ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อนาสตาเซีย แห่งการเริ่มต้น

    ลำดับตอนที่ #18 : ตอนที่ 13 ฮ่องเต้ผู้หวังดี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 265
      5
      22 ก.พ. 61


    ตอนที่ 13

                     

                          ณ ท้องพระโรง มีเหล่าขุนนางยืนกันอยู่ไม่เป็นระเบียบ บางคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรึกษาหารือ บ้างก็ยืนหลับไปทั้งอย่างนั้น เก้าอี้ประธานตอนนี้ยังว่างอยู่ ทำให้ทุกคนยังคงปล่อยตัวตามสบาย มีหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ตอนนี้ยืนอยู่แถวหน้าสุดทางด้านขวาของบัลลังก์ นางยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นดวงตาทิ้งตัวลงเบื้องหน้าไม่ได้ใส่ใจสิ่งรอบกาย และไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ด้วยอารมณ์ของสตรีผู้นี้เป็นที่รู้กันทั่วว่าแปรเปลี่ยนได้รวดเร็วยิ่งกว่าปลาในลำธารเสียอีก แต่ก็ยังเหลือบตาชำเลืองมองเพื่อชื่นชมความงามที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้

    " ฮ่องเต้ เสด็จ " เสียงแหลมของขันทีดังขึ้น ทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นเงียบเสียงลง กลับเข้าที่แล้วคุกเข่าลง ย่อกายทำความเคารพแด่ร่างของบุรุษอายุที่ขึ้นเลขหกปลายๆแต่งกายด้วยชุดลายมังกรนั่นเดินผ่านไปยังบัลลังก์ด้านบน

    เขาเหลียวมองสตรีด้านข้างบัลลังก์เลิกคิ้วอย่างฉงนกับการปรากฏตัวของนาง ก่อนจะเดินผ่านไป

    " ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี " เสียงกล่าวขวัญดังก้องท้องพระโรง

    " ลุกขึ้น " ฝ่าบาทมีสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเอ่ยออกมา ทุกคนจึงลุกขึ้นเมื่อได้รับอนุญาต

    " วันนี้ลมอะไรหอบเจ้ามาหนอซูเซียว " สิ่งแรกที่จักรพรรดิทรงทำหาใช่ว่าราชการเลยไม่ พระองค์เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ที่ตนไว้ใจและเอ็นดูยิ่งได้มารวมอยู่ที่ท้องพระโรงด้วย ปกติแล้วนางใคร่จะเข้าวังเสียที่ไหนเล่า

    " หม่อมฉันได้ทราบมาว่าพระองค์ทรงหายจากอาการประชวรแล้วมาว่าราชการครั้งแรก จึงอยากมาเห็นกับตาเพคะ พอได้ทราบว่าพระองค์มีพระพักตร์แจ่มใสเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจยิ่งเพคะ " หญิงสาวหันไปประสานมือแล้วตอบพลางยิ้มแย้มออกมา

    จริงๆแล้วอยากจะมาดูท่าทีของคนในราชสำนักก็เพียงเท่านั้น

    " ฮ่าฮ่า ได้เห็นเจ้าเป็นห่วงเราเช่นนี้ ให้รู้สึกอยากจะอยู่ต่อไปอีกซักร้อยปี " ชายบนบัลลังก์หัวเราะชอบใจ

    " เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่ง หม่อมฉันจะได้รับใช้พระองค์ได้ยืนยาวออกไปอีกเพคะ " ฟางหรงยังคงประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้าเสมอ แม้จะอยู่ในท้องพระโรงทั้งยังมีขุนนางมากมาย แต่คนทั้งสองก็สนทนากันอย่างเป็นกันเองหาได้สนใจกฎเกณฑ์ไม่ และทุกคนก็ชินชาเสียแล้ว

    หลังจากนั้นก็เข้าเรื่องเคร่งเครียดขึ้นทันทีเมื่อประชุมเริ่มต้นขึ้นจนไปถึงเรื่องการศึกชายแดนทางใต้ของแคว้น

    จริงซิ ไม่รู้ว่าชายแดนฝั่งตะวันออกของแคว้นจ้าว ซึ่งซิ่นฉีสามีของนางประจำการอยู่จะเป็นเช่นไรบ้าง แม้หลังจากศึกครานั้นแคว้นทางนั้นจะยอมเป็นพันธมิตรต่อแคว้นจ้าวส่งเครื่องบรรณาการมาสม่ำเสมอ หากแต่ก็ยังมีกบฏเกิดขึ้นตามชายแดนอยู่เป็นประจำ ทั้งยังโจรขวัญกล้าที่ปราบยังไงก็ไม่หมดสิ้นเสียที เป็นไปได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากแคว้นใดแคว้นหนึ่งเป็นแน่ หญิงสาวยังคงยืนนิ่งใช้ความคิด แต่ก็ยังให้ความสนใจกับข่าวสารใหม่เบื้องหน้า

    " เจ้ามีความเห็นเช่นไร โหลวจิ่นอวี้ " หลังจากฟังรายงาน จักรพรรดิก็ให้โมโหยิ่งนักหันไปถามความเห็นจากร่างสูงที่ยืนนิ่งเงียบมานาน

    " เห็นได้ชัดว่าพวกเผ่าเป่ยอี้นั้น หาได้เก่งกาจอันใด แต่เป็นเพราะทัพของเราเองที่ปล่อยปละละเลย พวกมันอาศัยจังหวะนี้เข้าโจมตี จนทำให้ค่ายต้องแตกพ่าย เห็นทีกระหม่อมต้องขอให้พระองค์อนุญาตให้แต่งตั้งแม่ทัพใหม่ไปประจำการแทนแม่ทัพคนนี้เสียแล้วพะยะค่ะ " ดวงตาเย็นเหยียบ ฉายแววคาดโทษถูกส่งไปยังร่างของชายวัยกลางคนที่มีหน้าที่ควบคุมค่ายดังกล่าว จนเขาอดที่จะตัวสั่นอย่างหวาดกลัวไปไม่ได้ เขาไม่น่าประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้พวกข้าศึกเข้ามากโจมตีเช่นนี้เลย พี่น้องทหารล้มตายไปไม่น้อยเลยทีเดียว เขาทำได้เพียงก้มหน้ารับผิดเท่านั้น

    " แม่ทัพหยางเจิ้งหู เจ้ากระทำการผิดฐานปล่อยปละละเลยหน้าที่เป็นเหตุให้พี่น้องทหารล้มตาย จนเป็นเหตุให้ถูกเจ้าพวกเป่ยอี้ยึดค่ายไป  ให้ลดขั้นเป็นนายกองแต่งตั้งให้แม่ทัพหรงสวี่หลิวไปประจำการแทน " เสียงของผู้เป็นใหญ่ของแคว้นดังกังวานไปทั่วท้องพระโรงโดยไม่มีใครกล้าขัด ฝ่ายหยางเจิ้งหูเอง ก็ได้ก้มลงรับการลงโทษอย่างจนใจ กับความสูญเสียที่ตนเป็นสาเหตุ

    " หรงเอ๋อร์ เจ้าก็มีอายุถึงสี่สิบห้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่มีบุตรธิดาให้เราเห็นเสียที เป็นเช่นนี้เราคงต้องพระราชทานบุรุษงามให้เจ้าซักคนสองคนเสียแล้วกระมัง " หลังจากจบเรื่องสำคัญต่างๆไปแล้วเขาจึงหันมาถามหญิงสาวที่ตอนนี้ยังไม่ได้ออกความเห็นกับเรื่องใดทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ขุนนางรอบด้านตาลุกวาวขึ้นมาทันที ในหัวพลันนึกถึงบุรุษที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเตรียมเสนอชื่อออกไปเพื่อแย่งเอาความดีความชอบกันพัลวัน หาได้มองสีหน้าเจ้าของหัวข้อไม่ ราชครูหยางหมิงเองที่ยืนอยู่ไปไกลก็ใบหน้าดำมืดลงไปทันที

    เบลล่าที่เพิ่งหายจากอาการตื่นตระหนกเหลือบตามองพี่ชายตนเอง ซึ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามเห็นเขายิ้มหน้าบานออกมาเช่นนั้นก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้ เห็นท่าไม่ดีจึงรีบชิงปฏิเสธตัดหน้าผู้หวังดีไปเสียก่อน

    " ขอบพระทัยในความเมตตาของฟ่าบาทเพคะ  แต่ขอเรียนตามความจริงฟางหรงนั้นไม่สามารถมีบุตรธิดาได้อยู่แล้ว หม่อมฉันเองเพิ่งทราบเรื่องนี้ได้ไม่นานเพคะ ขอพระองค์ทรงให้อภัยด้วย " นางกล่าวออกมาพลางตีหน้าเศร้ารันทด เหล่าขุนนางที่เตรียมจะแข่งกันเสนอบุตรชายของตนพลันหุบปากฉับลงทันที พลางมองนางด้วยความเห็นใจ ช่างน่าหดหูใจยิ่งนักสตรีผู้มีความงดงามเป็นหนึ่งเช่นนางกับไร้ทายาทให้ได้ยลโฉมความงดงามในรุ่นลูก

    " ฮืมม น่าเสียดายนัก เจ้าอย่าได้เสียใจไปนักเลย เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังขณะทำหน้าที่และท่องเที่ยวอย่างไรเล่า แต่หากเจ้ารู้สึกเหงาก็บอกเราได้มีบุรุษที่คุณสมบัติดีพร้อมจะแต่งเข้าจวนเจ้าไม่น้อยทีเดียว " พระองค์ตรัสเสียงเศร้า ได้สดับรับฟังความจริงที่ออกมาจากปากของธิดาของสหายรักเช่นนี้ก็ให้รู้สึกสงสารไม่น้อย ทายาทก็มีไม่ได้ ร่างกายยังขาดธาตุหยางนานๆก็ไม่ได้ ช่างน่าหดหู่เสียจริง จึงพยายามกล่าวปลอบใจออกไปทั้งๆที่ไม่ค่อยจะได้ทำให้ใครนัก

    ผู้คนในท้องพระโรงพากันส่ายหัวและถอดถอนหายใจให้กับความรันทดนี้ สตรีผู้นี้น่าสงสารเสียจริง แม้แต่โหลวจิ่นอวี้ก็เพิ่งได้ทราบเรื่องก็ตอนนี้เอง เขาเองก็แต่งฮูหยินเข้าเรือนและรักมั่นต่อนางไม่แต่งหญิงอื่นจนนางได้ให้กำเนิดบุตรธิดาให้เขาอย่างละหนึ่งคน เด็กทั้งสองจึงเป็นที่รักของคนทั้งจวน รวมถึงท่านอาหญิงของเด็กทั้งสองผู้นี้ที่เอ็นดูลูกของเขาเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เพราะตัวเองไม่สามารถกำเนิดบุตรได้นี่เอง เขาทอดสายตามองน้องสาวผู้เป็นที่รักยิ่งของตนอย่างเห็นใจ

    “ เอ่อ หม่อมฉันมีความเห็นว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลยดีกว่าเพคะ แผ่นดินยังไม่สงบสุขตัวหม่อมฉันเองก็ยังวางใจไม่ได้ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาและขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงหรงเอ๋อร์ทราบซึ้งใจยิ่งนัก ” คนพวกนี้ก็กระไรอยู่ ข้าเข้าวังทีไรเป็นได้หาเรื่องยัดบุรุษเข้าจวนข้าอยู่เรื่อย

    “ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด แต่หากต้องการก็บอกเรา ” องค์เหนือหัวถอดถอนหายใจอย่างเสียดาย แต่ก็ยังไม่วายเสนอให้

    “ เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเพคะ ” เมื่อฮ่องเต้เอ่ยออกมาเช่นนั้นก็หาได้มีใครกล้าขัดไม่

     

    ฮึ่ยย เข้าวังมาครั้งนี้หาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ แค่คิดจะมาดูลาดเลาเหล่าขุนนางก็เพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าฮ่องเต้เฒ่านั้นจะสรรหาเรื่องยุ่งยากให้นางไม่เลิก

    “ หรงเอ๋อร์ ” หลังจากสิ้นสุดการประชุม บุรุษร่างใหญ่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายที่รักยิ่งของนางได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับสายตาเห็นใจยิ่ง หยางหมิงก็มายืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวนานแล้ว

    “ ท่านพี่ ” นางยอบกายพอเป็นพิธี พลางยิ้มแย้มอย่างแสนคิดถึง ชายหนุ่มด้านหลังก็ประสานมือให้ ทั้งสามจึงออกเดินแล้วคุยกันไปพลาง

    “ เรื่องลูกของเจ้า... ”    

    “ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ข้าหาได้สนใจเรื่องนั้นไม่ ยังมีหลานที่น่ารักทั้งสองคนให้ข้าได้รักเอ็นดู ท่านพี่โปรดวางใจ ” ด้วยรู้ว่าพี่ชายตนต้องเป็นกังวลเรื่องนี้แน่ หญิงสาวจึงรีบปลอบโยนให้เขาคลายใจ ด้านหยางหมิงเองที่ทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแต่มองไปยังภรรยาของตนอย่างห่วงใย

    “ เช่นนั้นพี่ก็เบาใจ จริงซิ ที่เข้าวังวังมาครั้งนี้คงไม่ใช่แค่อยากมาร่วมประชุมหรอกกระมัง ” เห็นน้องสาวคนงามไม่อยากให้เขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้  จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาเข้าเรื่องสำคัญทันที

    เบลล่าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางเบาออกมา สอดสายตามองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบด้านที่กำลังเดินออกจากท้องพระโรงเช่นเดียวกับพวกตน

    “ จริงอย่างที่ท่านคิด แต่เอาไว้ไปหารือกันที่จวนของท่านเสนาบดีใหญ่ดีกว่านะเจ้าคะ ” หญิงสาวกล่าวอย่างทีเล่นทีจริง แต่บุรุษทั้งสองก็เข้าใจความนัยที่นางต้องการจะสื่ออย่างแจ่มแจ้ง เขาจึงหัวเราะเสียงเบาออกมา

    “ เช่นนั้นก็คงต้องบังอาจขอเชิญองค์หญิงและพระสวามีไปเยือนจวนอันคับแคบของกระหม่อมแล้ว ” นางเล่นมาเขาเล่นกลับ แถมยังใส่ความนอบน้อมเข้าไปเสียจนเบลล่าจะหลุดขำเสียงหวานออกมาจนขุนนางหลายคนที่ลอบมองอยู่ก่อนรู้สึกตาพร่าจนเข่าแทบทรุดล้มกลิ้งไปตามขั้นบันใดเบื้องหน้าเสียหลายคน

    “ ท่านโหลวฟางหรง ” เสียงเรียกด้านหลังทำให้คนทั้งสองหยุดชะงักกายแล้วหันไปมองต้นมาของเสียง

    “ ท่านฝูกงกง ” เมื่อหันไปพบว่าเป็นขันทีชราคนสนิทของฮ่องเต้ ทั้งสามจึงก้มหัวให้เล็กน้อยเป็นการให้เกียรติขันทีคนสำคัญ ฝ่ายฝูกงกงเองก็นอบน้อมให้คนทั้งสองเป็นพิเศษ

    “ ฝ่าบาทเชิญท่านทั้งสองที่ห้องทรงอักษรขอรับ ” ได้ยินดังนั้นคนทั้งสามก็สบตากันแล้วพยักหน้า

    “ เช่นนั้นเชิญท่านพี่ล่วงหน้าไปก่อน พวกข้าทั้งสองจะตามไปทีหลังนะเจ้าคะ ” เบลล่าเพียงยิ้มบางเบาก่อนจะหันไปเอื้อนเอ่ยกับบุรุษข้างกาย เขาเพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก้มหัวให้ฝูกงกงเชิงเป็นการบอกลาแล้วเดินจากไป

    “ เชิญท่านนำทางเถิด ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×