ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่จิ้นหรือคู่จริง

    ลำดับตอนที่ #2 : บ้านใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 65


    คำพูดของทั้งสองคนอย่างโชติกาและชญานนที่ตอบพร้อมกันทำให้พี่ไพวรรณแอบอมยิ้มให้กับทั้งสองคนไม่ได้เลย

    "แล้วจะตั้งชื่อว่าอะไร???"

    "แซลมอน!!!"

    "บราวนี่!!!"

    ทั้งสองคนหันสบตาเหมือนกับรู้ความหมายของชื่อที่ซ่อนบางอย่างเอาไว้ ไพวรรณที่หันมองหน้าของโชติกาและชญานนที่กำลังสบตากันเหมือนมีอะไรบางอย่างก็อดที่จะทำให้เธอต้องหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพเป็นประวัติศาสตร์ของทั้งสองคนไว้หน่อย

    "พี่ไพวรรณ!!!"

    เสียงเรียกของเบลที่ตกใจพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ของพี่ไพวรรณที่ถ่ายเขาทั้งสองคนเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ส่วนเพื่อนซี้ฉันนะเหรอเดินหนีไปเล่นกับแมวสองตัวแล้วไม่ได้สนใจกันเลยด้วยซ้ำ ทำตัวสบายใจเลยเกินเลยพ่อคุณ แต่ก็น่าแปลกใจไม่เคยเห็นมุมแบบนี้ของโนเลยด้วยซ้ำ มุมอ่อนโยน รักสัตว์ สุภาพ ดูเป็นคนละคนกับโน ชญานน ที่เงียบ ไม่พูด ไม่ชอบยุ่งกับสัตว์

    "พี่ขอเถอะนะเบล คือนานๆทีมันจะมีโมเม้นอะ"

    “งั้นก็เอาที่สบายใจเลยค่ะ”

    ไพวรรณที่ทำหน้าอ้อนวอนโชติกา ทำให้เจ้าตัวถึงกับถอดหายใจและเดินเข้าไปหาแมวสองตัวที่กำลังร้องและหันมามองทางเรา แมวตัวสีเทาที่ดูเหมือนจะโตกว่าแมวสีส้มที่เดินมาอ้อนโชติกาอย่างน่าสงสารและจิตใจผู้หญิงที่บอบบางอย่างฉันก็อดใจอ่อนไม่ได้

    "ไปอยู่กับแม่นะ บราวนี่~~~~"

    แมวตัวสีส้มที่เดินไปหาชญานนที่ยืนจ้องหน้าแมวตัวสีส้มอยู่สักพักแถมร้องอ้อนอีกต่างหาก ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมก็แพ้ให้กับแมวได้ง่ายๆเหมือนกัน 

    "ไปอยู่ด้วยกันไหม แซลมอน?"

    ทั้งโชติกาและชญานนต่างอุ้มแมวสองตัวไว้ในอ้อมกอดของพวกเขาทั้งคู่ และภาพที่อยู่ตรงหน้าคือเหมือนพ่อแม่ลูกเลยด้วยซ้ำ แต่ลูกเป็นแมวไปก่อนแล้วกัน ความคิดของพี่ไพวรรณที่กำลังนึกภาพถึงอนาคตตามกับภาพที่อยู่ตรงหน้า

    "พ่อแม่ลูก~~~ดีไปอีก!!!! พี่ต้องโทรรายงานอาจารย์รัตนาสักหน่อยว่าแผนการที่ทำให้เขาทั้งสองคนเปลี่ยนจากคู่จิ้นเป็นคู่จริงใกล้แหละ"

    ชญานนกับโชติกาที่มองพี่ไพวรรณเดินออกไปคุยโทรศัพท์อย่างที่พูดไว้ไม่มีผิด ฉันมองหน้าของชญานนกำลังแสดงความรักให้กับแมวตัวน้อยสีส้มที่กำลังอ้อนเขาให้พากลับไปเลี้ยง ไม่ต่างจากฉันที่โดนแมวสีเทาตกให้กลายเป็นทาสแมวไปแล้ว

    "จะกลับเลยไหม?หรือไปที่ชมรมก่อนค่อยกลับ"

    ชญานนที่ละสายตาจากแมวหันมามองหน้าโชติกาที่กำลังอุ้มแมวน้อยไว้อยู่ที่ตัวของเธอ และกำลังสนุกกับของเล่นใหม่เลยก็ว่าได้

    "เดี๋ยวเราไปชมรมก่อนจะสายอยู่แล้ว เมื่อกี้ที่ชมรมโทรตาม ว่าแต่แล้วอุปกรณ์เลี้ยงแมวละจะเอาไง"

    ฉันที่หันไปสบตากับเพื่อนสนิทที่ถามประโยคนั้นขึ้นมาและมันก็ทำให้เธออดนึกถึงเจ้าแมวสองตัวทั้งของฉันและของเขาไม่ได้เลย ดูสายตามันสิอ้อนฉันใหญ่เลย ถ้าไม่มีของใช้คงจะไม่สะดวกแน่เลยแต่ถ้าให้ไปซื้อตอนนี้ก็คงไม่ได้

    "โทรบอกไพลินให้หาซื้อมาแล้ว"

    โชติกาที่ทำหน้าตกใจไปสักพักหนึ่งก่อนจะมีสติแล้วรีบวิ่งตามชญานนที่เดินทิ้งเธอไปให้อยู่กับความงง ว่าไปโทรบอกเมื่อไร ตอนไหน เพราะตัวเธอเองยังไม่เห็นอีกฝ่ายไปกดโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไร

    "บอกเมื่อไร ทำไมไม่เห็น?"

    ชญานนที่กำลังอุ้มแมวของเขาใส่ในกรงสัตว์เพื่อพากลับบ้าน รวมไปถึงแมวของฉันเช่นกันที่มาอุ้มต่อที่ตัวของฉัน มือที่สัมผัสเหมือนมีกระแสไฟฟ้าที่วิ่งผ่านจนทำให้ฉันสะดุ้งจนตัวของเขาก็มองหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็พาแมวอีกตัวใส่เข้ากรงแล้วเดินถือสองกรงพากลับขึ้นรถ

    "จะกลับไปเอารถหรือให้ฉันไปส่งแก?"

    คำพูดของชญานนที่มันดังขึ้นจนฉันได้สติ สายตาของเขาที่มองมามันห่วงใยจนบอกไม่ถูก ถ้าไม่ได้คิดไปเอง

    "กลับไปเอารถดิ ถ้าทิ้งไว้เดี๋ยวมีคนขโมย"

    "ใครมันจะไปขโมยรถแก หนักขนาดนั้น!!!!"

    ชญานนที่หันหน้าไปทางอื่นทันทีหลังจากพูดจบ โชติกาที่เหมือนกำลังถูกหลอกด่าว่าตัวเองแมนกว่าผู้ชายหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่คือได้คิดบัญชีกับไอโนก่อนนี้แหละ 

    รถที่ขับแล่นออกมา สองข้างทางที่เริ่มเย็นจนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า วันเวลาเดินทางจนมาสามปีระหว่างฉันกับเขา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ดีใจเหมือนกันที่มีชญานนอยู่ข้างๆแบบนี้ เหมือนเป็นทั้งพี่ที่ดีและเพื่อนที่ไว้ใจ เป็นทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ ค่อยช่วยซับพอร์ต ค่อยเป็นกำลังใจ ถึงจะทะเลาะกันบ้างตามประสาเพื่อน แต่ก็นะจะทะเลาะให้ตายก็ไม่เคยที่จะปล่อยมือทิ้งจากกันเลยด้วยซ้ำ

    "จะขับไปคนเดียวเหรอ?"

    ชญานนที่เปิดกระจกลงมองหน้าโชติกาที่กำลังสวมหมวกกันน็อคใส่หัวและหันมามองหน้าของชญานนอยู่เช่นกัน

    "ก็ขับคนเดียวแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอ?"

    โชติกาที่เปิดกระจกหมวกกันน็อคและมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังคงตะโกนตอบลงมาเป็นระยะตลอด

    "ก็เป็นห่วงไง...ไม่ได้เหรอ?"

    คำพูดของชญานนทำให้โชติกาทำตัวไม่ถูก เพราะตัวของเธอก็เคยมีบาดแผลในใจตอนปีหนึ่ง แต่เพราะมีชญานนแหละอยู่ข้างๆมาตลอดจนปีสาม แล้วตอนนี้ บาดแผลนั้นเหมือนมันจางหายลงไปทุกที แต่พอกำลังจะเปิดใจบาดแผลนั้นกลับรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง

    "เป็นอะไรหรือเปล่า?"

    ฉันหันไปมองหน้าของเขาที่ถามกลับมาอีกครั้งก่อนจะยิ้มและสายหน้าให้กับอีกฝ่ายว่าไม่มีอะไร พร้อมขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันโปรดตัวเอง

    "ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นเจอที่ตึกชมรม เดี๋ยวแวะไปเอาของที่สั่งก่อน ขับรถดีๆละ อย่าขับเร็วเกิน"

    "บอกเหมือนพ่อเลยโว้ย รู้แล้วน่าไม่ต้องเป็นห่วง สัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยครบสามสิบสองประการเจ้าค่ะ"

    โชติกาที่ทำท่าล้อเลียนอีกฝ่ายแต่อีกคนกลับขำกับการกระทำของคนอย่างเธอ ชญานนมองหน้าของอีกฝ่ายอย่างสบายใจที่อีกฝ่ายไม่เป็นอะไรและหมดห่วงก่อนจะบอกกล่าวให้เธอรู้ 

    รถของฉันมาถึงที่ตึกของชมรม ฉันอยู่ชมรมภาพถ่าย เป็นชมรมที่รวมทั้งกล้องฟิล์ม กล้องดิจิตอลมาอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนคือแยกกันแต่พึ่งร่วมตอนปีสอง เหมือนกับโนที่จริงรายนั้นอยู่ชมรมฟิล์มภาพ ส่วนฉันอยู่ชมรมถ่ายภาพที่ถ่ายกันแค่กล่องดิจิตอลตอนปีหนึ่ง แต่ปีสองเขายุบรวมกันเลยเป็นชื่อชมรมใหม่เป็นภาพถ่าย ดูเหมือนชื่อก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะเลยด้วยซ้ำ จากที่แยกกับโนอยู่ช่วงปีหนึ่ง แต่กลับตัวติดกันอีกรอบตั้งแต่ปีสองยันปีสาม แค่ในตอนเรียนก็ติดกันเป็นว่าเล่น

    “พี่เบลสวัสดีค่ะ”

    เสียงรุ่นน้องในห้องที่สวัสดีทักทายรุ่นพี่ที่ต่างก็เดินเข้ามาในห้องโดยมีรุ่นน้องปีหนึ่งที่นั่งอยู่กับพื้นมองหน้ารุ่นพี่ที่เดินเข้ามาภายในห้อง ห้องแห่งนี้มีภาพถ่ายมากมาย ตู้ที่โชว์กล้องแต่ละรุ่น ไม่ว่าจะกล้องฟิล์มหรือกล้องดิจิตอล ห้องแดงที่เอาไว้ล้างกล้องฟิล์มที่อยู่ด้านข้าง บรรยายกาศที่กลับมาทุกครั้งก็คุ้นเคยเสมอ

    “แล้วพี่โนละคะ พี่เบลไม่ได้มาพร้อมกันเหรอ”

    “พี่พึ่งแยกกันเมื่อกี้ พอดีพี่โนไปรับพี่ไพลินแล้วก็ไปเอาของมาด้วย เดี๋ยวก็คงใกล้ถึง เราเริ่มกันก่อนเลยก็ได้นะ”

    เสียงของน้องปีสองที่กำลังจะมารับหน้าที่ต่อจากฉันกับการเป็นประธานชมรมภาพถ่ายต่อจากพี่คนนี้ น้องเดียร์สาวแสนดีของห้องชมรมเราเลยแหละ พอๆกับโนมันเลย แต่โนมันพ่อพระแหละ ดีเกินไป ดีจนคิดว่าเป็นนางเอกผู้น่าสงสาร

    “เอาละค่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะเริ่มพิธีการของชมรมเรากันแล้ว ก่อนอื่นก็ต้องตบมือต้อนรับประธานชมรมของเรากันก่อนเลย พี่เบล โชติกา ของเรานั้นเอง”

    เสียงใสของน้องเดียร์ที่ตบมือตอนรับเชิญฉันไปข้างหน้าห้อง ความรู้สึกแบบนี้คืออะไรกันตื่นเต้นงั้นเหรอ หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกทีเลย มือสองข้างที่ดันฉันให้เดินไปข้างหน้าห้องไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครกันที่ทำกันฉันแบบนี้ ฉันยังไม่พร้อม ลืมนึกไปว่าสภาพคือพึ่งตกคู่น้ำมา ถึงจะเปลี่ยนเนื้อตัว เสื้อผ้า แอบสระผมในห้องน้ำขโมยยาสระผมของโนมาแล้วก็เถอะนะ แต่ก็รู้สึกไม่มั่นใจอยู่ดี

    “ขอเสียงตบมือให้กับพี่โน พี่ชญานนที่น้องๆรู้จักกันเลยค่ะ”

    เสียงกรี๊ดของน้องๆในห้องทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าไอเจ้าคนที่ดันฉันให้มายืนหน้าห้องโดยที่ตัวฉันยังไม่พร้อมเลยด้วยซ้ำ แววตานั้นช่างเป็นแววตาของคนชนะเลยด้วยซ้ำ รู้ว่าฉันไม่พร้อมยังจะผลักให้มาหน้าห้องอยู่ได้ ระวังตัวไว้เลยนายชญานนฉันจะเอาคืนเป็นเท่าตัว

    “สวัสดีค่ะน้องๆทุกคน ทุกคนที่นี่คงรู้จักพี่กันมาบ้างแล้วแต่จะแนะตัวอีกครั้ง พี่ชื่อพี่เบล นะคะ”

    ผมดีใจกับเบลด้วยซ้ำ กว่าเจ้าตัวจะก้าวมาอยู่จุดตรงนี้ได้ผ่านอะไรมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นวิจัย เพื่อเอารางวัลมาให้กับมหาลัยและกิจกรรมมากมายที่เบลเข้าร่วมทำให้ตัวของเบลมีความกล้ามากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ อยู่เงียบมากจะพูดเยอะมากกว่าปกติหรือหมายถึงพูดมากก็แค่กับเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้เหรอคุยได้กับทุกคนเฟรนลี่แหละดูออก แต่ก็เสียน้ำตาไปเยอะแล้วเหมือนกัน ผมเลยเข้าใจดีว่าเบลนะพยายามมาตลอด จนบ้างทีผมเคยคิดว่าไม่ต้องพยายามอาจจะเหมาะกับเบลมากกว่า

    “พี่ในฐานะประธานก็ขอยินดีต้อนรับกับทุกคนที่ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมกันกับพวกเรา พี่ก็ขอให้น้องๆตั้งใจที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ถึงแม้พี่จะรู้ว่าคนที่เข้ามาในชมรมนี้มีเหตุผลที่ต่างกัน พี่ก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น เคยคิดว่าการที่เรามาเป็นตากล้องแบบนี้ อาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้คนที่เราสนใจหันมายิ้มกับเราก็ได้ แต่ก็นะกลับกลายเป็นว่าเรารู้สึกรักมันขึ้นมาจริงๆ พี่กลับรู้สึกว่าพอเราได้อยู่กับกล้องตัวโปรดสักตัวนะ ลองเอากล้องตัวนี้ไปถ่ายรูปกลับพบว่าในภาพทุกภาพพบกับรอยยิ้มของคนมากมาย และสิ่งที่สำคัญได้พบกับรอยยิ้มของตัวเองอีกด้วย”

    เสียงตอบรับของรุ่นน้องที่ถูกใจกับคำพูดของพี่เบล ต่างพาตบมือตามเสียงคำพูดที่จบด้วยคำคมที่ชัดเจนที่สุด การที่มีกล้องสักตัวและออกไปถ่ายรูป มันอาจจะเป็นการสร้างเรื่องราวดีๆสักเรื่อง อาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นแต่มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ดีของเราตลอดก็เป็นได้

    มือของเบลที่เอื้อมมือจับมือของโนเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกหลบให้เป็นหน้าที่ของประธานได้พูดคุยพบปะกับรุ่นน้อง แต่เมื่อกี้ทำอะไรกับฉันเอาไว้ก็รับผมกรรมกลับคืนไปซะ

    “พูดอะไรกับน้องเขาหน่อยสิ”

    สายตาของเธอหันมามองหน้าผมแถมด้วยการใช้สายตาอ้อนวอนด้วยซ้ำ ผมรู้แหละว่าเบลต้องการอะไรไม่ต้องการอะไร เพราะอย่างนี้ไงผมเลยคอยอยู่ข้างซับพอร์ตเธอเสมอ ถึงจะรู้ว่ากำลังเอาคืนจากเมื่อกี้ก็เถอะ แต่ก็ยอมเธอตลอด

    “เอ่อ...สวัสดีน้องๆทุกคนนะครับ พี่ชื่อโน ชื่อจริงพี่ชญานน สุขเกษม เรียนอยู่ปีสาม คณะ....”

    "ขอโทษนะคะ แนะตัวเข้าเรียนเหรอ?"

    ฉันละกลุ้มใจ กลุ้มแล้วกลุ้มอีกไม่รู้คิดถูกคิดผิดให้โนพูดในฐานะพี่ปีสามแต่ทำตัวเหมือนเป็นเด็กเข้าใหม่ ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงเพื่อนน้อย ถึงจะรู้อยู่แล้วเถอะว่าหมอนี่ไม่ชอบมีปฎิสัมพันธ์กับใครนอกจากเพื่อนในกลุ่ม ไม่ก็คนที่รู้จัก แต่ก็นะหน้าจะรู้ว่าควรทำตัวยังไง

    “งั้นก็เข้าเรื่องเลย พี่ก็ยินดีกับน้องๆทุกคนที่ได้เข้าชมรมนี้ ถ้าคนอื่นมองอาจจะคิดว่าแค่ถ่ายภาพเฉยๆ ใครๆก็ถ่ายได้ แต่พี่จะว่า การถ่ายภาพนะมันสำคัญตรงที่เราต้องการจะเล่าเรื่องของภาพนั้นแบบไหน เหมือนพี่ พี่ชอบถ่ายกับกล้องฟิล์มโดยเฉพาะฟิล์มภาพที่เสียแล้วนะ มันทำให้รู้ว่าภาพที่ถ่ายมันอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่กลับมีความสวยงามของภาพนั้นซ่อนอยู่

    ฉันไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าโนจะมีอะไรแบบนี้กับเขาด้วย ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงเป็นคนที่เก็บรายละเอียดความรู้สึกคน ก็เพราะเป็นคนที่เห็นความสำคัญกับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแม้กระทั่งฟิล์มภาพที่เสียแล้ว ก็ยังมีความหมายที่แฝงอยู่ แววตาของเขาที่มุ่งมั่นกับคำพูดที่พึ่งจบไปและรอยยิ้มที่หันมามองทางฉัน จนฉันเผลอที่จะยิ้มตามไม่ได้

    เสียงตบมืออีกรอบที่ดังขึ้นและไม่ใช่แค่รุ่นน้องนะแต่ทั้งห้องที่ต่างพากันตบมือ การถ่ายภาพมันมีความหมายของมัน และแต่ละคนก็ตีความหมายไม่เหมือนกัน 

    “ขอเสียงตบมือให้กับรุ่นพี่ของเราทั้งสองคนหน่อยคะ เอาล่ะช่วงต่อไปเป็นกิจกรรมรับน้องกันแล้วนะคะ ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็เริ่มขึ้นเดียวนี้”

    พระอาทิตย์ที่ตกดินมีแสงสว่างภายในห้องที่สลับกับแสงสีเสียงกลองที่เคาะเป็นจังหวะสนุกมีทั้งขนมและน้ำแจกทุกคน เสียงเพลงเสียงหัวเราะที่ต่างก็ดูสนุก บรรยากาศในห้องที่ยังครึกครื้นกันต่อ

    “เอาละค่ะ เราจะเริ่มจากการจับบัดดี้กันก่อน โดยน้องปีหนึ่งทุกคนจะมีคู่บัดดี้เป็นรุ่นพี่ จะได้ค่อยช่วยเหลือพวกรุ่นน้องสำหรับใครที่ใช้กล้องไม่เป็น ก็จะมีรุ่นพี่เป็นโค้ชจนจะจบปีการศึกษาของปีนี้ ขอให้น้องๆทุกคนโชคดีได้คนที่หวังกันนะคะ”

    ภาพบรรยากาศแบบนี้เคยเป็นตอนปีหนึ่งต้องมารอลุ้นว่าจะได้คู่ใคร ฉันยังจำได้ดี ฉันได้คู่กับพี่บาสประธานในตอนนั้น พี่บาสเป็นคนที่เก่งมากเรื่องกล้อง ฉันได้เรียนรู้อะไรจากพี่บาสเยอะมาก แล้วตอนนี้ก็กำลังจะเป็นแบบอย่างเหมือนกับพี่บาสให้รุ่นน้องทุกคนได้เห็น ว่าพี่ที่ดีเขาเป็นกันแบบนี้

    "เออพี่เบลครับ ตั้งค่าตรงไหนครับ?"

    "พี่ก็จำไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวพี่ไปถามคนรู้ให้นะ รอพี่แป๊บนึงนะน้องบอส"

    ตามสภาพครับเป็นที่เรียบร้อย ถึงเบลจะเป็นประธานชมรมก็เถอะนะ ก็ไม่ได้เก่งกล้องอะไรเลย ถามว่าตั้งค่าเป็นไหมดีกว่า เพราะผมตั้งค่ากล้องตัวโปรดของเจ้าเบลตลอดไม่ต้องปรับอะไรเลยด้วยมีแต่ค่าพวกISOก็เท่านั้น ปรับมุมมองอะไรพวกนี้ แต่รูปของเบลได้รางวัลทุกปีนะ เพราะมุมมองไม่เหมือนใครด้วยแหละ เลยชนะใจกรรมการ

    “โน สอนน้องเราหน่อยดิ เราจำตั้งค่ากล้องไม่ได้”

    “แน่ใจนะว่าจะให้สอนแค่น้อง เราว่าเราคงต้องสอนแกและน้องพร้อมกันทั้งสองคนเลยด้วยซ้ำ”

    สายตาของโนที่ก้มหน้าก้มตาสอนน้องบัดดี้ของตัวเองจนไม่เห็นหัวฉันเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายโนก็ช่วยสอนน้องของฉัน คงเห็นว่าฉันน่าสงสารเลยช่วยละสิ เลยช่วยกัน

    “ขอเชิญพี่เบลกับพี่โนที่ข้างหน้าหน่อยคะ”

    ผมหันไปสบตาของเบลที่ดูทำหน้าตกใจที่น้องเดียร์เรียกเราไปข้างหน้า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติมันเป็นพิธีรับน้องโดยจำคู่บัดดี้หลังจากนั้นก็....ซวยแล้ว

    “พี่เบลกับพี่โนทำผิดกติกาของเรานะคะ”

    “กติกาอะไรอะ? พี่ทำอะไรผิดตรงไหนอะ?”

    น้ำเสียงงอแงของเบลทำเอาทั้งในห้องขำกับพฤติกรรมของประธานชมรมที่ทำตัวไม่พอใจเมื่อรู้ตัวเองทำผิดกติกา ทั้งที่เป็นถึงประธานชมรมก็ไม่เว้น แต่กติกาอะไรเถอะจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำหรือว่าจะเป็น….

    “กติกาของเราคืออยู่กับบัดดี้คู่ของเรา งั้นก็หมายความว่าห้ามช่วยเหลือกันยังไงละคะ คู่ใครคู่มันห้ามช่วยกัน”

    ซวยแล้วซวยของแท้ ฉันลืมไปได้ไงเนี่ย บ้าจริง ทั้งทีเป็นคนช่วยกันตั้งกติกานี้ขึ้นมาตอนปีสองแต่ดันพลาดเองตอนปีสาม บทลงโทษของมันก็....ช่างอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขบทลงโทษยังไงยังงั้น

    “บทลงโทษของเราก็คือ...ปิดตาวัดใจ”

    แค่ชื่อก็ตื่นเต้น ตื้นตันจนจะร้องไม่น่าคิดเกมอะไรแบบนี้เลยเบล พลาดเองแล้วไหมละ แล้วดูโนนิสีหน้าช่างสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ รู้ไหมเนี่ยว่าเรากำลังจะเจอกับอะไร

    “ของเชิญคู่บัดดี้ของพี่โนและพี่เบลด้วย น้องบอสกับน้องกอหญ้ามาข้างหน้าด้วยคะ”

    ชายสองหญิงสองยืนเรียงกันข้างหน้า โดยมีสายตาของคนมากมายจับจ้องมองมาที่เรา เกมนี้มันวัดใจตรงไหนรู้ไหม ตรงที่ใครจะได้อยู่ในตำแหน่งไหน เพราะเราเลือกไม่ได้ เขาจะสลับที่พวกเราหลังจากปิดตา เราจะไม่รู้เลยว่าอยู่ข้างใครและใครอยู่ข้างเรา องศาของกระดาษอะไรก็ไม่รู้ มันวัดใจตรงนั้นแหละ

    “โนแกอยู่ตรงไหนว่ะ”

    “ก็อยู่นี้ไง”

    “มองไม่เห็นอะ แต่เสียงอยู่ใกล้จัง อย่าบอกนะฉันต่อจากแก”

    “ไม่รู้”

    ลมหายใจของอีกคนโดนใบหน้าของผมจนผมมั่นใจว่าต้องเป็นคนที่ผมคิดแน่นอน กลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพูยาสระผมของผมเองมันทำให้ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่าต้องเป็นเธออย่างแน่นอน

    ใบกระดาษที่ถูกส่งต่อจากคนสู่คน ใบหน้าของแต่ละคนที่ถูกผ้าสีดำปิดตาเอาไว้ โดยทุกคนจะคาบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆและส่งต่อให้คนทันไป แต่ตอนนี้ฉันสั่นไปทั้งตัว ไม่คิดว่าจะมาทำอะไรแบบนี้ มือที่เอื้อมไปจับแขนอีกฝ่ายเพราะไม่เห็น ใบหน้าของฉันที่พยายามหันหาใบกระดาษส่ายหัวไปมาเพื่อให้โดนกระดาษ แต่ใครมันจะคิดว่ามันใกล้จนชนหน้าอีกฝ่ายจนเผลอไปโดนริมฝีปากอีกคน ฉันไม่รู้หรอกว่าใคร แต่แขนที่ฉันจับอยู่ ฉันมั่นใจในระดับหนึ่งคือโนแน่นอน ถ้าไม่ใช่ก็ไม่รู้แล้ว

    “ว้ายยยย!!!!”

    เสียงกรี๊ดของคนในห้องที่ดีใจ ภาพตรงหน้าคือผู้หญิงที่ตัวสูงไล่พอๆกับฝ่ายชายเอาหน้าไปใกล้จนอีกฝ่ายเอาหน้าไปชนจนปากทั้งสองคนสัมผัสกันแบบเบาๆก่อนฝ่ายหญิงพยายามรีบคาบกระดาษโน้ตต่อแล้วส่งให้รุ่นน้องผู้หญิงที่โดนปิดตาเหมือนกัน

    “เอาละคะ เดี๋ยวเราต้องมาดูกันว่ากระดาษโน้ตมีรอย ขาด ยับ หรือเปียกกันหรือเปล่า แต่ถ้ามีทั้งสี่คนจะโดนทำโทษ แต่ถ้าไม่ก็จะรอดไป....”

    รถของทั้งคู่ที่ขับออกไปพร้อมกันแล้วไปเจอกันที่หอ โชติกาที่ยืนรออีกฝ่าย แต่เวลาที่ผ่านมาเกือบจะชั่วโมงก็ยังไม่เห็นรถของชญานนสักที เมื่อกี้ตอนที่อยู่ชมรมก็ไม่เห็นลูกแมวสองตัว คงเอาไปฝากไว้บ้านเพื่อนใครสักคน

    "รอใครอยู่เหรอเบล?"

    เสียงลูกพี่ลูกน้องอย่างพี่เกมที่ถามขึ้นด้วยความสงสัยในตัวน้องสาวที่ออกมาอยู่ลอยหน้าลอยตาอยู่หน้าหอ แถมคนที่เดินผ่านไปมาก็เหมือนซุบซิบพูดคุยอะไรกัน จนตัวผมก็อดที่จะเดินเข้าไปถามพวกนักศึกษาแถวนี้ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าจนรู้ว่า....

    "แกเป็นแฟนกับไอหน้าหล่อนั้นเหรอ?"

    "หน้าหล่อ...หล่อไหน? เมาเปล่าพี่เกม กินเหล้ามากเกินมันไม่ดีรู้ไหม"

    พี่ชายที่ฉันรักมากอีกคน ส่วนใหญ่ลูกพี่ลูกน้องฉันมีแต่ผู้ชายและอยู่ท่ามกลางการปกป้องของพวกพี่ๆที่น่ารัก และที่นี่ก็เป็นของพี่เกมที่ดูแลหอพักให้นักศึกษาที่อยู่ใกล้มหาลัยเช่า 

    "พี่ไม่เมาตั้งแต่หัวค่ำหรอกนะ"

    "จะดึกแล้วต่างหากละ"

    คู่พี่น้องอย่างโชติกากับพี่เกมที่ผูกพันมาตั้งแต่เด็กและต่างรู้จักนิสัยกันดี และทุกครั้งที่คุยกันทั้งสองคนก็ชอบเป็นแบบนี้ นั้นคือถ้าไม่ได้กัดกันวันนั้นวันนั้นจะมีพายุใหญ่ลง

    รถที่จอดมองดูสังเกตการณ์สองคนที่ยืนเถียงกันอยู่หน้าหอ โดยมีสายตาหลายคนกำลังจับตามอง แววตาของชญานนที่เหลือบหันไปมองกล่องแซลมอนที่ซื้อติดมือมาให้ผู้หญิงที่ใส่เสื้อสีดำคนที่ชอบกินแซลมอนอย่างกับอะไรดี ไม่ว่าจะมีเรื่องเศร้าหรือมีความสุขก็ต้องมีแซลมอนมาทำให้ใจชุ่มตาม

    "นี้ไงพอดึกแล้วพี่ก็ต้องออกหาเยื่อ แล้วเยื่อที่ต้องตอบคำถามพี่คือเรา บอกมาแกทั้งสองคนเป็นอะไรกัน!!!!"

    พี่เกมชี้ไปยังรถยนต์ที่ยังจอดอยู่หน้าหอแต่ไม่ยอมขับเข้ามาที่จอดเหมือนสังเกตการณ์อยู่ข้างหน้าก่อน และโชติกาที่มองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพื่อนซี้ของเขาเป็นอะไรไป เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร ชญานนไม่เคยไม่เคยกลัวพี่เกมแต่ทำไมครั้งนี้ถึงไม่กล้าที่จะเข้ามา

    "เพื่อน...."

    "ทำไมเสียงเบา ไม่หนักแน่น น้ำเสียงแผ่ว ไม่ใช่เพื่อนแล้วใช่ไหม ตอบ!!!!"

    โชติกาถึงกับทรุดให้กับพี่ชายตัวเองอย่างเหนื่อยใจและยิ่งไปกว่านั้นคือ...เพื่อนตัวดีอย่างชญานนลงมาพร้อมกับแมวกับอุปกรณ์ดูแลแมว และอีกถุงหนึ่งก็...แซลมอน!!! 

    "มาแล้วนี้ไง หยุดเลยนายหน้าหล่อหยุดอยู่ตรงนั้น หอนี้ห้ามพาสัตว์เลี้ยงขึ้น อ่านป้ายบ้างดิ"

    ผมสบตากับเบลที่ยืนทำหน้าบึ้งใส่พี่ชายตัวเอง แล้วก็เหมือนจะเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ผมอยากจะช่วยเธอแค่ไหน แต่อารมณ์ของพี่ชายเธอดันขึ้นๆลงๆเนี่ยสิ พอๆกับตัวเธอ แค่รับมือกับเบลผมก็เหนื่อยแล้วต้องมารับมือกับพี่ชายเธอด้วยเหมือนกำลังจะตายทั้งเป็น แต่ก็รู้ดีแหละว่าเป็นห่วงน้องสาว ทำให้ผมไม่รู้ควรทำตัวยังไง

    "แต่แมวนี้ของเบลนะครับ น้องสาวเจ้าของหอคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ"

    "นี้ไง!!!! นี้ไง~~~คนเป็นแฟนกันไม่ทำให้หรอก ซื้อแมวให้ อุปกรณ์ของแมวอีก แถมของโปรดที่เบลชอบอยู่ในมือนาย มันชัดเจนมาก เอาไปหลอกหมา หมาก็เชื่อ"

    สีหน้าของพี่เกมที่จ้องมองหน้าของชญานนทุกคำพูดและถ้อยคำแบบไม่ละสายตา แต่การกระทำที่กำลังชี้หน้าของโชติกาที่ยืนอยู่ด้านข้างให้รู้ไว้ว่าเธอกำลังมาหลอกคนอย่างเขาไม่ได้อย่างแน่นอน ประสบการณ์ความรักที่โชกโชนแต่ไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นคนสักคนนั้นแหละพี่เกมพี่ชายของเบล พี่ฉันเองแหละ

    "งั้นพี่ก็หมา!!!! ที่เชื่อเพราะเราสองคนเป็นเพื่อนกันจบนะ!!"

    ผมมองหน้าน้องสาวไม่รักดี นี้ถ้าไม่รู้ว่ามันสองคนเป็นคู่จิ้นดังในมหาลัย ก็คิดว่าทั้งคู่เป็นเเฟนกัน เพราะเห็นอยู่ด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่กลับจิ้นกันไปใหญ่ จนเรื่องมาถึงทุกวันนี้ที่ทุกคนอยากให้เรือโนเบลถึงฝั่งสักที แล้วไอเมื่อกี้มีภาพในโซเชียลที่คนแห่กันไปเม้นกันเต็ม แถมนะผมก็เข้าไปเม้นด้วย ก็นั้นแหละเมื่อไรมันจะเป็นแฟน แต่วันนี้มันทำให้ผมคิดว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันและกำลังปกปิดคนอย่างผมที่เป็นพี่ชายที่แสนดี ที่สุดในสามโลก

    "เพื่อน...จริงอะ...โนพี่ถามแกจริงๆนะ คิดกับไอเบลน้องสาวพี่แค่เพื่อนจริงดิ? ไม่มีสักแว๊บหนึ่งเลยเหรอวะที่คิดกับมันเกินเพื่อน แต่ถ้าไม่ก็คงไม่แปลกดูมันห้าวกว่าผู้ชาย ต่อยตีกับผู้ชาย ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง สภาพเป็นลูกผู้หญิงมากเลยน้องสาวคนนี้"

    ชญานนที่หลบตาของพี่เกมและเดินจากไปโดยไม่ได้ฟังคำของพี่เกมสั่งห้ามและยิ่งไปกว่านั้นป้ายที่ติดประกาศตัวใหญ่เท่าฝาบ้านที่แปะอยู่ว่าห้ามนำสัตว์เลี้ยงมาด้วยมันยิ่งตอกย้ำว่ามันสองคนต้องมีอะไรในก่อไผ่และยิ่งมากกว่านั้นคือมันไม่ตอบคำถามและไม่ได้ปฎิเสธแสดงว่ามันคิดกับน้องสาวเรามากกว่าเพื่อน

    "พี่เกม...ฟังเบล แมวนั้นเป็นแมวจรจัด เบลเลี้ยงตัวหนึ่ง โนเลี้ยงตัวหนึ่ง ในฐานะที่เบลก็ช่วยดูแลหอด้วยเช่นกัน พี่เกมต้องฟังเบล!!!"

    เสียงที่ตะโกนลั่นของโชติกาทำให้คนแถวนั้นต่างพากันหัวเราะกับสีหน้าของพี่เกมที่ทำหน้างอเป็นปลาทูหัวหักและยอมจำนนกับชีวิตแต่โดยดี

    "พี่เกมอนุญาตแล้วเหรอ?"

    ชญานนที่ยืนอยู่หน้าห้องของโชติกาที่ทำหน้าหงุดหงิดพี่ชายตัวเองอย่างเสียอารมณ์ แต่พอเจอหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังเป็นห่วงเป็นใยก็ทำให้ใจเย็นลงเหมือนกับมีน้ำมาโปรยปรายให้ชื้นขึ้นมา

    "ไม่อนุญาตก็ต้องอนุญาต!!!"

    โชติกาที่เดินกระทืบเท้าอย่างไวพร้อมเปิดประตูห้องของตัวเองและรับแมวตัวน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่แสนจะ!!!!...

    "เบล!!"

    "ว่า..."

    เสียงเรียกของชญานนที่ทำให้โชติกาต้องหันกลับไปมองหน้าอีกครั้ง

    "นั้นแมวเรา..."

    กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ที่ผมเคยชินกับการกระทำของเบลที่มักจะเอาแต่ใจและก็รู้ว่าเวลาไหนควรจะคุยเวลาไหนไม่ควร ทั้งทีเราพึ่งรู้จักกันแค่สามปีแต่เหมือนกับสนิทมาตั้งนานแล้ว

    "โทษที...ลืมๆ"

    ฉันยื่นกรงน้องแมวกลับให้เขาพร้อมรับแมวตัวน้อยอย่างบราวนี่พาเข้าบ้านใหม่ แต่ประตูกลับถูกดึงเอาไว้ด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย

    "เดี๋ยวพรุ่งนี้ปั๊มกุญแจห้องแลกกันไว้หลังจากนี้เธอก็ต้องซ้อมวิ่งแข่งงานกีฬาไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวเราจะแวะมาดูบราวนี่ให้..."

    ไม่รู้เหมือนกันที่เรามักจะค่อยช่วยเหลือกันทุกเรื่องแบบนี้มานานแค่ไหน แต่ถ้าอยู่ๆหายไปคงใจหายเหมือนกันโชติกาที่ฟังประโยคของชญานนจบเธอก็เอ่ยพูดตอบกลับไป

    "เธอก็ด้วยไม่ใช่เหรอ มีซ้อมว่ายน้ำแถมเก็บตัวอีกด้วย งั้นปั๊มห้องของเธอมาฝากไว้กับเราเดี๋ยวจะแวะมาดูแซลมอนให้ ตกลงไหม? "

    สายตาของทั้งคู่ที่มองหน้ากันมันมีคำพูดมากมาย คำถามที่สงสัยแต่ไม่เคยถาม สายตาที่กำลังสื่อผ่าน มันทำให้เห็นถึงความจริงใจกันและกันของทั้งคู่ที่ดูแลด้วยกันมา ชญานนยิ้มให้กับโชติกาพร้อมกับพยักหน้าอย่างไม่ปฏิเสธและแยกย้ายกลับเข้าห้องของตัวเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×