดินทางเป็นจำนวนกลุ่มใหญ่ ทำให้เป็นจุด

    สังเกตุได้การเดินทางพวกเขาครั้งแรกพยายามให้เป็นความลับที่สุด จนกระทั่ง ไม่อาจปิดเป็น

    ความลับได้



    "   ใหนๆก็ใหนๆแล้ว ยังไงมัจเจมันก็รู้แล้ว พวกเราคงไม่อาจเล็ดลอดสายตาพวกมันได้ หากเรา

    ไปพ้นถิ่น ปิเยบิรูนี้  ก็เอาพวกมันไปด้วยละกัน พวกมันคล่องแคล่วและตัวใหญ่ เราคงจะอาศัยขี่

    พวกมันได้ มันคงทำให้เราเดินทางได้เร็วขึ้นด้วย ทุกคนมีความเห็นว่าอย่างไร "


    ปิเยพิษทารี กล่าวพร้อมถามความเห็นทุกคนที่ร่วมเดินทาง


    " อืม  จริงอย่างท่านว่าใหนๆการเดินทางก็ไม่เป็นความลับแล้ว ถึงหมาป่าพวกนี้ไม่ไปกับเรา

    ด้วย พวกมัจเจก็รู้อยู่ดีว่าเราเดินทาง พวกเรามีหมาป่าพวกนี้ จะทำให้การเดินทางได้เร็วขึ้น และ

    อีกอย่าง มันอาจช่วยพวกเราให้ไม่ได้รับอันตรายอีกก็ได้ ถ้าหากหนทางข้างหน้าจะเจอกับอะไร

    อีก พวกเราเห็นด้วย "



    ปู่อินทร์สรุปโดยไม่ต้องถามใคร เขาคิดว่าทุกคนเข้าใจในเหตุผลนี้เช่นเดียวกัน


    "  เป็นอันว่าเอาตามนี้ คืนนี้เราจะเข้าใปพัก ในเขตปิเยบิรู ให้ลึกไปกว่านี้อีกนิด ข้ารู้ว่าพวกเจ้า

    เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ววันนี้ และที่ต้องเข้าไปให้ลึกกว่านี้เผื่อมาอะไรผ่านมาจะได้มองไม่เห็น

    เสื้อผ้าของทุกคน ที่สีของปิเยบิรู กลืนได้ไม่มิด หมาป่าพวกนี้ ร่างกายมันก็คงกลืนกับสีของปิเย

    บิรูด้วย เราจะพักผ่อนกันให้เต็มที่แล้วค่อยเดินทางต่อ"


    ปิเยพิษทารีกล่าว ทุกคนเห็นด้วย พวกเขารู้สึกอ่อนล้า เพราะต้องเผชิญเหตุการณ์ร้ายมาแทบ

    ทั้งวัน หนำซ้ำ วันวานที่ผ่านมาพวกเขาก็พักผ่อนไม่เต็มที่ เพราะต้องนอนบนต้นไม้นั่นเอง ไม่

    ต้องขอร้องเมื่อรู้ว่าจะต้องเดินทางต่อไปอีก กานต์รู้ดี มีชุดชั้นในแฟนสาวอยู่ที่ใดและต้องทำ

    อย่างไร เขาชวน แสงดาวและ ดุจปราย ไปทำการนั้นทันที จามิกรผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็ไปร่วม

    กันด้วย กระดูกกรามหนาใหญ่ถูกง้างออก ถ้าเป็นคนคนเดียวคงไม่สามารถทำได้แน่ แต่ทั้งสี่ก็

    ช่วยกัน คนอื่นๆมองดูอยู่ อยากจะเข้าไปช่วยก็กลัวเจ้าของชุดชั้นในจะอายไปใหญ่ และเมื่อเห็น

    ว่า สี่คนทำได้พวกเขาจึงยืนดูอยู่ห่างๆ  และทันทีที่ชุดชั้นในของจามิกร หลุดพ้นออกมา ปู่

    อินทร์ทำสัญญาณมือให้ตามปิเยพิษทารีไป พวกเขาเริ่มเดินลึกเข้าไปในป่าสีน้ำเงิน และยิ่งเข้า

    มาลึกเท่าไร หมอกสีน้ำเงินก็ทึบขึ้น ร่างกายเจ้าหมาป่าก็กลืนเข้ากับสีน้ำเงินจนแทบมองไม่เห็น

    แต่เสื้อผ้าของทุกคนก็ยังไม่สามารถถูกสีน้ำเงินกลืนไปได้อีกเหมือนเคย ปิเยพิษทารีบอกว่าคงเป็น

    เพราะวัสดุที่นำมาทำผ้านั่นเอง

    และปู่อินทร์ก็ทำสัญญาณมือให้หยุด เมื่อเห็นปิเยพิษทารีซึ่งนำหน้าอยู่ได้หยุดเดิน


    " เราจะพักที่นี่กัน "


    ปิเยพิษทารีกล่าว เขาชึ้ตรงจุดที่เขายืน และได้กล่าวต่อ


    " เราเข้ามาลึกพอสมควร มองออกไปไม่เห็นภูมิประเทศข้างนอกแล้ว แสดงว่าข้างนอกก็คงไม่

    เห็นพวกเราถ้ามองเข้ามาเช่นกัน ข้าจะปรับร่างให้มีอากาศที่จะทำให้พวกเจ้าหลับสบาย ส่วน

    หมาป่าพวกนี้คิดว่ามันคงไม่หนีไปใหน ดูมันตามพวกเราต้อยๆ แบบนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ประมาท

    ไม่ได้ คงต้องเข้าเวรยามกันเหมือนทุกครั้ง เพื่อระวังภัยเผื่อไอ้หมาพวกนี้เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา จะ

    ได้ช่วยเหลือกันทัน "


    ไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำ เพราะทั้งหมด ได้หมดเรี่ยวแรงกันแล้วปู่อินทร์ วันนี้ขอเสนอตัวเป็น ผู้เข้าเวร

    ผลัดแรกก่อน เขารู้สึกตื่นตากับสิ่งเเวดล้อมนี้อย่างมาก เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจากกลาง

    วันเป็นกลางคืน ของป่าแห่งนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มมืดเต็มทีแล้ว  หมาป่าเมื่อเห็นว่าทุกคนมีการ

    พัก มันก็หมอบลงนอนเช่นกัน แต่มันทุกตัวพยายามจ้องมองทุกคน แบบไม่วางตา เหมือน

    ประหนึ่งว่า มันได้รับหน้าที่มาให้ปกป้องทุกคนแบบไม่ให้ห่างจากสายตาพวกมัน ทุกคนรู้สึกได้

    เช่นนั้น จึงทำให้วางใจไม่ห่วงเรื่องที่มันจะทำร้ายแล้ว และระหว่างที่ล้มตัวลงนอนได้ไม่นอน

    ทุกคนก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียทันที   ฟ้ามืดไปได้พักใหญ่แล้ว ปู่อินทร์ ได้ผ่านช่วงเวลา

    เปลี่ยนมาเป็นชั่วโมงแล้ว  เขากวาดสายตาไปทั่ว เพื่อปฏิบัติหน้าที่เวรยามที่ดี ป่าสีน้ำเงินที่ตอน

    กลางวันเป็นสีน้ำเงินนั้นบัดนี้ป่าสีน้ำเงินต้องแสงจันทร์ กลับทำให้ป่าเปลี่ยนเป็นสีเทา ไม่มืด

    สนิท อย่างที่เขาคิดแต่แรกสายตาของเขา ก็มาหยุดอยู่ที่หมาป่าร่างใหญ่ มันคงนอนราบกับพื้น ท่าทาง

    เหมือนหมาทั่วไปที่นอนหลับพักผ่อน เขาก็ยังอดแปลกใจกับพวกมันอีกครั้งไม่ได้ อะไรที่ทำให้

    พวกมันเป็นเช่นนี้ ถึงมันจะดีกับพวกเขาแต่ก็ยังแปลกใจ และเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้มากอยู่ดีว่า

    ทำไมหมาป่าพวกนี้จึงเป็นเช่นนี้ได้ และระหว่างที่เขากำลังมองพวกมันเพลินอยู่น้้นเอง  พลัน เขา

    ก็ได้เห็นพวกมันทุกตัวกระดกหัวขึ้นพร้อมกันเหมือนได้นัดหมายกันไว้ ปู่อินทร์พยายามมอง

    อาการของพวกมันไว้ ชั่งใจอยู่ว่าจะปลุกทุกคนดีหรือไม่ แต่ก็ยังนิ่งอยู่รอดูอาการพวกมันให้

    แน่ใจว่าพวกมันจะทำอะไร และแล้วพวกมันทั้งหมดลุกขึ้นยืนเสียงพรึ๊บพรั๊บ แต่ทุกคนกลับไม่

    ได้ยินเสียงพวกมันเพราะว่าหลับกันสนิทด้วยความอ่อนเพลียนั่นเอง ปู่อินทร์หยิบมีดกระชับไว้ใน

    มือ มันตัวหนึ่งสังเกตุเห็นอาการปู่อินทร์ เนื่องจากพวกมันสามารถใช้สายตาได้ดีในเวลากลาง

    คืน มันเอียงหัวมามอง ปู่อินทร์สังเกตุ เห็นมันส่ายหัวไปมาเล็กน้อย ปู่อินทร์สังเกตุเห็นอาการ

    นั้น ถ้าเป็นคน อาการส่ายหัวเช่นนี้ จะต้องเป็นการบอกว่า ไม่มีอะไร  หรือไม่ต้องสงสัยอะไร ไม่

    ต้องหยิบมีดหรอก  ปู่อินทร์คิดว่าหรือมันจะต้องการบอกเช่นนั้นเหมือนคน เขาคลายมือจากมีด

    หมาป่าเห็นเช่นนั้นมันก็หันหน้าไปทางอื่นทันที  ปู่อินทร์สังเกตุมันทุกตัวยืนขึ้นแต่ก็ไม่ได้เคลื่อน

    ใหวไปใหน หรือเข้ามาใกล้ทุกคนที่นอนอยู่ ในความมืดมันทุกตัวหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

    เหมือนพวกมันมองอะไรอยู่ด้านนั้น  และฉับพลันในทิศที่หมาป่ามองไปเป็นจุดเดียวนั้น ด้านนั้น

    ปู่อินทร์ สังเกตุเห็นมีแสงหนึ่ง  สว่าง และกระพริบเป็นจังหวะและเขารู้โดยสัญชาติญาณว่า สิ่ง

    นั้นลอยมาในอากาศอย่างช้า และสว่างขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันเริ่มเข้ามาใกล้



    " ตื่นๆ เร็วหมอ  กานต์  อรัญ  ท่านพิษทารีด้วย "


    ปู่อินทร์ปลุกทุกคน เขาเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว


    " อะไรอีกล่ะปู่พวกมันมาอีกแล้วหรือ อุ๊ยแสงอะไร อุ๊ "


    ยังไม่ทันได้พูดต่อ อรัญเอามืออุดปากแฟนสาวไว้ไม่ให้ส่งเสียง ดุจปรายสลืมสลือตื่นขึ้นเพราะ

    อรัญซึ่งตื่นก่อนจากการปลุกของปู่อินทร์และคลายวงแขนที่กอดเธอออกเธอรู้และได้ยินเสียงปู่

    อินทร์ ที่เรียกอรัญด้วย เธอลืมตามาก็ได้เห็นแสงอันสว่างจ้า แล้ว  อรัญเอามืออุดปากเธอพร้อม

    ส่ายหน้าไม่ให้เธอส่งเสียง เขาเห็นแสงประหลาดมาก่อนหน้าแล้ว  หมาป่าเริ่มหมอบลงกับพื้น

    ทุกตัว คงเป็นเพราะสัญชาติญาณ เมื่อวัตถุแห่งลำเเสงประหลาดที่สว่างมาก ลอยมาใกล้ แสง

    นั้นทำให้พื้นที่แถวนั้นสว่างไปดุจกลางวัน   


    " ไม่ได้การละถอดเสื้อผ้ากันออกเร็ว "


    เสียงปู่อินทร์สั่งเร็วปรื์อ ทุกคนรู้ทันทีเลยว่าเสื้อผ้าอีกแล้วจะเป็นสิ่งที่สะดุดตาทำให้สิ่งที่ลอยเคลื่อนมานี้

    อาจเห็นพวกเขาได้ เมื่อทุกคนถอดออกแล้วก็เอาร่างกายเปลือยเปล่าทับเสื้อผ้าและกระเป๋าที่สีน้ำเงินไม่

    สามารถกลืนได้เอาไว้ภายไต้ร่างกาย 

     วัตถุแห่งเเสงได้ลอยเข้ามา มันลอยมาโดยไม่มีเสียงเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ คงเป็นพาหนะที่ทันสมัยมาก 

    ช่วงหนึ่งมันลอยอยู่เหนือหัวทุกคนและลอยไปอย่างช้าๆ และไม่ได้หยุดตรงพวกเขา แสดงว่าการพราง

    ตัวได้ผลอีกครั้ง และเมื่อมันลอยผ่านไปไกลพอสมควร


    " จานบินนะ วัตถุที่ผ่านเราไปเมื่อกี่นี้ สังเกตุได้เลยว่ามันเป็นจานบิน  มันลอยไปเลี่ยๆยอดไม้

    นึ่เอง ทุกคนเห็นเหมือนกันใหม "


    อรัญกล่าวเขาเห็นเป็นเช่นนั้น และคิดว่าคนอื่นก็คงเห็นเช่นกัน


    " ใช่ข้าก็เห็น  หมาป่าพวกนี้ สัมผัสคงสัมผัสมันได้ตั้งแต่มันยังมาถึง ทีแรกข้าก็งงว่าหมาป่าพวกนี้มันผุด

    ลุก และมองไปทางทิศนั้นทำไม พอสักพัก ก็เห็นมันลอยมา เลยปลุกพวกเอ็ง "


    ปูอินทร์กล่าว


    " นี่เหรอเขาเรียกว่าจานบิน ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เป็นอย่างที่พวกในอุโมงค์ บอกใช่ใหม "


    ปิเยพิทารีถาม


    " ใช่แล้วที่พวกไอซ์โดรนในอุโมงค์บอกนั่นแหละท่าน และนี่ก็คงจะเป็นพวกเดรฟโดรน ที่พวก

    ไอซ์โดรนพูดถึงแน่ ดูจากยานของมันทันสมัยมากคิดว่ามันคงเดินทางแบบไวมากก็คงทำได้ แต่

    นี่มันคงลอยช้าๆ เพื่อหาอะไรสักอย่าง อาจหาพวกไอซ์โดรนก็เป็นได้ เพราะมันคงสัมผัสพลังชีวิตพวก

    ไอซ์โดร์นได้แล้ว จากตัวเหมือนไส้เดือนที่เราเอามาปล่อยแต่บังเอิญมันคงลอยผ่านมาทางที่พวกเรา

    อยู่ "


    อัครชัยแสดงความเห็น จากรูปการณ์แล้วเขาเห็นว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้น


    " ไปไกลจนไม่เห็นแสงแล้ว พวกเราใส่เสื้อผ้าได้แล้วมั้ง "


    เสียงจามิกร บอก เธอรู้สึกว่าถ้ามีอีกไม่กี่ครั้งร้อนรนถอดใส่ เสื้อผ้าอย่างนี้ เสื้อผ้าเธอยืดแน่


    " เอาเลยใส่ได้เลย "


    สิ้นคำปู่อินทร์ ทุกคนกุลีกุจอกันใส่เสื้อผ้าอีก คราวนี้ไม่มีใครรู้สึกตลก หรือเขินอายอีก


     " มันคงไม่กลับมาแล้วล่ะ ทุกคนพักผ่อนเหอะ เดี๋ยวผมกับแสงดาว อยู่ต่อเอง ได้หลับสนิทไป

    หน่อยค่อยยังชั่วแระ "


    อัครชัยกล่าว เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาเยอะทีเดียว แม้จะถูกปลุกให้ตื่นอย่างตกใจและพึ่งหลับไปได้

    ไม่นาน หมาป่าคงหมอบสนิท



    " ถ้าไม่ชอบมาพากลก็สังเกตจากหมาป่าพวกนี้ได้นะหมอ เมื่อกี้ข้าก็สังเกตุสิ่งผิดปรกติได้จาก

    พวกมัน  มันรู้ตัวได้ก่อนที่ยานนั้นจะมาด้วยซ้ำไป "


    ปู่อินทร์กล่าว เขากำชับอัครชัย


    " ครับ "


    อัครชัย รับคำ เขาและแสงดาวขยับห่างออกมาจากทุกคน เกรงว่าการเดินไปมาของเขาจะไป

    รบกวน การนอนทุกคนเวลาที่เขาเเละแสงดาวเดินตรวจ



    " โชคดีนะพี่หมอ ที่พวกมันไม่เห็นเรา ไม่งั้นไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง "

    แสงดาวพูดเบาๆ กับอัครชัย


    " นั่นนะสิ "


    อัครชัย รับคำแฟนสาว  และไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเกรงเสียงพูดจะไปรบกวนทุกคน  เขามอง

    ไปรอบๆ ป่าสีน้ำเงินแห่งนี้ เงียบสงบ ไม่มีแม้แต่เสียงอะไรเคลื่อนใหว มันเงียบจน ได้ยินเสียงลม

    หายใจทุกคนที่นอนหลับ แต่ไม่มีลมหายใจของหมาป่าเลย เขาเพ่งมองพวกมัน อย่างฉงน มี

    หลายเรื่องที่เข้าใจยากที่นี่ จนเขาเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว สำหรับความแปลกใจ เมื่อ

    เห็นทุกอย่างสงบเขาดึงแขนแสงดาวเขามาในอ้อมกอดอย่างทนุถนอม  แสงดาวเลิกตามอง

    หน้าเขา  เธอพึ่งสังเกต หน้าตาของเขาตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากพบเจอกับความ

    ลำบากมาตลอด หน้าคมเข้มดูเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หนวดเครารุงรังเล็กน้อย แต่ยังคงเค้าราง

    ความหล่อเหลาไว้ได้ตลอด  แสงดาวไม่ได้พูดอะไร แต่ได้เอามือไปแสร้งลูบหนวด อัครชัยเล่น

    จนเขาจักจี้และยิ้ม พร้อมเบือนหน้าหลบมือของเธอ    จนเวลาผ่านไป ทั้งสองรู้สึกว่าเวลามัน

    ผ่านไปหลายชั่วโมงมากแล้ว จนทั้งสองรู้สึกว่าเริ่มง่วงอีกแล้ว เขาจึงไปปลุก กานต์


    " หือ ได้เวลาเเล้วเหรอหมอ "


    กานต์ลืมตาขึ้น เขาถามอัครชัย


    " ได้นานแล้ว แต่ผมเห็นว่าคุณยังหลับสนิทอยู่ จึงไม่อยากปลุก อีกไม่นานคงสว่างแล้ว กะว่า

    ปลุกคุณทั้งสองตื่นมาก็จะได้ไม่เพลีย เหมือนคุณตื่นตอนเช้าเลย ส่วนผมได้หลับอีกสักพักก็คงดี

    ขึ้นแล้ว "


    อรัญ กล่าวตอบ


    " โอ ขอบคุณมากเลย เหลือไม่กี่ชั่วโมงอย่างนี้ ผมคงไม่ปลุกอรัญกับดุจปรายมาเปลี่ยนเวรแล้ว

    ที่นี่หลับสบายดีนะ นอนนิดหน่อยรู้สึกเหมือนนอนเต็มอิ่มเลย "


    านต์กล่าวความรู้สึกเขากุมแขนของจามิกรกระตุกเบาๆ เธอรู้สึกตัวทันที และลุกขึ้นอย่างรู้

    หน้าที่ เธอบิดแขนเพื่อให้คลายความเมื่อยล้ารู้สึกสบายตัว  เหมือนเธอได้นอนเต็มอิ่มและตื่นขึ้น

    ตอนเช้า ป่านี้มืดมิดเป็นสีน้ำเงิน กลางคืนด้วยซ้ำกลับสว่างกว่ากลางวันเสียอีก  จามิกรนึกขัน

    การได้หลับนอนของเธอที่นี่แต่ละครั้ง ผาดโผนมาก  ทั้งบนต้นไม้ กลางดงกลางป่า หลายครั้ง

    นอนไม่ได้ตลอดทั้งคืนก็มีเหตุการณ์ ให้เผชิญ บางคืนหลับสบาย พอเช้า แทบจะเอาชีวิต

    ไม่รอด ไม่มีอะไรแน่นอนเลยที่นี่ ทำให้เธอนึกไปถึงว่าพรุ่งนี้ เธอต้องเจอกับอะไรอีก  ไม่มี

    เหตุการณ์อะไรอีกเลยจนกระทั่งป่าเริ่มเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้น  กานต์จึงรู้ว่าคงเช้าแล้ว และทุกคนก็

    ทยอยตื่นกันจนหมด



    " โอ..สบายดีจัง  เหมือนได้นอนมาหลายวันเลย ตั้งแต่หลุดเข้ามาอยู่อยู่ที่ติยากิออนี่คืนนี้เเหละ

    หลับเต็มอิ่มที่สุดเลย "


    อรัญกล่าว หน้าเขายิ้ม


    " จะไม่อิ่มได้ยังไง เล่าพี่ออรัญ ไม่ได้ยินพี่กานต์ กับจา ปลุกเลย เราสองคนเอาเปรียบเขาไปไม่เนี่ย "


    ดุจปราย นึกขึ้นมาได้

     
    " ไม่ใช่หรอก ปราย พอดีหมอกับแสงดาวปลุกเราสองคนก็ใกล้สว่างแล้ว กานต์เขาเลยไม่ปลุก

    เธอสองคน "


    จามิกร ตอบ


    " โอ ขอบใจเธอสองคนมากนะ ขอบใจหมอและแสงดาวด้วย เราเลยนอนกันสบายเลย ไว้คืนอื่น

    เราสองคนชดเชยให้ละกัน "


    อรัญกล่าวอย่างเกรงใจ


    " ไม่เป็นไรหรอก ถึงไม่ปลุกเธอพวกเราก็ไม่เพลียหรอก เต็มอิ่มเหมือนกัน ต้นไม่ที่นี่แปลกมาก

    นะ เหมือนมันทำให้พวกเราหลับสนิทได้นะ "


    จามิกรกล่าวเธอรู้สึกได้อย่างที่พูดจริงๆ  


    " ปิเยบิรูมีการดำรงชีพที่ต่างกับปิเยทั่วไป ปิเยหลายที่รวมทั้งที่โลกของพวกท่านมีการปล่อย

    ไอกลางวันและกลางคืนตรงข้ามกันกับที่นี่  จึงทำให้กลางคืนพวกท่านคงหลับสบายเหมือนท่าน

    นอนได้ร่างพุ่มปิเยที่โลกของท่านตอนกลางวัน การที่ปิเยที่นี่มีอะไรที่กลับกันกับปิเยที่อื่น จึง

    ทำให้สีของถิ่นปิเยที่นี่เป็นเช่นนี้ไง "


    ปิเยพิษทารี อธิบาย


    "  โอนี่แสดงว่าต้นไม้ที่นี่กลางคืนปลดปล่อยก๊าซอ๊อกซิเจนแน่เลย พวกเราถึงได้หลับสบายจริงๆ

    หาสาเหตุเจอแล้ว การหลับสบายไม่ได้เกิดจากอาการอ่อนเพลียของพวกเรา "


    จามิกร กล่าว เธอเป็นคนที่รอบรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติเธอเข้าใจได้ง่ายเนื่องจากที่เรียน

    มาและเป็นนักค้นคว้า



    "  ไปเหอะ พวกเราพร้อมแล้วหละ เราเสียเวลาที่นี่มากไม่ได้เราไม่รู้ว่าพวกมัจเจมันไปถึงใหน

    แล้ว ช้าอาจไม่ทันกาล "


    ปิเยพิษทารี ร้องเตือนทุกคน


    " ได้เลย แต่หรือว่าพวกเราจะลองขี่หมาพวกนี้ไหมดูมันตัวใหญ่และน่าจะรับน้ำหนักพวกเรา

    ใหว ถ้าเกิดมันเชื่อฟังเรา เราความคุมมันได้เหมือนม้า จะทำให้การเดินทางเราเร็วขึ้นได้ "


    ปู่อินทร์ เสนอ


    " แต่ว่า ไม่ใช่ว่าจะขึ่มันได้ง่ายๆนะ ปู่ถึงมันจะยอมก็เหอะ หมาตัวใหญ่ขนาดนี้ก็เหมือนม้า ถ้าทุกคนไม่

    เคยฝึกก็คงขึ่ยาก  มีใครขี่ม้าเป็นบ้างเนี่ย "


    อัครชัยถาม เขาเป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชอบการขี้ม้ามาก เขาฝึกขี่จนชำนาญ เลยรู้ว่าจะต้องฝึกจนขี่

    เป็นด้วย จึงจะขึ้นขี่มันได้



    " ขี่เป็น  เราก็เป็นเคยขี่ประจำ "


    เสียงหลาย คนตอบรับ  อัครชัยคำนวนจากสายตา และเสียงที่ตอบรับ และบางคนใช้พยักหน้า


    " โอนี่ทุกคน ขี่ม้าเป็นหมด  ทุกคนเลยเหรอ โชคดีจัง แสดงว่าทุกคนชอบการขี่ม้าเหมือนกัน

    เลย "

     
    อัครชัยกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้น


    " คนอย่างพวกท่านขี่เป็นนะ แต่เราไม่ใช่คน และก็ไม่เคยรู้จักด้วย "


    เสียงหนึ่งดังขึ้น ปิเยพิษทารีนั่นเอง  ทำให้ทุกคนเงียบไป


     " ไม่เป็นไรท่าน มีหมาป่าอยู่เจ็ดตัว ท่านนั่งไปกับข้าก็ได้ ข้าจะดูแลท่านเอง ส่วนคนอื่นก็ขึ่พวก

    มันไปคนละตัว และ จะเหลือหมาป่าอีกหนึ่งตัวมันก็คงวิ่งตามไปได้เ รานำหน้าไปท่านบอกทางที่จะ

    ไปด้วย ถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะทุกคนก็ต้องรออยู่แล้ว "


    ข้อเสนอของปู่อินทร์ เป็นทางออกที่ดี และทุกคนก็เห็นดัวยอย่างยิ่ง   การทดลองขี่ร่างหมาป่าก็

    เริ่มขึ้น พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น เพราะรู้สึกว่าหมาป่าจะว่านอนสอนง่าย เพียงแค่ทำภาษามือ

    มันก็เข้าใจได้


    " นั่งสบายด้วย หลังไม่เเหลมเหมือนม้าอีกต่างหาก "  


    ดุจปรายกับเป็นคนที่สปริงตัวขึ้นหลังมันได้เป็นคนแรก  ตอนเป็นรุ่นๆ เธอเคยอาศัยขึ้มาเป็น

    พาหนะขึ้นเขาขึ้นดอย จนเธอติดความเป็นความชำนาญ แต่ทุกคนก็ใช่ว่าจะน้อยหน้ากัน เป็น

    ความโชคดีที่ทุกคนชำนาญการขึ่ม้า จามิกร เองก็เคยได้เหรียญทองเยาวชนกีฬ่านี้ มีก็แต่ ปิเย

    พิษทารี หลังจากที่ทุกคนขึ้นขี่หลังหมาป่ากันจนหมด



    "  ใครลงไปส่ง ท่านพิษทารีขึ้นมาหน่อย ลืมไปว่าเขาขึ้นไม่ได้ "


    เสียงปู่อินทร์ กล่าว เขากุลีกุจอที่จะขึ้นขี่ จนลืมไปนึกถึงปิเยพิษทารีไป และได้สั่งให้ใครสักคน

    ช่วยส่งร่างของปิเยพิษทารีขึ้นมาที และปู่อินทร์ จะคอยรับอยู่ข้างบน อัครชัยสูงใหญ่กว่าคนอื่น

    เขาอาสาลงมาเพื่อช่วย และอรัญก็ลงจากหลังหมาป่ามาช่วยอีกคน ร่างปิเยพิษทารีถูกดันขึ้นไป

    ปู่อินทร์ ให้เขาขึ้นไปข้างหน้าเพื่อจะได้ใช้ร่างเขาพยุงร่างปิเยพิษทารีอีกทีกันเขาตก  ปิเยพิษ

    ทารี ดูเก้ๆกังๆ และเมื่อเขาจับขนคอของหมาป่าได้มั่น ปู่อินทร์ก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทาง


    " โอ เราเดินทางได้เร็วขึ้นมากเลย เพียงแค่เราจับพวกมันไว้มั่นๆให้ได้โดยไม่ให้ตก พวกท่านมีวิธีเดิน

    ทางได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ "


    ปิเยพิษทารี กล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าการที่อยู่บนหลังหมาป่านี้ โดยให้มันเดินทางไปทำให้

    สามารถเดินทางไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นมาก เพียงแค่ส่งสัญญาณให้มันไปทางนั้นทางนี้


    " ใช่เลยท่าน ที่จริงพวกเราสามารถเดินทางโดยมีพาหนะที่เดินทางได้เร็วกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่าก็

    มีที่โลกของเรา "


    ปู่อินทร์ตอบ


    " มิน่าเรา พวกปิเยหิริน ที่อาศัยร่าง ดิโนสิค จึงเดินทางมาได้ไวมาก และพวกนั้นแข้งขาใหญ่

    กว่าหมาป่าพวกนี้มากก้าวที่หนึ่งคงจะได้ระยะทางที่ไกลกว่านี้อีก "


    ปิเยพิษทารีกล่าว


    " ใช่ ที่จริงหมาป่าพวกนี้ก็คงวิ่งได้ไวกว่านี้มาก ถ้าท่านชำนาญในการเกาะบนหลังของมันแล้ว

    ข้าจะลองสั่งให้มันวิ่งไวกว่านี้ เพราะทุกคนที่อยู่บนหลังมันตอนนี้ชำนาญการขึ่กันทุกคน "


    ปู่อินทร์กล่าวกับ ปิเยพิษทารี ตอนนี้หมาป่าเพียงแค่เดินเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ปู่อินทร์ เกรง

    ว่าปิเยพิษทารียังไม่ชำนาญในการเกาะหลังของหมาป่านี้  แต่ขณะนี้เขารู้สึกว่าปิเยพิษทารีเริ่ม

    ชำนาญ ในการนั่งและการเกาะบ้างแล้ว และอีกอย่างหนึ่งยังมีเขาที่ขึ่ร่างหมาป่าอยู่ข้างหลัง

    คอยประคับประคองร่างเขาอีกที  เขาจึงเริ่มสั่งให้หมาป่าเริ่มวิ่ง และเมื่อเห็นว่ายังคงพอประคับ

    ประคองให้ปิเยพิษทารีสามารถเกาะได้อยู่ เขาจึงสั่งให้หมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งหมด

    เดินทางลัดเลาะในป่าสีน้ำเงิน ด้วยความเร็วของหมาป่า โดยเดินทางไปทางทิศเหนือเพียงอย่าง

    เดียว ตามคำบอกเล่าของปิเยพิษทารี เขายังบอกกับปู่อินทร์ ด้วยว่า ป่าสีน้ำเงินแห่งนี้ เดี๋ยวนี้มี

    ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแต่เดิมมาก ปรกติเดินทางระยะเวลาขนาดนี้ คงโผล่พ้นไปแล้ว และขบวน

    ทั้งหมดก็เริ่มขึ้นสู่ยอดเขาซึ่งปิเยพิษทารีบอกว่าตรงนี้เเหละ เป็นส่วนที่เป็นศูนย์กลางของป่าแต่

    เดิม และเพียงไม่นานพวกเขาก็ ลัดเลาะลงเขาอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาแอบดีใจ ที่ได้

    มีหมาป่ามาเป็นพาหนะ เพราะภูเขาลูกที่ผ่านมา สูงพอสมควร ถ้าเดินทางด้วยเท้า คงใช้เวลา

    เป็นวันๆสำหรับการป่ายปีน


    " ลงเขานี่หมาวิ่งได้เร็วมากนะท่าน "


    ปิเยพิษทารีกล่าว เขารู้สึกกลัวเหมือนกันตอนนี้เพราะรู้สึกว่าการลงที่ต่ำทำให้หมาป่าเร็วขึ้น ปู่

    อินทร์ก็เห็นเช่นนั้น แต่เขาคิดว่าหมาป่าคงจะรู้ตัวดี ว่ามันเร็วขนาดจะทำให้ทรงกายมันอยู่หรือ

    ไม่ ซ้ำทุกคนที่ขี่ตัวอื่นมาข้างหลัง ไม่มีทีท่าว่าจะเสียหลักแต่อย่างใด สีหน้าทุกคนยิ้มแย้มด้วย

    ซ้ำไป เพราะทุกคนช้ำนาญการขี่อย่างมากนั่นเอง



    " ท่านไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวพอถึงตีนเขาที่เสมอ หมาป่าพวกนี้มันก็คงลดความเร็วเองเเหละ "


    ปู่อินทร์กล่าวกับปิเยพิษทารี เพื่อให้เขาคลายกังวล ปิเยพิษทารีจึงพอทำใจได้ ถึงแม้ว่ายิ่งลงมา

    ต่ำเรื่อย ทุกคนก็เห็นว่าความเร็วการวิ่งของหมาป่ากลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน จนกระทั่งอีกไม่

    ไกลข้างหน้า ปิเยพิษทารีรู้ว่าจะถึงตีนเขาเเล้ว 


    " อีกหน่อยเดียวก็จะถึงตีนเขาแล้ว"


    ปิเยพิษทารีบอกปู่อินทร์



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×