ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกรักข้ามกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #3 : ความในใจ

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 58


    ตอนที่ 3 ความในใจ

                    ค่ำคืนที่ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า หวังหลินเยว่นอนไม่หลับเนื่องจากคิดเรื่องที่ เสี่ยวฟาง นางกำนัลคนสนิทเล่าให้ฟังเรื่องพระสนมในวังหลวง ที่ได้ปรนนิบัติฝ่าบาทเพียงวันเดียว แล้วก็ไม่ทรงเสด็จหาอีกเลย พระสนมจึงได้คบชู้ เรื่องนี้ได้โจษจันไปทั่ววัง เหมือนเป็นเรื่องเคยชินของคนในวัง ซึ่งไม่ได้มีแค่สนมคนเดียว แต่ทำกันมาหลายต่อหลายรุ่น “เฮ้อ ฮ่องเต้มักมากในรักทุกคนหรือไม่นะ” หวังหลินเยว่นั่งอยู่ที่ศาลากลางอุทยานพร้อมทั้งแหงนมองดวงดาว ฉับพลันนั้นมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ “นอนไม่หลับหรอกหรือ” จักรพรรดิหนุ่มนั่นเอง “ข้ากำลังคิดอะไรหลายอย่าง จึงนอนไม่หลับ แล้วท่านล่ะ ทำไมยังไม่นอน”

     “ข้าก็คิดอะไรหลายอย่าง จึงนอนไม่หลับ เจ้าอยากระบายให้ข้าฟังไหมว่าเจ้าคิดมากเรื่องใด”

    “ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่พระสนมในวังคบชู้ และก็กำลังคิดว่า ทำไมฮ่องเต้จึงมีผู้หญิงมากมาย ไม่รู้จักพอ ถ้าเป็นข้า ข้าไม่ขอเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้เป็นอันขาด ข้าไม่อยากแก่งแย่งกับใคร และข้าคงทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นคนที่ข้ารัก ไปมีผู้หญิงคนอื่นมากมายหลายคน”  จักรพรรดิกลืนน้ำลาย และรู้สึกจุกหน้าอกเหมือนโดนคำพูดกรีดแทงใจ นางพูดถึงเขาในทางไม่ดี และยังพูดเชิงตัดเยื้อใย ซึ่งในใจเขากำลังคิดจะรับนางมาเป็นสนม แต่แล้วคำพูดของนางทำให้เขาได้ทบทวนและเอ่ยขึ้นกับนางว่า “ฮ่องเต้ไม่ใช่คนมากรัก แต่เพระขุนนางต่างๆ หวังในตัวบุตรสาวจึงได้ส่งมาเป็นสนมในวัง เพื่อให้ตัวเองพึ่งพาลูกสาวได้ แต่ตำแหน่งพระมเหสีหรือพระชายาก็ยังไม่มีใครที่ฮ่องเต้จะแต่งตั้งหรือสนพระทัยในตัวหญิงใด”

    “หรือว่าข้าจะมองฮ่องเต้ผิดไป ข้านึกว่าสนมทั้งหลาย ฮ่องเต้เป็นคนเลือกมาด้วยพระองค์เองทั้งนั้น”

    “เจ้ายังไม่รู้จักฮ่องเต้ดีพอ ต่อจากนี้เจ้าคงจะได้รู้จักฮ่องเต้มากขึ้น เจ้าสบายใจขึ้นหรือไม่”

    “ข้าสบายใจขึ้นแล้ว นั่นดาวตกนี้! ข้าขออธิษฐานก่อนนะ” หวังหลินเยว่ประสานมือไว้ที่หน้าอก หลับตาพริ้ม พร้อมทั้งอธิษฐานในใจ ขอให้ข้าได้กลับไปยังที่ที่ข้าจากมาด้วยเถิด’

    “เจ้าอยากฟังเรื่องของฮ่องเต้หรือไม่”

    “อยากฟังสิ เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังหรือ” จักรพรรดิหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับเล่าเรื่องราวของตนให้นางฟัง จนเวลาผ่านพ้นไป “เจ้าเข้าใจฮ่องเต้ดีขึ้นหรือยัง” เขาถาม แต่ไม่มีเสียงตอบแต่อย่างใด เขาจึงหันหลังไปมอง นางฟุบหลับกับโต๊ะไปเมื่อใดไม่รู้ เขามองหน้างดงามยามหลับของนาง ใบหน้าที่สะท้อนแสงจันทร์ งดงามราวกับแสงจันทร์สะท้อนกับพื้นน้ำ เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากของนางเบาๆ เพราะไม่อยากให้นางตื่น “อื้อ” นางมีเสียงละเมอออกมา จนจักรพรรดิหนุ่มตกใจ แล้วเขาจึงช้อนร่างแบบบางของนางขึ้นไว้ในอ้อมแขนกำยำ แข็งแกร่งของเขา ใบหน้านางเอียงซบอกของเขา จักรพรรดิหนุ่มจึงนำนางเดินกลับตำหนักของเขาเพราะไม่รู้จะไปยังที่พักของนางกำนลดีหรือไม่ พอเดินมาถึงหน้าตำหนัก องครักษ์หนุ่มคนสนิทสีหน้าถอดสี

    “ฝ่าบาท ทรงทำอะไรนางพะยะค่ะ”

    “ชู้ว์ๆๆ เบาเสียงเจ้าหน่อยเถิด เปิดประตูห้องสิ” สิ้นเสียงจักรพรรดิ องครักษ์คนสนิทจึงต้องยอมเปิดประตูอย่างหัวเสียและตกใจที่เห็นจักรพรรดิอุ้มร่างของหญิงสาวมายังตำหนักในยามค่ำคืนเช่นนี้ โดยไม่ห่วงว่าวันรุ่งขึ้นนางจะโดนนินทาว่าร้ายหรือใช้ชีวิตในวังได้อย่างสงบสุขต่อไปหรือไม่

                    แสงอาทิตย์ยามเช้า เสียงนกร้องเจื้อยแจ่ว หวังหลินเยว่ลืมตาตื่นขึ้น มองไปรอบห้อง แล้วรีบลุกขึ้นเปิดประตูห้องก้าวเท้าออกจากห้องนอนไปอย่างมึนงง นึกสงสัยว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหน หน้าตำหนักมีนางกำนัลมากมายและองครักษ์หลายคนยืนอยู่ที่ประตู “จะรีบไปไหน” เสียงคุ้นหูอย่างคุณชายที่ช่วยชีวิตนางไว้ แถมยังเป็นเพื่อนคุยเมื่อคืนนี้ดังขึ้น

    “ข้าจะกลับไปฝ่ายเสื้อผ้า จะไปทำงาน”

    “เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น แล้วไม่ต้องทำงานอีก”

    “เพราะอะไร ทำไมข้าไม่ต้องไปทำงานอีก”

    “ถวายบังคับเพค่ะฝ่าบาท” เสียงนางกำนัลเดินมาพร้อมยอบตัวลงคำนับให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านาง

    “นี่...ท่าน…. เป็น ฮ่องเต้หรือ” เสียงตะกุกตะกักของหวังหลินเยว่ที่หน้าตาถอดสีด้วยความตกใจ

    เขายิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มปนหัวเราะเบาๆ

    “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเจ้านะ เพียงแต่สถานการณ์เมื่อคืนที่เจ้าด่าฮ่องเต้มันพาไป”

    “ท่านก็เลยแก้ตัวให้กับตัวเองอย่างนั้นหรือ”

    “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วพะยะค่ะ” เสียงองครักษ์คนสนิทตักเตือนขึ้น

    “เจ้าก็กินกับข้าที่นี่แหละ” จักรพรรดิหนุ่มเอ่ยปากขึ้นแล้วส่งสายตาชวนหลงใหลไปยังหวังหลินเยว่

    “แต่ว่าข้าเป็นเพียงนางกำนัลมันจะไม่เหมาะสมนะ”

    “ข้าจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นพระสนมเต๋อเฟย” หวังหลินเยว่มองหน้าจักรพรรดิหนุ่มพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างแสดงความเคารพ “อย่าเลยเพค่ะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลผู้ต่ำต้อย แล้วอีกอย่าง หม่อมฉันไม่อยากเป็นสนมของฮ่องเต้เพค่ะ แล้วยิ่งไม่ได้รักกัน หม่อมฉันคงไม่สามารถแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก”

    “แต่ข้า..ข้า..ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกพบ” หวังหลินเยว้สีหน้าอมชมพูระเรื่อย เบือนหน้าหนีด้วยความขวยเขิน

                    หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จ จักรพรรดิหนุ่มได้เสด็จไปว่าราชการ จนสายๆจึงเสด็จกลับตำหนัก หวังหลินเยว่ ซึ่งนั่งอยู่ที่ศาลากลางอุทยาน นั่งถอดถอนใจและคิดถึงคำพูดที่จักรพรรดิบอกรักนาง คำพูดยังติดหูและวนเวียนซ้ำๆ รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ ทำให้หวังหลินเยว่รู้สึกกระวนกระวายใจ ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกตื้นตัน ทั้งดีใจและจะร้องไห้ในคราเดียว นี่คืออะไรกันแน่ ความรู้สึกเช่นนี้คืออะไร “เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ หลินเยว่” จักรพรรดิหนุ่มเดินมาจากตำหนักซึ่งไม่พบนางจึงมาหาที่อุทยานเอ่ยถามขึ้น “หม่อมฉันกำลังสงสัย ว่าหม่อมฉันรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของฝ่าบาทเพค่ะ”

    “เจ้ายังไม่เชื่อคำพูดของข้าหรือ”

    “เพียงแต่... หม่อมฉันรู้สึกว่าเกิดความตื้นตันและอยากจะร้องไห้ในคราเดียวกันเพค่ะ”

    ทั้งสองนั่งคุยกันภายในศาลากลางอุทยาน จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินจักรพรรดิหนุ่มยื่นมือมากุมมือหวังหลินเยว่แล้วเดินกลับตำหนักเพื่อเสวยพระกระยาหารค่ำ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×