คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความริษยา
ตอนที่ 4 ความริษยา
“พระราชโองการ แต่งตั้ง หวังหลินเยว่ ให้เป็นพระชายาเต๋อเฟย” ขันทีอ่านพระราชโองการ ทันทีที่อ่านจบ สนมที่เดินผ่านอุทยานพอดีได้ยิน จึงหันมองหน้า หวังหลินเยว่ อย่างริษยา
“ไม่ประทานตำหนักของพระชายาด้วย ได้ข่าวว่าให้อยู่ในตำหนักของฝ่าบาทเลยหรอ” เสียงพูดคุยระหว่างสนมขั้นต่างๆ ดังขึ้น “นางเพิ่งเข้ามาเป็นนางกำนัลได้แค่ 5 วัน แล้วทำไมได้ขึ้นเป็นพระชายาเต๋อเฟยแล้วล่ะ”
“นั่นสิ แถมไม่มีตำหนักให้อยู่ อยู่ด้วยกันกับฝ่าบาทตลอด แล้วฝ่าบาทจะเสด็จตำหนักไหนได้ล่ะ”
สนมต่างๆ พากันเดินเข้าไปหา หวังหลินเยว่
“ถวายบังคมเพค่ะพระชายาเต๋อเฟย” พระสนมเสิ่นเหม่ยอิงซึ่งดำรงตำแหน่งพระสนมฉงหรง ได้กล่าวทักทาย
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเพค่ะ หม่อมฉันเป็นพระสนมฉงหรง ชื่อ เสิ่นเหม่ยอิงเพค่ะ ถ้าพระชายามีสิ่งใดให้รับใช้โปรดสั่งการได้นะเพค่ะ หม่อมฉันยินดีอย่างยิ่งเพค่ะ” นางกล่าวพรางกำมือแน่น จนเล็บจิกเข้าฝ่ามือเลือดซึมฝ่ามือ ด้วยความคับแค้นใจปนความริษยา
“ข้าขอบใจเจ้ามากที่จะคอยช่วยเหลือข้า แต่ข้ายังไม่มีสิ่งใดให้ช่วยเหลือ พวกเจ้ากลับตำหนักเถิด ข้าจะกลับตำหนักไปพักผ่อน” หวังหลินเยว่เอ่ยพลางลุกขึ้นเดินไปยังตำหนักเมฆาพยัคฆ์ ของจักรพรรดิหนุ่ม
“เห็นไหม นางเดินไปตำหนักเมฆาพยัคฆ์ ไม่เคยมีหญิงใดได้เข้าพักตำหนักฝ่าบาทมาก่อน นางเป็นคนแรก”
เหล่าสนมพูดคุยกัน เสิ่นเหม่ยอิง มองตามไปยังตำหนักเมฆาพยัคฆ์ ในใจครุ่นคิดแผนการบางอย่าง
“ข้าได้ข่าวว่าเหล่าสนมมาอวยพรเจ้า และแสดงความยินดีในตำแหน่งของเจ้า” จักรพรรดิหนุ่มพูดพลางเดินเข้ามาในห้องนอนที่หวังหลินเยว่นั่งเกยคางอยู่ที่โต๊ะ
“เพค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันเบื่อที่ต้องคอยรับหน้า ปั้นหน้ายิ้มแย้ม ทั้งๆที่ในใจไม่ใช่เลย”
“เพราะเรื่องที่เจ้าเคยบอกข้าใช่หรือไม่ ว่าเจ้าทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นคนที่เจ้ารักไปมีผู้หญิงคนอื่นมากมายหลายคน ใช่หรือไม่” จักรพรรดิหนุ่มเอ่ยถาม
“ใช่เพค่ะ หม่อมฉันยังทำใจไม่ได้ ที่ต้องเห็นผู้หญิงหลายคนต้องผิดหวัง และรอคอยฝ่าบาทให้เสด็จไปหาทั้งๆที่หม่อมฉันอยู่ในตำหนักของฝ่าบาท” จักรพรรดิเดินไปอยู่ข้างกายของหวังหลินเยว่ แล้วโอบเอวบางๆ และดึงรั้งเข้ามากอดไว้อย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องคิดมาก อย่างที่ข้าเคยบอก ผู้หญิงพวกนั้นเป็นเพียงแค่บุตรสาวของขุนนางที่ถวายตัวมาเป็นสนมทั้งนั้น ไม่เคยมีใครที่ข้ารักอย่างจริงจังเช่นเจ้า ข้ารักเจ้า ตั้งแต่วันที่เราจากกันที่โรงเตี๊ยม ข้าก็หวังตลอดว่าจะส่งคนไปที่บ้านเจ้า เพื่อไปรับเจ้ามาอยู่ด้วย แต่แล้วเจ้าก็เข้ามาหาข้าจนได้ ข้าคิดกับตัวเองว่าข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปอีก ความรู้สึกมันทรมานมาก ที่ต้องเฝ้าคิดถึงแต่เจ้า”
น้ำตาของหวังหลินเยว่ไหลอาบแก้มทั้งสองด้วยความตื้นตัน จักรพรรดิหนุ่มยกมือข้างนึงที่โอบกอดเอวนางไว้ขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม มือเช็ดทั่วแก้มเนียนสีชมพู เลื่อนลงมาหยุดตรงริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อ เขาจึงก้มลงจุมพิตด้วยความรักที่แสนดูดดื่ม แล้วใช้มือทั้งสองช้อนร่างนางขึ้นมาอุ้มแนบกาย เดินตรงไปยังเตียง บรรจงวางร่างแบบบางของนางลงอย่างอ่อนโยน แล้วประทับรอยจูบจากริมฝีปาก เลื่อนลงไปยังซอกคอเรื่อยมาจนถึงเนินอกขาวอวบอิ่ม มือทั้งสองลูบไล้บนเนินขาเรียวขาว ทั้งสองกอดก่ายกันและกันด้วยอารมณ์อันเร่าร้อน และบรรยากาศที่เงียบสงัดในยามราตรีกาล
แสงอาทิตย์รุ่งเช้าส่องกระทบใบหน้าของหวังหลินเยว่ที่นอนหนุนแขนซบอกอบอุ่นของจักรพรรดิหนุ่ม ตาทั้งสองของนางลืมขึ้น ค่อยๆหันมองใบหน้าของจักรพรรดิหนุ่มผู้ซึ่งหน้าตาหล่อเหลา ประหนึ่งเทพบุตร “จะจ้องหน้าข้าอีกนานไหม” จักรพรรดิหนุ่มหลี่ตามองหน้างดงามของนางที่จ้องหน้าของเขาอยู่ นางก้มหน้าแดงก่ำลงซบอกเปล่าเปลือยของจักรพรรดิหนุ่ม พร้อมทั้งสวมกอดอีกครั้ง จักรพรรดิหนุ่มกอดตอบด้วยท่าทางนุ่มนวล
“กรี๊ดๆๆๆๆ” หลังจากทั้งสองลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว หวังหลินเยว่ร้องดังลั่นขณะกำลังเก็บที่นอน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ชายาของข้า”
“เลือด..เลือดเต็มที่นอนเลยเพค่ะ ฝ่าบาทบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าเพคะ” จักรพรรดิหนุ่มยิ้มละมุนปนหัวเราะ “ไม่ใช่ของข้าหรอก ของเจ้าต่างหากที่รักของข้า”
“ของข้า... แต่ข้าเพิ่งจะหมดรอบเดือนไป 10 วันแล้วนะเพค่ะ” จักรพรรดิหนุ่มไม่โต้ตอบ โอบเอวนางเข้ามาชิด แล้วกระซิบข้างหู “ข้าดีใจที่ได้เป็นคนแรกของเจ้า” แล้วก้มลงจุมพิตริมฝีปากเบาๆ ก่อนหมุนกายเดินออกนอกห้องเพื่อไปยังท้องพระโรง
ในเวลาต่อมา หวังหลินเยว่นั่งทอดสายตาไปยังดอกไม้งามและบ่อน้ำที่อุทยาน เสียงฝีเท้ากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ข้างหลัง “ถวายบังคมเพค่ะ พระชายา” เสียงเสิ่นเหม่ยอิงดังขึ้น “ตามสบาย”
“หม่อมฉันจะมาชวนพระชายาไปสวดมนต์ที่วัดเพค่ะ” สายตาของนางจ้องมองหน้าของ หวังหลินเยว่ อย่างรอคอยคำตอบ “ได้สิ ไปกันเมื่อไรล่ะ” หวังหลินเยว่ไม่ทันได้คิดอะไร คิดเพียงแค่ไปทำบุญสวดมนต์ให้เรื่องร้ายๆผ่านพ้นไปบ้างก็ดี จึงตกปากรับคำ “ไปวันนี้เลยเพค่ะ หม่อมฉันเตรียมรถม้าไว้แล้ว” ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังประตูวังเพื่อจะขึ้นรถม้า ระหว่างนั้น ชุ่ยเหยียงหลี่ เดินตรวจตราทหารยามอยู่ในวังผ่านมาเห็นพอดี จึงได้เอ่ยถามขึ้น “พระชายาจะเสด็จที่ใดหรือพะยะค่ะ” หวังหลินเยว่ได้ยินจึงกล่าวตอบ “ไปสวดมนต์กับพระสนมเสิ่นเหม่ยอิง” องครักษ์หนุ่มงงงันเล็กน้อย นางเดินขึ้นรถม้า จากนั้นรถม้าก็แล่นออกนอกวังไป
ระหว่างการเดินทางมาไกลพอสมควร “กึ๊กๆๆๆๆๆ” “เสียงดังอะไรกัน!” หวังหลินเยว่ตะโกนถามคนขับรถม้า แต่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับ นางจึงเปิดผ้าม่านดู พบว่ารถม้าไม่มีคนขับ ม้าที่นำอยู่ข้างหน้าก็หายไป เหลือแค่ที่นั่งที่นางนั่ง ล้อทั้ง 4 กำลังลาดลงจากทางลาดชันไปด้วยความเร็ว “ช่วยด้วยๆๆ” นางตะโกนเสียงดัง แต่แถวนั้นเป็นเขาชัน ไม่มีใครอาศัยอยู่ ด้วยความกล้าๆ กลัวๆ นางตัดสินใจกระโดดลงจากรถม้า ร่างกายไถลและกลิ้งลงมายังพื้นดินก่อนจะสลบไปนางได้ยินเสียงเสียงการต่อสู้ดังขึ้นไม่ห่างจากที่นางอยู่ ฝีเท้ามาหยุดยืนข้างๆนางจากนั้นสติของนางก็ดับวูบไป
ความคิดเห็น