ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #24 : เกลือเป็นหนอน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 274
      9
      8 ก.ค. 62





    และแล้วชีวิต ของ ปิเยพิษเซลล่า ก็ดับสิ้น ด้วยน้ำมือของตัวมันเอง มันสลักพิษ เข้าร่าง เพื่อฆ่า

    ตัวตาย เนื่องจากแต่แรกมันคิดว่า เสียศักดิ์ศรีมากที่จะต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือ ของปิเยทาร์หรือ

    ติอากอ  เพราะพ่ายแพ้การต่อสู้และคิดว่า ติอากอ กับพวกคงจะ ไม่ปล่อยมันไว้แน่  แต่มื่อ ติอากอ

     และ ปิเยอิสลาทิสช่วยกันอธิบายย้ำว่า ไม่เคยคิดที่จะทำอะไร อย่างนั้น และเรื่องต่างๆที่ ปิเยพิษเซลล่า 

    ไม่เชื่อแต่แรกนั้น เป็นเรื่องจริงทั้งหมด   เมื่อปิเยพิษเซลล่า จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงทุกอย่างตามที่ 

    ติอากอยืนยัน มันก็สายเกินไปแล้ว  แต่ยังมีสิ่งอยู่อย่างหนึ่ง ที่ ติอากอ จะต้องเชื่อ ทั้งที่ไม่อยาก

    เชื่อก็คือ  คำบอกเล่าของสุดท้ายก่อนตาย ปิเยพิษเซลล่าบอกว่า มีมนุษย์ โลกผู้หนึ่ง ส่งข่าวให้ 

    มัจเจ รู้ความเคลื่อนไหวและแผนการณ์พวกเขาโดย ตลอด  เป็นไปได้ยังไง ทำไมเขาไม่ได้สงสัย

    มนุษย์ โลกกลุ่มนี้เลยแล้วมีเหตุผล อะไรที่มนุษย์โลกจะทำเช่นนั้น จะไม่เชื่อ คำ ปิเยพิษเซลล่า ก็คงไม่

    ได้ ผู้ที่จะตายอยู่แล้วไม่มีความจำเป็นต้องโกหก   แต่ถ้าเป็นจริง เขาจะทำอย่างไร ตอนนี้ ความโกรธ

    ของ ติยากอ เริ่ม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเขาเสียรู้ นั่นเอง  

     
    "  ปิเยทาร์  เจ้าคงตรวจดู ปิเยหิรินใด ยังมีชีตะอยู่ ช่วยให้พ้นจากแก่งศิลา และล้างด้วย เรคิน

    แห่งข้า เรคามัจเจออกจากร่างปิเยหิริน หมดแล้ว จงถามเขาว่า จะอยู่ที่นี่หรือไปที่ใด อย่าได้ซ้ำ

    ร่างเขา  ปิเยหิริน มิได้ โหดร้ายอะไร ที่ทำไป คงเป็นเพราะ ขัดเรคา ที่สิง อยู่ในร่างมิได้  

    ลูกดอกปลายคม เจ้าเก็บอีกชั่วยามคงหมดสิ้นฤทธิ์    ปิเยอาทิส เจ้าตามข้ามา ข้าจักไปสาง

    เรื่องที่ ปิเยพิษเซลล่า บอก เรื่องไส้ศึกเราในหมู่มนุษย์โลก  ข้าอยากรู้ว่ามีความจำเป็นใด ที่

    มนุษย์โลกกระทำเช่นนี้  ปิเยเราหรือสู้อุตส่ากระทำการต่อต้านมัจเจให้ พร้อมทั้งช่วยชีวิตพวก

    เขามา ทำไมพวกเขาถึงกระทำเยี่ยงนี้  "                                                  



    ติอากอ สั่งเสร็จก็เดินกลับขึ้นมาด้านบนที่พวกของอัครชัยหลบอยู่ และทันทีที่เดินมาถึง

    ดุจปราย ที่เห็นเหตุการณ์ ที่ผ่านไปเมื่อสักครู่นี้  ก็ได้กล่าวชมเชยขึ้น        


    "  พวกท่านและต้นไม้ที่นี่เก่งมากๆ  สถานการณ์ก่อนหน้านี้ คิดว่าพวกท่านจะแย่เสียแล้ว ไม่นึก

    ว่าท่านจะวางแผนได้ดี จนพลิกสถานการณ์ กลับขึ้นมาได้ พวกเราประหลาดใจจริงที่พวกท่าน

    ทำได้ขนาดนี้  "      



    " แต่มันก็ทำให้มนุษย์โลก อย่างพวกท่านผิดหวังไม่ใช่เหรอ ที่พวกเราไม่ถูกปิเยพิษเซลล่า และ

    ปิเยหิริน ทำลาย ไป   "  


    ติอากอ ตอบ แต่ คำที่ตอบนี้ ดุจปรายรู้สึกสะดุด   แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร อรัญได้พูดขึ้น

    ก่อน    


     " ท่าน ติอากอ พูดเหมือน ไม่พอใจอะไรพวกเรานะ   หรือ ท่านเห็นว่าพวกเราไม่สามารถช่วย

    อะไรพวกท่านได้เลย แต่ท่านเองไม่ใช่เหรอ ที่ห้ามเราลงไปที่สนามรบครั้งนี้ "    


    "  พวกเจ้า น่าจะรู้ดี อยู่แก่ใจนะมนุษย์โลก  พวกเจ้าทำผิด ต่อปิเยเรามาก ยังจะมาแสร้งกลบ

    เกลื่อน  เราจักลงโทษพวกเจ้ายังไงดี  แต่ก่อนที่ข้าจักลงโทษพวกเจ้า ข้าอยากรู้เหตุผลหน่อย

    ว่าทำไมพวกท่านถึงทำเช่นนี้  ทำไมถึงแอบส่งข่าวให้กับมัจเจ อยู่ตลอด พวกเจ้าไปเป็นพวกกับมันได้

    ตั้งแต่เมื่อไรกัน "  


    ติอากอ เสียงกร้าว  จนต้นไม้รอบๆนั้น ได้เริ่มเคลื่อนเข้ามาล้อมกลุ่มคนทั้งหมดไว้

    ปู่อินทร์ เห็นท่าไม่ค่อยดี จากอาการที่เห็นตอนนี้  เขาได้พูดขึ้นว่า


     
    "  ใจเย็นๆ รู้สึกเหมือนจะมีการเข้าใจอะไรผิดกันนะ  ท่าน ติอากอ  รู้สึกว่าท่านจะไม่พอใจ

    อะไรพวกเรา  ช่วยแจ้งให้หน่อย อย่าพึ่งโกรธเคือง พวกเรายังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไงที่ผ่านมา

    เราก็ยังคุยกันได้อยู่ตลอด มิใช่เหรอ  "    



    "  เจ้าสินะ เจ้าพูดดีและเป็นนักวางแผน จนน่าสงสัย พร้อมทั้งรู้รอบไปเสียทุกอย่าง  บอกมาเจ้า

    คือผู้ที่ส่งข่าวให้มัจเจรู้เรื่องของพวกเราทั้งหมดใช่ใหม  "


    คำพูดของติอากอ ทำให้ทุกคนตะลึงงัน  และอัครชัยได้ถาม ติอากอ ขึ้น          

     
    "  ทำไมท่านสงสัยปู่อินทร์ เช่นนั้นล่ะ "        


    " ข้าไม่ได้สงสัยแค่คนเดียว ข้าสงสัยทั้งหมด บอกมาซิ พวกเจ้ามีวัตถุประสงค์อะไร ถึงแฝง

    เข้ามาสืบข่าวให้ มัจเจ มันให้อะไรกับพวกเจ้า "  


    น้ำเสียงของติอากอขณะนี้ บ่งบอกว่าโกรธจัด      


    "  แล้วทำไม ท่านคิดว่า เป็นพวกเราล่ะ ที่ทำแบบนั้น เราจะทำทำไม แล้วท่านมี อะไรมา

    พิสูจน์  ท่านถึงได้เชื่อขนาดนี้ ท่าน ติอากอ "  


    กานต์ ถามขึ้น น้ำเสียงเขาขึงขังเช่นกัน  


    "  ข้าจะบอกให้ก็ได้ ปิเยพิษเซลล่า ก่อนสิ้นชีตะ เขาได้แจ้งกับข้า ว่ามีผู้หนึ่ง ในหมู่มนุษย์โลก

    กลุ่มของเจ้า เป็นผู้ส่งข่าวและแผนการณ์ต่างๆให้กับมัจเจรู้  ข้ามั่นใจว่า ปิเยพิษเซลล่า ไม่มี

    ความจำเป็นต้องโกหกเรื่องนี้ เพราะตอนนั้นมันรู้ตัว ว่ามันจะตายอยู่แล้ว  พวกเจ้าจักแก้ตัว

    ว่าอย่างไร  "


    ติอากอ ตอบ ทำให้ทุกคนงวยงงกับสิ่งที่ได้ยินจากปาก ติอากอยิ่งนัก และก่อนที่เรื่องราวจะ

    รุนแรงขึ้น ปิเยอิสลาทิส ได้กล่าวแทรกขึ้น  


    " ท่านพี่ ข้าเกรงว่า มนุษย์ โลกกลุ่มนี้ อาจไม่รู้จริงๆ ก็ได้ว่าตัวเองเป็นผู้ส่งข่าวให้ มัจเจ รู้ "    


    " เจ้า หมายความว่ายังไงกัน ปิเยอิสลาทิส  "      

     
    ติอากอ ถามขึ้นด้วยความสงสัย    


    " ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือ เรคา มันสิงในร่างอะไรก็ได้ เป็นไปได้ว่า อาจมีคนใดคนหนึ่ง มีเรคา

    ของมัจเจ ในร่างก็เป็นได้ และเขาก็คงไม่รู้ตัว  และ เรคา มันคงเเอบส่งข่าวให้นายมันรู้ "  


    ปิเยอิสลาทิสตอบ และแสดงข้อสงสัย              


    "   จะเป็นไปได้ยังไงกัน  จริงอยู่เมื่อก่อนนี้ พวกเรามีเรคา ของมัจเจอยู่ในร่าง มานานแต่

    พวกเราก็เคยล้างเรคาด้วยเรคิน ของท่านติอากอ กันหมดแล้ว และเสี้ยว เรคาก็ตกมอดใหม้ จน

    เราเห็นกันได้ทุกคน จะมีเรคา อยู่ในร่างอีกได้อย่างไร กัน "        



     แสงดาว ตอบ พร้อมทั้งยืนยัน    


    " แต่ตอนนั้นพวกเจ้า ล้างเรคา แค่ห้าคนนะ ตอนนั้นตอนที่ข้ายังไม่ปรากฏตัว ข้าจำได้   "  


    ติอากอได้ กล่าวขึ้นอีก  


    "  นั่นเป็นเพราะ ในร่างของพวกเราตอนนั้น มี เรคาของมัจเจแค่ห้าคนนะสิ ส่วน ปู่อินทร์ กับ

    อรัญ ไม่ได้มีอยู่ด้วยนี่   และท่านติอากอ เองก็ยังเคยยืนยันเลยไม่ใช่เหรอ ว่าท่านเองไปผู้ฝากเรคิน ไว้

    ในร่างปู่อินทร์   ส่วนอรัญเขาไม่เคยมาที่นี่ จะรับเรคาเข้าไปได้อย่างไร  "  


    จามิกร กล่าว  

     
    " ถึงพวกเจ้าจะรู้ว่าหนุ่มคนนี้ไม่เคยมา  เเต่เจ้าก็จะมั่นใจได้ยังไง ตราบใดที่ยังมิได้ล้างเรคิน แห่งท่านติ

     อากอ  เพราะตอนนี้น่าจะเป็นหนุ่มคนนี้แหละที่น่าสงสัยที่สุดว่าตัวเขาอาจจะมีเรคา ของมัจเจอยู่ก็เป็น

    ด้นะ

     
    ปิเยทาร์ ตั้งข้อสังเกตุ

     อรัญซึ่งนิ่งอยู่แต่แรก เขารู้สึกได้ว่าเริ่มมีผู้สงสัยในตัวเขา จึงได้กล่าวว่า


    "  แต่ผมก็มั่นใจนะ ว่าไอ้นั่นมันไม่มีอยู่ในตัวผมแน่  ผมไม่เคยมีอาการอะไรอย่างกับที่ทุกคนเป็นตอนที่มี

    มันอยู่ในตัวตอนนั้นเลย ร่างกายผมปรกติดี ไม่กินน้ำมากหรือป่วยแปลกแปลก  อย่างกับที่ทุกคนเป็น  

    พ่อผมก็ไม่เคยมีประวัติ หลงมาที่นี่เหมือนพ่อคนอื่นๆ แต่ถ้าเพื่อความสบายใจ จะให้พิสูจน์ยังไงก็ได้ ไม่

    เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของทุกคน และทุกท่าน จะได้ไม่ต้องมาระแวง

    อะไรผมอีก  ใหนล่ะท่านติอากอ น้ำนั่นยุใหน พิสูจน์ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย "

      
    ติอากอ ปลิดผลไม้บนร่างลำต้นของเขาให้อรัญ   อรัญรับมา กัดเข้าปากกร้วม และทันที่ที่ผลไม้นั้น

    หมดลูก เขาก็ผายมือแสดงอาการว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาโดยผายมือโชว์ให้กับทุกคน 


    " นี่ไง ไม่เห็นมีอะไรเลย ต่อไปคงไม่ต้องมาสงสัยเกล้ากระผมแล้วนะ "


    อรัญ พูดอย่างติดตลก เขาเองก็รู้สึกสบายใจเหมือนกัน หลังจากรู้สึกเกร็งเหมือนกันตั้งแต่แรกและทุกคน

    ก็ต้องตกใจ อาการของอรัญตอนนี้ไม่ได้เหมือนคน 


    " ก็ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไร ถ้ามันอยู่ในตัวผมนะ ตอนนี้ผมต้องร้องโอ๊ย และบิดตัวเร่าเร่าแล้ว "


    อรัญกล่าวพร้อมกับทำท่าบีบคอตัวเองประกอบและทำแกล้งดิ้นเร่าเร่าให้ทุกคนดู และเขาก็แสดงอาการ

    ให้ทุกคนดู อีกสามสี่คร้ง 

     
    " พอแล้วแหระ พี่อรัญ เขาเชื่อกันหมดแล้ว จะขี้เล่นไปถึงใหน " 


    ดุจปรายปรามแฟนหนุ่มที่เขาเล่นไม่เลิก จนเธอเองก็รู้สึกว่ามันจะมากไป


    " โอ๊ย โอ๊ย "


    แต่อรัญก็ยังคงทำเช่นเดิมน่าเขายิ้มร่าจน ดุจปรายเริ่มหมั่นใส้ที่เขาพูดไม่รู้เรื่อง เธอทำท่าจะแกล้งไปทุบ

    แฟนหนุ่ม เธอเงื้อง่าเข้าไป แต่ฉับพลันเธอก็ได้สังเกตุว่ารอยยิ้มร่าเมื่อกี้ของอรัญเเปรเปลี่ยนไป มือเขา

    จับอยู่ที่ลำคอเหมือนเดิม แต่หน้ากับเหยเก  ดุจปรายรับรู้ได้ทันทีว่าหน้าแบบนี้ อรัญคงจะไม่ได้แสร้งทำ

    แน่ 

     
    " พี่อรัญ  "


    ดุจปรายร้องเสียงหลง เมื่อเห็นความผิดปรกติ  ทุกคนเริ่มสังเกตุ เมื่อได้ยินเสียงดุจปรายลั่น

     อรัญ มือกุมอยู่ที่คอ แต่ตอนนี้ตัวเขาสั่นเร่าเร่า และเซไปเซมา และทันใด เขาก็ล้มลงกับพื้นและบิดตัว

    ไปมาทันที พร้อมทั้งมีอาการอีกอักอึกอัก อยู่ที่ลำคอ เหมือนจะสำลักหรือจะอาเจียน อะไรสักอย่าง

     และสิ่งที่ยิ่งทำให้ทุกคนตกใจมากขึ้นอีกก็คือ บริเวรปากของเขาเริ่มที่จะอ้ากว้างออก  และตอนนี้ 

    เหมือนมีอะไรอย่างหนึ่งขย้อนออกมาทางนั้น   มันออกมาจากปากอรัญและมันใหญ่มากจนมองดูคับจน

    เต็มปากของอรัญ จึงทำให้เขาหายใจแทบไม่ออก  

     
    " พร๊วด "


    มันหลุดออกจากปากของอรัญ เสียงดัง และเมื่อมันหลุดมาได้แล้ว มันก็ดิ้นขยุกขยิก และยังไม่ทันที่ทุก

    คนจะเข้ามาดูว่ามันเป็นอะไรแน่ เจ้าตัวประหลาดก็ชอนใชมุดหายลงไปในดินทันที อย่างรวดเร็ว  ถึง

    มันจะใหญ่ แต่ทุกคนก็จำมันได้ดี เพราะเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว   และเมื่อสิ่งนั้นมันออกมาจาก

    ปากอรัญแล้ว เขาก็กลับมามีอาการปรกติ



    "  เรคา ของมัจเจ "  


    เสียงทุกคนอุทาน  ขึ้นเกือบพร้อมกัน   แต่ ติอากอถึงจะเห็นด้วยตามนั้น ยังมีข้อสงสัย เขา

    อุทานขึ้น..



    "  ใช่มันเหรอ แล้วทำไมมันมีขนาดใหญ่ อย่างนั้น และทำไม่ มันไม่ได้สิ้น ด้วยเรคิน แห่งข้าเล่า ทั้งที่ 

    หนุ่มคนนี้ กิน เรคินของข้าไปมากมาย ขนาดนั้น มันเป็นอะไรกันแน่ "      

      
    "  แต่ข้ารู้จักมันดี  นี่เเหละมันคือ   เรคารียะ  มันตัวใหญ่กว่าเรคา ธรรมดามาก และมันมีตัวที่ใหญ่กว่า

    นี้มาก ใหญ่จนพวกท่านนึกไม่ถึงเลยทีเดียว ท่านติอากอ จำได้หรือไม่ ปิเยพิษเซลล่า ได้สั่งให้ท่าน

    บอกกับท่าน ปิเยพิษทารี  ที่จะมาถึงนี่ ให้ไปนำรางพิษที่ถ้ำเหนือ มัจติส เพื่อนำรางพิษมากำจัด      

     เรคารียะ สิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ไง  เรคารียะ เรคาของ มัจเจอีกอย่างหนึ่งพวกมันเป็นเรคาที่

    ผนวกกับพิษที่ ปิเยพิษเซลล่า คิดค้นไว้   มันทนต่อเรคิน แห่งท่านได้ เมื่อสักครู่นี้มันไม่ได้

    สลายเมื่อ ได้ล้างเรคิน แห่งท่าน  แต่ใช่ว่าไม่ได้ผลเลยทีเดียว  มันต้องออกมาจากร่างหนุ่มคน

    นี้ แสดงว่ามีผลกับมันบ้างเช่นกัน "  



    ปิเยอิสลาทิสกล่าว และ แสดงความเห็น เมื่อได้รู้จักสิ่งนี้มา พอสมควร  


    " แล้วทำ ไม่ หนุ่มคนนี้ ถึงมีมันอยุ่ในตัวได้ เขาไม่เคยหลงเข้ามาที่นี่เลย  ตามคำบอกเล่า หรือ

    ว่า ตอนเข้ามาที่นี่ เจ้าได้ไปเผลอกินผลเรคา เข้าตอนใหน "  


    ติอากอ ถามขึ้นอีก  แต่อรัญก็ยังยืนยันคำเดิม      

     
    " ข้าไม่เคยกินมันเข้าไปเลย ข้ารับรองได้ เมื่อเห็นทุกคนเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าจะกล้ากินมัน

    เข้าไปได้อย่างไร แล้วทำไม มีมันอยู่ในร่าง แล้วทำไมก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยรู้สึกอะไรเลยล่ะ

    และไม่มีอาการแสดงที่ผิวหนังหรืออะไรอย่างทุกคนล่ะ "        

     
    "  ไม่จำเป็นต้องกินเข้าไปหรอ เรคารียะ เป็น เรคาที่สร้างมามีลักษณะพิเศษ  มันสามารถ

    เคลื่อนที่เข้าไปในร่างกายเจ้าเองได้ ดูร่างมันสิเมื่อกี้นี้สิ ร่างมันยืดหยุ่นได้เหมือนตัวหนอน มัน

    คงเข้าไปทางปากของเจ้า เหมือนตอนที่มันออกมา และมันเป็นเรคา ที่ถูกสร้างมาให้เข้าร่างได้

    เฉพาะ ชาวโลกและ สัตว์ ที่มีเลือดเนื้อเท่านั้น และมันฉลาดพอที่จะไม่แสดงอาการอะไร

    ตอนที่อยู่ในร่างเจ้า ให้พวกเราสงสัย   เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าเจ้าเคยมีอาการกระอักกระอ่วน

    เหมือนเคยมีอะไรเข้าไปในคอหรือไม่  "  



    ปิเยอิสลาทิสกล่าว และถามข้อสงสัยที่น่าจะเกิดขึ้น เมื่อคิดว่า เรคารียะ นี้ น่าจะทำอย่างนั้น

     
    "  นึกออกแล้ว เมื่อตอนฝีกภาคสนามนักเรียนนายร้อย ผมเคยมาฝึกแถบค่ายแถวนี้ตะวันตก

    เทือกเขาแถบตะนาวศรีนี้  มีอยู่คืนหนึ่งข้าหลับอยู่รู้สึกเหมือนมีอะไรลื่นเข้าลำคอไป  ตอนนั้นผม

    คิดว่าข้าอุปทาน เพราะหลังจากตกใจตื่น ก็ไม่มีอาการอะไร แต่มันหลายปีมาแล้วนะ  "      


    อรัญอธิบาย  และระรึกเรื่องที่เขานึกขึ้นได้ เกี่ยวกลับอาการประหลาดนี้  


    "  แสดงว่า มัจเจ มันได้ส่ง เรคาตัวนี้ ออกไปที่โลกมนุษย์นานพอสมควรแล้ว  มันวางแผนล่วง

    หน้าไว้จริงๆ   เจ้าพูดมีเหตุผลข้าเชื่อถือเจ้าได้ มนุษย์โลก คนนี้ ถึงเจ้าเองจะเป็นส่วนหนึ่งของ

    การส่งข่าวให้มัจเจรู้ แต่ก็ทำไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงการ  ข้าคงไม่ถือเอาผิดเจ้า และพวกของเจ้าอีก

    แล้วและอีกอย่างข้าก็ไม่เคยคิด ว่าจะมีเรคา ที่ทนต่อเรคิน แห่งข้าได้  ยังดีที่ ยังมีความหวัง คำ

    บอกเล่าของ ปิเยพิษเซลล่า ว่ายังมีสิ่งที่สามารถ  ล้าง เรคารียะ ตัวนี้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็

    คงจนปัญญา   มัจเจ มันวางแผนทุุกอย่างได้แยบยลจริงๆ ต่อไปนี้ พวกเราต้องระวังกันให้มาก

    ขึ้น คงยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ และมันพร้อมจะ เข้าทำลายพวกเราได้ทุกเมื่อ ตามแผนของ

    มัจเจ มัน  "  



    ติอากอ กล่าว และ ให้ทุกคนระวังตัวยิ่งขึ้น  


    " อย่างนี้ก็แสดงว่า พวกเราทุกคนก็ต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกล่ะ สิ วันใหน เกิดใครนอนอ้าปากอยู่

    ระวังมันจะเลื้อยเข้าปากนะ  "  


    อรัญพูดอยากติดตลก แต่ทุกคนไม่สนุกด้วย  เขาหุบยิ้มทันที เพราะรู้ว่าทุกคนกำลัง ซีเรียส  


    "  ไม่น่าต้องห่วงแล้ว จากการที เรคารียะ ออกจากร่างมาได้ เพราะ เรคิน ของท่าน ติอากอ

    แสดงว่าต่อไป มันคงไม่กล้ากลับเข้าไปที่ร่างของไครอีกแน่   เพราะชาวโลกอย่างพวกท่าน

    เคยล้างเรคิน กันทุกคนแล้ว  มันคงจะหาสิ่งอื่น  ไอ้ตัวที่รอดไปเมื่อกี้ใช่ว่าจะสิ้นฤทธิ มันคงน่า

    จะวนเวียนอยู่ไต้ดินแถวนี้  รอโอกาสอะไรสักอย่างที่ผ่านมา หรือ อยู่ใกล้ๆนี้ และมันคงจะเข้าไป

    ในร่างของอะไรก็ได้ และคงแอบเฝ้ามองพวกเรา อยู่ห่างๆ    แต่ยังดีกว่าที่มันอยู่ใกล้ๆ และได้ยินทุก

    อย่างที่เราพูดกัน และส่งข่าวไปให้นายมัจเจมัน "  


    ปิเยอิสลาทิส กล่าว     


    "  สรุปเอาเป็นว่า พวกเราต้องคอยระวัง ละกัน ถ้าเห็นสิ่งใดไม่ชอบมาพากล ก็บอกกันและ

    ปรึกษาหารือกันได้ทันที ต่อจากนี้คงไม่ต้องระแวงใครกันอีกแล้ว  เพราะต้นตอ ส่งข่าวให้มัจเจรู้

    มันหนีไปแล้ว  เอาละแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ "      



    ติอากอ กล่าวทิ้งท้าย  และแยก ออกไป  

    ระหว่างที่เหลือกันแค่ มนุษย์โลก  อัครชัยได้พูดขึ้น  

     
    " ตอนที่ผมเห็นมันออกจากปากคุณนะ ผมนึกถึงหนังที่เคยดูมานะ รู้สึกขยะแขยงที่สุดเลย  มัน

    เหมือนในหนังมากจริงๆ ตอนที่คุณขย้อนมันออกมานะ อุ๋ย ... "  


    แล้วอัครชัย ก็ทำท่ายักใหล่เพราะ ขนหัวลุก    


    " เป็นไปได้ใหมคะ ที่อรัญมีมันในร่าง แล้วมันคงดลใจ ให้อรัญอยากที่จะตามมากับพวกเราด้วย  "  


    แสงดาว กล่าวขึ้น อย่างสงสัย  

     
     " ไม่ไช่แระ แสงดาว ผมเถียงตายเลย   แสงดาวก็น่าจะรู้ที่ผมตามมา เพราะพยาบาลที่น่ารัก ของผม

    คนนี้  เรื่องมันแอบอยู่ในตัวผมคงเป็นเพราะหน้าที่มันที่ถูกส่งมามากกว่า มันคงไปควบคุมหัวใจผมไม่ได้

    หรอก ดูสิขนาดมันออกไปแล้ว ผมยังรักของผมอยู่เลย"  

     
    อรัญ เถียงสวนขึ้นมาทันควัน  แต่คำพูดนั้น ถูกคนแซวขึ้น  


    "  แหม หน้าสิ่วหน้าขวาน ยังจะมาหวานกันอยู่ได้ หือ หมั่นไส้คร่า คุณพยาบาลที่น่ารัก  แต่ก็ดี

    นะคะมีคุณอรัญมาด้วยทำให้พวกเราไม่ค่อยเครียด ยิ่งโดยเฉพาะ คุณพยาบาลที่น่ารัก ดุจปราย

    ของเรา ดูสิ ยิ้มแก้มแดง อารมณ์ดีทั้งวันเลย ฮิ ฮิ  "    



    จามิกร  กล่าวสัพยอก  

    และเย็นนั้น ทุกคนก็เริ่มหาที่พักผ่อนกัน พวกเขาพูดคุยกันถึงซากศพแห้งกรัง  ที่พวกเขาได้ฝัง

    ไว้ทั้งสองร่าง ไว้ในบริเวรแถวนี้ร่างหนึ่งเป็นชายผู้เป็นสามี พวกเขาฝังไว้ ที่ข้างถ้ำปรายยอด ภู

    ตะนาวแห่งนี้ และ   อีกร่างผู้เป็นเมียของเขาฝังไว้ใกล้ต้นไม้ใหญ่บริเวรที่แม่นกเงือก กกลูก

    ของมันอยู่  พวกเขาไม่คาดคิด ว่าจะได้ย้อนกลับมาที่นี่อีก

    พวกเขาเพิ่งสังเกต ว่าต้นไม้ที่นี่มีหลายแบบ มีแบบทั้งเคลื่อนที่ได้ ต้นเล็ก และต้นใหญ่ เคลื่อนที่ได้ แต่

    ไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก  และอีกอย่างเป็นต้นไม้ที่ไม่สามารถ เคลื่อนที่ไม่ได้เลยก็มี ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิด

    เดียวกับบนโลก และที่ ลานบน ยอดภูตะนาว หรือ ภูตะเยาแห่งนี้  ก็เป็นจุดที่ ทั้งหมดเลือกที่จะพัก 

    เต้นก์ และที่นอนถูกถูกจัดแจงและทั้งสามคู่เลือกที่จะนอนด้วยกัน ณ ที่นี้ เข้าทั้งสามคู่ไม่อยากที่จะ

    คำนึงถึงความไม่เหมาะสมแต่ ทั้งหมดเลือกที่จะทำตามที่หัวใจตัวเองเรียกร้องมากกว่า  จึงคงมีแค่ปู่

    อินทร์ เท่านั้นที่แยกนอนไป คนเดียว   สายลมที่พัดเอื่อยและเย็น ทำให้ทั้งหมดที่อ่อนเพลีย


    มาทั้งวันได้หลับไป  

    นานแค่ใหนไม่รู้ ดุจปรายที่ซุกกาย อยู่ในอ้อมแขนของอรัญ ได้ลืมตาขึ้น และขยับตัว เล็กน้อย

    เพื่อคลายความเมื่อยล้า    แต่พลัน สายตาของเธอ ก็สะดุด กับเงา ตะคุ่มร่างหนึ่งที่ นอกเต้นก์

    แสงจันทร์ คืนนี้สว่างมาก ทำให้สามารถมองทะลุเต้นออกไปได้  ร่างนั้น เดินไปมารอบเต็นก์

    ของทั้งสอง  และเมื่อต้องการให้อรัญรู้ ดุจปรายแสร้งขยับตัวแรงๆ และเมื่ออรัญรับรู้ถึงความ

    รู้สึกนั้น เขาลืมตา แต่ปากเขาถูกมือ เรียวบางของดุจปราย ปิดไว้    


    " จุ๊  จุ๊  "    


    อรัญรับรู้ได้ทันทีว่าแฟนสาวสื่อถึงอะไร เขาขยับคลายมือที่กอด ดุจปราย ออก และหันไปมอง

    ทางจุดที่ ดุจปรายชี้ให้เขาดูในความมืด   เงาร่างของไครคนหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เต้น ทั้งสอง

    สังเกตเห็น และเมื่อสังเกตดีๆ กับเห็นว่าร่างนั้นได้ยกสิ่งหนึ่ง ขึ้น ในลักษณะที่เงื้อง่า  สัญชาติ

    ญาณ ทำให้ทั้งสองรู้ทันทีว่า บัดนี้ เขาทั้งสองเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว และยังมิทันที่ได้คิดจะทำ

    อะไรต่อ  ร่างนั้น ก็พุ่งพรวดทิ่มร่างเข้ามาที่หลังเต้น ของทั้งสองทันที



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×