ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny พรหมลิขิต ขีดเส้นรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : เพื่อน (สนิท) คนเก่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 129
      0
      3 ต.ค. 55

                     โอ๊ย! นี่มันจะแปดโมงแล้ว แต่ฉันกลับเพิ่งจะออกจากบ้าน ถ้าไม่เป็นเพราะฉันตื่นสาย ป่านนี้ฉันคงถึงโรงเรียนไปแล้ว และดูเหมือนฉันจะยังซวยไม่พอ เพราะฉันยังต้องมาเจอสถานการณ์รถติดอีก โดยที่ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ

                    “ลุงพลค่ะ...ช่วยขับรถให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมค่ะ? รุ้งกำลังจะไปโรงเรียนสายนะค่ะ” ฉันพูดกับลุงพล...คนขับรถที่บ้านของฉัน ท่านเป็นคนเก่าคนแก่ของที่รับใช้แม่กับฉันมานาน

                    “ไม่ได้หรอกครับคุณหนู เวลานี้เป็นเวลาที่เด็กทุกคนไปโรงเรียน รถมันก็เลยเยอะกว่าปกติ แล้วลุงก็ไม่สามารถขับเร็วกว่านี้ได้หรอกครับ”

                    “เฮ้อ~” และสุดท้าย เมื่อทำอะไรไม่ได้ ฉันจึงแต่ถอนหายใจ และยอมจำนนกับเหตุผลของลุงพลแต่โดยดี

                    สุดท้าย ฉันก็มาถึงโรงเรียนในเวลาแปดโมงครึ่ง กรี๊ด~ ถ้ามันจะสายขนาดนี้นะ ฉันรีบหยิบกระเป๋านักเรียน แล้วกำลังจะเดินเข้าไปในโรงเรียน แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณลุงพล พร้อมรีบวิ่งไปที่ห้องเรียนของตัวเองทันที

                    “ผมชื่อฟิวส์.../ ขอโทษค่ะอาจารย์” ฉันและใครอีกคนแทบจะพูดขึ้นพร้อมกัน ฉันรีบยกมือไหว้ขอโทษอาจารย์วรรณวิมล ก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้น พร้อมกับที่ใครบางคนมองมาทางฉันเช่นกัน

                    “ฟะ...ฟิวส์ / รุ้ง” เราทั้งคู่ต่างพึมพำชื่อของฝ่ายตรงข้ามด้วยความตกใจกันทั้งคู่ นัยน์ตาสีดำสนิทของเจ้าตัวฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด ก่อนที่เขาจะสาวเท้าเข้ามาหาฉันที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องเรียน พร้อมรอยยิ้มกว้าง         

                    “รุ้งเป็นไงบ้าง? ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แล้วมาเรียนที่นี่นานแล้ว          เหรอ?...” คำพูด และคำถามมากมายพลั่งพลูออกมาจากร่างสูงตรงหน้าฉัน มือใหญ่คว้ามือของฉันไปกุมไว้อย่างไม่เคอะเขิน เล่นเอาทั้งฉัน และคนในห้องถึงกับอึ้งไปตามๆกัน

                    “อะ...เอ่อ...รุ้งว่าเดี๋ยวเราค่อยคุยกันดีกว่าไหม? คือ...คนในห้องมองเราทั้งคู่กันหมดเลย” ฉันเอ่ยขึ้น พร้อมดึงมือของตัวเองออกอย่างสุภาพ ซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงยักไหล่เท่านั้น

                    “ผมขอนั่งข้างรุ้งได้ไหมครับ?” ฟิวส์หันไปถามอาจารย์ตรงๆ ทำให้ฉันอดยิ้มแหยๆออกมาไม่ได้ สามปีที่ไม่ได้เจอกันมา ฟิวส์ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ยังเอาแต่ใจตัวเองยังไง ตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น

                    “ตามใจเธอแล้วกัน” อาจารย์วรรณวิมลตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจมากนัก และดูเหมือนว่าอาจารย์จะลืมเรื่องที่ฉันมาสายด้วย ฉันจึงทำเนียนด้วยการไปนั่งที่ของตัวเอง ตามด้วยฟิวส์ที่เดินตามหลังมาด้วย

                    และดูเหมือนเรื่องมันจะไม่จบง่ายๆ เมื่อฉันมานั่งที่ของฉัน แต่มันกลับไม่มีที่สำหรับฟิวส์ เพราะอิงฟ้า และเอ็มซีนั่งข้างฉันทั้งคู่ หึๆ วันนี้ฉันยังซวยไม่พอใช่ไหม? เรื่องเยอะกันเหลือเกิน

                    “ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม?” และคนแรกที่หาเรื่องไม่ใช่ใคร แต่คือฟิวส์...ที่กำลังทำหน้านิ่งใส่เอ็มซี แม้คำพูดจะฟังดูดี แต่น้ำเสียงของเจ้าตัวนี่สิ...หาเรื่องสุดๆเลยล่ะ

                    “ถ้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ? เห็นไหมว่าฉันนั่งอยู่...มีตาก็หัดดูบ้างซิ” แต่  เอ็มซีกลับไม่ยี่หระกับสายตา และคำพูดของฟิวส์แม้แต่น้อย แถมยังมีอารมณ์มายิ้ม แล้วตอบกลับไปอย่างกวนตีนอีกต่างหาก ให้มันได้แบบนี้ซี้~

                    “ก็เห็นว่านั่งอยู่ แต่ฉันอยากนั่งตรงนี้...มีอะไรไหม?” ฟิวส์ดูเหมือนจะไม่ยอมเอ็มซีเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนเรื่องจะไม่จบง่ายๆด้วย

                    “ก็บอกว่าไม่ให้นั่งไง...”

                    “ก็ฉันจะนั่ง...”

                    “หยุดทั้งคู่นั่นแหละ ถ้ายังไม่เลิกทะเลาะกัน ก็ไม่ต้องมีใครมานั่งข้างรุ้งสักคนนั่นแหละ แล้วเป็นอะไรมากไหม...ถึงได้อยากนั่งข้างรุ้งกันมากขนาดนี้ ปีหน้าก็จะเข้ามหา’ลัยอยู่แล้ว ยังมาทำตัวเป็นเด็กๆกันอีก มันน่ารำคาญรู้ไหม?” ฉันลุกขึ้นยืน พร้อมยุติการทะเลาะกันเล็กๆของเอ็มซี และฟิวส์ด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เล่นเอาคนสองคนที่ถูกพาดพิงถึงกับเงียบไปเลยทีเดียว

                    “ใจเย็นๆน่ารุ้ง เอาเป็นว่าฟิวส์มานั่งที่รุ้งแล้วกัน เดี๋ยวอิงย้ายไปนั่งข้างๆเอ็มซีก็ได้” อิงฟ้าดึงแขนเสื้อฉัน เหมือนให้ใจเย็นลง ก่อนที่เธอจะยอมย้ายไปนั่งข้างๆเอ็มซี และให้ฟิวส์มานั่งข้างๆฉันแทน แต่ก็ยังไม่วายส่งสายตาฟาดฟันกันลับหลังฉันอีกจนฉันทนไม่ไหวอีกครั้ง

                    “นี่...เลิกทำตัวเป็นเด็กๆได้แล้ว จะข่มอีกฝ่ายไปถึงไหนกัน?” ฉันพูดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งฟิวส์ และเอ็มซีจะบุ้ยหน้าว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน “...หยุดทั้งคู่นั่นแหละ ถ้ายังไม่ยอมหยุด รุ้งจะย้ายไปนั่งที่อื่นแล้ว” ฉันยื่นคำขาด เล่นเอาคนทั้งคู่ที่นั่งประกบฉันถึงกับนิ่ง และเบือนหน้าไปทางอื่นทันที ฉันถอยหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับฟิวส์...เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน

                    “ฟิวส์เป็นไงบ้าง...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

                    “ฟิวส์สบายดี รุ้งล่ะ...เป็นไงบ้าง? ฟิวส์ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่ารุ้งเรียนอยู่ที่นี่ แล้วทำไมอยู่ดีๆรุ้งถึงได้ขาดการติดต่อกับฟิวส์ไปล่ะ?”

                    “รุ้งก็สบายดีเหมือนกัน แล้วรุ้งก็เพิ่งย้ายมาเรียนโรงเรียนนี้ เมื่อตอน ขึ้นม.ปลายนี่เอง ส่วนเรื่องที่รุ้งขาดการติดต่อ รุ้งต้องขอโทษด้วยนะ พอดีว่ารุ้งทำโทรศัพท์มือถือหายน่ะ เบอร์โทรคนอื่นก็หายไปหมด รวามทั้งเบอร์ของฟิวส์ด้วย”

                    “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ฟิวส์ก็นึกว่ารุ้งโกรธฟิวส์เสียอีก”

                    “รุ้งจะไปโกรธฟิวส์ได้ยังไง เราสองคนยังไม่เคยทะเลาะกันด้วยซ้ำ” ฉันหัวเราะน้อยๆ เมื่อเพื่อนชายที่เคยสนิทเข้าใจว่าการที่เขาขาดการติดต่อกับเขา เพียงเพราะว่าฉันโกรธเขาเท่านั้น

                    “ก็เรื่อง...” ฟิวส์เอ่ยขึ้น ก่อนจะพูดค้างไว้แบบนั้น มันทำให้ฉันรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร น่าแปลก...ที่มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                    “ฮ่ะๆ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วน่าฟิวส์ รุ้งไม่เคยโกรธฟิวส์หรอก แล้วนี่...ทำไมฟิวส์ถึงย้ายมาเรียนที่นี่ล่ะ?” ฉันหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมเปลี่ยนเรื่องทันที และดูเหมือนฟิวส์จะดูออกว่าฉันไม่อยากพูดเรื่องเก่าๆมากนัก เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องตามฉันไปด้วย

                    “ฟิวส์เบื่อๆ ก็เลยขอพ่อย้ายโรงเรียนมาน่ะ”

                    “แน่ใจเหรอว่าฟิวส์ย้ายโรงเรียนด้วยเหตุผลนี้จริงๆ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น?” ฉันถามย้อนกลับไป เมื่อฟิวส์บอกเหตุผลที่ย้ายมาที่นี่ และนั่นก็ทำให้ฟิวส์ถึงกับเงียบไปเลยทีเดียว “เรื่องผู้หญิงอีกแล้ว...ใช่ไหม?”

                    “ฟิวส์ไม่ได้ไปยุ่งกับผู้หญิงพวกนั้นก่อนสักหน่อย แต่ผู้หญิงพวกนั้นนั่นแหละ พยายามเข้าใกล้ฟิวส์ พอฟิวส์ไม่เล่นด้วย พวกเธอก็ไม่ยอม และพยายามมากเข้าหาฟิวส์มากขึ้นจนต้องมีเรื่องกันไง”

     สุดท้าย ฟิวส์ก็ยอมเล่าทุกอย่างให้ฉันฟังอย่างไม่ปิดบัง เขาคงรู้ว่าฉันรู้จักนิสัยเขาดีพอๆกับที่เขารู้จักนิสัยฉันนั่นแหละ หลายครั้งแล้วที่ฟิวส์มักจะถูกย้ายโรงเรียน เพราะไปมีเรื่องกับคนอื่น ซึ่งเหตุมันก็มาจากผู้หญิง ฟิวส์เป็นคนไม่เจ้าชู้ แถมยังเป็นคนนิ่งๆ แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของฟิวส์ที่ทำให้ผู้หญิงมากมายพยายามเข้าหาเขา ซึ่งมันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่ใช่ว่าพวกหล่อนมีแฟนแล้ว แต่ยังพยายามยุ่งกับฟิวส์แบบนี้ สุดท้าย ฟิวส์ก็ต้องไปมีเรื่องกับแฟนของพวกหล่อนจนต้องมีเรื่อง และโดนย้ายโรงเรียนแบบนี้แหละ

    “รุ้งหวังว่าฟิวส์จะอยู่ที่นี่ โดยไม่มีเรื่องที่ทำให้ฟิวส์ต้องย้ายโรงเรียนอีกรอบนะ”

    “ไม่หรอก ฟิวส์มีรุ้งอยู่ทั้งคนนี่นา”

    “อื้อ”

     

    “ฟิวส์เป็นอะไรกับรุ้งเหรอ? ทำไมดูสนิทกันจัง” อิงฟ้าถามขึ้น ในขณะที่เราทั้งสี่คนกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงอาหารของโรงเรียน น่าแปลก...ทำไมฉันถึงรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆนะ หวังว่ามันจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ

    “ฟิวส์เป็นเพื่อนเก่าของรุ้งน่ะ เราสองคนรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว แถมยังสนิทกันสุดๆเลยล่ะ” ฉันตอบคำถามของอิงฟ้า โดยเลือกที่จะไม่บอกเรื่องบางเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างฉันกับฟิวส์ให้อีกฝ่ายได้รับรู้

    “อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง” ร่างบางพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่เราทั้งสี่คนจะแยกไปซื้อข้าวกลางวันมาทาน แล้วจึงกลับมานั่งทานที่โต๊ะประจำของฉัน กับอิงฟ้า และดูเหมือนว่าลางสังหรณ์ฉันจะแม่นเหลือเกิน เพราะทันทีที่ฉันนั่งลงบนโต๊ะอาหาร...

    “ฉันจะนั่งข้างรุ้ง”

    “ฉันก็จะนั่งข้างรุ้งเหมือนกัน”

    เอ็มซีพูดขึ้น ก่อนที่ฟิวส์จะพูดขึ้นมาอีกแบบไม่ยอมแพ้ เล่นเอาอิงฟ้าถึงกับงง เพราะเธอกำลังจะเดินมานั่งข้างๆฉันเหมือนทุกที แต่ครั้งนี้กลับถูกเอ็มซี และฟิวส์จองที่นั่งไปเรียบร้อยแล้ว

    “แกไปนั่งไกลๆเลย อย่ามานั่งข้างรุ้งของฉัน”

    “รุ้งไปเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่ และคนที่ควรจะไปก็คือแก...ไม่ใช่ฉัน”

    “นี่...”

    “หยุดทั้งคู่นั่นแหละ...” ฉันตะโกนแทรกขึ้นมา เล่นเอาคนสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่ถึงกับเงียบ “...ฟิวส์...ฟิวส์ต้องย้ายโรงเรียน เหตุเพราะผู้หญิงมาหลายครั้งแล้วนะ และรุ้งก็ไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟิวส์ต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้งด้วย เอ็มซี...เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ แต่รุ้งกลับรู้สึกว่าเอ็มซีกำลังเข้าหารุ้งมากเกินไป ขอโทษนะที่รุ้งต้องพูดตรงๆ แต่คือ...รุ้งรู้สึกอึดอัดน่ะ”

    เกิดความเงียบครอบงำโต๊ะของพวกเรา คำพูดของฉันทำให้ทั้งฟิวส์ และเอ็มซีต่างนิ่ง นานหลายนาทีกว่าที่ฟิวส์จะพูดอะไรออกมา

    “ฟิวส์...ฟิวส์ขอโทษ ฟิวส์ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ฟิวส์ก็แค่...” ฟิวส์เป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น เพื่อทำลายความเงียบ แต่อยู่ๆร่างสูงกลับหยุดพูดไปเฉยๆ แต่นั่นทำให้ฉันถึงกับเบือนหน้าหนี เมื่อรู้ว่าร่างสูงหมายถึงเรื่องอะไร “...ฟิวส์รู้ว่ารุ้งเป็นห่วง ฟิวส์สัญญาว่ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

    “อื้อ” ฉันยิ้มออก เมื่อร่างสูงต่อประโยคของตัวเองจนจบ แม้ว่าบุคลิกภายนอกของฟิวส์จะดูนิ่งๆ และดูไม่ค่อยแคร์ใคร แต่เขาก็แคร์ความรู้สึกของฉันมากที่สุด

    “เอ่อ...เอ็มก็ต้องขอโทษรุ้งเหมือนกันนะที่ทำให้รุ้งอึดอัด” เอ็มซีพูดขึ้นบ้าง พร้อมก้มหัวขอโทษให้ฉันน้อยๆ

    “จ้า~” ฉันรับคำ ก่อนที่เราทั้งสี่จะลงมือทานอาหารกลางวัน และคุยกันบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนคนที่พูดมากที่สุดคงหนีไม่พ้น...เอ็มซี

     

    “วันนี้ฟิวส์ขอไปส่งรุ้งที่บ้านนะ” ร่างสูงว่า ในขณะที่เราสองคนกำลังเก็บของใส่กระเป๋า เพื่อเตรียมตัวจะกลับบ้าน

    “ไม่เป็นไรหรอกฟิวส์ เดี๋ยวลุงพลก็จะมารับรุ้งแล้ว” ฉันบอกปัด เมื่อเราทั้งคู่เดินออกมาจากห้องเรียน และฉันก็กำลังจะเดินไปรอลุงพลที่หน้าโรงเรียนเหมือนทุกครั้ง แต่ฟิวส์ก็ขัดขึ้นมาซะก่อน     

    “ลุงพลยังเป็นคนมารับ-ส่งรุ้งเหมือนเดิมเลยเนอะ” ฟิวส์ทักขึ้น พร้อมยิ้มกว้าง นั่นทำให้ฉันอดยิ้มตามไม่ได้ นั่นสินะ ลุงพลเป็นคนที่ไปรับ-ส่งฉันที่โรงเรียนมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วนี่นา “...งั้นวันนี้ฟิวส์ขอติดรถไปบ้านรุ้งด้วยได้ไหม? ฟิวส์ไม่ได้เจอแม่ศุมาตั้งนานแล้ว พอเย็นๆ ฟิวส์ค่อยให้คนที่บ้านมารับฟิวส์ที่บ้านของรุ้งก็ได้...รุ้งว่าไง?”

    “ตามใจฟิวส์เลย” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้สนใจมากนัก เพราะไม่เห็นว่ามันจะแปลกอะไรที่เขาจะไปบ้านฉัน ส่วนมาก...ฟิวส์ก็มักจะไปเที่ยวที่บ้านของฉันบ่อยๆ ตอนที่พวกเราสองคนยังอยู่ม.ต้น จนทำให้ฟิวส์สนิทกับแม่ของฉันมากๆ และท่านก็อนุญาตให้ฟิวส์เรียกท่านมาแม่ด้วย

    “สวัสดีค่ะ/ครับลุงพล” ฉันและฟิวส์ยกมือไหว้ลุงพลที่เพิ่งขับรถมาจอดที่หน้าโรงเรียน และกำลังจะเดินมาเปิดประตูให้ฉันเหมือนทุกครั้ง

    “สวัสดีครับคุณหนู เอ...นี่คุณฟิวส์รึเปล่าครับ?” ลุงพลยกมือรับไหว้เราทั้งคู่ พร้อมรับกระเป๋าของฉัน แล้วนำไปวางบนรถ

    “ใช่ครับลุงพล ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ลุงพลหล่อขึ้นนะครับ” ฟิวส์รับคำ พร้อมเอ่ยปากแซวคนแกกว่า เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่ถูกชมได้เป็นอย่างดี

    “ไม่ต้องมายอลุงหรอกครับคุณฟิวส์ ลุงก็แก่ไปตามอายุของลุงนั่นแหละ ว่าแต่คุณฟิวส์เถอะ...เมื่อก่อนเพิ่งจะตัวเท่านี้ ดูตอนนี้สิ สูงกว่าลุงเสียอีก แถมหล่อขึ้นมากอีกต่างหาก” ลุงพลว่า พร้อมทำมือว่าแต่ก่อนฟิวส์เพิ่งจะสูงเท่าหน้าอกของเขาเท่านั้น

    “ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับลุง แต่ตอนนี้ผมว่าเรากลับบ้านกันเถอะครับ ผมคิดถึงแม่ศุจะแย่อยู่แล้ว”

    “ครับๆ” ลุงพลรับคำ พร้อมกับเปิดประตูรถให้ฉันกับฟิวส์เข้าไปนั่ง ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งตรงที่คนขับ แล้วจึงขับรถออกไป

    “ทำยังกับว่าแม่ศุเป็นแม่ของฟิวส์อย่างนั้นแหละ?” ฉันพูดแซวฟิวส์ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังพูดถึงเรื่องแม่ของฉัน แถมยังเรียกท่านว่าแม่ได้เต็มปากเต็มคำ ทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี

    “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละน่า~” ฟิวส์แหย่กลับมา นั่นทำให้ฉันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่ว่าจะกลับมาเจอกันสักกี่ครั้ง เพื่อนสนิทของฉันคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

    “แล้วแม่สาล่ะ...เป็นไงบ้าง? รุ้งไม่ได้เจอท่านมาตั้งนานแล้ว” ฉันเอ่ยถามถึงแม่ของเขาบ้าง และเหตุผลที่ฉันเรียกแม่ของฟิวส์ว่าแม่ ก็เหมือนกับเหตุผลที่ฟิวส์เรียกแม่ของฉันว่าแม่นั่นแหละ

    “แม่สาก็สบายดี...” ฟิวส์ตอบกลับมา แต่ก็ยังแอบแหย่ฉันอีก “...รุ้งก็เหมือนกันนั่นแหละ เรียกแม่สาซะเต็มปากเต็มคำเชียวนะ สนใจจะมาเป็นแฟนของลูกชายแม่สาไหมครับ?”

    “บ้าน่า~” ฉันว่า พร้อมหัวเราะออกมาอีกครั้ง อยู่กับฟิวส์ทีไร มันทำให้ฉันรู้สึกมีความสุข และสบายใจที่จะอยู่กับเขาจริงๆ อาจจะเพราะเราทั้งคู่ต่างรู้ใจของอีกฝ่ายดีขนาดนี้ล่ะมั้ง~ “...แล้วฟิล์มล่ะ....สบายดีรึเปล่า? แล้วเรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเนี่ย รุ้งไม่ได้เจอฟิล์มมาตั้งนานแล้วนะเนี่ย ไม่รู้ว่าจะโตขนาดไหนแล้ว พูดแล้ว...ก็คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย” ฉันถามต่อถึงน้องชายเพียงคนเดียวของฟิวส์ที่อายุอ่อนกว่าฟิวส์ไม่กี่ปี

    “ถ้าคิดถึง...ก็มองหน้าพี่ชายไปก่อนล่ะกัน”

    “มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ?”

    “ฮ่าๆ ฟิล์มมันก็อยู่ดีกินดีเหมือนเดิมนั่นแหละ แล้วตอนนี้มันก็เพิ่งจะขึ้นม.3 เห็นว่าปีหน้ามันจะไปสอบเข้าม.4 ที่ St. Peter College น่ะ ส่วนถ้าถามว่าโตขึ้นขนาดไหนแล้ว...ไว้รุ้งไปเห็น ก็จะรู้เองนั่นแหละว่ามันโตขึ้นแค่ไหน?”

    “อื้ม...” ฉันรับคำ พร้อมพยักหน้ารับ เพราะเมื่อหลายปีก่อนที่ฉันเจอฟิล์ม เขาก็เพิ่งจะอยู่ชั้นประถมเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้จะโตขึ้นขนาดไหนแล้ว?

    “ถึงบ้านแล้วครับ...คุณหนู” ลุงพลพูดขึ้น เมื่อรถเลยเข้ามาในอาณาเขตของบ้าน ก่อนที่ลุงพลจะหยุดรถ และเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ฉันกับฟิวส์ แล้วจึงนำรถไปเก็บที่โรงรถเหมือนเดิม

    “สวัสดีค่ะ/ครับแม่” ฉัน และฟิวส์ยกมือไหว้แม่ศุวิสาที่เพิ่งเดินออกมาที่หน้าบ้าน ก่อนที่แม่ของฉันจะรับไหว้เราทั้งคู่

    “สวัสดีจ้ะ เอ...นี่ฟิวส์ใช่ไหมเนี่ย? แม่ไม่ได้เจอเราตั้งนาน โตขึ้นเยอะเลย แถมหล่อขึ้นด้วย ลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มแล้วเหรอเนี่ย?” แม่ของฉันทักฟิวส์ด้วยความเป็นกันเอง ทั้งๆที่ท่านก็ไม่ได้เจอฟิวส์มาตั้งหลายปีแล้ว

    “แม่กับลุงพลนัดกันไว้รึเปล่าครับเนี่ย? พอเจอหน้าฟิวส์ปุ๊บ ก็ทักเหมือนกันเปี๊ยบเลย” คำพูดของฟิวส์เรียกเสียงหัวเราะจากฉันและแม่ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เราทั้งสามจะเดินเข้าไปในบ้าน และนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น

    “รุ้งไปเอาคุ้กกี้ในครัวให้แม่หน่อยสิลูก แม่เพิ่งจะอบเสร็จเมื่อกี้นี้เอง” แม่ศุหันมาพูดกับฉัน ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “...ฟิวส์อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะลูก”

    “ครับแม่” ร่างสูงรับคำ ก่อนที่ฉันจะเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อเอาคุกกี้ตามที่แม่บอกไว้ แม่ของฉันเป็นคนชอบทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือหวาน และท่านก็มักจะสอนฉันให้ทำนู่นทำนี่เป็นประจำ มันเลยทำให้ฉันกลายเป็นคนที่รักการทำอาหารไปด้วยอีกคน

    “คุ้กกี้มาแล้วค่า~” ฉันเอ่ยขึ้น พร้อมกับวางจานคุกกี้ลงบนโต๊ะกระจกใสที่อยู่วางอยู่ตรงกลางของพวกเรา ก่อนจะหย่อนตัวนั่งอยู่บนโซฟาเดียวกับแม่ศุวิสา

    “อร่อยมากเลยครับ แม่ยังทำคุกกี้อร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ” เมื่อฟิวส์ทานคุกกี้ชิ้นแรกหมด เขาก็เอ่ยปากชมแม่ของฉันอย่างจริงใจ

    “ขอบใจจ้ะ แต่แม่ว่าฟิวส์ก็ยังเป็นคนปากหวานเหมือนเดิมเลย แบบนี้สาวติดตรึมแน่เลย”

    “สาวๆที่ว่านี่รวมถึงลูกสาวของคุณแม่ด้วยรึเปล่าครับ?” ฟิวส์พูดขึ้น ทำให้แม่ของฉันยิ้มออกมา พร้อมมองฉันอย่างมีเลศนัยไม่ได้

    “ทำไมแม่มองรุ้งแบบนั้นล่ะค่ะ?”

    “มองแบบไหน...แม่ก็มองลูกปกตินั่นแหละ คิดมากไปรึเปล่า?” แม่ของฉันตอบกลับมา ก่อนจะหันไปพูดกับฟิวส์อีกครั้ง “...แล้วนี่เป็นไงมาไงล่ะฟิวส์ ทำไมถึงได้ย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับยัยรุ้งได้”

    “ก็เรื่องเดิมๆล่ะครับแม่ แต่คราวนี้โชคดีหน่อย ย้ายมาเจอลูกสะใภ้ในอนาคตของแม่สาพอดี”

    “ฟิวส์ -///-” คำพูดของฟิวส์ ทำให้ฉันอดเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเข้มๆไม่ได้ ทำไมชอบล้อฉันแบบนี้อยู่เรื่อยเลยนะ แถมฉันก็ยังคงหน้าแดงเหมือนทุกครั้งเช่นกัน เฮ้อ~

    “ถ้าแม่จำไม่ผิด ฟิวส์ล้อรุ้งแบบนี้ทีไร ลูกสาวของแม่ก็จะหน้าแดงทุกที...จริงไหม?” แม่ของฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

    “แม่อ่ะ...”

    “โอเคๆ แม่ไม่ล้อแล้วก็ได้ เดี๋ยวจะหน้าแดงไปยิ่งกว่านี้อีก อ่อ...ฟิวส์ วันนี้แม่กะว่าจะทำแกงเขียวหวานไก่ ไข่เจียวปู กับกะเพรากุ้ง ของโปรดฟิวส์ทั้งนั้นเลย”

    “นี่ก็ของโปรดรุ้งเหมือนกันนะค่ะ” ฉันเอ่ยขัดขึ้น เมื่อดูเหมือนว่าแม่ของฉันจะลืมไปว่ากับข้าวพวกนี้ก็เป็นของโปรดของฉันเช่นกัน

    “จ้าๆ ก็ของโปรดของทั้งคู่นั่นแหละ”

    “ยังกับแม่รู้เลยนะครับว่าวันนี้ฟิวส์จะมาที่บ้าน ถึงได้เตรียมจะทำแต่ของโปรดของผมทั้งนั้น”

    “คงจะอย่างนั้นมั้งจ้ะ งั้นเดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวก่อนนะ รุ้งจะอยู่เป็นเพื่อนฟิวส์ หรือจะไปช่วยแม่ทำกับข้าวจ้ะ?”

    “รุ้งขอไปช่วยแม่ทำกับข้าวนะค่ะ ฟิวส์ก็...ดูทีวีรอรุ้งกับแม่ไปก่อนนะ”

    “อื้อ”

     

    “รุ้งคิดยังไงกับฟิวส์จ้ะ?” แม่ของฉันทักขึ้น ในขณะที่ท่ากำลังหั่นทำแกงเขียวหวาน ส่วนฉันกำลังล้างใบกะเพราอยู่

    “ฟิวส์ก็เป็นเพื่อนที่ดีนะค่ะ เขาคอยช่วยเหลือรุ้งมาตลอด ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง ฟิวส์ก็ยังเป็นฟิวส์ที่รุ้งเคยรู้จักเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ” แม้ว่าฉันจะรู้ว่าความหมายของประโยคที่แม่ของฉันพูดเป็นอย่างไร แต่ฉันก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และตอบคำถามของแม่ไปอีกแบบหนึ่ง

    “ลูกก็รู้ว่าแม่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น รุ้งชอบฟิวส์รึเปล่า?” แม่ของฉันพูดขึ้น ก่อนจะถามฉันอีกครั้งอย่างตรงประเด็นสุดๆ

    “ฟิวส์เป็นเพื่อนของรุ้งนะค่ะแม่ รุ้งไม่คิดกับฟิวส์แบบนั้นหรอกค่ะ”

    “แล้วถ้าฟิวส์ไม่ใช่เพื่อนของลูกล่ะ?”

    “แม่หมายความยังไงค่ะ?” ฉันเอ่ยถามขึ้น เมื่อไม่เข้าใจว่าแม่ของฉันกำลังสื่ออะไร ฟิวส์จะไม่เป็นเพื่อนของฉันได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ เขาก็ยังเป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทที่สุด

    “แม่หมายความว่าถ้าฟิวส์ไม่ใช่เพื่อนของลูกล่ะ แต่เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่รู้จักลูกดีพอ ลูกจะชอบเขาไหม?”

    “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ถึงยังไงฟิวส์ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่รุ้งสนิทที่สุดอยู่ดีนั่นแหละค่ะ”

    “ทำไมรุ้งถึงไม่ยอมให้โอกาสฟิวส์บ้าง แม่ดูแม่ก็รู้ว่าเขาคิดยังไงกับลูกของแม่” แม่ของฉันยังพยายามบอกให้ฉันเปิดใจ เช่นเดียวกับที่อิงฟ้าเคยทำ

    “ก็เพราะรุ้งรู้ไงว่าฟิวส์คิดยังไงกับรุ้ง มันเลยยิ่งทำให้รุ้งไม่กล้ามองเขาเป็นแบบอื่นได้อีก” ฉันพึมพำกับตัวเอง แต่แม่ของฉันก็ยังได้ยินอยู่ดี

    “เมื่อกี้รุ้งว่ายังไงนะ?”

    “เปล่าค่ะแม่ รุ้งก็บ่นไปเรื่อยเปื่อยล่ะค่ะ รุ้งว่าเราคุยเรื่องอื่นกันเถอะค่ะ อืม...แม่ทำงานเป็นยังไงบ้างค่ะ? ช่วงนี้งานเยอะไหมค่ะ?” ฉันเฉไฉตอบกลับไป ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ซึ่งแม่ของฉันก็คงรู้ว่าฉันไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้มากนัก จึงยอมเปลี่ยนเรื่องตามฉันไปด้วย

    ...โดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของฉันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนที่ได้ยินมากแค่ไหน...

     

    “แม่ศุครับ...ฟิวส์ขอตัวก่อนนะครับ ฟิวส์ขอโทษนะครับที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวเย็นด้วย พอดีแม่สา...มีเรื่องจะคุยกับฟิวส์อย่างด่วนเลยอ่ะครับ ฟิวส์ลานะครับ” ร่างสูงเดินเข้ามาในครัว ก่อนจะพูดประโยคนี้กับแม่ของฉัน เล่นเอาฉันถึงกับงงเลยทีเดียว ทำไมอยู่ดีๆถึงจะกลับบ้านขึ้นมาเฉยๆแบบนี้? แถมยังเอาแม่สามาอ้างอีก แม้ว่าฉันจะคิดแบบนั้น หากก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป

    “อ้าวเหรอ...ไม่เป็นไรจ้ะ ไว้วันหลัง...ถ้าฟิวส์ว่างๆก็มาทานข้าวบานแม่ได้นะ จะชวนแม่สา แล้วก็ฟิล์มมาด้วยก็ได้นะ ยังไงก็กลับบ้านดีๆนะจ้ะ”

    “ครับแม่...สวัสดีครับ” ฟิวส์รับคำ ก่อนจะยกมือไหว้ลาแม่ของฉัน แล้วจึงหันมาลาฉันเบาๆ “ฟิวส์ไปก่อนนะรุ้ง”

    “อื้อ...วันจันทร์ค่อยเจอกันนะ”

    “อื้ม”

    ฟิวส์รับคำ ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากบ้าน แม้ว่าฉันอยากจะถามว่าเขาเป็นอะไร เพราะน้อยครั้งที่เขาจะเป็นแบบนี้ ฉันรู้ว่าแม่สาไม่ได้โทรเรียกฟิวส์จริงๆหรอก ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงคิดแบบนั้น อาจจะเพราะว่าฉันรู้จักฟิวส์มากพอจนดูออกว่าเขากำลังโกหก

    “คิดอะไรอยู่ลูก เรื่องฟิวส์รึเปล่า?” แม่ของฉันเอ่ยถามขึ้น นั่นทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ฉันยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบออกไป

    “ค่ะแม่ รุ้งแค่รู้สึกแปลกๆ ฟิวส์ดูแปลกไป เหมือนกับว่าเขามีอะไรในใจ”

    “แล้วทำไมถึงไม่ถามเขาล่ะ?”

    “ไม่รู้สิค่ะ เหมือนมันไม่กล้า แล้วรุ้งก็กลัวคำตอบที่จะได้ยินด้วย” ฉันตอบแม่กลับไปตามความรู้สึกของตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไม...ฉันถึงได้รู้สึกว่าถ้าฉันถามออกไป คำตอบของเขาจะต้องมีฉันมาเกี่ยวด้วยแน่นอน

    “รู้ไหม...ว่าแม่ไม่เคยเห็นรุ้งแคร์ผู้ชายคนไหนมากขนาดนั้นเลยนะ” แม่ศุวิสาว่า ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวฉันเบาๆ

    “ก็ฟิวส์เป็นเพื่อนที่รุ้งสนิทที่สุดนี่ค่ะ” ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูร่าเริง แต่คำพูดต่อมาแม่นี่สิที่ทำให้ฉันถึงกับ...นิ่ง

    “แค่เพื่อน...จริงๆน่ะเหรอ?”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×