ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อนาสตาเซีย แห่งการเริ่มต้น

    ลำดับตอนที่ #40 : ตอนที่ 31

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 90
      3
      21 ก.ค. 61


    ตอนที่ 31

     

    “ อ้าว ท่านพี่ฟื้นแล้ว ” ทันทีที่ปลายเท้าแตะลงบนยอดเขาโอลิมปัสที่สูงตระหง่านก็ต้องเผชิญกับคำพูดแรกที่ถูกส่งออกมาจากปากผู้ที่มีนามว่า แอรีส

    “ อืม ” นางคงไม่รู้สึกไปเองกระมังว่าดวงตาของเจ้านี่มันมีความเย้ยหยันวาดผ่าน

    เย้ยหยัน เย้ยหยันเนี่ยนะ ทว่าด้วยไม่มีอารมณ์จะข้องแวะกับบุรุษผู้นี้จึงไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจอีก ขณะที่กำลังย่างเท้าผ่านร่างสูงใหญ่นั่นไปก็ได้ยินคำพูดที่ทำให้ระคายหูเล่นๆจนนางต้องหยุดฝีเท้า

    “ ไม่คิดว่าเทพีแห่งสงครามก็มีวันสลบเหมือดกับเขาเหมือนกัน ”

    “ เก็บปากเน่าๆไปให้พ้นทางซะ เจ้าสุนัขขี้แพ้ ” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ขยับกายก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน

    “ หากข้าเป็นสุนัข เจ้าก็เป็นสุนัขเช่นกัน ” และดูเหมือนว่าเขาจะเบนเป้าโจมตีไปที่อื่นเสียแล้ว

    “ เช่นนั้นข้าก็เปรียบดังสุนัขที่มีมันสมองและสูงส่ง ต่างจากสุนัขตัวโตๆหน้าโง่ ที่วันๆเอาแต่วิ่งใส่แต่กองอาจมเช่นเจ้ากระมัง ”

    “ นี่เจ้า... ” และถ้อยคำต่างๆนานาที่ถูกสาดส่งกันไปมาด้วยหัวข้ออันไม่เป็นเรื่อง ข้าสุนัข เจ้าสุนัข เทพทะเลาะกันแล้วเกี่ยวอันใดกับสุนัขเล่า ด่าไปด่ามาจนแทบจะลากเทพทุกองค์ไปเป็นสุนัขเสียด้วยกันให้หมดอยู่แล้ว

    แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว เรื่องอะไรเอาหน้าตัวเองไปให้สุนัขเลียเล่า หญิงสาวจึงเลิกให้ความสนใจแล้วเดินอ้อมชายหญิงทั้งสองเพื่อขึ้นไปยังวิหารด้านบน

    เทพที่ยังคงใช้ที่อยู่อาศัยเป็นวิหารนั้นมีอยู่ไม่มากแล้วหนึ่งในนั้นก็คือซุสและโพไซดอน ส่วนเทพองค์อื่นรวมถึงตัวนางเองจะสร้างเป็นปราสาทแทน อย่างน้อยมันก็ปิดรอบด้านทั้งยังทำได้หลายชั้นต่างจากวิหารที่มีเพียงชั้นหรือสองชั้น แล้วก็มีเสาปูนขนาดใหญ่ หรือรูปปั้นประดับประดาเสียเต็มไปหมด

     

    “ ท่านพี่ เจ้าขี้แพ้นั่นมันกำลังหาเรื่องท่านนะ ” ขณะกำลังเยื้องย่างก้าวเดินขึ้นบันไดสีขาวมหึมาเพื่อตรงไปยังเป้าหมาย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา เมื่อหันไปก็พบกับใบหน้างามที่งอง้ำ และกำลังถลึงตาไปให้ชายหนุ่มด้านหลังที่เดินตามมาไม่ไกลนัก

    “ .. ” เบลล่าที่ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี ตัดสินใจเดินต่อเพราะไม่อยากจะระเบิดอารมณ์ให้เป็นที่สงสัยได้ ด้วยตอนนี้นางยังไม่อาจทำใจกับสิ่งที่พระสวามีของนางทำลงไปได้นัก

     

    “ ลูกรัก เจ้าฟื้นแล้ว ” ขณะนี้ทั้งวิหารมีเพียงเทพและเทพีอยู่ไม่กี่องค์เท่านั้น นั่นก็คือ ซุส เฮร่า ไดโอนิซัส อาธีน่า แอรีส และนาง

    “ ท่านพ่อข้ามีเรื่องจะไต่ถาม ”

    “ อ่า ตื่นมาก็รีบมาหาพ่อเช่นนี้คงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย เจ้ายังไม่ได้เล่าเรื่องที่นั่นให้พ่อฟังบ้างเลย ” โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันจะตอบออกไปก็มีเสียงอื่นแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    “ ข้าก็อยากฟัง ขอเป็นวิธีการที่ท่านใช้งาบบุตรของฮาเดสมาเพิ่มในคลังของตัวเองนะ ไม่ๆตอนที่สลบเมื่อเจอหน้าเจ้าสามีน้ำแข็งล้านปีของท่านดีกว่า ตอนนี้กำลังเป็นที่กล่าวขานทีเดียว ”

    “ แม้ว่าข้าจะพึ่งกลับมาแต่ก็ยังอุตส่าห์ได้ฟังเรื่องของเจ้ากับอะโฟรไดท์มาบ้าง เห็นทีเรื่องของข้าคงน่าสนใจไม่เท่าของเจ้าหรอกกระมัง ” ไม่ต้องรอให้อาธีน่าออกปาก เทพีที่มักจะนิ่งเฉยกับการทะเลาะเบาะแว้งของเหล่าเทพและมักปล่อยผ่านต่อคำพูดจากปากจอมหาเรื่องอย่างแอรีสมาตลอดกลับสวนออกไปด้วยถ้อยคำเจ็บแสบที่ทำเอารอบด้านเงียบไปหลายวินาที โดยที่สายตาของนางยังคงมองตรงไปยังสวนข้างวิหารคล้ายตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเรื่องนี้ ทว่ากลิ่นอายและน้ำเสียงเย็นยะเหยือกที่ถูกปล่อยออกมาจนอาธีน่าที่อยู่ข้างกายอดที่จะหนาวสั่นอย่างไม่รู้สาเหตุไม่ได้

    ปกติเวลาท่านพี่โกรธมักจะปล่อยกลิ่นอายน่ากลัวออกมา ทว่าครั้งนี้เหตุใดจึงให้ความรู้สึกเหมือนกับมีท่านพี่เขยมายืนอยู่แถวนี้เลยล่ะ เมื่อมองไปรอบๆก็ไม่เจอก้อนน้ำแข็งเคลื่อนที่นั่นเสียหน่อย นางควรเตือนให้ท่านพี่ออกห่างจากเขาบ้างดีหรือไม่ คิดไปพลางลูบแขนตัวเองไปมา

    “ เอาหล่ะๆ ยังมีเวลาให้ล้วงควักไส้กันอีกมากแต่หาใช่เวลานี้ ” เฮร่าที่พึ่งได้สติเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตว่ารอบด้านชักจะเงียบสงบเกินไปแล้ว แม้แต่ตัวต้นเรื่องอย่างแอรีสบุตรอันไม่ได้ความของนางก็ยืนแข็งค้างเป็นกับเขาเหมือนกัน แม้แต่เทพแห่งไวน์ที่กำลังดื่มด่ำกับรสชาติเครื่องดื่มรสเลิศยังต้องหยุดชะงักเพื่อหันมามองให้เต็มตา

    นี่นางไปเจอเรื่องอันใดมา เหตุใดรังสีทำลายล้างถึงรุนแรงเช่นนี้

    “ พวกเจ้าออกไปก่อน เบลล่ามาคุยกับพ่อ ”

     

    “ แกนนอนน่าจะแจ้งให้พวกท่านทราบแล้ว ”

    “ อืม ”

    “ ว่าแต่ วันนี้ข้ายังไม่พบเขาเลย ” ว่าจะซักไซ้เรื่องแหวนเปิดมิติเสียหน่อย

    “ เห็นว่าช่วงนี้เก็บตัวพักผ่อน คงจะเป็นเรื่องที่สามีเจ้าไปขู่เข็ญให้ทำกระมัง ” เขากล่าวออกมาเสียงขึ้นจมูกจนหนวดกระดิกอย่างไม่ใคร่ชอบใจในตัวชายหนุ่มนัก แต่เบลล่าที่เห็นท่าทีเช่นนี้จนชินตาก็มองข้ามเรื่องนี้ไป

    อ่า คิดถึงเรื่องนั้นแล้วให้ปวดใจนัก

    “ ข้าต้องการทราบอะไรบางอย่าง และท่านก็อย่าได้ปิดบังสิ่งใดกับข้า ” และเลือกที่จะเข้าเรื่องทันที ด้วยไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป

    “ ว่ามาซิ ” ชายวัยกลางคนหาได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ตอนแรกจะบอกให้นางไปนั่งแต่ดูจากท่าทีเอาจริงเอาจังของหญิงสาวแล้วจึงไม่ได้เอ่ยปากบอกไป

    “ เลือดผสม ” สั้นๆได้ใจความ ทว่าตรงจุดจนมหาเทพลมหายใจแอบสะดุกกึก

    “ ตั้งแต่เจ้าสลบไปมันก็ไม่โผล่มาอีก ” มีเสียงถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบออกมาด้วยท่าทีเนือยๆ คล้ายไม่ใช่เรื่องสำคัญ และมีหรือเบลล่าที่กำลังเฝ้าจับพิรุธจะไม่สังเกตเห็น บางเรื่องนางจงใจปล่อยผ่านก็แล้วไปเถิดแต่บางเรื่องที่นางให้ความสนใจอย่าได้ฝันว่ามันจะผ่านไปได้ง่ายๆ

    “ แล้วท่านไม่ได้ให้ใครไปสืบหรอกรึ เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องไปถึงผู้นั้นเลยก็ได้นะ ไม่ซิขุนพลของเขาเองก็อาจมีส่วน ” ไม่ชอบมาพากลโดยแท้

    “ จะให้สืบอย่างไรล่ะ ในเมื่อเบาะแสอะไรก็ไม่มี นอกจากคำพูดของเจ้าที่บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้านั่นเป็นบุตรของใคร ” ประโยคที่ได้รับกลับมาทำเอาหญิงสาวหมดสิ้นคำพูด ได้แต่ผิดอีกครั้งไม่ได้

    “ พักเรื่องนี้ไว้ รอให้มีสิ่งน่าสงสัยอื่นเกิดขึ้นเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ” เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้าขมวดคิ้วมุ่น เขาจึงเสนอทางออกออกมาทันที

    “ ท่านพ่อเรื่องนี้มอบหมายให้ข้า ข้าจะสั่ง.... ” ในเมื่อหมอนั่นปรากฏตัวเพราะหล่อน อาจจะเป็นไปได้ที่มันจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

    “ ไม่ พ่อมีงานที่สำคัญกว่าให้เจ้าทำ ” ไม่ต้องรอให้จบประโยคก็โดนแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    “ งานอันใด ไหนพวกท่านบอกให้ข้าพักไง ” ตาเฒ่าเรื่องมากพวกนี้เหตุใดอารมณ์จึงแปรปรวนนัก

    “ เจ้าจำโรงเรียนที่ได้เปิดไว้เมื่อเกือบสองพันปีก่อนได้หรือไม่ ”

    “ ลาซารัส เกิดอันใดขึ้น ” คงไม่ได้มีอสูรกายมาบุกกระมัง ในโรงเรียนลาซารัสมีทั้งมนุษย์ และเด็กเลือดผสมอยู่เต็มไปหมด แม้จะมีอาจารย์เก่งๆอยู่มากแต่หากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นจริง พวกเด็กเหล่านั้นคงหลีกหนีได้ยาก คงจะต้องรีบเรียกทหารให้ไปจัดการดูแลเรื่องนี้เยอะหน่อย

    “ เจ้าก็รู้ว่าโรงเรียนแห่งนั้นถูกสร้างมานาน สร้างผู้กล้าหรือวีรบุรุษมาก็... 

    “ เข้าเรื่องเถิด ” จะสาธยายอะไรให้มากความ ขืนชักช้าอาจไม่ทันการณ์

    “ ด้วยเหตุนั้น เราจึงควรลงไปสานสัมพันธ์กับเบื้องล่างบ้าง ”

    “ สานสัมพันธ์? สานสัมพันธ์อันใด” ท่าทางยึกยักของบุรุษตรงหน้าเริ่มสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจแก่หญิงสาวได้มากทีเดียว

    “ สองสามร้อยปีมานี้เกิดวีรบุรุษมากมายทั้งยังมีความเชื่อ ศาสนา ลัทธินอกรีตเต็มไปหมด และเหล่าเทพเองก็ไม่ได้ปรากฏกายหรือสร้างวีรกรรมที่เป็นประโยชน์อันใดให้พวกเบื้องล่างได้เห็นเลย ” นอกจากคอยดูแลปกป้องอยู่เบื้องหลังอย่างที่เป็นอยู่

    “ ไม่นับรวมการยุแยงส่งเสริมสงครามพวกนั้น ” ยังไม่ทันที่ข้าจะเอ่ยปากแย้ง บุรุษเบื้องหน้าก็เอ่ยดักคอขึ้นมาอย่างรู้ทัน

    “ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าเข้าไปอยู่ในลาซารัสซักครึ่งปี ทำความคุ้นเคยกับพวกที่ยังเยาว์วัยเพื่อในอนาคตข้างหน้ามนุษย์จะได้ยังไม่หมดศรัทธาในเทพเจ้า ”

    จบการสาธยายดังกล่าว ผู้ฟังก็ได้แต่นิ่งคิด

    รู้สึกว่าเหตุผลมันยังดูอ่อนนัก ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่รู้ว่าจะแย้งด้วยเหตุผลอันใด

    แต่ยังไงก็ช่าง หญิงสาวต้องการจะปัดเรื่องนี้ออกไปจากตัวโดยเร็วที่สุด

    “ ท่านพ่อ หน้าข้าเหมือนเป็นพร้อมมิตรกับทุกสิ่งที่เผชิญนักหรือไร เหตุใดไม่ส่งผู้อื่นไป ” นอกจากตอนก่อตั้งโรงเรียนนางก็ไม่เคยย่างก้าวเข้าไปที่นั้นเลยซักครั้ง นอกจากให้ทหารนำส่งพวกเลือดผสมหรืออมนุษย์เข้าไปเรียนเท่านั้น

    และเขาก็น่าจะรู้ว่าหล่อนไม่ค่อยชอบสุงสิงกับสิ่งมีชีวิตใดเยอะๆหรอกนะ

    “ เทพในโอลิมปัสได้ลงความเห็นกันแล้วว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับหน้าที่นี้ ” นำเสียงของฝ่ายตรงข้ามถูกกดให้ต่ำลง บวกกับแววตาที่เข้มขึ้นต่างจากก่อนหน้า กลิ่นอายของผู้เหนือบัลลังก์แห่งเทพทั้งปวงถูกปลดปล่อยออกมา ทว่าสตรีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักและรู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมสำหรับนางมีหรือจะไม่พยศกลับไป

    “ แล้วข้าก็ต้องเชื่อ? ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ข้าต้องฟังคำสั่งจากโอลิมปัส ” ทั้งที่เทพในโอลิมปัสบางองค์เด็กกว่านางเสียอีก หรือบางทีพวกเขาไม่ได้ประชุมกันด้วยซ้ำซุสอาจจะอ้างขึ้นมาเป็นเหตุผลเท่านั้น

    “ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ฟังความเห็นของพวกเราทั้งสามมิใช่รึ ” ทั้งสามที่เขาหมายถึงก็คือ ซุส โพไซดอน และฮาเดส อารมณ์ของนางตอนนี้ไม่ใคร่จะดีนัก น้ำเสียงและใบหน้าจึงเริ่มยุ่งเหยิง ไม่สนท่าทีที่เริ่มจะอ่อนลงของเขาเมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ยังไงก็ใช้ไม้แข็งกับอิซเบลล่าไม่ได้ผลแน่

    “ แต่ฮาเดสไม่ได้อยู่ในโอลิมปัส ” เวลานี้เหมือนมียักษ์ไซครอปกำลังตีเหล็กร้อนๆอยู่ในหัวของนาง

    “ แต่พวกเราคุยกันแล้ว ” สิ่งที่ได้รับกลับมาทำให้หญิงสาวต้องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วหลับตาลงกำมือแน่นก่อนจะเอื้อนเอ่ยสิ่งหนึ่งออกมา

    “ พวกท่านกำลังปิดบังข้า ” น้ำเสียงที่ใช้นั้นเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยินและมันไร้ซึ่งอารมณ์ใด จนซุสอดหวั่นใจไม่ได้ เมื่อลืมตาขึ้นนางเลือกที่จะไม่มองตรงไปยังผู้ที่นั่งอยู่เหนือบัลลังก์อย่างเช่นเคย แต่เบี่ยงไปจับจ้องพื้นแกรนิตสีงาช้างเบื้องหน้าแทน

    “ เบลล่า เรื่องบางเรื่องมันยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกเจ้า ” ซุสที่เริ่มเห็นเค้าลางที่ไม่ใคร่จะดีนักมาจากหญิงสาวจึงลุกขึ้นหวังที่จะก้าวเข้าไปเกลี่ยกล่อมให้นางใจเย็นลง ในหัวเริ่มผุดคำอธิบายต่างๆนาๆขึ้นมาจนวุ่นวาย

    เหตุใดต้องเป็นเขาที่ต้องมารับโทสะนางกันหนอ รู้เช่นนี้เมื่อกี้แสดงบทโหดสั่งรวบรัดตัดตอนแล้วรีบเผ่นออกจากวิหารให้รู้แล้วรู้รอดไปก็สิ้นเรื่อง จะมานั่งอารัมภบทให้เสียเวลาไปใย

    ผู้มีชนักติดหลังได้แต่ถอนหายใจในความคิดซ้ำไปซ้ำมา

    “ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องง่ายขึ้น หากท่านพูดมันออกมา แล้วก็เลิกยึดมั่นแต่คำทำนายนั่นซะ ” บ่อยครั้งที่คำทำนายหรือคำพยากรณ์ทำให้เรื่องทุกอย่างมันสำเร็จด้วยดี แต่บางครั้งกลับทำให้มันยุ่งยากเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนพวกเทพหัวโบราณเหล่านี้จะไม่คิดเช่นนั้น

    “ ท่านแค่พูดมา ” แม้ท่าทีของซุสจะอ่อนลงทว่าแววตายังคงยึดมั่นเช่นเดิม เป็นสัญญาณว่าหล่อนล้มเหลวในการเกลี่ยกล่อม

    “ คำทำนายไม่เคยผิดพลาด ถึง.. ” แต่ก็ต้องหยุดคำพูดเมื่อเบลล่ายกมือขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วง

    “ พอเถิด ในเมื่อพวกท่านเล็งเห็นว่ามันดีสำหรับข้า ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก ” จบคำก็หมุนตัวก้าวเท้านำร่างระหงออกจากวิหารอันวิจิตรทันทีโดยไม่มีแม้แต่จะเอ่ยคำลาใดๆ และไม่ทันได้ฟังเสียงเสียงหนึ่งที่ดังไล่หลังมาอย่างแผ่วเบา

    “ คงจะถึงเวลาในซักวัน ”

     

    “ ไดโอนิซัส! เจ้า! ไปตามนายของเจ้ามา จะรอให้ข้าเผาปราสาทก่อนหรือไร ” ภาพเทพีสาวผู้มีความงามเป็นเอกกำลังทิ้งตัวลงบนพื้น ทำให้ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าปราสาทหลังงามต่างพากันยืนตะลึงกันจนลืมทำหน้าที่เฝ้ายามไปชั่วขณะ จนเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์นั่นก็คืนสติกลับมา ก่อนจะรับรู้ได้ว่านางเป็นผู้ใด ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งจะหันหลังเข้าไปแจ้งเจ้าของอาณาเขตก็ปรากฏเสียงนุ่มแฝงความเอื่อยเฉื่อยอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาก่อน

    “ อย่าทำให้คนของข้าแตกตื่นนักซิ ท่านพี่ ” เจ้าของผมสีบลอนด์สลวยยาวประบ่า ซึ่งครั้งหนึ่งหล่อนเองก็เคยมีเส้นผมสีนี้ ก้าวเท้าออกมาพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มมึนเมาในมือ เอกลักษณ์เฉพาะของเจ้าของที่นี่

    “ แล้วนั่นกางเกงอะไรของเจ้า ปราสาทเจ้าขาดแคลนเสื้อผ้านักหรือไร” ถึงได้เหลือเพียงกางเกงรูปลักษณ์แปลกตานั่น ส่วนบนกลับเปลือยแผงอกที่ขาวแสบตาจนต้องเมินหน้าหนี

    “ มันเรียกว่ากางเกงวอร์มท่านพี่ จากมิติอื่น ข้าเห็นมนุษย์ใส่แล้วเท่ดี สบายอีกด้วย ” พร้อมทั้งยกแข้งยกขาโอ้อวดเสียเต็มอัตรา

    “ เหตุใดถึงชอบไปเอาของมิติอื่นมานัก ไม่กลัวโดนลงทัณฑ์หรือไร ” เหล่าทวยเทพต่างรู้ถึงข้อห้ามข้อนี้ดี ที่ไม่ให้นำสิ่งของหรือนวัตกรรมต่างมิติเข้ามา เพราะกลัวจะทำให้โลกนี้แปดเปื้อนและเกิดการโกลาหล

    “ ข้าเอามาแค่ชิ้นสองชิ้น ไม่ได้นำมาสร้างความเสียหายใดซักหน่อย ” และไม่ต่างไปจากที่คิดว่าบุรุษผู้นี้จะต้องเถียงกลับมาเป็นแน่

    “ เอาเถอะ แต่มิติใดกันมีกางเกงแต่ไม่มีเสื้อ แปลกพิกล ” คงเป็นดินแดนที่พิลึกน่าดู ด้วยคุ้นชินนิสัยอันแปลกประหลาดของบุรุษผู้นี้อยู่แล้วจึงไม่ได้ข้องใจอะไร

    “ เดิมทีพวกเทพรุ่นเก่าก็นุ่งน้อยห่มน้อยกันมิใช่รึ แปลกอันใด ข้ายังเคยเห็นพวกมนุษย์ปั้นหุ่นพวกเราแบบไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้นด้วยซ้ำ ไม่รู้เอาอะไรมาวัด ” ท้ายคำพูดเสียงขึ้นจมูกก่อนจะกระดกไวน์ในมือ

    “ นั่นมันสมัยก่อน ส่วนใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ข้าจะสั่งให้เจ้าไปหาเสื้อมาใส่เดี๋ยวนี้ ” ยิ่งเห็นยิ่งอยากจับเขายัดลงถังองุ่นไปให้รู้แล้วรู้รอด นอกจากจะไม่พิศวาสและยังไม่รู้สึกเจริญตาแม้แต่น้อย ถึงบุรุษตรงหน้าจะรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่เบาก็ตาม

    แต่จะว่าไป ทำไมตอนมองบรรดาสามีที่มีผิวขาวจัด ข้าถึงไม่รำคาญลูกตาเท่าเจ้านี่กันนะ

    “ เฮ้ นี่มันบ้านข้านะ ทีท่านยังเก็บบุรุษจากมิติอื่นอยู่เต็มบ้านข้ายังไม่ท้วงบ้างเลย ” กระฟัดกระเฟียดพอเป็นพิธีก็เดินนำไปยังสวน

    “ เจ้าเด็กน่าตายนี่ ” แม้อยากจะทารุณกรรมชายผู้นี้มากเพียงใด แต่ก็ยังเดินตามไปอยู่ดี ทว่ายังไม่วายหันไปถลึงตาใส่ทหารที่สังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลก่อนเดินเข้าไปเสียหนึ่งครา จนผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นเอนกายหงายหลังใส่เถาองุ่นดังตึง เป็นเหตุให้สหายต้องวิ่งเข้ามาดู

    ไอการที่มีเทพีสะคราญโฉมชายตามองมันก็ดีอยู่หรอก ทว่าแววตาดุร้ายนั่นทหารผู้น้อยเช่นพวกเขาจะรับไหวได้อย่างไร

     

     “ ทะเลาะกับท่านพ่อมาอีกแล้วล่ะซิ ” เมื่อมาถึงตั่งก็เอนกายลงทันทีโดยไม่รอให้ผู้เป็นแขกมาถึงด้วยซ้ำ ข้าวของทุกอย่างเตรียมไว้พรั่งพร้อมด้วยผู้เป็นนายมักจะสิงสถิตอยู่ที่นี่เป็นประจำ สวนถูกจัดอย่างสบายตาโดยเน้นเถาองุ่นเป็นส่วนใหญ่ ที่จริงแทบจะรอบปราสาทแห่งนี้มีแต่ต้นองุ่นอยู่เต็มไปหมด บ่งบอกความชอบของเจ้าของได้เป็นอย่างดี

    “ อืม เจ้าได้ยินเรื่องโรงเรียนลาซารัสนั่นบ้างรึเปล่า ” เมื่อมาถึงที่นั่งฝั่งตรงข้ามชายหนุ่มที่ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเสื้ออยู่บนร่าง เบลล่าก็นั่งลงพักกายกับหมอนพิงปล่อยผ่านสิ่งที่ตนพึ่งจะท้วงไป รู้จักกันมานานจนปลงกับนิสัยของเขาไปเสียแล้ว เถียงกับเทพผู้นี้เสียเวลามากกว่าทะเลาะกับเจ้าแอรีสเสียอีก

    ลาซารัส คือโรงเรียนที่เอาไว้ให้เลือดผสม อมนุษย์ หรือมนุษย์ที่ผ่านการทดสอบเข้ามาศึกษา ส่วนเทพเลือดบริสุทธิ์นั้นเมื่อก่อนยังพอมีบ้างแต่ปัจจุบันไม่ค่อยจะมีเทพองค์ใดกำเนิดลูกจากคู่ที่เป็นเทพด้วยกันแล้วจึงไม่หลงเหลือให้เห็นในโรงเรียนนั่นแล้ว ลาซารัสตั้งอยู่บนเกาะขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยน้ำ เป็นโรงเรียนที่ขนาดใหญ่ มีปราสาทมหึมาตั้งอยู่เป็นใจกลางและมีอาคารต่างๆรวมถึงพื้นที่กว้างที่ใช้สำหรับเรียนสงครามหรือการทำศึกจำลอง จะมีการเปิดรับนักเรียนใหม่ทุกๆปี ผู้ที่สมัครเพื่อที่จะเข้าทดสอบนั้นต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบ ทว่าแม้เปิดรับทุกปีแต่ด้วยบททดสอบที่จัดว่าหินนักจึงมีผู้ผ่านเข้าไปไม่มาก โดยมีทางเข้าที่เป็นทางการคือสะพานหินขนาดใหญ่นับว่าเป็นสะพานที่วิจิตรการตาสมกับเป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยเทพเจ้า ไม่รู้ว่าเวลานี้จะยังเป็นเช่นกาลก่อนหรือไม่

    โลกหรือมิติที่นางเกิดและอาศัยอยู่นั้นนับว่าเป็นดินแดนแห่งการก่อเกิด ซึ่งเกิดก่อนที่มิติอื่นๆจะมีขึ้น ดินแดนด้านล่างนั่นเป็นที่ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆอาศัยอยู่ซึ่งไม่นับว่าเป็นดินแดนของเทพองค์ใด รวมถึงท้องทะเลอาณาเขตของโพไซดอน ซึ่งลึกลงไปด้านล่างนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นของเจ้านรกผู้รักสันโดษ ลาซารัสตั้งอยู่ในเมืองที่นับว่าเป็นศูนย์กลางของทุกดินแดน แน่นอนว่าเจริญที่สุดและเป็นที่ที่เทพพระเจ้ามักจะลงไปมากที่สุดและเป็นเมืองที่ปราศจากการสู้รบ

    โลกนี้ยังคงมีสงครามซึ่งเป็นเรื่องปกติและบางครั้งก็เป็นเทพเจ้าเสียเองที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของสงครามแต่ก็ไม่อาจแสดงตัวชัดเจนได้ เช่น อาธีน่าและแอรีสเพราะหากก่อสงครามกันซึ่งๆหน้าจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ จึงทำได้แค่เพียงถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้พวกเขาเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ ผู้ที่จบจากลาซารัสค่อนข้างเป็นที่ต้องการตัวจากเมืองต่างๆด้วยความรู้ เวทย์มนตร์ ศาสตร์แห่งการต่อสู้ รวมถึงพละกำลังที่มีส่วนผสมจากเทพ และความรู้ด้านอื่นๆที่ขุนนางเมืองต่างๆจะส่งลูกหลานเข้ามาเล่าเรียนและผูกมิตรกับเผ่าพันธุ์อื่นโดยเฉพาะลูกของเทพเจ้าเพื่อที่จะให้เข้าร่วมกับตน

    “ เห็นท่านพ่อบอกว่าเดี๋ยวจะหาใครลงไปผูกมิตรหรืออะไรนี่แหละข้าไม่ได้ฟัง อย่าบอกนะว่าเป็นท่าน ”

    คิดถูกคิดผิดที่มาถามจากผู้ที่แม้แต่เวลาประชุมยังหลับได้อย่างเจ้านี่กันนะ แล้วทำไมจะต้องทำหน้าเหมือนกับต้องเจอเรื่องสะเทือนใจเช่นนั้น

    “ เป็นข้าไม่ได้หรือไง ” อย่าน้อยก็เก็บอาการหน่อยก็ยังดี

    “ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย ” แต่สีหน้าเจ้ามันฟ้อง!

    “ ของใหม่รึ รสชาติดีทีเดียว ” เมื่อรู้สึกว่าตนเริ่มเหม็นขี้หน้าบุรุษที่กำลังเอนกายพิงหมอนอย่างสบายอารมณ์ตรงหน้าแล้วจึงหันมาลิ้มรสเหล้าองุ่นหรือไวน์ในมือแทน

    “ ใช่แล้ว หมักไว้ที่โลกมนุษย์ร้อยปี ข้าพึ่งไปเอากลับเมื่อเช้า ” โลกมนุษย์?

    “ ข้างล่างนี่รึ จะเสียเวลาลงไปทำไม ที่นี่ไม่มีที่ว่างแล้วหรือไร ” ดินแดนเบื้องล่างนอกจากลาซารัสแล้วก็เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย ทั้งมนุษย์ อมนุษย์ สัตว์ อสูรกาย รวมถึงปีศาจที่เร้นกายอยู่ อาจจะมีเทพบางองค์ที่แปลงกายอยู่บ้าง

    “ มิติอื่นต่างหาก ไม่เช่นนั้นข้าจะเอากางเกงนี้มาจากไหน ”

    “ เป็นไปได้อย่างไร แกนนอนพักอยู่มิใช่รึ ” โดยปกติการจะเข้าไปหาแกนนอนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าจะต้องมีของเข้าไปแลกเปลี่ยนเพื่อจะให้เขาส่งตนไปยังมิติอื่น แต่ที่นางจะต้องเสียเวลาเปิดมิติซ้ำซ้อนและจะต้องเข้าไปพบมหาเทพก่อนนั้นก็เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียว พวกเขาว่างมากยังไงล่ะ ว่างมากจนอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมกับนาง ว่างมากจนเพียรหาภารกิจมาให้นางทำ ว่างมากจนกลัวว่านางจะใช้ชีวิตเรียบง่ายเงียบเหงาเกินไปจนต้องสรรหาอุปสรรคมาให้นางแก้เล่นๆอย่างเช่นกำหนดให้นางหาอัญมณีหายากมาเปิดประตูมิติเพื่อพบพวกเขาเสียก่อนทั้งยังกำหนดอีกว่าต้องรอ 10 ปีเท่านั้นนางจึงจะไปมิติอื่นได้ หากจะไม่ทำตามก็ย่อมได้ แต่นางคงไม่หาญกล้าขนาดขัดขวางเรื่องสนุกของชายแก่ทั้งสามได้ ด้วยการกลั่นแกล้งชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่าการทำโทษที่หนักข้อกว่าจะบังเกิดแก่นางได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณแน่นอน

    ฮึ่ม.. ยิ่งคิดถึง เลือดที่สูบฉีดอยู่ในร่างกายก็เริ่มจะเพิ่มอุณหภูมิขึ้นเรื่อยๆ

    “ ข้ามีแหวนเปิดมิติ ”

    “ แหวน? เจ้าจะมีแหวนนั่นได้ยังไง ” นางไม่อยู่เพียงห้าวัน เดี๋ยวนี้เขาเอามาเร่ขายแล้วหรือไร

    “ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ข้าต้องเสียเหล้าไปหลายสิบถังเชียวนะกว่าเขาจะยอมให้มา ” ชายหนุ่มจุ๊ปากก่อนจะเล่าออกมา

    “ ตาแก่นั่น ” ในที่สุดก็เริ่มเข้าใจในบัดดล นางต้องพยายามแทบตายกว่าจะข้ามมิติไปได้ แต่ด้วยเพียงเหล้าไม่กี่สิบถังกับสามารถแลกทุกอย่างมาได้

    เพียงแค่มีแหวนก็ไม่ต้องนำสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนกับโชคชะตา

    แค่มีแหวนการข้ามมิติก็ง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ

    ตอนนี้ชักเริ่มไม่แปลกใจซะแล้วที่เจอเจ้าเลือดผสมที่นั่น ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่ใช้สิ่งของไปปรนเปรอจนได้แหวนไปครอบครองบ้าง

    นี่เท่ากับข้าโดนตุ๋นมานานเลยงั้นซิ เมื่อนึกถึงตนที่ต้องสลบจนเป็นที่ขบขันของผู้อื่น เพราะไปขัดต่อข้อแลกเปลี่ยนกับโชคชะตานั่น ในใจพลันรู้สึกอยากพุ่งตัวไประเบิดที่ทำงานของตัวต้นเรื่องให้เป็นเถ้าถ่านตอนนี้

    ทว่านั่นไม่ใช่การแก้ปัญหา เบลล่า

    ครั้งหน้ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก

    มีสติไว้ จะให้ใครรู้ถึงเรื่องน่าอายนี้ไม่ได้

    ถึงว่าไดโอนิซัส ถึงชอบนำของแปลกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ

    “ เป็นอันใดไป ” น้ำเสียงแสดงออกถึงความเป็นห่วงเมื่อเห็นผู้เป็นพี่สาวมีท่าทีแปลกไป

    “ เปล่า สบายดี สบายดีมาก ฮ่าฮ่า ” ว่าพลางกระดกไวน์อักๆ

    ต้องเป็นอันใดแน่นอน ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย เฮ่อ กระดกเสียเหล้าองุ่นของเขาดูไร้ราคาไปเสียแล้ว

    “ จริงซิ แล้วท่านจะลงไปเมื่อใด ”

    “ ไม่รู้ซิ คงจะอีกหลายวัน เขาไม่ได้กำหนดมาหนิ ” อยู่ดีๆโยนงานไม่สมเหตุสมผลมาให้เช่นนี้ ล่าช้าไปซักหน่อยจะเป็นอันใดไป แถมตอนนั้นหล่อนก็หัวฝัดหัวเหวี่ยงรีบจากมา ยังไม่ได้คุยเรื่องนัดหมายอันใด

    “ ช่วงนี้ท่านก็ว่างมิใช่รึ ไปที่นั่นอาจจะมีเรื่องสนุกให้ทำก็เป็นได้ ” เมื่อเห็นผู้เป็นพี่สาวยังไม่หายหงุดหงิดใจกับเรื่องนี้ เขาก็ควรจะช่วยเหลือ

    “ ข้าไม่มีอารมณ์ไปหาเรื่องสนุกทำหรอก ” ช่วงนี้ยิ่งมีเรื่องกวนใจนางหลายสิ่งเกินไป

    “ ก้อนหินของท่านไปไหนเสียหล่ะ ” ไดโอนิซัสอดที่ถามถึงบุรุษที่มักจะวนเวียนอยู่ข้างกายผู้หล่อนอยู่เป็นประจำไม่ได้ เหตุใดจึงปล่อยให้นางอารมณ์ไม่สงบอยู่เช่นนี้

    “ ฮาเดสมีงานให้ทำ ” เมื่อเช้าก็เจอหน้ากันแค่ครู่เดียวเขาก็จากไปเสียแล้ว

    “ โว้ว เช่นนั้นตำหนักรองก็เป็นที่ที่ท่านควรไป ” ตำหนักรองที่เขาหมายถึงก็คือที่พักเหล่าสวามีรองของนาง

    “ คิดว่าในหัวข้ามีแต่เรื่องนั้นหรือไร ” คำตอบที่ได้ทำเอาชายหนุ่มผมบลอนด์ต้องย่นหน้า เขาแค่ปรารถนาดีให้มีใครช่วยบรรเทาอารมณ์ของนางลงก็เท่านั้น

    “ ข้าเพียงให้ท่านไปปรึกษา ท่านคิดไปถึงไหน ” เจ้าน้องน่าตายผู้นี้ ตนยังไม่มีชายาก็แล้วไป อย่าให้ถึงคราวข้าบ้างก็แล้วกัน

    “ เจ้าเคยเคลือบแคลงในคำทำนายของอะพอลโลบ้างหรือไม่ ” คำถามที่อยู่ดีๆก็ถูกส่งมาให้โดยไม่มีการเกริ่นใดๆทั้งสิ้นเรียกสายตาของชายหนุ่มให้หันมามอง

    “ ก็มีบ้าง แต่ข้าไม่เคยเห็นเขาทายผิดซักครั้ง แต่ก็นะ คำทำนายก็เหมือนใบบอกทางถ้าแปลมันผิดๆก็อาจจะหลงได้ ทำไมอยู่ดีๆจึงเอ่ยถึงเรื่องนี่เล่า ”

    “ ก็แค่สงสัย ทำไมเทพออย่างเราๆจึงยึดถือคำทำนายนัก เจ้าไม่กลัวอะพอลโลต้มเอารึ ”

    “ ท่านก็รู้ว่าทุกครั้งที่เขาทำนายจะต้องสวมสังวาลย์แห่งความจริง ” และก็ไม่ได้ทำนายพร่ำเพรื่อ ส่วนใหญ่จะเป็นมหาเทพที่สั่งเขาได้

    “ ข้าว่าท่านเลิกคิดมากได้แล้วกระมัง โชคชะตาก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องในอนาคต สู้ท่านหาความสุขในวันนี้ไม่ดีกว่ารึ ” เมื่อเห็นท่าทีเคร่งขรึมของสตรีผู้ที่มีอายุมากกว่าก็ให้หงุดหงิดใจนัก สงครามก็ไม่มีซักหน่อย นางจะทำตัวตามสบายบ้างไม่ได้หรือไร

    เอ...บางทีอาจจะถึงเวลาที่นางจะกลับไปทำตัวเหลวไหลบ้างได้แล้วกระมัง เมื่อไม่รู้ว่าตนเองโดนปิดบังเรื่องใด เอาเวลาไปหาอะไรทำดีกว่าอย่างน้อยถ้าจะต้องดับสูญไปจะได้ไม่เสียดายนัก

    “ เอาเถอะ ข้าเบื่อหน้าเจ้าแล้ว ” อยู่ไปก็คงไม่ได้ความอันใด จึงวางแก้วในมือลงแล้วยันกายขึ้น มุ่งหน้าไปยังทางออกทันที

    “ ไม่ส่งนะ ”

    “ เอาไวน์มาส่งที่ปราสาทด้วย ” ก่อนจากไปยังไม่วายส่งเสียงหวานกลับมายังเขา และนี่ต่างหากคือเหตุผลที่นางมาหาเขาถึงที่นี้

    ว่าแล้วเชียว ท่านพี่จะมาหาเขาด้วยเรื่องอันใดได้

     

    “ ใครอยู่ตำหนักบ้าง ” เมื่อมาถึงอาณาเขตของตน ก็เอ่ยถามทหารที่เข้ามาทำความเคารพตนทันที

    “ ข้าพึ่งเห็นท่านลาร์ซที่ตำหนัก แต่ท่านอื่นข้าไม่ทราบ จะให้ข้าไปตรวจสอบหรือไม่ ขอรับ ” และบังเอิญที่ทหารผู้นี้เป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของลาร์ซพอดี แน่นอนว่าเขาจะต้องเข้าข้างนายตน ส่วนรองแม่ทัพท่านอื่นถือว่าไร้วาสนาก็แล้วกัน

    “ ไม่ต้อง ไปทำงานเถอะ ” เมื่อได้รับคำตอบจึงโบกมือไล่นายทหาร ก่อนจะหันหลังแล้วบินไปในทิศทางที่ตนต้องการ

    “ ขอรับ ” โดยไม่ทันได้เห็นร้อยยิ้มกว้างจากทหารหนุ่มด้านหลัง ข้าได้ทำเพื่อท่านลาร์ซแล้ว วันนี้ท่านจะไม่ต้องเปล่าเปลี่ยวเช่นเคย นับว่าข้าเป็นทหารที่รู้คุณยิ่ง ก่อนที่จะทำหน้าปลาบปลื้มเสียเต็มประดาจนลืมไปสนิทว่าตนนั้นกำลังจะไปทำสิ่งใด

     

    “ ท่านเบลล่า ” ทหารเฝ้ายามสองคนที่กำลังยืนทำหน้าที่อยู่ตรงทางเข้าทำความเคารพอย่างแข็งขันแก่สตรีที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา

    “ อืม เขาทำอะไรอยู่ ” ก่อนจะเดินผ่านเข้าไป หญิงสาวตัดสินใจหันไปถามบุรุษทั้งสองก่อนที่จะได้รับคำตอบที่ไม่ต่างไปจากสิ่งที่ตนคิดนัก

    “ ห้องหนังสือขอรับ ” ทั้งสองตอบกลับมาพร้อมกัน คนงามพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป ผ่านไปสักพักชายหนุ่มทั้งสองที่เดิมทียืนนิ่งสนิทค่อยๆหมุนใบหน้ามาสบตากันด้วยรอยยิ้มที่บานเป็นจานข้าวโดยที่ไม่ได้พูดสิ่งใด

     

    ก๊อกๆ

    “ เข้ามา ” เสียงหนึ่งตอบกลับมา มือเล็กจึงเปิดประตูเข้าไปแล้วปิดลง ภาพตรงหน้าทำให้หญิงสาวต้องเลิกคิ้วขึ้นและทักทายเป็นคำถาม

    “ ทำไมไม่ใส่เสื้อ ” น้ำเสียงที่ใช้หาได้มีความตำหนิไม่ ทั้งยกยิ้มขึ้นน้อยๆทว่ายังคงยืนอยู่ที่ประตูและกอดอกใช้แผ่นหลังพิงมันไว้ มองไปยังชายหนุ่มเปลือยอกที่กำลังทอดกายพิงหัวเตียงโดยมีหนังสืออยู่ในมือ และใช้สายตาเป็นประกายนั่นจับจ้องมาที่นาง

    อะไรกันในเวลาไม่ถึงชั่วโมงข้ากับต้องเห็นบุรุษเปลือยแผ่นอกถึงสองคราด้วยกันเชียวหรือ แต่ก็นะ กับไดโอนิซัสนั้นนางรู้สึกเพียงปลงและเฉยชา แต่กับชายตรงหน้านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    “ สงสัยจะรู้ว่าเจ้ากำลังมา ” เขาตอบกลับมาแล้วปิดหนังสือลง

    “ หากเป็นผู้อื่นเข้ามาเล่า ” เห็นนางเป็นเช่นนี้แต่ก็ขี้หวงมากเชียวหน่า เผลอๆอาจจะเหนือกว่าเฮร่าหลายเสียด้วยซ้ำ

    “ ตำหนักข้ามีแต่บุรุษ ” คนพูดถอนหายใจออกมาแล้วตอบเสียงเนือยๆ เมื่อหญิงสาวเหมือนจะลืมอะไรไป

     “เช่นนั้นก็ไม่ต้องใส่อะไรเลยซิ ” คำเย้าแหย่ที่ตอบกลับไปเล่นเอามือของคนที่กำลังจะวางหนังสือลงบนโต๊ะด้านข้างถึงกับชะงักไป แล้วมีหัวเราะหึหึในลำคอเบาๆ

    “ มานี่ ” เจ้าของในตาสีเขียวหม่นขยับตัวให้มีที่ว่างบนเตียงแล้วตบลงเบาๆเป็นการเชิญชวน หล่อนก็หาได้อิดออดอันใด เดินไปทิ้งกายลงแล้วหนุนไหล่หนานั่นทันที โดยที่อีกฝ่ายรอรับอยู่ก่อนแล้ว

    “ ไปโอลิมปัสมาหรือ ” เมื่อเห็นชุดที่อยู่บนกาย เขาก็พอจะเดาได้เพราะเมื่อใดที่คนในอ้อมแขนจะไปยังโอลิมปัสก็มักจะเปลี่ยนมาสวมชุดที่เป็นทางการของเทพที่มีมาแต่กาลก่อน เทพีมักจะสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวหากจะมีสีอื่นอยู่บนกายก็คงจะเป็นสีทอง เมื่อเขาถามว่าทำไมนางก็ตอบกลับมาว่าเจ้าของโอลิมปัสนั้นชอบเช่นนี้

    “ อืม อย่าพูดถึงมันเลย ” ในเมื่อนางไม่ใคร่จะชอบใจในเรื่องนี้ ลาร์ซเองก็ไม่ได้ถามต่อ แต่เลือกที่จะกระชับแขนให้แน่นขึ้น

    “ อึดอัดหรือไม่ เปลี่ยนชุดดีไหม ” เสียงบุรุษเพศดังขึ้นเหนือศีรษะแม้จะไม่ได้อ่อนหวานทว่านุ่มนวล เรียกให้ใบหน้างามเงยขึ้นไปสบตาแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน

    “ ไม่มีงานหรือไร ” นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว ร่างบางยังพลิกกายทิ้งตัวราบไปกับแผงอกหนา แล้วใช้มือเท้าคางพินิจบุรุษใต้ร่างด้วยร้อยยิ้มกรุ่มกริ่ม

    “ ข้าคิดถึงเจ้า ” ดวงตาคู่คมไม่ได้ละสายตาออกจากร่างของนางตั้งแต่หญิงสาวก้าวเข้าประตูมาแล้ว และมันกำลังส่องประกายวาววับเป็นพิเศษ ไม่ได้เกรงกลัวต่อสายตาที่มองมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ฝ่ายที่ถูกจ้องอดไม่ได้ที่จะเขินอายจนต้องยื่นมือไปบีบแก้มสากด้วยความหมั่นเขี้ยว

    ใครใช้ให้เขาปล่อยคำหวานที่แทบจะไม่เคยออกมาจากปากได้รูปนั่นมาล่ะ บุรุษปากหนักผู้นี้ชอบทำให้ใจสั่นอยู่เรื่อย

    “ เขินหรือ ” แน่ะ ยังไม่วายยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก เอวบางถูกรวบเข้าหาร่างที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดแผงออก จนตอนนี้ไม่หลงเหลือที่ว่างให้แม้แต่อากาศจะลอดผ่านไปซักเสี้ยว

    “ นี่ อย่ามาทำหน้าหื่นนะ ” หญิงสาวฟุบหน้าลงกับหน้าอกเปลือยของเขาแล้วบ่นเสียงดัง สตรีที่ใจกล้าเช่นนางยังต้องขอยอมแพ้กับเสน่ห์เหลือล้นของเขา ยิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับใบหน้าหล่อเหลาทั้งที่รอบด้านยังมีแต่แสงสว่างเช่นนี้ บวกกับแววตาที่ส่งมานั้นแทบจะเขมือบนางไปทั้งร่างอยู่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะต้องขอพักยกเกมจ้องตานี่ซักครู่

    “ ฮ่าฮ่า ” เสียงหัวเราะที่นานๆครั้งจะได้ยินดังขึ้นจนกังวานไปทั่วห้อง อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ทำให้เบลล่าใช้มือหยิกเอวที่เต็มด้วยกล้ามเนื้อไปหนึ่งที

    “ โอ้ย ฮ่าฮ่า ” แม้จะไม่รู้สึกเจ็บแต่ก็ร้องดังหน่อย ด้วยกลัวสตรีที่นานๆทีจะแสดงความเขินอายจะโมโหเข้า

    “ พอแล้ว จะขำอะไรนักหนา ” นั่นไง ใบหน้าสะคราญที่พึ่งจะเงยขึ้นมานั้นเริ่มงอง้ำเสียแล้ว ทว่ายังคงปิดความอับอายเอาไว้ไม่มิดอยู่ดี

    ไม่พบเสียนาน นี่สามีของข้าใช่หล่อเหลาขึ้นหรือไม่ เมื่อเกิดความสงสัย หญิงสาวจึงละทิ้งอาการทำตัวไม่ถูกไปสิ้นแล้วหรี่ตาลงพินิจพิเคราะห์ใบหน้าบุรุษตรงหน้าอย่างจริงจัง

    “ มีอันใดรึ ” จนผู้ที่ถูกมองเริ่มจับสังเกตท่าทีที่แปลกไปได้ มือเล็กนุ่มนิ่มนั่นยื่นมาลูบคลำใบหน้าของเขาอย่างถือสิทธิ์โดยที่ผู้เจ้าของไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ทั้งบีบทั้งแหกจนเขามึนไปหมด

    ชิ เหตุใดฟ้าจึงลำเอียงให้ขนตาเขายาวกว่าข้าเสียอีก   

    “ จำครั้งแรกที่เราเจอกันได้หรือไม่ ” อยู่ๆหญิงสาวก็เกิดนึกถึงเมื่อครั้งอดีตขึ้นมา

    “ อืม เจ้าขโมยหนังสือข้า ” เขาเงียบไปหนึ่งอึดใจแล้วเอ่ยขึ้น ทว่าคำตอบนั้นทำให้เบลล่าแค่นเสียงออกจากจมูก

    “ ก็นั่นมันภารกิจของข้า บรรณารักษ์เช่นเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ” ครั้นไขว้นึกย้อนไปตอนที่พบชายหนุ่มครั้งแรกแล้วให้นึกขันนัก บุรุษที่ซ่อนใบหน้าไว้ใต้กรอบแว่นหนาเตอะด้วยสมัยนั้นยังไม่ได้มีการพัฒนามากนัก ใครจะรู้ว่านางจะไปคว้าได้ของดีติดมือมาเสียนี่

    “ ข้าเป็นทหาร ” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าใดแล้วที่เขาต้องแย้งหญิงสาวเรื่องอาชีพของตนในยามนั้น

    “ ทหารบรรณารักษ์ ”

    ก็ใครใช้ให้วันๆเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องสมุดเล่า ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหยิบเอาตำราเวทย์ที่ตนต้องไปเอาคืนมาจากมิตินั้นกลับมาได้ ทั้งยังห้ามใช้เวทย์มนตร์อีก เพราะความนึกสนุกของโพไซดอนโดยแท้ เมื่อเห็นสตรีที่ถือสิทธิ์เหนือกายตนอยู่ตอนนี้กำลังหัวเราะคิกคักถูกใจเสียเต็มประดา เขาจึงไม่อยากจะขัดใจนัก

    มีอย่างที่ไหน มองเขาที่เปรียบเสมือนมันสมองของกองทัพเป็นเพียงบรรณารักษ์ แม้ไม่ใคร่จะออกรบนักแต่ก็มั่นใจในฝีมือตนเองมากโข นึกไม่ถึงจะติดกับสามงามผู้มาเล่ห์ผู้นี้ได้ง่ายๆ และยังยอมตามสตรีเช่นหล่อนมายังที่แห่งนี้ ทั้งที่สงครามที่นั่นยังไม่จบเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร

    “ เจ้าก็คือเจ้า ” สงสัยจะไม่ได้พบเสียนาน จึงเกิดอารมณ์หวั่นไหวขึ้นมา ลาร์ซผู้สุขุมก็ยังเป็นลาร์ซที่สุขุมเช่นเดิม รู้สึกภูมิใจยิ่งนักที่ตนสามารถไปแงะเขาออกจากกองหนังสือกลับมาที่นี่ได้ แม้ตอนนั้นเกือบจะถูกจับไปยิงทิ้งเสียหลายหนก็ตามเถอะ

    “ ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นผู้ใด หรือเจ้าลืมหน้าสามีคนนี้ไปเสียสิ้นแล้ว ” สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นดูเหมือนจะเลยเถิดไปไกลเสียแล้ว 

    การที่มาเป็นหนึ่งในสามีของนางเช่นนี้ สรุปแล้วพวกเขาต้องการหรือไม่หนอ แต่ข้าหาได้ลักพาตัวพวกเขามาเสียหน่อย แล้วก็นะ การเก็บบุรุษรูปงามไว้ข้างกายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดมิใช่รึ เรื่องอะไรจะปล่อยให้หลุดรอกไปเสียเล่า

    “ หากยังไม่เลิกเง้างอน ข้าจะสั่งให้ทหารเอาหนังสือไปเผาทิ้งเสียให้หมด ” และนางไม่ควรลืมว่ากว่าบุรุษตรงหน้าจะรอดมาอยู่ตรงนี้ได้นั้น จำต้องมีเล่ห์กลในสมองมากเพียงใดถึงได้ผ่านด่านสวามีเอกของนางมา

    “ เช่นนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าลุกไปจากเตียง ” นั่นไงล่ะ ข้าไม่น่าเอาพวกเขากลับมาที่นี่เลย มีแต่บุรุษหน้าหนาทั้งสิ้น สู้ไปหาเศษหาเลยดั่งเช่นเทพองค์อื่นน่าจะดีกว่า

    ตอนนี้แขนทั้งสองข้างก็ถูกแนบไว้ข้างลำตัว จนขยับไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่จ้องหน้าเขาอย่างมาดร้าย

    “ ทหา... ” คำพูดแค่ครึ่งคำถูกกลืนหายกลับไปในลำคอ เมื่อมีริมฝีปากอุ่นมาปิดเอาไว้เสียก่อน จูบที่มิได้หวือหวาแต่ค่อยๆปล่อยความหวานละมุนซาบซ่านออกมาอย่างช้าๆ มอบความวาบหวามหลงใหลในรสสัมผัสและความในที่สื่อออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ความคิดถึง ความทะนุถนอม ถูกอธิบายออกมาเป็นภาษากายจนหมดสิ้น เขาไม่ได้กอดรัดจนรู้สึกอึดอัดแต่คล้ายกับประคองให้นางอยู่ในอ้อมแขนไม่ให้จากไปไหน ดวงตาทั้งสี่ส่งความรู้สึกถึงกันเงียบๆ ผ่านไปหลายนาทีกว่าจะยุติลงเมื่อลมหายใจเริ่มติดขัด

    ร่างกายของของนางอ่อนยวบจนคล้ายกับไร้กระดูกไปเสียแล้ว ทำได้เพียงอิงแอบอยู่ในอ้อมอกหนาของเขา นิ้วเรียวไร้วนไปตามแผงอกขาวพลางใช้ความคิดไปถึงเรื่องหนึ่ง

    “ ลาร์ซ เจ้ามีความปรารถนาใดหรือไม่ ” น้ำเสียงใสกระจ่างเอ่ยถามขึ้นอย่างแผ่วเบาคล้ายกับกำลังรำพึงกับตนเอง จนชายหนุ่มต้องก้มลงมาสตรีที่ซบกายอยู่บนอกเขาด้วยความสงสัย

    “ เจ้าเคยรู้สึกว่าสิ่งที่ตนปรารถนามัน..ดูเลือนรางบ้างไหม ” คำพูดของหญิงสาวหยุดลงไปชั่วอึดใจก่อนจะดำเนินต่อ

    “ จนบางทีดูเหมือนมันไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่ต้น ” ก่อนที่มันจะเบาลงในประโยคสุดท้าย คล้ายกับผู้พูดยังขาดความมั่นใจที่จะเอ่ยออกมา

    “ สิ่งมีชีวิตมักจะมีความปรารถนากันทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ” มือหนายกขึ้นลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา เหตุใดวันนี้คนรักของเขาจึงดูหงอยเหงานัก แม้แต่เขาเองยังพลอยรู้สึกไปด้วย

    “ แล้วเทพเล่า จะอยากมีอายุยืนยาวไปเพื่ออะไร มองดูโลกที่เป็นไปรึ หรือเป็นหน้าที่ แต่หากองค์เก่าดับสูญก็จะมีองค์ใหม่ขึ้นมาแทน ข้าเองก็คงไม่ต่าง ซักวันคงหมดสิ้นซึ่งความปรารถนา ” ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเลือนรางไปเสียแล้ว

    “ เจ้าจะทิ้งข้าได้ลงหรือ ช่างใจร้ายนัก ” เมื่อได้ฟังคำตอบจากบุรุษที่มักจะใช้เหตุผลพูดคุยอยู่เสมอ เลือกใช่วาจาคล้ายจะหยอกเย้านาง เบลล่าจึงย่นหน้าเล็กน้อย ลาร์ซคงไม่อยากจะเห็นนางมีอาการเช่นนี้กระมัง

    “ แล้วเจ้าล่ะ มีสิ่งใดที่ปรารถนาจนทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ คงไม่พ้นอยากเก็บตำราให้ครบจากทุกมิติหรอกนะ ” ให้นึกถึงห้องเก็บหนังสือ ตำราต่างๆในตำหนักของเขาแล้วรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้านัก ห้องที่ทั้งคู่อยู่ตอนนี้เป็นเพียงห้องอ่านหนังสือเล็กๆเท่านั้น หากเทียบกับชั้นใต้ดินขนาดใหญ่ด้านล่างนี้ยังถือว่ามีไม่ถึงหนึ่งส่วนร้อยด้วยซ้ำกระมัง เวทย์มนตร์แรกที่เขาปรารถนาจะเรียนรู้เมื่อมาถึงยังดินแดนนี้ก็คือ การสร้างโถงมิติ เพื่อใช้ในการเก็บรักษาหนังสือ สุดรักสุดหวงของเขา  ซึ่งโถงมิติก็คือการสร้างมิติ หรือจะเรียกว่า ห้อง หรือ โถงขึ้นมา อาจจะมีขนาดที่แตกต่างกันไปตามความสามารถของผู้สร้าง ใช้สำหรับเก็บของเสียส่วนใหญ่ เช่นลาร์ซที่ใช้เก็บหนังสือ การที่จะเปิดทางเข้าไปอาจจะต้องให้แหวนหรือเครื่องประดับที่ลงเวทย์มนตร์เชื่อมต่อไว้ คล้ายดั่งเช่นแหวนมิติเวลานั่น

    “ สิ่งที่ข้าปรารถนานั้นชัดเจนอยู่เสมอและไม่เคยเลือนราง.. ” ทว่าสิ่งที่หญิงสาวคาดเดาดูเหมือนจะผิดถนัด เมื่อได้รับสายตาที่จริงจังขึ้นเป็นเท่าตัวมาจากเขา

    “ แล้วก็อยู่ตรงหน้าเสมอมา ” สิ้นสุดคำพูดนั้น ทำให้ผู้ฟังถึงกับเผลออ้าปากหวอ จ้องมองชายเบื้องหน้าเหมือนกับไม่เคยพบเห็นมาก่อน

    “ ช่วงนี้เจ้าไปเอาหนังสือประเภทใดมาอ่านกัน ” คำพูดคำจาเช่นนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่ยักจะเคยได้ฟังจากบุรุษผู้นี้ ทว่าปกติสามีของนางก็ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร เช่นนั้นก็มีเพียงหนังสือพวกนี้กระมังที่ทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงจนนางใจเต้นเช่นนี้

    แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นเพียงรอยยิ้มและอ้อมกอดที่โอบล้อมรอบกายสาวแทนเสียนี่ ใบหน้านวลประทับอยู่บนตำแหน่งหัวใจที่มันกำลังเต้นด้วยทำนองที่มั่นคง

    “ มีเรื่องใดให้คิดหรือ ”

     “ ซุสมีงานให้ทำ ” เบลล่ายันกายขึ้นจากแผงอกอย่างไม่ใคร่จะพอใจกับเรื่องนี้ซักเท่าไร ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมที่คลอเคลียกับใบหน้าลวกๆ ดวงตาสาดประกายดื้อดึงออกมา

    “ ไม่ใช่ว่าพักอยู่หรือ ” แม้แต่ชายหนุ่มยังต้องแปลกใจเมื่อได้รับฟัง และดูเหมือนสิ่งนี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เบลล่าไม่สงบใจนัก

    “ คำพูดของมหาเทพเคยเชื่อได้เสียที่ไหนกัน ” ใช้เหตุผลจนแทบจะนับครั้งได้ นอกนั้นก็อารมณ์และความพอใจส่วนตัวทั้งสิ้น เหอะ นิสัยของหล่อนก็ล้วนแต่มาจากพวกเขาทั้งสิ้น

    “ มีอะไรให้ช่วยหรือไม่ ” เจ้าของดวงตาสีเขียวหม่นเสนอความช่วยเหลือ แม้เขาอาจจะไม่ได้เก่งในทุกด้าน แต่ก็ต้องมีด้านที่เหนือกว่าผู้อื่น มิเช่นนั้นตนต้องตกเป็นรองจากสวามีองค์อื่นเป็นแน่

    ความห่วงใยที่ถูกส่งมาทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสะคราญ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นกังวลแทนนางเกินไปหรือไม่ แต่มันก็สร้างความอบอุ่นแก่ดวงใจของนางไม่น้อย

    “ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่เป็นตัวแทนไปสานสัมพันธ์ที่ลาซารัซ ” เบลล่าที่ตัวเล็กกว่าขยับที่ให้กับชายหนุ่มที่เปลี่ยนจากการเอนกายลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากันแทน

    “ โรงเรียน? ” เหตุใดจึงให้สตรีเช่นเบลล่าไปตรวจโรงเรียนเล่า หว่างคิ้วเข้าขมวดเข้าหากันแน่น

    หลากผู้หลากมุมมอง และในยามนี้หัวของลาร์ซกำลังคิดไปว่าโรงเรียนแห่งนั้นเต็มไปด้วยชาวหนุ่มสาวที่ยังอ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ หากนางไปในที่แห่งนั้นก็อาจจะเจอบุรุษที่มีความสามารถ แล้วถ้ามันใจกล้าหน่อยก็คงต้องมาติดพันเบลล่าเป็นแน่ แค่นึกภาพว่ารอบกายคนรักกำลังมีชายหนุ่มที่อ่อนเยาว์กว่าเขามาล้อมหน้าล้อมหลังคอยเอาใจ เส้นเลือดในสมองก็เต้นตุบๆจวนจะระเบิดอยู่แล้ว

    เช่นนั้นเขาควรจะขัดขวางดีหรือไม่

    “ นี่ เหตุใดจึงคิ้วขมวดเช่นนั้น บอกแล้วไงว่าหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ” เรียวนิ้วขาวจิ้มลงแทรกปมที่กำลังขมวดนั่นจนเขาหลุดออกจากภวังค์ ทว่าดวงตายังฉายชัดถึงความไม่พอใจอะไรบางอย่าง

    “ ให้ข้าไปทำแทนดีกว่า ”

    “ ข้านึกภาพเจ้าเสวนากับผู้อื่นไม่ออก ”

    “ องค์อื่น ”

    “ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมติดลบเช่นพวกเจ้า ขืนส่งไปมีหวังโดนตะเพิดกลับมาล่ะซิไม่ว่า ” จะว่าไปสวามีของนางแต่ละองค์ล้วนแล้วแต่เป็นพวกไม่ชอบเข้าสังคมด้วยกันทั้งสิ้น ทำไมนางไม่หาสวามีที่เป็นนักเจรจาไว้ซักองค์บ้างหนอ ทว่าบุรุษเช่นนั้นก็ไม่ใช่ประเภทที่นางหลงใหลเสียด้วยซิ

    อ่า ปัญหานี้ ช่างน่าหนักใจ ถึงว่าเจ้าพวกนั้นจึงเรียกอนาสตาเซียว่าพวกปราสาทน้ำแข็ง แม้ปราสาทและตำหนัก อาคารต่างๆมักจะมีสีน้ำเงินและขาว แต่ก็ไม่ได้ทำมาจากน้ำแข็งเสียหน่อย

    “ ที่นั่นชายหนุ่มเยอะเกินไป ” และนี่คือสิ่งที่เขาไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

    “ สตรีก็มีมากมาย ” ที่แท้ก็มาจากความหึงหวงนี่เอง

    “ เจ้าไม่ชายตามองสตรี ” เขาตอบกลับมาทันควัน จนเบลล่าแอบสะดุ้งในใจ

    “ ... ”

    ก็ใช่ หล่อนชอบมองของสวยๆงามๆ ก็จริง ทว่าหาใช่หญิงสาวแต่เป็นบุรุษ ก็ข้าเป็นสตรีนี่จะให้มองเพศเดียวกันได้อย่างไร

    “ แต่สตรีงามก็มองเพลินอยู่เหมือนกันนะ ” เอ หรือข้าจะลองนั่งมองใบหน้าสะคราญโฉมของสตรีเพศดูบ้าง อาจจะชอบก็ได้ ความคิดพิสดารต้องยุติลงเมื่อสบกับดวงตาคู่คมที่มองมาดุดุเชิงห้ามปราม

    “ เอาหน่า เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคิด ” หญิงสาวยิ้มแหยๆ ทั้งยังยกมือขึ้นตบไหล่หนาแปะๆ พยายามมองข้ามสีหน้าที่ค่อนข้างจะอึมครึมจากหนึ่งในบุรุษรูปงามของนาง

    “ พวกข้าล้วนรักเจ้า แต่ไม่ได้ต้องการให้มีใครเข้ามาเพิ่ม ” และดูเหมือนครั้งนี้ฝั่งชายหนุ่มจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆเสียแล้ว

    “ ลาร์ซ เราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วมิใช่หรือ ” นางเป็นของนางเช่นนี้ แม้จะเป็นการเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจ แต่นี่ก็คือตัวนาง ในขณะที่เอ่ยคำนี้ออกไปเทพทั้งสองไม่ได้สบตากันอยู่ ทำเพียงเบนสายตาไปโฟกัสอยู่ที่สิ่งอื่นแทน

    และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เบลล่าได้รับสายตาหรือคำพูดเว้าวอนจากปากบุรุษของนาง และแน่นอนว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน

    ความเงียบรอบด้านที่ค่อยๆโรยตัวลงมาเริ่มสร้างความอึดอัดในแต่ทั้งสอง จนเป็นฝ่ายชายหนุ่มที่ตัดสินใจเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

    “ ข้าขอโทษ ”

    “ นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ” เบลล่ารีบตอบทันควันทั้งยังส่งสายตาดุให้เขา

    ขอโทษอันใด ควรเป็นนางมิใช่หรือที่เป็นฝ่ายพูดคำนี้ และเรื่องพวกนี้นางก็ไม่ค่อยจะพอใจที่จะให้ใครเอ่ยมันขึ้นมานัก

    นางไม่ชอบเห็นท่าทีทุกข์ใจแบบนี้จากเหล่าสวามีเป็นที่สุด

    มันทำให้นาง...รู้สึกผิด

    “ คืนนี้อยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ” ผ่านไปไม่นานชายหนุ่มก็ถามขึ้นเบลล่าสัมผัสได้ถึงความเว้าวอนที่ส่งผ่านมาด้วย สลัดภาพของบุรุษผู้สุขุมก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้น เหลือเพียงแววตาและท่าทางที่ช่างดูไร้ที่พึ่งอย่างต้องการใครมาปลอบโยนนั่นมันอะไรกัน

    อ่า อย่าทำเหมือนหดหู่ใจเช่นนั้นได้หรือไม่ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจทำให้นางใจอ่อนจนเกินไป

    ให้ตายซิ

    “ อืม ” และสุดท้ายนางก็พ่ายแพ้แก่มันจนได้ซิหน่า ลาซารัสพรุ่งนี้ค่อยไปก็แล้วกัน

    ยังไม่ทันที่จะสิ้นคำตอบดีฟ้าดินก็พลิกตลบ หางตาพลันเห็นเพียงมุมปากบางของเขากระดกขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนสติกลับมาอีกที ปรากฏว่าร่างของนางอยู่ใต้อาณัติของเขาเสียแล้ว

    นี่ ดูเหมือนเขาจะร้ายกาจขึ้นด้วยหรือไม่

    ทันทีที่ตั้งตัวได้ เรียวแขนทั้งสองข้างก็ยกขึ้นคล้องที่หลังคอของเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยกศีรษะเพื่อใช้ริมฝีปากฉ่ำวาวของตนประทับที่มุบปากของเขาเบาๆคล้ายดั่งผีเสื้อโฉบผ่าน ทว่าสิ่งนี้ทำให้ ในดวงตาเขียวหม่นนั่นเพิ่มระดับความเข้มขึ้นจากเดิมหลายเท่า

    ทว่ายังไม่ทันที่ราชสีห์จะลงมือตะปบเหยื่อที่กล้าลองดี ด้านนอกก็แว่วเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเสียก่อน

    “ อะหึ่ม..ท่านเบลล่าขอรับ ” เสียงของบุรุษดังขึ้นที่หน้าประตูห้องขัดจังหวะกองเพลิงที่กำลังจะลุกไหม้ให้เบาลงชั่วขณะ เบลล่าหลุบสายตามองศีรษะของลาร์ซที่ฟุบลงหาหน้าอกนางเหมือนหมดแรง เขาหาได้ปลุกเร้าอันใดทำเพียงนอนนิ่งๆคล้ายรับรู้ถึงชะตากรรมอันใกล้ดี

    “ ว่าไง ” ฟังจากเสียงก็รู้ทันทีว่าเป็น แซก องค์รักษ์ข้างกายสุดทึ่มของนางนั่นเอง จำได้ว่าเมื่อเช้าตนพึ่งให้ทหารไปตามหมอนี่กลับมาหลังจากส่งไปช่วยงานสวามีองค์หนึ่ง

    พึ่งจะเรียกกลับมาไม่ทันไร ก็ทำหน้าที่ได้ดีจนน่าโมโหเสียแล้ว

    “ สหายทั้งสามของท่านต้องการพบขอรับ ” อีกฝากหนึ่งของบานประตูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์ จนหลายครั้งผู้เป็นนายยังอยากจะเอาน้ำผึ้งให้เขากินซักหลายถัง บางทีมันอาจจะลื่นหูขึ้นมาบ้าง

    แล้วเจ้าบ้าสามชีวิตนั่นก็นึกบ้าอะไร ถึงอยากมาเจอข้าตอนนี้

    คงไม่พ้นเรื่องซุสกระมัง เมื่อมองไปนอกหน้าต่างก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว

    “ อืม แจ้งว่าอีกเดี๋ยวข้าจะไป ” น้ำเสียงเช่นเดิมขานรับก่อนจะเงียบไป

    “ ต้องไปแล้วหรือ ” ความรัดแน่นที่เอวขอดทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว ชายหนุ่มไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เขารู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงขององค์รักษ์คู่กายนางแล้วว่าต้องมีเหตุให้ร่างหอมกรุ่นนี่จากตนไปแน่

    “ คงต้องเป็นเช่นนั้น ”

     

    “ งานเช่นนั้นข้าไม่เอาด้วยหรอก ”

    “ คิดว่าข้าอยากไปนักรึไง ”

    “ แล้วเหตุใดเขาต้องโยนงานนี้มาให้พวกเราด้วย ” เสียงของบุรุษเพศในโทนเสียงที่ต่างกันระบุได้ว่าในห้องแห่งนี้มีใครอยู่บ้าง

    “ เหตุใดนางจึงช้านัก ”

    “ ไม่ใช่ว่าเราพึ่งให้แซกไปตามมาจากตำหนักของลาร์ซหรอกรึ ”

    “ ไปตามมาในเวลานี้ เห็นทีจะหอบเอาพายุมาด้วย ”

    “ รู้ว่าจะก่อพายุแล้วยังจะกล้าเสนอหน้าเรียกข้ามาทำไม ” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ผู้พูดดังขึ้นก่อนเจ้าของจะปรากฏกายออกมาเสียอีก

    ใบหน้างามวิลาศขมุกขมัวเต็มพิกัดโผล่พ้นออกมาจากบานประตู ก่อนจะก้าวฉับๆอ้อมผ่านทุกที่นั่งไปทิ้งกายลงยังตำแหน่งประธาน โดยไม่ลืมกวาดสายตาคาดโทษไปยังผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามที่มานั่งรอในห้องอยู่ก่อนแล้ว

    “ เปลี่ยนชุดก่อนหรือไม่ ” เซนกระแอมไอสองสามที รวบรวมความกล้าเอ่ยอย่างประสงค์ดี

    อ่า แต่ดูเหมือนจะไม่ดีอย่างที่คาด เมื่อมันเป็นการเรียกสายตาประทุษร้ายมายังตนแทนเสียนี่

    “ มีอะไรก็ว่ามา อย่ามากความ ”

    “ เรื่องลาซารัส... ”

    ปัง!!

    “อย่าบอกนะว่าซุสส่งพวกเจ้ามาเร่งรัดข้า ” น่าโมโหนัก กลับมาอนาสตาเซียไม่ทันไรก็โดนจี้ให้ออกไปอีกแล้ว จะไม่ให้ข้ามีความสงบสุขกับสวามีซักวันเลยหรือไร

    หึ่มม!!

    บุรุษที่เหลือได้แต่สบตากันเหลิกหลัก เหตุใดอิซเบลล่าจึงกลายเป็นเตาเพลิงเสียแล้วเล่า

    “ ซุสเรียกพวกข้าไปคุยเรื่องการประลอง ” ยังเป็นเซนที่ทำหน้าที่เป็นผู้พูดเช่นเดิม เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ได้เอ่ยขัดอันใดนอกจากขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยทั้งยังมีดวงตาที่ส่องประกายทันทีที่ได้ยินคำว่า “การประลอง” จึงกล่าวประโยคถัดมา

    “ เขาต้องการจัดการประลองที่ลาซารัส ”

    “ คืองี้ เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าปกติแล้วเทพเจ้าจะไม่สู้กันซึ่งๆหน้าดั่งเช่นเมื่อก่อน แต่จะใช้เมืองต่างๆมาสู้กันเพื่อผลแพ้ชนะ ”

    “ ครั้งนี้ซุสอนุญาตให้สู้กันอย่างเปิดเผย โดยแบ่งเป็นสามฝ่ายคือฝ่ายที่สู้เพื่อซุส เพื่อโพไซดอน แล้วก็เพื่อฮาเดส ”

    “ แต่พวกมหาเทพไม่ได้ลงมาสู้กันเองหรอกนะ แล้วก็ไม่ใช่เทพเจ้าสู้กันเองด้วย ทว่าให้ลงแรงฝึกฝนนักเรียนในลาซารัสมาวัดความสามารถกันแทน ” ในขณะที่อธิบายไปทีละขั้นก็เฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวไปพลาง พบว่าจนถึงประโยคสุดท้ายคิ้วที่ขมวดนั่นก็ไม่ได้คลายออกแม้แต่น้อยทั้งยังดูเหมือนจะแน่นขึ้นไปอีก

    แล้วนี่เจ้าน้องชายและสหายไม่คิดจะช่วยเขาพูดเลยหรือไร ตั้งแต่เห็นหญิงสาวย่างเท้าเข้ามาในห้องก็เอาแต่นั่งสงบเป็นรูปปั้น ปล่อยให้เขาเสี่ยงชีวิตอยู่องค์เดียว

    “ แล้วที่สั่งให้ข้าไปสานสัมพันธ์อะไรนั่นล่ะ ” ผ่านไปไม่นานสตรีเพียงหนึ่งเดียวก็เอ่ยขึ้น

    “ เขาพึ่งจะเปลี่ยนใจเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ” การทำงานกับมหาเทพนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะต้องเจอกับอารมณ์ที่แปรผันเร็วยิ่งกว่าสภาพอากาศ

     “ ที่จริงแล้วเขาทะเลาะกับโพไซดอนเรื่องที่รองแก้ว จึงได้ท้าทายกันขึ้น ” ในที่สุดแฝดผู้น้องก็เอ่ยปากขึ้น เมื่อนึกถึงสงครามน้ำลายระหว่างสองมหาเทพแล้วให้ละเหี่ยใจนัก

    “ แล้วฮาเดสมาเกี่ยวอันใด ” ในเมื่อวันๆเขาแทบจะไม่ย่างเท้าออกจากใต้บาดาลด้วยซ้ำ

    “ แค่โดนนับรวมให้ครบสาม แม้แต่ตอนนี้เจ้าตัวยังไม่รู้เรื่องเสียด้วยซ้ำกระมัง แล้วพวกเราก็ถือว่าอยู่ฝ่ายฮาเดส ” มีพี่น้องเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจ้าวแห่งนรกภูมิมีชีวิตอยู่รอดมาได้อย่างไรโดยที่ไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน

    “ เช่นนั้นก็ถอนตัว ” ยังไงฮาเดสก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้อยู่แล้ว ปล่อยให้เจ้าพวกบ้าเลือดลูกหลานซุสและโพไซดอนรบรากันเองเถิด

    “ ไม่กลัวเจ้าพวกนั้นจะหมิ่นฮาเดสเอารึ ” เทพเจ้ามักเชื่อมั่นในตนเองและรู้สึกดีหากตนได้อยู่เหนือผู้อื่น และตอนนี้ก็ไม่มีสงครามให้พิสูจน์ตนเองดั่งเช่นกาลก่อน เทพยุคหลังจึงพยายามหาทางแสดงศักดาออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ถึงแม้บางครั้งมันจะดูโง่เง่าในสายตาเทพบางองค์ก็ตาม

    และด้วยลูกหลานของเทพ ทั้งอมนุษย์ หรือเลือดผสมที่เกิดใหม่ หากไม่ได้มาจากสายของซุส ก็เป็นโพไซดอน ซึ่งต่างพยายามชูคอว่าผู้ที่ตนยกย่องนั้นสูงส่งกว่า ทว่าฮาเดสที่ครองรักมั่นคงต่อชายากลับให้กำเนิดทายาทมาเพียงองค์เดียวก็คือฟินิกซ์ อ่อ แล้วยังมีเยว่เทียนอีกองค์ นอกจากนั้นก็มีเพียงผู้ที่จงรักภักดีเท่านั้น ทำให้ขาดเสียงที่จะคอยสนับสนุน ยกยอ ปกป้อง ดั่งเช่นมหาเทพทั้งสอง

    แต่จะทำอะไรก็ทำไปเถิด แต่อย่าได้ดูหมิ่นฮาเดสให้นางได้เห็นเป็นพอ

    “ เริ่มวันไหน ”

    “ พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้านัดพบกันที่ลาซารัส ” ทำไมมันช่างเร็วเช่นนี้ อยากจะตีกันจนใจจะขาดเลยหรือไร

    “ เช่นนั้นก็แวะลงไปหน่อยแล้วกัน ” แต่เวลาเช่นนั้นมันจะไม่เช้าไปหน่อยหรือ

    “ อันที่จริงการเข้าร่วมก็เป็นความคิดที่ดีอยู่นะ อย่างน้อยก็มีอะไรให้ทำ ” ซีโน่เป็นฝ่ายเสนอ

    “ ฝ่ายเราน้อยกว่าเช่นนี้ เสียเปรียบเปล่าๆ ” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยแย้ง

    “ น้อยกว่าแล้วไง มันอยู่ที่คุณภาพ ไม่ยักรู้ว่าพวกเจ้ากลัวแพ้ ” คำพูดเดียวทว่ากระทบมากกว่าหนึ่ง

    “ เสียเวลาโดยใช่เหตุ ” บุรุษผู้นั่งเงียบมาตั้งแต่เริ่ม ในที่สุดก็เคลื่อนไหว

    “ เหอะ เสียเวลา? เจ้าลองคิดให้ดี เวลานี้พวกเรามีอะไรให้ทำบ้าง ดูทหารพวกนั้นซิ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ว่างจนถึงขนาดปลอมตัวลงไปแย่งงานนักล่าค่าหัวของมนุษย์ทำแล้วรึ ไอที่เห็นบินวุ่นกันอยู่นี่ก็มีแต่งานจิปาถะทั้งนั้น ถ้าไม่เหลือเรื่องเด็กเลือดผสมให้ดูแลก็คงเหี่ยวเฉากันไปหมดแล้วกระมัง ” นั่นเขาเรียกว่าใช้เวลาให้คุ้มค่าต่างหาก

    “ ยังมีเหล่าสวามีของเจ้า หากไม่เก็บตัวฝึกฝน ก็ไม่ออกมาสุงสิงกับใคร จะมีไว้ทำไมเยอะแยะ การงานก็ไม่ได้มีมากมายเสียหน่อย ” แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้าของตำหนักรองของนางกันล่ะเนี่ย

    “ หนิ ให้มันน้อยๆหน่อย ทีเจ้ายังมากินนอนอยู่ในปราสาทข้าแล้วยังจะมีหน้ามาตำหนิติโทษข้าอีก ส่งเจ้าไปอยู่กับฮาเดสซักหลายปีดีหรือไม่ จะได้มีอะไรทำ ” เจ้านกพูดมาก บทจะพูดก็จ้อไม่หยุด น่าจับไปให้ท่านพ่อบ่มนิสัย

    “ นี่ข้าเป็นสหายของเจ้านะ ” หลังจากได้ฟังคำขู่ที่พาให้เสียวสันหลังวาบ ก็โวยวายออกมาทันที

    ให้ไปอยู่ในที่แบบนั้น เขาไม่เอาด้วยหรอก ชายหนุ่มถลึงตาใส่สหายที่ต่างพากันหัวเราะในปฏิกิริยาของเขาเมื่อบอกว่าจะให้ไปอยู่กับจ้าวนรก

    “ เอาหล่ะ รีบกันข้าวแล้วแยกย้ายไปนอน พรุ่งนี้อย่าได้สายเชียว ” แม้นางจะว่างงานก็จริง แต่การท้าทายในครั้งนี้ล้วนมีแต่เทพเจ้ายุคใหม่ทั้งสิ้น แม้นางไม่ถึงกับเป็นเทพียุคเก่าเสียทีเดียวด้วยเกิดหลังจากเทพองค์นั้นถูกโค่นลงแล้ว แต่หล่อนก็ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนจนมีตำแหน่งดังเช่นทุกวันนี้ จะให้ไปสู้กับพวกเด็กเหลือขอเหล่านั้นเห็นทีจะสิ้นเปลืองปัญญาเสียเปล่าๆ หากชนะก็เสมอตัว แต่ถ้าแพ้ แม้แต่อนาสตาเซียก็คงจะอยู่ลำบากเป็นแน่ ช่างเถอะ พรุ่งนี้ให้เกียรติไปบอกปฏิเสธก็คงไม่น่าเกลียดนัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×