คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ 13 ฮ่องเต้ผู้หวังดี
ตอนที่ 13
ณ ท้องพระโรง มีเหล่าขุนนางยืนกันอยู่ไม่เป็นระเบียบ
บางคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรึกษาหารือ บ้างก็ยืนหลับไปทั้งอย่างนั้น
เก้าอี้ประธานตอนนี้ยังว่างอยู่ ทำให้ทุกคนยังคงปล่อยตัวตามสบาย มีหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ตอนนี้ยืนอยู่แถวหน้าสุดทางด้านขวาของบัลลังก์
นางยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นดวงตาทิ้งตัวลงเบื้องหน้าไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบกาย
และไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง
ด้วยอารมณ์ของสตรีผู้นี้เป็นที่รู้กันทั่วว่าแปรเปลี่ยนได้รวดเร็วยิ่งกว่าปลาในลำธารเสียอีก
แต่ก็ยังเหลือบตาชำเลืองมองเพื่อชื่นชมความงามที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้
" ฮ่องเต้ เสด็จ "
เสียงแหลมของขันทีดังขึ้น ทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นเงียบเสียงลง
กลับเข้าที่แล้วคุกเข่าลง
ย่อกายทำความเคารพแด่ร่างของบุรุษอายุที่ขึ้นเลขหกปลายๆแต่งกายด้วยชุดลายมังกรนั่นเดินผ่านไปยังบัลลังก์ด้านบน
เขาเหลียวมองสตรีด้านข้างบัลลังก์เลิกคิ้วอย่างฉงนกับการปรากฏตัวของนาง
ก่อนจะเดินผ่านไป
" ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี
" เสียงกล่าวขวัญดังก้องท้องพระโรง
" ลุกขึ้น "
ฝ่าบาทมีสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเอ่ยออกมา ทุกคนจึงลุกขึ้นเมื่อได้รับอนุญาต
"
วันนี้ลมอะไรหอบเจ้ามาหนอซูเซียว " สิ่งแรกที่จักรพรรดิทรงทำหาใช่ว่าราชการเลยไม่
พระองค์เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ที่ตนไว้ใจและเอ็นดูยิ่งได้มารวมอยู่ที่ท้องพระโรงด้วย
ปกติแล้วนางใคร่จะเข้าวังเสียที่ไหนเล่า
" หม่อมฉันได้ทราบมาว่าพระองค์ทรงหายจากอาการประชวรแล้วมาว่าราชการครั้งแรก
จึงอยากมาเห็นกับตาเพคะ พอได้ทราบว่าพระองค์มีพระพักตร์แจ่มใสเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจยิ่งเพคะ
" หญิงสาวหันไปประสานมือแล้วตอบพลางยิ้มแย้มออกมา
จริงๆแล้วอยากจะมาดูท่าทีของคนในราชสำนักก็เพียงเท่านั้น
" ฮ่าฮ่า
ได้เห็นเจ้าเป็นห่วงเราเช่นนี้ ให้รู้สึกอยากจะอยู่ต่อไปอีกซักร้อยปี "
ชายบนบัลลังก์หัวเราะชอบใจ
" เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่ง
หม่อมฉันจะได้รับใช้พระองค์ได้ยืนยาวออกไปอีกเพคะ " ฟางหรงยังคงประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้าเสมอ
แม้จะอยู่ในท้องพระโรงทั้งยังมีขุนนางมากมาย แต่คนทั้งสองก็สนทนากันอย่างเป็นกันเองหาได้สนใจกฎเกณฑ์ไม่
และทุกคนก็ชินชาเสียแล้ว
หลังจากนั้นก็เข้าเรื่องเคร่งเครียดขึ้นทันทีเมื่อประชุมเริ่มต้นขึ้นจนไปถึงเรื่องการศึกชายแดนทางใต้ของแคว้น
จริงซิ
ไม่รู้ว่าชายแดนฝั่งตะวันออกของแคว้นจ้าว ซึ่งซิ่นฉีสามีของนางประจำการอยู่จะเป็นเช่นไรบ้าง
แม้หลังจากศึกครานั้นแคว้นทางนั้นจะยอมเป็นพันธมิตรต่อแคว้นจ้าวส่งเครื่องบรรณาการมาสม่ำเสมอ
หากแต่ก็ยังมีกบฏเกิดขึ้นตามชายแดนอยู่เป็นประจำ ทั้งยังโจรขวัญกล้าที่ปราบยังไงก็ไม่หมดสิ้นเสียที
เป็นไปได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากแคว้นใดแคว้นหนึ่งเป็นแน่
หญิงสาวยังคงยืนนิ่งใช้ความคิด แต่ก็ยังให้ความสนใจกับข่าวสารใหม่เบื้องหน้า
"
เจ้ามีความเห็นเช่นไร โหลวจิ่นอวี้ " หลังจากฟังรายงาน จักรพรรดิก็ให้โมโหยิ่งนักหันไปถามความเห็นจากร่างสูงที่ยืนนิ่งเงียบมานาน
"
เห็นได้ชัดว่าพวกเผ่าเป่ยอี้นั้น หาได้เก่งกาจอันใด
แต่เป็นเพราะทัพของเราเองที่ปล่อยปละละเลย พวกมันอาศัยจังหวะนี้เข้าโจมตี
จนทำให้ค่ายต้องแตกพ่าย
เห็นทีกระหม่อมต้องขอให้พระองค์อนุญาตให้แต่งตั้งแม่ทัพใหม่ไปประจำการแทนแม่ทัพคนนี้เสียแล้วพะยะค่ะ
" ดวงตาเย็นเหยียบ
ฉายแววคาดโทษถูกส่งไปยังร่างของชายวัยกลางคนที่มีหน้าที่ควบคุมค่ายดังกล่าว
จนเขาอดที่จะตัวสั่นอย่างหวาดกลัวไปไม่ได้
เขาไม่น่าประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้พวกข้าศึกเข้ามากโจมตีเช่นนี้เลย
พี่น้องทหารล้มตายไปไม่น้อยเลยทีเดียว เขาทำได้เพียงก้มหน้ารับผิดเท่านั้น
"
แม่ทัพหยางเจิ้งหู เจ้ากระทำการผิดฐานปล่อยปละละเลยหน้าที่เป็นเหตุให้พี่น้องทหารล้มตาย
จนเป็นเหตุให้ถูกเจ้าพวกเป่ยอี้ยึดค่ายไป ให้ลดขั้นเป็นนายกองแต่งตั้งให้แม่ทัพหรงสวี่หลิวไปประจำการแทน
" เสียงของผู้เป็นใหญ่ของแคว้นดังกังวานไปทั่วท้องพระโรงโดยไม่มีใครกล้าขัด
ฝ่ายหยางเจิ้งหูเอง ก็ได้ก้มลงรับการลงโทษอย่างจนใจ กับความสูญเสียที่ตนเป็นสาเหตุ
"
หรงเอ๋อร์ เจ้าก็มีอายุถึงสี่สิบห้าแล้ว
แต่เจ้าก็ยังไม่มีบุตรธิดาให้เราเห็นเสียที เป็นเช่นนี้เราคงต้องพระราชทานบุรุษงามให้เจ้าซักคนสองคนเสียแล้วกระมัง
" หลังจากจบเรื่องสำคัญต่างๆไปแล้วเขาจึงหันมาถามหญิงสาวที่ตอนนี้ยังไม่ได้ออกความเห็นกับเรื่องใดทั้งสิ้น
เป็นเหตุให้ขุนนางรอบด้านตาลุกวาวขึ้นมาทันที
ในหัวพลันนึกถึงบุรุษที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเตรียมเสนอชื่อออกไปเพื่อแย่งเอาความดีความชอบกันพัลวัน
หาได้มองสีหน้าเจ้าของหัวข้อไม่ ราชครูหยางหมิงเองที่ยืนอยู่ไปไกลก็ใบหน้าดำมืดลงไปทันที
เบลล่าที่เพิ่งหายจากอาการตื่นตระหนกเหลือบตามองพี่ชายตนเอง
ซึ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามเห็นเขายิ้มหน้าบานออกมาเช่นนั้นก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้
เห็นท่าไม่ดีจึงรีบชิงปฏิเสธตัดหน้าผู้หวังดีไปเสียก่อน
"
ขอบพระทัยในความเมตตาของฟ่าบาทเพคะ แต่ขอเรียนตามความจริงฟางหรงนั้นไม่สามารถมีบุตรธิดาได้อยู่แล้ว
หม่อมฉันเองเพิ่งทราบเรื่องนี้ได้ไม่นานเพคะ
ขอพระองค์ทรงให้อภัยด้วย " นางกล่าวออกมาพลางตีหน้าเศร้ารันทด
เหล่าขุนนางที่เตรียมจะแข่งกันเสนอบุตรชายของตนพลันหุบปากฉับลงทันที
พลางมองนางด้วยความเห็นใจ ช่างน่าหดหูใจยิ่งนักสตรีผู้มีความงดงามเป็นหนึ่งเช่นนางกับไร้ทายาทให้ได้ยลโฉมความงดงามในรุ่นลูก
" ฮืมม น่าเสียดายนัก
เจ้าอย่าได้เสียใจไปนักเลย เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังขณะทำหน้าที่และท่องเที่ยวอย่างไรเล่า
แต่หากเจ้ารู้สึกเหงาก็บอกเราได้มีบุรุษที่คุณสมบัติดีพร้อมจะแต่งเข้าจวนเจ้าไม่น้อยทีเดียว
" พระองค์ตรัสเสียงเศร้า ได้สดับรับฟังความจริงที่ออกมาจากปากของธิดาของสหายรักเช่นนี้ก็ให้รู้สึกสงสารไม่น้อย
ทายาทก็มีไม่ได้ ร่างกายยังขาดธาตุหยางนานๆก็ไม่ได้ ช่างน่าหดหู่เสียจริง จึงพยายามกล่าวปลอบใจออกไปทั้งๆที่ไม่ค่อยจะได้ทำให้ใครนัก
ผู้คนในท้องพระโรงพากันส่ายหัวและถอดถอนหายใจให้กับความรันทดนี้
สตรีผู้นี้น่าสงสารเสียจริง แม้แต่โหลวจิ่นอวี้ก็เพิ่งได้ทราบเรื่องก็ตอนนี้เอง
เขาเองก็แต่งฮูหยินเข้าเรือนและรักมั่นต่อนางไม่แต่งหญิงอื่นจนนางได้ให้กำเนิดบุตรธิดาให้เขาอย่างละหนึ่งคน
เด็กทั้งสองจึงเป็นที่รักของคนทั้งจวน รวมถึงท่านอาหญิงของเด็กทั้งสองผู้นี้ที่เอ็นดูลูกของเขาเป็นพิเศษ
ที่แท้ก็เพราะตัวเองไม่สามารถกำเนิดบุตรได้นี่เอง
เขาทอดสายตามองน้องสาวผู้เป็นที่รักยิ่งของตนอย่างเห็นใจ
“ เอ่อ หม่อมฉันมีความเห็นว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลยดีกว่าเพคะ
แผ่นดินยังไม่สงบสุขตัวหม่อมฉันเองก็ยังวางใจไม่ได้ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาและขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงหรงเอ๋อร์ทราบซึ้งใจยิ่งนัก
” คนพวกนี้ก็กระไรอยู่ ข้าเข้าวังทีไรเป็นได้หาเรื่องยัดบุรุษเข้าจวนข้าอยู่เรื่อย
“ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด
แต่หากต้องการก็บอกเรา ” องค์เหนือหัวถอดถอนหายใจอย่างเสียดาย
แต่ก็ยังไม่วายเสนอให้
“ เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ ”
เมื่อฮ่องเต้เอ่ยออกมาเช่นนั้นก็หาได้มีใครกล้าขัดไม่
ฮึ่ยย เข้าวังมาครั้งนี้หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้
แค่คิดจะมาดูลาดเลาเหล่าขุนนางก็เพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าฮ่องเต้เฒ่านั้นจะสรรหาเรื่องยุ่งยากให้นางไม่เลิก
“ หรงเอ๋อร์ ” หลังจากสิ้นสุดการประชุม
บุรุษร่างใหญ่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายที่รักยิ่งของนางได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับสายตาเห็นใจยิ่ง
หยางหมิงก็มายืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวนานแล้ว
“ ท่านพี่ ” นางยอบกายพอเป็นพิธี
พลางยิ้มแย้มอย่างแสนคิดถึง ชายหนุ่มด้านหลังก็ประสานมือให้ ทั้งสามจึงออกเดินแล้วคุยกันไปพลาง
“ เรื่องลูกของเจ้า... ”
“ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย
ข้าหาได้สนใจเรื่องนั้นไม่ ยังมีหลานที่น่ารักทั้งสองคนให้ข้าได้รักเอ็นดู
ท่านพี่โปรดวางใจ ” ด้วยรู้ว่าพี่ชายตนต้องเป็นกังวลเรื่องนี้แน่
หญิงสาวจึงรีบปลอบโยนให้เขาคลายใจ ด้านหยางหมิงเองที่ทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้เอ่ยคำใด
เพียงแต่มองไปยังภรรยาของตนอย่างห่วงใย
“ เช่นนั้นพี่ก็เบาใจ จริงซิ
ที่เข้าวังวังมาครั้งนี้คงไม่ใช่แค่อยากมาร่วมประชุมหรอกกระมัง ”
เห็นน้องสาวคนงามไม่อยากให้เขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาเข้าเรื่องสำคัญทันที
เบลล่าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางเบาออกมา
สอดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบด้านที่กำลังเดินออกจากท้องพระโรงเช่นเดียวกับพวกตน
“ จริงอย่างที่ท่านคิด
แต่เอาไว้ไปหารือกันที่จวนของท่านเสนาบดีใหญ่ดีกว่านะเจ้าคะ ” หญิงสาวกล่าวอย่างทีเล่นทีจริง
แต่บุรุษทั้งสองก็เข้าใจความนัยที่นางต้องการจะสื่ออย่างแจ่มแจ้ง
เขาจึงหัวเราะเสียงเบาออกมา
“ เช่นนั้นก็คงต้องบังอาจขอเชิญองค์หญิงและพระสวามีไปเยือนจวนอันคับแคบของกระหม่อมแล้ว
” นางเล่นมาเขาเล่นกลับ แถมยังใส่ความนอบน้อมเข้าไปเสียจนเบลล่าจะหลุดขำเสียงหวานออกมาจนขุนนางหลายคนที่ลอบมองอยู่ก่อนรู้สึกตาพร่าจนเข่าแทบทรุดล้มกลิ้งไปตามขั้นบันใดเบื้องหน้าเสียหลายคน
“ ท่านโหลวฟางหรง ”
เสียงเรียกด้านหลังทำให้คนทั้งสองหยุดชะงักกายแล้วหันไปมองต้นมาของเสียง
“ ท่านฝูกงกง ”
เมื่อหันไปพบว่าเป็นขันทีชราคนสนิทของฮ่องเต้ ทั้งสามจึงก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นการให้เกียรติขันทีคนสำคัญ
ฝ่ายฝูกงกงเองก็นอบน้อมให้คนทั้งสองเป็นพิเศษ
“ ฝ่าบาทเชิญท่านทั้งสองที่ห้องทรงอักษรขอรับ
” ได้ยินดังนั้นคนทั้งสามก็สบตากันแล้วพยักหน้า
“ เช่นนั้นเชิญท่านพี่ล่วงหน้าไปก่อน
พวกข้าทั้งสองจะตามไปทีหลังนะเจ้าคะ ”
เบลล่าเพียงยิ้มบางเบาก่อนจะหันไปเอื้อนเอ่ยกับบุรุษข้างกาย
เขาเพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก้มหัวให้ฝูกงกงเชิงเป็นการบอกลาแล้วเดินจากไป
“ เชิญท่านนำทางเถิด ”
ความคิดเห็น