ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #17 : กลับหลังหัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 516
      15
      7 ก.ค. 62





    ทุกคนถึงกับทรุดลงนั่ง เมื่อสักครู่นี้ คงเป็นจงอย ปากยักษ์ ของนกเงือกนั้นเองที่พยายามแทรก

    เข้าไปในถ้ำ  คงไม่ต้องสงสัยว่ามันจะเข้าไปทำอะไร โชคดีที่มันเข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ใครก็

    ไครคนหนึ่ง คงเป็นเหยื่อของมันเป็นแน่ 


    " เอ๊ะแล้วมันรู้ได้ยังไงล่ะปู่ ว่าเราอยู่ในนั้นน่ะ หรือว่ามันได้ยินเสียงลมหายใจของเรา "


    แสงดาวถามขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เผชิญหน้ากับ นกเงือกยักษ์ที่ผ่านพ้น

    ไป  



    " มันไม่น่าจะรู้ขนาดนั้นหรอก นอกจากว่ามันอาจตั้งใจมาที่ถ้ำนี้อยู่แล้ว  หรือมีอีกย่างหนึ่งก็น่า

    จะเกี่ยวกับ ศพที่เราเห็นข้างในนั้นเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะบาดเจ็บเพราะมันและหนีเข้าไปตายใน

    นั้น มันจึงมาดูและคงจะหาทางเอาเขาออกไปกิน พอดีมาเจอพวกเราเข้า ปรกติมันไม่ใช่สัตว์ที

    ดุร้ายอะไร โดนมีดแทงเข้าข้างจงอยปากเมื่อกี้คงเจ็บและตกใจคงไม่ย้อนกลับมาที่นี่อีกแน่ "


    ปู่อินทร์ ตอบตามข้อสันนิฐานและประสบการที่แกค่อนข้างชำนาญ ทันทีทีแกได้ยินเสียงลมจาก

    ปีกของนกเงือกที่สะบัดขึ้นลง นั้นแกก็รู้ได้ทันทีแต่แรกแล้ว แต่เนื่องจากขนาดใหญ่มากของมัน

    ซึ่งแกรู้ได้จากเสียงลมที่แรงมาก ทำให้แกไม่กล้าออกไปดู  


    " สรุปว่าเราไม่พบอะไรที่เราสงสัย มัจจิรา ไม่ได้อยู่ที่ยอดเขานี้ เรื่องมันอยู่ตามที่สูงคงตกไป

    เอางี้เราพักในถ้ำที่นี่สักคืน แล้วเช้าค่อยว่ากันจะเอายังไง " 


    ปู่อินทร์สรุป เพราะเห็นว่าตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว


    " แล้วไม่กลัวเหรอ ศพก็อยู่ข้างในนั้นด้วยนะนะ " 


    อรัญพูดอย่างเสียวสันหลัง

    แต่ปู่อินทร์ได้ยินเข้าก็หัวเราะ



    " ข้าคิดว่าไอ้ที่เราเจอวันนี้มัน่ากลัวกว่าผีอีกนะ เผลอเราไปนอนที่แจ้งส่งๆไป มันอาจจะย่องมา

    งาบเราตอนใหนไม่รู้ เรานอนในถ้ำยังไงทางเข้าก็ยังเล็ก ตัวอะไรใหญ่ๆคงเข้าไม่ได้ แต่ยังไงคืน

    นี้คงต้องจัดเวรยาม ไม่ได้กลัวตัวอะไรเข้าไปหรอก แต่กลัวไอ้รากไม้นั่นมากกว่า เอาเป็นคู่ใครก็
     
    เข้าเวรด้วยกัน จะได้ไม่เหงา  ส่วนข้าไม่มีคู่ขอสละสิทธิ ฮ่าๆๆ.."



    แล้วปู่อินทร์ก็หัวเราะต่ออย่างอารมณ์ดี  

    อรัญ และ ดุจปรายได้เข้าเวรผลัดแรก  แต่ดูเหมือนอรัญจะคอยเฝ้าเอาใจแต่คนที่เข้าเวรด้วยกัน

    มากกว่า  จึงถูก แสงดาว แซวว่า มัวแต่เฝ้ากันเอง พวกเราจะปลอดภัยเปล่าเนี่ย และเธอก็ยิ้ม

    อย่างอารมณ์ดี แต่ทำให้คู่ที่พาดพิงถึงเขินอายกันยิ่งนัก และอรัญก็ถูกกำปั้นทุบอีกตามเคย

     ทั้งสามคู่ผลักกันเข้าเวรในคืนนี้จนรุ่งเช้าวันใหม่  ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมา 

    พวกเขาตกลงกันว่าจะช่วยกันฝังศพที่เป็นปุยผงนี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นจุดสนใจ ของสัตว์ต่างๆ และอาจจะ

    ย่องมาเอาศพเขาไปกินอีกและระหว่างที่ขุดหลุมและจะเคลื่อนศพอยู่นั้น พลันพวกเขาก็ได้พบสิ่งหนึ่งอยู่

    ในอุ้งมือของศพนั้น มันเป็นเครื่องประดับชิ้นหนี่ง  ปู่อินทร์ หยิบวิเคราะห์ดูแล้วบอกว่ามันเป็นของผู้หญิง 

    เป็นไปได้ว่า ชายคนนี้คงไม่ได้หลงเข้ามาคนเดียวแน่ แต่เจ้าของเครื่องประดับชิ้นนี้หายไปใหน และข้อ

    สงสัยที่ทุกคนคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ คือนกเงือกตัวนั้นอาจคาบเจ้าของเครื่องประดับชิ้นนี้ไปก่อน

    และย้อนกลับจะมาคาบเอา เจ้าของร่างนี้ไปด้วย แสดงว่าร่างนี้ตายได้ไม่นาน และเป็นไปได้ว่า

    เจ้าของเครื่องประดับนี้ ยังไม่รู้ชะตากรรมเป็นเช่นไร  และทั้งหมดก็ตัดสินใจว่าจะเดินทางไป

    ตามทิศทางที่นกเงือกยักษ์นั่นบินกลับไป เพื่อไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะตอนนี้แผนที่ก็ไม่มีแล้ว

    และประเดินเรื่องข้อสงสัยของที่อยู่ มัจจิรา ก็ยังมืดแปดด้าน  และเมื่อจัดการฝังศพเสร็จ

    เรียบร้อยทั้งหมดทั้งหมดก็เดินทางไปต่อ ตามเส้นทางที่คิดว่านกเงือกน่าจะบินผ่านไป แต่ปู

    อินทร์ก็ได้ส้่งให้ทุกคนระวังตัว เพราะทางนี้ เป็นทางเดียวกับทางที่จงอางยักษ์กลับออกไป และ

    พวกเขาก็ได้เห็นต้นไม้ที่หักเป็นทางยาว  ตามรอยที่อสรพิษ ยักษ์นั้นเลื้อยผ่านไป พวกเขารู้ว่างู

    ยักษ์เลื้อยสะเปะสะปะพอสมควร แสดงว่ามันอาจบาดเจ็บอย่างหนัก  และทันทีที่เขาเดินตาม

    รอยที่งูยักษ์ได้เลื้อยมาได้สักสองชั่วโมง  พลันทุกคนก็น้องหยุด พวกเขาสังเกตเห็นเบื้องหน้า

    ไม่ไกลนัก ส่วนหางขนาดยักษ์ของอสรพิษ  แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าหางนั้นสั่นเล็กน้อยปู่

    อินทร์กระซิบบอกทุกคน


    " ดูเหมือนมันกำลังจะตายนะ สงสัยมีดคงทำให้มันบาดเจ็บมาก และพิษในปากมันคงซึมเข้าไป
     
    ในแผลบ้างเหมือนกัน   เกือบสองวัน แล้ว ถ้าร่างกายมันหยุดนิ่งเมื่อไร เราค่อยไปดูใกล้ๆ อยาก

    เห็นมันชัดๆ เหมือนกัน "



    " ผมจะไปทวงมีดผมคืนด้วย " 


    อัครชัยบอก และทั้งหมดก็นั่งลง ถือโอกาสพักไปในตัว และอีกไม่นาน หางขนาดมหึมาที่สั่น

    ระริกก็หยุดสั่นลง


    " ไป มันสิ้นฤทธิ์แล้ว ไปดูกัน "


    ปู่อินทร์บอกพร้อมเดินนำหน้า ทั้งหมดก้าวตามไปทันที รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นมันชัดๆ และอีก

    เพียงสองก้าวก็จะถึงปลายส่วนหางของเจ้างูยักษ์ที่แน่นิ่ง  ทันทีปู่อินทร์ก็ได้หยุดลงอย่างกระทัน

    หัน ข้างหลังหยุดไม่ทันเลยชนกับคนข้างหน้า แต่ปูอินทร์อยุ่หน้าสุดเขาก็ได้ดันสู้กับทุกคนไว้

    หลังจากที่ทุกคนทรงตัวกันได้ปู่อินทร์ก็ได้ชึ้ให้ทุกคนดูอะไรอย่างหนี่ง  สิ่งที่ทุกคนเห็นอะไร

    อย่างหนี่งคล้ายหนวดปลาหมึกผุดขึ้นจากพื้นดิน ใกล้ๆซากอสรพิษที่ตาย และมันก็ปักจึ๊ก เขาที่ลำตัว

    ซากของงูยักษ์ทันที แต่ที่น่าขยะแขยงตอนนี้ก็คือ สิ่งที่โผล่มาจากดินนี้มันไม่ได้มีอันเดียว แต่มันมีเป็น

    จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย พักเดียวสิ่งนั้นก็ปกคลุมซากงูยักษ์ทั้งตัว จนมิดมองไม่เห็นซาก                                                                                 

    " รากไม้นั่น "                                                                                               


    ปู่อินทร์อุทานได้เท่านั้น เขาก็เริ่มดันให้ทุกคนถอยกรูด และมามองอยู่ห่างๆ  และเพียงอึดใจ

    เดียวร่างที่ใหญ๋ของเจ้างูยักษ์ก็ยุบลงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้ง รากไม้ก็หดกลับหายลงไปในพื้น

    ดินดังเดิม คงทิ้งซากที่แห้งกรังที่ไร้เลือดเนื้อของอสรพิษยักษ์ไว้ตรงนั้น ทุกคนตะลึงกันภาพที่

    น่าสยดสยองนั้น แต่ปู่อินทร์ก็ว่ายังดีที่รากไม้นั้นไม่ได้มาสนใจพวกเขาที่ยืนอยู่ แสดงว่ารากไม้

    คงกินแต่สิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วเท่านั้น


    และอัครชัยก็ได้เข้าไปคุ้ยซากร่างที่บริเวรส่วนหัวของมัน และงัดเอามีดที่ปักติดกับเพดานปาก

    เจ้างูยักษ์ ออกมา กระเป๋าและสิ่งอื่นถูกย่อยสลายหมดแล้ว คงเหลือแต่มีดเท่านั้น  และระหว่าง

    ที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เจอกันอยุ่นั้น ฉับพลันทั้งหมดก็ได้ยินเสียงลมที่คุ้นหูอีกครั้ง

    ทั้งหมดแหงนมองขึ้นท้องฟ้า  ร่างนกเงือกยักษ์ ซึ่งตอนนี้ พวกเขาสามารถเห็นมันได้ในระยะ

    ใกล้ๆกว่าครั้งที่แล้วมันเหมือนเครื่องบินโบอิ้งลำหนี่งที่ปีกสามารถเคลื่อนใหวได้แต่มันไม่

    สามารถเห็นพวกเขา เพราะระหว่างบินตามันได้อยู่ด้านบน  และพวกเขาก็ได้เห็นมันโฉบลงที่

    ยอดเขาซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก                                                                                            


    " ตามมันไป  เผื่อเราจะเจอผู้หญิงที่เราสงสัย " 


    ปู่อินทร์ สั่งอีกครั้งและเริ่มเดินออกนำหน้าไป อาการเร่งรีบของเขาทำให้ทุกคนต้องรึบตามไป

    เขาเดินลัดเลาะไต่ขึ้นภูเขา เป้าหมายคือจุดที่คาดว่าเจ้านกยักษ์จะลง และปู่อินทร์ก็คาดว่าจุดนี้

    น่าจะเป็นรังของมัน  ปู่อินทร์เองรู้สัญชาติญาณเจ้านกชนิดนี้ดี  ไม่ค่อยดุร้ายและชอบอยู่ตาม

    โพรงไม้ และเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ปู่อินทร์ได้ชี้ให้ทุกคนดูต้นไม้ต้นหนึ่ง มันมีขนาดที่ใหญ่กว่า

    ต้นอื่นบริเวรนั้น และที่สำคัญ ปู่อินทร์คิดว่ามันใหญ่พอที่จะเป็นโพรงที่อาศัยของเจ้านกยักษ์ได้


    และสิ่งที่ปู่อินทร์คิดก็ถูกต้อง หลังจากที่ทั้งหมดได้เข้าไปใกล้อีก ที่นี้เขาได้เห็นนกยักษ์ เกาะอยุ่

    ที่กิ่งไม้ขนาดใหญ่ของต้นไม้ต้นนั้น พวกเขาย่อตัวลงเพราะกลัวนกยักษ์จะสังเกตุเห็น และสัก

    พักเดียวหลังจากที่ทุกคนพยายามคิดกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ เจ้านกเงือกยักษ์ก็กระโดดยกตัว

    บินออกไป ปู่อินทร์หันมาบอกทุกคน




    " เราย่องไปดูกันว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น "


    ล้วทั้งหมดก็ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่ขนาดร้อยคนโอบ  แต่ทั้งหมดพยายามมองว่ามีโพรง

    หรือไม่แต่ก็ยังไม่เห็น แต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาทุกคน มีอะไรห้อยอยู่ที่กิ่งไม้เล็กๆกิ่งหนึ่ง



    " คนนี่ครับ ปู่เป็นผู้หญิง ห้อยร่องแร่งเลย สงสัยตายแล้ว " 



    กานชี้ให้ปู่อินทร์ ดู เพราะเขามีสายตาที่ดีกว่าคนอื่นๆทั้งหมดจึงวินิจฉัยภาพที่อยุ่ในระยะไกลได้

    ก่อนคนอื่น




    " แต่ข้าว่าเขาอาจยังไม่ตายนะ อาจแค่หมดสติไป "                                                    


    ปู่อินทร์ ตอบ                                                                                                


    " เอ๊ะทำไม่ปู่คิดอย่างนั้นล่ะครับ ห้อยร่องแร่งขนาดนั้น จะรอดเหรอ "                                


    กานต์ถามขึ้นอีกด้วยความสงสัย                                                                          


    " ลืมไปแล้วเหรอ ว่าอะไรที่ตายไปแล้วที่นี่ผลจะเป็นไง ดูแมงมุม กับศพที่เราเจอเมื่อวาน และ

    ไอ้งูยักษ์ เมื่อกี้นี้ซิ  ถ้าเขาตายร่างกายเขาคงร่วงเป็นฝุ่นผงลงสู่พื้นแล้วหละ "



    ปู่อินทร์พูดถูกเลยทีเดียว 



    " ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เราต้องช่วยเขานะครับปู่ แต่ต้นไม้สูงมากนะครับ เราจะทำยังไงขึ้นกันไปดี

    และอีกอย่างต้องระวัง ไอ้นกยักษ์มันจะย้อนกลับมา เราคงต้องทำเเข่งกับเวลา "                  

     
    อรัญบอกปู่อินทร๋และทุกคน  และทุกคนก็คิดเหมือนเขา ปู่อินทร์บอกว่าเดี๋ยวเขาจะไปหาน้ำมา

    กินก่อนเพราะตอนนี้ทุกคนกระหายน้ำแล้ว ถ้าขืนเป็นอย่างนี้อาจจะไม่มีแรงปีนขึ้นไปก็ได้ ยิ่งทุก

    คนกินน้ำมากกว่าปรกติด้วย คงไปสักพักแล้วให้ทุกคนรอดูลาดเลาไปพรางๆก่อน                  

    ปู่อินทร์เดินออกไปแล้ว พร้อมกับอรัญ เพื่อไปหาน้ำกลับมาดื่มกัน และทั้งหมดที่เหลือก็ได้นั่ง

    พักรออยู่ตรงนั้น ระหว่างที่กำลังคุยและมองร่างที่ห้อยอยู่นั้น กานต์สังเกตุเห็นร่าง นั้นเริ่มใหว

    เขาชี้ให้ทุกคนดู                                                                                                


    " คงได้สติแล้ว น่าสงสารถูกห้อยไว้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สงสัยจะเป็นไอ้นกนั่นแน่เอาเขามาห้อยไว้

    ต่อไปมันคงกินเขาแน่ "                                                                                      



    และทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงลมจากปีกของนกเงือกนั้นแว่วๆอีก 




    " สงสัยมันจะกลับมาแล้วทำไงดี ปู่อินทร์กับอรัญก็ยังไม่กลับมาด้วย  ถ้ามันกลับมางวดนี้ไม่รู้ว่า

    ชีวิตเขายังจะโชคดีอยู่หรือเปล่า "                                                                        

     
    อัครชัยพูดขึ้นน้ำเสียงเป็นกังวล          
                                                                   


    " เราต้องทำยังไงสักอย่างแล้ว ไป.หมอ..เราต้องขึ้นไปช่วยเขากันแล้วล่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

    ยังไงก็เห็นเขาตายไปต่อหน้าไม่ได้ ถ้ารอปู่อินทร์กับอรัญ อาจไม่ทันกาล "                        
     


    แล้วทั้งคุ่ก็ลุกขึ้นเดินไปที่โคนต้นไม้ยักษ์นั้นทันทีและมีสามสาวเป็นผู้สนับสนุน และพยายามทั้ง

    ดันสองให้ขึ้นไปบนต้นไม้อย่างทุลักทุเล และพอดีกับ อรัญและปู่อินทร์ซึ่งได้ยินเสียงของนก

    เหมือนกันก็หน้าตื่นกลับมาพอดี  อรัญส่งน้ำให้ทั้งสอง และเขาก็ได้รีบปีนขึ้นต้นไม้ไปพร้อมกับปู่

    อินทร์ทันที เนื่องจากไม่เคยปีนต้นไม้ ทำให้ปีนขึ้นไปได้อย่างล่าช้า และอีกอย่างร่างที่ห้อยอยู่

    นั้นค่อนข้างสูง  แต่ยังโชคดี ที่เสียงลมจากปีกนกเงือกยักษ์เงียบไปแล้ว แสดงว่ามันคงยังไม่

    กลับมา ตอนนี้ อาจแวะลงที่ใหนซักแห่ง และครู่ใหญ่ทั้งสี่ก็ปีนถึงจุดที่ร่างคนนั้นห้อยอยู่  ร่างนั้น

    จากที่สังเกตุจากสายตา เป็นหญิงวัยกลางคน แต่ท่าทางอิดโรยมาก ตามตัวมีบาดแผลหลาย

    แห่ง เสื้อผ้าที่เธอใส่ถูกแขวนไว้กับกิ่งไม้ ทำให้เธอห้อยร่องแร่งอย่างที่พวกเขาเห็น และไม่มี

    แรงที่จะปลดตัวเองออกมาจากกิ่งไม้ที่แขวนเธอไว้ แต่เมื่อเห็นทั้งสี่ปีนเข้ามาใกล้ เธอก็ยิ้ม

    อย่างดีใจ   และทั้งสี่ก็ปลดเธอออกมาจากการห้อยและวางไว้ที่กิ่งไม้ใหญ่ข้างๆนั้น แต่การนำ

    ตัวเธอลงไปไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากสูงแล้วทุกคนที่ขึ้นมา

    เฉพาะตัวเองที่ปีนป่ายลงไปก็ยากแล้ว  และทั้งหมดตกลงกันว่าจะหย่อนเธอลงมาด้วย

    เถาวัลย์ ซึงได้ตะโกนบอกให้คนข้างล่างตัดไว้ ให้อรัญไต่ลงมาเอา  ระหว่างนั้นหญิงคนนั้นได้

    เล่าให้ฟังว่า เขาเป็นกระเหรี่ยงที่หาของป่ามากับ ผัวของเธอ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับคนที่เสียชีวิต

    ไปที่พวกเขาพบที่ถ้ำนั่นเอง  เธอเสียใจมากที่ได้รู้ว่าผัวของเธอตายไปแล้ว เธอเล่าว่าพลัดหลง

    เข้ามาที่นี่หลายวันแล้ว รวมทั้งเคยกินผลไม้ลักษณะเหมือนกันที่พ่อของกานต์และพ่อของอัครชัยเคย

    กินนั่นคือ มัจจิราไปด้วย แต่สิ่งที่เธอเล่าให้ฟังและพวกเขาพึ่งรู้ได้จากที่เธอเล่าก็คือ มีผลไม้อีก

    ชนิดหนึ่งที่กินแล้วสามารถขับพิษสงของ มัจจิรา ได้ และนั่นก็คือผลไม้ที่  และมันได้มีอยุ่ที่ทางตะวันตก

    ริมลำธารน้ำห่างไปไม่เกินสองกิโลเมตรนี้เอง สามีของเธอรู้เรื่องดินแดนนี้ดีเพราะอยู่มานาน มัจจิรา 

    มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ต้นน้ำทางเหนือ โดยถ้าจะไปที่นั่นต้องเดินทางไปอีกหลายเดือน ส่วนที่นี่มันมี

    ฤทธิได้แค่รากของมันที่มันจะผสมผสานกับรากไม้ท้องถิ่นแถวนี้ในการหาอาหาร  และมีวิวัฒนาการใน

    การดูดอาหารที่รวดเร็วมาก  และบางรากของ มัจจิรา มีกิ่งใบที่สามารถมีผล เพื่อล่อให้อะไรกินมันเข้าไป

    และมันจะได้ควบคุมสิ่งนั้นได้ และเธอก็เล่าถึงการตายของผัวเธอ เนื่องจากผัวเธอและเธอได้ล่วงรู้ว่าบริ

    เวรภูตะนาวนี้ มีประตูมิติที่ผ่านเข้าออกของสองมิติได้  จึงได้พยายามวนเวียนอยู่บริเวรนี้ เพื่อหวังว่าสัก

    วันหนึ่งจะมีโอกาสหลุดกลับออกไปยังโลกได้อีกครั้ง แต่ทว่า เมื่อสามวันก่อน เธอเเละผัวของเธอ เกิด

    เผลอหลับไปที่ลานบนยอดเขาลูกนั้นด้วยความอ่อนเพลีย  นกยักษ์บินผ่านมา เห็นเข้าเลยลงมา

    จิกตีและคาบเธอมาที่นี่ ส่วนสามีเธอก็พึ่งรู้นี่แหละว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เธอเล่าถึงตอนนี้ เธอก็


    รู้สึกอ่อนแรงพวกเขาเห็นว่าเธอเหนื่อยมากแล้วจึงให้เธอหยุดเล่า และไว้ถึงข้างล่างแล้วค่อยว่า

    กันอีกที  ซึ่งพอดีกับอร้ญได้ปีนขึ้นมาถึงพอดี  ร่างหญิงสาวที่ผูกด้วยเถาวัลย์ ถูกหย่อนลง

    มาช้าๆ โดยคนสี่คนจากด้านบน น้ำหนักผู้หญิงคนเดียวที่หย่อนลงมาจึงทำให้ทั้งสี่จึงไม่ค่อยได้

    ใช้แรงมากนัก และอีกอย่างยังไม่มีวี่แววว่าเจ้านกยักษ์ จะกลับมาจึงทำให้ทุกคนไม่ได้กดดัน

    มากนัก  และทั้งหมดก็เลือกฝั่งที่มีกิ่งไม้น้อย คนละฝั่งที่เขาปีนกันขึ้นไป หย่อนร่างเธอลงมาแต่

    ระหว่างที่ร่างที่ห้อยแกว่งอยู่ชิดลำต้น ของต้นไม้นั้นเอง

    เเละนั่นเองกลับมีสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เปลือกไม้บริเวรนั้นเริ่มปริร้าว   มันไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มันถูก

    กระเทาะจากด้านใน นกเงือกยักษ์อีกตัวหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นตัวเมียอีก ที่อยู่ด้านในของต้นไม้

    ยักษ์นี้  โดยที่ทุกคนมิได้ล่วงรู้มาก่อนและมันกำลังฟักใข่อยุ่ในนั้น โดยที่พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นมัน 

    เนื่องจากมันซุกตัวอยู่ในโพรงนั้น และไม่มีทางออกที่กว้างพอมองเห็นและปู่อินทร์เองซึ่งน่าจะรู้แต่แรกก็

    ลืมเฉลียวใจคิดเรื่องนี้เสียสนิท เจ้านกยักษ์ตัวเมียในนั้น สังเกตุจากรูเล็กๆ ที่ตัวผู้คอยส่งอาหารให้ว่ามี

    สิ่งเคลือนไหวที่มันคิดว่าเป็นอาหารที่ตัวผู้ใด้ส่งให้มันและทันใดนั้นจงอยปากของมันก็จิกทะลุเศษดินที่

    ตัวผู้ได้ยาไว้ออกมา แต่เมื่อกระทบเข้ากับเศษดินทำให้มันจิกไม่ถนัด จงอยปากของมันได้เกี่ยวกับ

    เถาวัลย์ที่ห้อยร่างน้้นเสียก่อน เถาวัลย์เส้นเล็กๆที่ถูกจงอยปากขนาดยักษ์ เกี่ยวก็ขาดสะบั้นทันที  ร่าง

    เธอผู้เคราะห์ร้ายล่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างทันที เนื่องจากเธอผู้ซึ่งบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว และยิ่งล่วงลงมา

    จากที่สูงอีกด้วย  ทันทีที่ร่างเธอตกกระทบพื้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะเป็นเช่นไร


    สามสาวเบื้องล่างตะลึงกับเหตุการที่เกิดขึ้น เมื่อร่างนั้นลงแตะพื้น เธอทั้งสามพยายามวิ่งเข้าไป

    หาร่างนั้น แต่ทว่า เมื่อเข้าไปใกล้จะถึง เหตุการเมื่อไม่นานนี้ก็เกิดขึ้นอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า

    เธอที่หล่นจากข้างบนมาจะตายหรือไม่ เพราะบัดนี้รากไม้ มันเริ่มโผล่มาเกี่ยวกระหวัดร่างของ

    เธอจนหมดทั่วทั้งตัวเเล้ว  ทั้งสามสาวถึงกับทรุดลงนั่งและสลดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


    คนข้างบนก็เช่นกัน โดยเฉพาะปู่อินทร์ เขาเป็นคนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีและหาทางป้องกันตั้งแต่แรก

    เขาโมโหตัวเองที่ปล่อยให้เหตุการณ์ นี้เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นความรีบทำให้เขาลืมเรื่องนี้เสียสนิท


    " เราจะฆ่ามันดีใหม ผมว่าเราน่าจะฆ่ามันได้ไม่ยากมันอยู่ในโพรงแบบนั้น "                          


    อรัญ กล่าวขึ้นด้วยความเจ็บใจและเครียดแค้น แต่อัครชัยได้ห้ามไว้


    " อย่าเลย มันก็คงต้องหากิน จะว่าไปมันโหดร้ายก็คงว่ามันได้ไม่เต็มปาก มันก็ทำตามสัญชาติ

    ญาณการหาอาหารของมัน และอีกอย่างมันก็เป็นแม่ที่กำลังทำหน้าที่เลี้ยงลูก ถ้าเราฆ่ามันก็ไม่

    ทำให้อะไรดีขึ้นมา และต่อไปนี้มันก็คงไม่เป็นพิษเป็นภัยกับเราแล้ว "                                


    และอัครชัยก็ตบบ่าอรัญเบาๆ ทำให้เขาคลายโทสะลงได้บ้าง  แล้วทั้งสี่ก็ไต่ลงมาอีกด้าน

    ของต้นไม้นั้น                                                                                                

     และเมื่อทั้งหมดลงมาคุยกันอีกครั้ง พวกเขารู้สึกสลดใจกับร่างที่ไร้วิญญาณที่แห้งกรังของ

    เธอคนนี้ไม่ได้ พวกเขาเสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสต่อชีวิตให้กับเธอนานกว่านี้  และตอนนี้ สิ่งที่เธอ

    เล่าให้ฟังเมื่อครู่ ก็เป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่งในการเดินทางต่อไปนี้  ห่างไปไม่ไกลนี้ มีผลไม้ที่ถอนพิษ

    ของมัจจิราได้  เมื่อร่างกายของพวกเขาไร้ซึ่งปรสิตในร่างกายแล้ว การหาทางกลับก็คงเป็นสิ่งที่จะทำ

    ต่อไป











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×