ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อนาสตาเซีย แห่งการเริ่มต้น

    ลำดับตอนที่ #30 : ตอนที่ 23 ผู้สืบทอดบัลลังก์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 95
      5
      25 ก.พ. 61



    รัชทายาทแคว้นตง

    ตอนที่ 23

     

    “ กลับไปรับนางเถิด ” เสียงทุ้มลึกสายหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากอ่านจดหมายในมือจบ ส่งผลให้ร่างสูงผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีเงินก้มหัวเล็กน้อยคราหนึ่งก่อนจะเลือนหายไปจากกระโจมในชั่วพริบตา

    ทิ้งให้บุรุษในชุดเกราะเต็มยศทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเชื่องช้า ปล่อยความคิดลอยไปถึงใบหน้างามที่ตนไม่ได้พบมานานแสนนาน

    ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเต็มกายฉายความเหนื่อยล้าออกมาอย่างเห็นได้ยากนัก กองทัพของเขาเคลื่อนพลมาถึงได้เพียงสองราตรี เพิ่งจะจัดค่ายวางระบบใหม่เสร็จสิ้นเมื่อไม่นาน อันเนื่องมาจากราชโองการสายฟ้าแลบขององค์เหนือหัว จำต้องวางมือจากการปราบโจรที่ไม่มีวันหมดนั่นมาสังเกตการณ์ ณ ชายแดนเชื่อมกับแคว้นตง ทางตอนใต้ของเมืองลั่วหยางทันที พร้อมทหารใต้บังคับบัญชาสองแสนนาย แม้จะอยู่ในเมืองเดิมแต่ก็ใช้เวลาหลายวันกับการเดินทางเป็นขบวนใหญ่เช่นนี้ ยิ่งเมืองลั่วหยางนั้นครอบครองฝั่งตะวันออกของแคว้นจ้าวอันกว้างใหญ่นี่เกือบทั้งหมดแล้วด้วย

    ไม่รู้ว่าเจ้ากบฏน่าตายที่สังหารได้แม้กระทั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกันโดยไม่สนแม้ความเมตตาที่เคยได้รับแม้แต่น้อยนั้นคิดอะไรอยู่ กล้าลงมือสังหารกษัตริย์ของตนทั้งที่มีสัมพันธ์อันดีกับแคว้นของเขา ยังจะกล้าเอาทหารแค่หยิบมือนั่นมากันท่าที่ชายแดนอีก อาจหาญท้าทายอำนาจของแคว้นจ้าวได้ถึงเพียงนี้ คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง

    ทั้งอดีตกษัตริย์หนุ่มพระองค์นั้นยังเป็นสหายเก่าของสตรีเช่นโหลวฟางหรงเสียด้วย

    เหอะ ไปกินดีหมีที่ไหนมาหนอ ถึงได้มีความคิดตื้นเขินเช่นนี้ ความโลภทำให้หน้ามืดตามัวโดยแท้

    แต่ก็ดีสำหรับเขาแล้วมิใช่หรือที่จะได้พบนางในดวงใจ โอกาสเช่นนี้มีไม่บ่อยนักหรอกที่โฉมสะคราญจะมีเวลาย่างกรายมายังชายแดนถึงที่

    ใบหน้าที่เคยขาวราวกับหยกกลายเป็นสีน้ำผึ้งคร้ามแดดจากการตรากตรำอยู่ท่ามกลางกองทัพมาตลอดหลายปีปรากฏรอยยิ้มเจือจาง ทิ้งเรื่องการทหารลงแล้วเฝ้าคำนึงหาบุคคลที่อีกไม่นานก็จะมายืนตรงหน้าอีกครั้งอย่างเฝ้ารอ

     

     

    “ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วเหตุใดจึงไม่มีการณ์เคลื่อนไหวใดเลยเล่า ” เสียงแหบห้าวของคนวัยหนุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง เรียกความสนใจจากสองสตรีที่กำลังง่วนอยู่กับงานปักในมือให้เงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหนุ่มวัยเยาว์ซึ่งมีหนังสืออยู่ในมือ

    “ เรื่องราวสงบเช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ ” เป็นสตรีวัยเลยเลขสามในชุดชาวบ้านทว่าแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์วางผ้าในมือลงแล้วเอ่ยตอบ

    “ ที่นี่ยังคงสงบเงียบแต่วังหลวงคงมิได้เป็นเช่นนี้ ”

    “ เช่นนั้นเราก็อยู่เสียมันที่นี้ดีหรือไม่ ”

    แม้เวลานี้พระมารดาของเขาจะผ่ายผอมลงไปบ้าง แต่ใบหน้ากลับแต่งแต้มไปด้วยความผ่อนคลายอยู่หลายส่วน ไม่ได้แสดงความลำบากหรืออึดอัดใจออกมาให้เห็น

    “ ... ” เขาอ้าปากคล้ายจะเอ่ยวาจาใดทว่าก็หุบลง พระนางเห็นดังนั้นก็ยิ้มละมุนสนใจงานในมือต่อ

    เรื่องการเมืองเหล่านี้บอกเล่าให้เสด็จแม่ฟังไปก็รังแต่จะทำให้พระองค์ทรงเครียดเปล่าๆ ด้วยตอนเสด็จพ่อยังมีพระชนม์ชีพนั้นไม่ได้ปล่อยให้วังหลังมีพระสนมให้เสด็จแม่ได้ช่ำใจแม้นซักคนจึงไม่ได้เจอการต่อสู้แย่งชิงความโปรดปราน รวมถึงไม่ให้พระนางเข้ามายุ่งเรื่องในราชกิจให้รู้สึกระคายพระทัยแต่อย่างใด

    แค่เรื่องที่เสด็จพ่อถูกลอบปรงพระชนม์ กว่าพระนางทั้งสองจะทำใจได้ก็มิใช่เรื่องง่าย ตัวเขาเองก็ไม่ต่างนัก หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาคงจะตั้งใจศึกษาและช่วยราชกิจเสด็จพ่อให้มากกว่านี้

    ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าการปกป้องคนที่ตนรักเอาไว้มิให้ผู้ใดเข้ามารังแกได้นั้นเป็นสิ่งน่ายกย่อง คิดจะเอาพระองค์เป็นแบบอย่าง แต่มายามนี้กลับเห็นต่างและรู้สึกเสียดายยิ่งนัก เพราะการปกป้องนางเอาไว้ในอุ้งมือตลอดเวลาทำให้ปลอดภัยก็จริงแต่ถ้ามือนั้นอ่อนแรงลงแล้วเล่า คนที่อยู่ใต้ปีกของผู้อื่นตลอดเวลาจะใช้ชีวิตในโลกภายนอกได้อย่างไร ไม่คิดว่าแม้แต่พระญาติของตนยังไม่อาจไว้วางพระทัยได้

    เสด็จแม่นั้นช่างอ่อนโยนเมตตาเหลือล้น เสียเสด็จพ่อไปคงปล่อยวางทุกอย่างแล้ว เชื่อว่าหากให้พระนางปลงผมอยู่ในวัดได้ก็คงจะเลือกเช่นนั้น

    ปัจจุบันละเลยเรื่องเล็กน้อย ภายหน้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง

    หากเขาเป็นอะไรไปอีกคนแล้วสตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งสองนี้เล่าจะมีชีวิตอย่างไร เห็นทีจะต้องหาทางทำให้พวกนางเข้มแข็งกว่านี้เสียแล้ว

    เขาหาใช่คนที่ปล่อยวางความแค้นลงได้ง่ายๆ เมื่อเขามีกำลังเมื่อใด ศัตรูมันจะต้องพินาศเมื่อนั้น

    เมื่อไรสตรีคนนั้นจะมาเสียที สตรีที่เสด็จพ่อถึงกลับนับให้เป็นสหายเพียงคนเดียวของพระองค์ สตรีที่เสด็จแม่เคารพนับถือ สตรีที่ใครๆก็บอกว่านางเป็นเซียนลงมาเกิด เขาอยากจะเห็นให้เป็นขวัญตานัก ผู้คนคงไม่ได้ยกย่องกันไปเองหรอกกระมัง เด็กหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตนเอง โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคำขอของตนนั้นอาจจะไม่มีวันมาถึง

     

    เบลล่าที่มาถึงลั่วหยางทางตอนกลางและพำนักที่โรงเตี้ยมอยู่สองราตรีก็ถึงเวลาออกเดินทาง โดยไม่ต้องขึ้นไปยังหุบเขาจันทราให้ทรมานกายแล้วเพราะคนที่ต้องการพบเร่งรีบมาหาถึงที่ หญิงสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นสีดำสนิทตัดกับสีของอาชา รวมถึงหมวกปิดคลุมใบหน้า แต่ยังคงมีดาบอาบหิมะข้างกายไม่ห่าง

    ฝีเท้าม้ายังคงย่ำลงไปบนพื้นอย่างสม่ำเสมอไม่รีบร้อน มุ่งหน้าไปยังปากทางอีกด้านของป่า ตลอดเส้นทางไร้ผู้คนสัญจรดั่งเช่นการณ์ก่อน พื้นที่แถวนี้เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มไม่ได้เต็มไปด้วยหิมะเหมือนดังตอนบนของแคว้น

    ภาพเบื้องหน้าห่างไปไม่ไกล ปรากฏค่ายทหารขนาดมหึมาที่เพิ่งจะตั้งฐานเสร็จสิ้นเมื่อไม่นาน เวรยามรอบค่ายถูกจัดไว้อย่างแน่นหนามิผ่อนปรน และยังมีค่ายทหารอีกค่ายที่เล็กกว่ากำลังเริ่มตั้งกระโจมและวางกำลังไม่มากนักทว่าเป็นระเบียบ แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขาม

    ทำงานกันได้รวดเร็วเป็นที่น่าพึงพอใจยิ่งนัก มุมปากอิ่มเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ ตบเท้าคราหนึ่งส่งสัญญาณให้อาชาใต้ร่างย่างเท้าต่อ

     

    ทหารที่มีหน้าที่เฝ้ายามทางเข้าค่ายหรี่ตาลงเมื่อพบว่ามีหนึ่งอาชาหนึ่งคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้และหยุดลงเบื้องหน้าไม่ไกลนัก

    “ จงเอ่ยนามของเจ้ามา!! ” เสียงดังกังวานดังขึ้นอย่างดุดัน ทหารหนุ่มทั้งสองจับหอกในมือแน่นเตรียมลงมือเต็มที่หากผู้มาใหม่แสดงพิรุธออกมา เวลาเช่นนี้ยังมีผู้ใดกล้ามายุ่มย่ามแถวค่ายทหาร จำให้ต้องระวังเป็นพิเศษ

     

    ผู้ถูกคุกคามหาได้แตกตื่นแต่อย่างใด ใบหน้าใต้ผ้าคลุมแย้มยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจกับท่าทีตื่นตัวระวังภัยของทหารใต้บัญชายิ่งนักทั้งบรรยากาศน่าเกรงขามเป็นวงกว้างนั่นอีกเล่า อาจเป็นทหารใหม่ที่เข้ามาในหน่วยจึงจำลักษณะท่าทางของนางและดาบที่เอวไม่ได้ เพียงส่งเสียงหึในลำคอคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบออกมา พร้อมทั้งชูป้ายหยกสีครามในมือ หยกที่มีเพียงผู้เดียวที่ได้ถือครอง

     

    “ โหลว ฟาง หรง ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×