ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #36 : ศัตรูร้ายโลกที่สาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 169
      4
      9 ก.ค. 62






    " ตัวอะไร.หรือท่านพิษทารี สัตว์หรือคน สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่นี่ทำไมร่างกายมันเหมือนพวกเราแท้ "


    ดุจปรายถามเสียงสั่น  


    " ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่สัตว์ที่เคยมีที่นี่แน่ แม้ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่มาเป็นหมื่นปี ก็

    ไม่น่าจะมีวิวัฒนาการสัตว์ ที่มีรูปร่างแปลกได้เร็วถึงเพียงนี้  ไม่ใช่ปิเย อย่างข้าดัวย แล้วก็ไม่ใช่มนุษย์ 

    อย่างพวกท่านด้วย"


    ปิเยพิษทารีตอบ เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตนี้  


    " ไม่ใช่สัตว์ที่นี่ แล้วก็ไม่ใช่มนุษย์ แล้วพวกนี้มันเป็นพวกใหนกัน เยอะมากด้วย เราไม่รู้ว่า

    อุโมงค์จะยาวไปอีกแค่ใหน แค่เห็นความยาวอุโมงค์ทึ่สายตาเราเห็นได้แค่นี้ พวกมันก็เป็นร้อย

    แล้ว "  


    สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก สิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ เดินเคลื่อนใหวไปมากันขวักใขว่ ที่ร้ายกว่า

    นั้น พวกเขามองเห็นพวกมันมีสำภาระด้วย เหมือนมันคงจับจองที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของมันมาไม่รู้

    ว่านานเท่าใด ที่สำคัญพวกมัน เป็นตัวอะไร  และที่มันอยู่นี้ คือเส้นทางที่พวกเขาจะต้องผ่านไป

    ด้วยจะหลีกเลี่ยงกันได้อย่างไร


    " จะทำยังไงกันดี ไอ้ตัวประหลาดพวกนี้มันขวางหน้าเราอยู่ ถ้าเราฝ่าไปต้องเผชิญหน้ากับพวก

    มันแน่ เราจะสู้มันได้ใหม พวกมันมีจำนวนมากกว่าพวกเราขนาดใหนยังไม่รู้ "


    ปิเยพิษทารี ถามความเห็น  


    " เรื่องการใช้กำลังเข้าต่อสู้เพื่อจะฝ่าออกไป ข้าไม่เห็นด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นที่พวกมัน เยอะกว่า

    พวกเรา เราอาจเพลี้ยงพล้ำ หรือบางทีพวกมันอาจจะไม่สามารถสู้พวกเราได้  พวกมันอาจต้อง

    ตายเป็นใบไม้ร่วง แต่ดูสิพวกมันมีบางตัว เล็ก ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าคงเป็นลูกๆของพวกมัน เรา

    จะใจแข็งพอหรือ ถ้าต้องฆ่าเด็กๆพวกนั้น และยิ่งตอนนี้เรายังไม่รู้ด้วยว่าพวกนี้เป็นศัตรูของเรา

    แน่หรือเปล่า จะว่าข้าใจอ่อนเลย แม้แต่พวกเจ้าทุกคนข้าก็คิดว่าทุกคนต้องคิดเช่นนี้ "

    อินทร์กล่าว  


    "  จริงอย่างปู่อินทร์ว่า จริงๆพวกเราก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร  จะต่อสู้กันก็คงจะเลี่ยงที่จะต้องทำร้าย

    ลูกของพวกมันไม่ได้  พวกนี้ถ้าแข็งแกร่งจริง คงไม่ต้องมาหลบในอุโมงแบบนี้ ดูร่างกายพวกมัน

    บอบบางกว่าพวกเราอีก ร่างกายดูใสๆ อย่างนั้น แต่ดูพวกมันอยู่คล้ายมนุษย์เวลา อพยพ นะ "


    อัครชัยกล่าวเสริม  เมื่อมองไม่เห็นทางที่จะฝ่าออกไป ทุกคนก็คิดกันหนัก และต่างก็เงียบมองดู

    กลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่ม และคิดหาทางว่าจะทำอย่างไรกันดี  


    " หรือเราจะลองสื่อสารกับพวกนั้นดู เขาอาจจะรู้ภาษาของพวกเรา หรือภาษาของปิเย ที่ท่าน

    พิษทารีรู้ ก็เป็นได้ "


    ปู่อินทร์ เสนอความเห็น  


    " อันที่จริงก็คงเป็นทางเดียวที่จะทำได้  แต่ทำอย่างไรจะไม่ให้พวกเขาแตกตื่น อย่าลืมว่าถ้ายัง

    ไม่ทันได้สื่อสารเกิดต่อสู้กันก่อนเราจะไม่ได้รู้อะไร หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าผลการต่อสู้จะเป็นอย่างไร

    ด้วย "



    อัครชัยกล่าว


     "
    ข้ามีวิธี   ข้ามีพิษที่สลักทำให้หลับใหลได้ ถ้ามันอยู่บน ติอากอนี้ได้พิษข้าต้องได้ผลแน่  แต่

    พิษใช้ปริมาณพื้นที่กว้างมากมายนักไม่ได้ ลำพังปริมาณพวกมันที่เราเห็นนี้คงพอ แต่ถ้ามี

    ปริมาณเยอะกว่านี้  ข้าเกรงว่าคงไม่ขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าจากนี้ไปจนถึงปลายอุโมงค์มีพวก

    มันไปตลอดแน่  เราจะทำให้บางร่างสลบไสลได้อย่างไร โดยที่ไม่ให้พวกมันที่เหลือตื่นตะหนกได้ "


    ปิเยพิษทารี เสนอตัว และขอความเห็นเรื่องข้อจำกัด  


    " ถ้ามันต้องพักผ่อนหลับใหลเหมือนพวกเรา ก็น่าจะมีทางนะ อาศัยเวลาพวกมันหลับ เราก็ค่อย

    แอบลักพาพวกมันออกมาถามเรื่องราวสักตัวหนึ่ง และทำให้พวกมันที่เหลือหลับอยู่อย่างนั้น

    จะได้ไม่เป็นที่สงสัย  "  



    ดุจปรายเสนอความเห็น


    " เออใช่ จริงด้วย แฟนผมฉลาดจริง"


    อรัญชม  


    " เป็นอันว่าเอาตามนี้แล้วกันพวกเราเฝ้าดูมันไปเรื่อยๆว่ามันจะหลับนอนกันใหม สบโอกาสมื่อไร

    ท่านพิษทารี ค่อยทำตามที่บอกไว้ "


    ปู่อินทร์กล่าวเสริม  


    " ระหว่างนี้เราก็ควรจะพักผ่อนกันไปบ้างนะ ไม่รู้ว่าพวกมันจะนอนตอนใหน เราถือโอกาสพัก

    ผ่อนเลยละกัน ถ้าเป็นข้างนอกคงจะเริ่มมืดแล้ว เราเดินเข้ามาหลายชั่วโมง ผลัดกันเฝ้าไว้ ถ้า

    เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลก็ปลุกกันเลย ส่วนข้าขอผลัดแรก ไว้ข้าง่วงเมื่อไรข้าจะเรียกคน อื่น

    นะ"


    พิษทารีกล่าว ทั้งหมดเห็นด้วย ความเมื่อยล้าจากการเดินทางเข้าอุโมงค์มาเริ่มทำให้ทุกคนรู้สึก

    เพลียและง่วงจริงๆ และทันทีที่ได้ที่นอนในขณะที่มืดนั้น ก็ทำให้ทุกคนหลับไปอย่างรวดเร็ว  

    ไม่รู้ว่านานเท่าใด  


    " โอ๊ๆ.. "


    เสียงกานต์ลั่น พลอยทำให้ทุกคนตกใจตื่นมาด้วย


    " จุ๊จุ๊ เงียบๆไว้ ทุกคนเงียบไว้  "


    ปิเยพิษทารี สั่งเสียงลั่น ทุกจึงสงบ  จะไม่ให้กานต์ตกใจได้อย่างไร มือของเขาถูกกำไว้ด้วย

    อวัยวะคล้ายมือ ของสิ่งมีชีวิตประหลาดเมื่อก่อนที่เขาหลับ แต่บัดนี้มันได้มาอยู่ใกล้เขาแล้วเขารู้สึกได้ว่า

    มือถูกจับพอตื่นขึ้นในความมืดก็เห็นสั่งมีชีวิตประหลาดนี้อยู่ตรงหน้า


    " พอดีเห็นพวกมันหลับเลยย่องเข้าไป  สลักพิษ สำทับมันจะได้ไม่ตื่นและอุ้มมันออกมาตัวหนึ่ง

    ไม่นึกว่ามันจะขยับร่างกายได้อุ้มมันมาถึงนี่มันกับจับมือเจ้าได้ สงสัยมันจะละเมอ กะว่าพอเอา

    มันมาถึง จะเรียกพวกเจ้าพอดี"


    ปิเยพิษทารี อธิบาย ระหว่างที่ทุกคนหลับ เขาได้ทำอย่างที่พูด เพราะสบโอกาสเหมาะ  ทุกคน

    หันไปดูทางนั้น อุโมงค์ที่สว่างก่อนหน้านี้ บัดนี้เมือดสนิท แสดงว่าระหว่างนอนนั้น พวกนี้มีการ

    ดับแสงสว่างด้วย  



    " ทำไงดี จะทำอย่างไร มันหลับอยู่อย่างนี้เราจะสื่อสารกับมันไม่รู้เรื่องแน่ "


    ปู่อินทร์ถามความเห็น


    " ที่จริงข้าถอนพิษได้ ถ้าต้องการให้มันตื่นข้าจะถอนพิษที่สลักให้ "


    ปิเยพิษทารีตอบ


    " ถ้าอยู่ตรงนี้เกิดมันรู้สึกตัวแล้วตกใจวิ่งหนีเข้ากลุ่มไป เราจะไม่ทันได้รู้เรื่องนะ อย่าลืมว่า ท่าน

    พิษทารี ไม่ได้ใช้พิษสะกดพวกมันไว้ได้ทั้งหมด ยังไม่อีกหลายตัวที่พ้นรัศมีพิษพวกมันแค่หลับ

    อะไรดังหน่อยมันคงตื่นแล้ว "


    อัครชัยกล่าวแสดงความเห็น


    " ข้าว่าเรานำเจ้าตัวนี่ ยอ้นกลับไปที่ห้องโถงอุโมงค์สองแพร่งที่เราผ่านมานั้นใหม ที่นั่นไกล

    ออกไปจากที่นี่และก็มีบริเวรกว้าง จะคิดอ่านทำอะไรง่ายกว่าตรงนี้ "


    ปู่อินทร์กล่าว  


    "  ดีๆ ตรงนี้ใกล้พวกมันเกินไป อีกอย่างข้าต้องการพิสูจน์อะไรเหมือนกัน ว่า พวกตัวสะดีน่าที่มี

    ท่าทางหวาดกลัวอยู่นั้น ใช่กลัวพวกนี้หรือเปล่า "  


    ทั้งหมดปรึกษากันจนได้ข้อสรุป และทำตามสิ่งที่พูดกันทันที  พวกเขาพาร่างประหลาดนั้นกลับ

    ย้อนมาตามทางที่เดินผ่านไปเมื่อสักครู่ใหญ่ และนำกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ตรงทางสองแพร่ง

    นั้น เมื่อเดินทางห่างออกมา ปิเยพิษทารีก็ได้ให้แสงสว่างอีกครั้ง   ทุกคนได้เห็นร่างประหลาด

    ใกล้ๆแบบชัดๆ ร่างนี้บอบบางใสๆ จนเห็นอวัยวะข้างในทั้งหมด แต่พวกเขามองไม่เห็นอวัยวะที่

    คล้ายกับมนุษย์ ร่างโปร่งแสงนั้นข้างในเหมือนตุ๊กตาที่ไม่มีอวัยวะระโยงระยาง แต่คงมีกระดูก

    ช่วยยึดร่างไว้เหมือนมนุษย์  หลังจากที่ได้เห็นใกล้ๆ พวกเขารู้ได้ทันที  ว่าตัวประหลาดพวกนี้

    หามีพิษสงค์ไม่  ร่างที่บอบบาง ถ้าต้องกับของมีคม คงจะหลุดรุ่ย หรือทะลุได้โดยง่าย   และ

    ความคิดของทุกคนก็สะดุด เมื่อได้ยินปิเยพิษทารีกล่าวขึ้น



    " ข้าจักถอดพิษที่สลักนะ สักครู่ไอ้เจ้านีี่มันจงจะตื่นจากหลับไหล พวกเจ้าน่าจะหาวิธีตรึงมันไว้

    นะ จะได้ไม่หนีไปใหน "


    " คงไม่ต้องขนาดนั้นหรอกทั่นพิษทารี ร่างบอบบางเช่นนี้ คงไม่มีเรี่ยงแรงมากมากหรอก พวกเรา

    ช่วยกันจับไว้หลายคน ก็คงดิ้นไม่หลุดแล้ว "


    ปู่อินทร์กล่าว เขากระชับมือมั่นไปที่ท่อนแขนที่บอบบางของร่างประหลาด ทำให้เขารู้สึกได้ถึง

    ความมั่นใจในคำพูดของเขา


    " ต้องระวังอีกอย่างหนึ่ง ร่างพวกนี้อาจมีพิษได้ หลังจากที่มันรู้สึกตัว พิษบางอย่าง ไม่มีรูปร่าง

    ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น พวกเราต้องระวัง มันอาจจะสลักไว้ที่ใดที่หนึ่งในร่างของมัน หรือไม่ก็ทางปาก

    หลังจากที่มันรู้สึกตัว ระวังอย่าให้มันหันปากไปทางใคร มันอาจพ่นพิษใส่ได้ "



    ปิเยพิษทารีกล่าวเตือน เขาเข้าใจคุณสมบัติของพิษที่อาจมีได้ในร่างสิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนี้

    จึงเตือนให้ทุกคนต้องระวังไว้บ้าง   หลังจากพิษที่สลักให้หลับใหลถูกคลายออก โดยปิเยพิษทา

    รี ได้ใช้ยางที่รินออกจากร่างเขามาส่วนหนึ่งป้ายไปที่ร่างประหลาดนั้น  พวกเขารู้สึกได้ว่าร่างนั้น

    เริ่มเคลื่อนใหว มือทุกคนที่จับมีแรงดึงดัน แต่เบามาก


    " อวี่ๆ อวี๊ด  วี๊ด  ๆๆ "


    พวกเขาได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากร่างนี้  พลันพวกเขาก็ได้เห็นเปลือกใสๆผลุบโผล่

    อยู่ที่หนึ่ง แต่เป็นจุดเดียวเท่านั้น มันคือตาของมันนั่นเอง แรงดิ้นมีเพิ่มมากขึ้น จนทุกคนสัมผัส

    ได้ แต่ก็ยังไม่แรงมากมาพอที่จะเอาตัวรอดจาการเกาะกุมอยู่ดี  


    "  โอ ประหลาดจังนะ พวกนี้มีกำลังน้อยมากจริงอย่างที่เราสงสัย คงเป็นเพราะร่างโปร่งใสไม่มี

    กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเหมือนพวกเรา แล้วเสียงเมื่อกี้คงเป็นภาษาของมัน ทำไง เราจะสื่อสาร

    ได้ไง ภาษานั้นพวกเราไม่รู้เรื่องเลย "


    ดุจปรายกล่าว  และทันทีที่เธอพูดจบ


    " พวกท่านเป็นพวกมนุษย์โลกใช่ใหม  "


    ทุกคนถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย น้ำเสียงที่เย็นและชัดถ้อยชัดคำเหล่านี้ มาจากร่างที่พวกเขากำลัง

    ช่วยกันจับอยู่


    " โอ เจ้าพูดภาษาของเราได้ น่าประหลาดแท้ เจ้าเป็นพวกใหนกันทำไมพูดภาษาของพวกเรา

    ได้ เจ้าพูดได้ชัดกว่าพวกต้นไม้ เอ็ยปิเยที่นี่อีก "  



    อัครชัยกล่าวอย่างแปลกใจ ที่เห็นร่างประหลาดพูดได้

     
    " พวเราถูกสอนให้ได้รู้ภาษาท่าน โดยหัวหน้าพวกเราที่มาที่นี่ก่อน เขาได้บังเอิญพบกับมนุษย์

    โลกคนหนึ่ง และพยายามค้นคว้าเรื่องสื่อสารกับเขา และมนุษย์โลกคนนั้นก็สอนภาษานี้กับพวก

    เรา  แต่เสียดายเขาได้สิ้นอายุขัยไปนานแล้ว พวกเราจึงรู้ภาษาพวกท่าน ก่อนอื่นขอให้ท่าน

    ปล่อยร่างข้าก่อนได้ใหม ร่างกายข้าถูกพวกท่านจับไว้จนรู้สึกเจ็บแล้ว ข้าขอรับรองว่าข้าจะไม่หนี

    ไปใหนข้ารู้มานานว่ามนุษย์โลกไม่ใจร้าย ถ้าเราคุยกันรู้เรื่อง  แล้วข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง "


    ร่างประหลาดกล่าว ทุกคนปล่อยมือพร้อมกัน เห็นด้วยกลับคำพูดนั้นว่าร่างประหลาดนี้จะไม่หนี

    ถึงหนีก็คงไม่พ้นเพราะสรีระนั้นไม่อำนวยให้ร่างนี้ทำได้


    " ค่อยยังชั่ว  ที่จริงแล้วเราก็มีภาษาของเรา แต่ถ้าพูดไปพวกท่านคงไม่เข้าใจ พวกท่านอยากรู้

    ใช่ใหมว่าพวกเราเป็นใคร ถ้าเราอยู่ข้างนอกเราจะชี้บ้านเราให้พวกท่านเห็นได้ แต่เสียดายเรา

    อยู่ในนี้ "


    ร่างประหลาดกล่าว

    " ใหนท่านพิษทารีว่า ไม่เคยเห็นมนุษย์ ประหลาดพวกนี้ไง ก็เขาบอกว่ามีบ้านอยู่สามารถชี้ให้ดู

    ได้ "  


    อรัญ กล่าวเขานึกจำคำพูดของปิเยพิษทารีได้   ก่อนที่ปิเยพิษทารีจะตอบ ร่างประหลาดนั้นก็

    กล่าวขึ้นอีก  


    " เขาพูดถูก ต้นไม้ต้นนี้ ท่านคงไม่เคยเห็นพวกเรา ที่ว่าบ้านคือบ้านที่อยู่แสนไกลถ้าอยู่ข้างนอก

    ข้าคงชี้ไปที่ดาวดวงหนึ่ง ทางทิศไต้ เราไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่นี่ พวกเรามาจากต่างดาว "


    " จากต่างดาว  "

     
    ทั้งหมดอุทานขึ้นเกือบพร้อมกัน


    " ใช่แล้ว เรามาจากดาวดวงอื่น  เราเรียกที่นั่น ว่าโดรน ที่นั่นเหมือนดาวของพวกท่านนี่แหละ มี

    สองมิติเหมือนที่นี่  และเมื่อเผ่าพันธ์ทั้งสองมิติ หาทางทะลุถึงกันได้  หายนะจึงเกิดขึ้น  เผ่า

    พันธุ์ ไอซ์ โดรน คือเผ่าพันธุ์ ของข้ามิยอมที่จะถูกทำลายฝ่ายเดียว เราเข้าสู้สงครามต่อต้านผู้

    รุกราน คือกลุ่ม มิติ เดฟ โดรน จนเผ่าพันธุ์ทั้งสองมิติของเราสูญเสียกันจะเกือบหมดสิ้น พื้นที่อัน

    เคยเป็นที่อยุ่อาศัยที่น่าอยู่และสมบูรณ์ถูกอาวุธทำลายจนไม่สามารถดำรงอยู่ได้ พวกเราคือกลุ่มสุดท้าย 

    หกชีวิต ที่เหลืออยู่ต้องละทิ้ง ไอซ์ โดรน หนีมาและมาเจอและอาศัยอยู่ที่นี่  และขยายเผ่าพันธุจนบัด

    นี้มีนับพัน เมื่ออายุยังไม่มากเราจะค่อนข้างบอบบางและเมื่อเราได้ผลัดเกราะร่างทุกปี ทุกปี เรา

    จะเเข็งเเกร่งขึ้น โดรน ที่เราอยู่เป็นน้ำแข็ง ต่างจากที่นี่ พวกเราเกิดมาต้องหลบอยู่ในอุโมงค์เย็นแแบนนี้

    หลายปี และผลัดเปลือกร่างหลายครั้ง จึงจะสามารถออกไปข้างนอกเพื่อเจอกับแสงอาทิตย์ได้ "


    ร่างประหลาดกล่าว


    " แสดงว่าพวกเจ้าก็อยู่ที่นี่มานานพอสมควร แต่ทำไมไม่มีใครล่วงรู้เลยล่ะว่ามีพวกเจ้าอยู่ที่นี่

    แม้แต่ท่านตะเคียน่า ของพวกเราเองที่ว่ารอบรู้และอยู่มานานที่สุดก็คงไม่เคยรู้ว่ามีพวกเจ้าอยู่ที่นี่

    และใหนจะเป็น มัจเจ หรือ โอ๊คคาระ ที่นี่เป็นช่วงต่อนอาณาเขตของทั้งสอง เหตุใดจึงไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลก

    ปลอมอยู่ในพื้นที่ของเขา "



    ปิเยพิษทารี กล่าวถามอย่างสงสัย


    " พวกเราจำเป็นต้องหลบซ่อน เราล่วงรู้ว่า มีเผ่าพันธุ์ เดฟโดรน ที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่

    รอดชีวิต เหมือนกันกับพวกเรา มาที่นี่ เราไม่สามารถเจอกับพวกมันได้ ถ้าเกิดการสู้รบ ในสถาน

    ที่เช่นนี้ เราไม่สามารถสู้พวกมันได้ อีกอย่างยานของเราที่มาที่นี่ก็เป็นยานบรรทุก ไม่ใช่ยานรบ

    แบบของ เดฟโดรน นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเราต้องหลบซ่อนตลอด  พวกเราจึงอยุ่ที่นี่ได้โดยไม่มีใครรู้

    มนุษย์ที่สอนให้เราล่วงรู้ภาษามนุษย์ คือผู้ที่หลุด เข้ามาในมิติเเห่งนี้ และใช้สถานที่แห่งนี้

    เป็นที่อาศัย ยานอวกาศของเรา ได้จับเรดาร์หาสถานที่ที่เย็นและเหมาะสมแก่การอาศัย

    จึงได้สถานที่แห่งนี้ และพบกับท่าน มนุษย์ผู้นั้นจิตใจหลุดพ้นหรือที่พวกท่านเรียก นักบวช ท่านได้มาอยู่

    ที่นี่ก่อนพวกเรามาเล็กน้อย และท่านได้ตายไปล่วงนี้แล้ว คงเหลือไว้แต่โครงกระดูก ไม่ได้สิ้นสลายไป

    ตามกาลเวลา กระดูกของมนุษย์ผู้นั้น กลายเป็นพระธาตุ หรือที่พวกต้นไม้เรียกว่าแก่นสารีรักษ์ มีปฎิ

    ริยากับร่างกายของต้นไม้  โบราณที่นามว่าโอ๊คคาระได้ มันรู้ดี ว่ามีสิ่งนี้ มันเคยลอบมาสำรวจตอนที่พวกบรรพบุรุษ

    ข้าทั้งหกชีวิตมาอยู่ใหม่ใหม่ และหลังจากนักบวชคนนั้นได้ตายลงแล้ว มันเข้ามาพบโครงกระดูก มันมีอาการ

    ตกใจและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ช่วงนั้นพวกเราแอบในถ้ำนี้เฝ้ามองดูอาการของต้นไม้ต้นนั้นอยู่ 

    และเห็นอยู่ตลอด หลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นต้นไม้ต้นนั้นอีกเลย เหมือนมันเพยายามจะเลี่ยงที่จะมาที่นี่ 

    แต่พวกเราก็แอบสืบดูว่า ต้นไม้นาม โอ๊คคาระ ติดต่ออยู่กับ พวกเดรฟโดนด้วย แต่ทำไม่ถึงไม่มีใครลง

    มาสำรวจ หาพวกเรา  เพราะพวกเรารู้ว่าเดฟโดร์นมาที่นี่เพื่อตามหาพวกเรา  เมื่อมันไม่ลงมาแสดงว่า

    ต้นไม้ต้นนั้นคงไม่ได้บอกอะไรพวกเดฟโดร์นว่ามีถ้ำอยู่ที่นี่ พวกเดรฟโดร์นเลยมิได้เคยลงมาสำรวจ

    เมื่อไม่มีใครลงมาพวกเราที่นี่พวกเราจึงปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ "


    " โอ นี่เราจะเจอแก่นสารีรักษ์ที่นี่ด้วยเหรอ "  


    ปิเยพิษทารีอุทาน


    " ใช่แล้ว พวกเราล่วงรู้แล้วว่าพระธาตุน่าจะต้องทำอะไรได้บ้าง  ถ้าต้นไม้ต้นนั้นแสดงออกว่ามีอาการ

    กลัวโครงกระดูกของนักบวช   นักบวชรูปนั้นนอกจากจะสอนภาษากับพวกเราเขาได้สอนคำสอนบาง

    อย่าง  พวกเรากลุ่มหนึ่งซึ่งซาบซึ้งคำของเขายิ่งนัก "


    ร่างประหลาดกล่าว


    " ว่า แต่พวกท่านเถิดทำไมเข้ามาได้ในสถานที่นี้ ซ้ำยังเป็นมนุษย์หลายคน พวกเราไม่คิดว่าจะมี

    มนุษย์หลายคน ในที่นี่อีก "





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×