คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : วุ่นนัก...หลงรักคุณหนู ตอน 7 สาวน้อยใจเต้นระรัว
“ไวน์บอกแล้วนี่คะว่าไม่ต้องมาก็ไม่เชื่อ เหนื่อยมากไหมคะ” สาวน้อยถามด้วยความห่วงใย เพราะได้เตือนแล้วว่าไม่ต้องมาเจอกันก็ได้ ในเมื่อเบสท์ไม่ว่าง
“แค่เห็นหน้าหนูไวน์พี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ แต่พี่เบื่อมากกว่าประชุมทีไรสูบพลังงานพี่ไปหมดทุกทีเลย” ชายหนุ่มหยอดคำหวานที่สาวน้อยได้ฟังกี่ครั้งก็แก้มแดงทุกทีไป
“พี่เบสท์หิวไหมคะ สั่งอะไรมาทานรองท้องหน่อยดีกว่าค่ะ กว่าจะถึงบ้านพี่คงหิวแสบท้องแย่” ไวน์ถามอย่างเอาใจใส่ ข้อดีของเธอที่ทำให้เขาหลงรักอย่างหัวปักหัวปำ ก็เพราะเธอน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจอย่างนี้ไงเล่า
“หนูไวน์อยู่ทานข้าวเย็นกับพี่ไม่ได้เหรอครับ นะครับ เราไม่ได้ทานข้าวเย็นด้วยกันตั้งนานแล้วนะ” ชายหนุ่มอ้อนด้วยเสียงน่าสงสาร แต่คนฟังก็ต้องทำใจแข็งทั้งที่จริงใจอ่อนยวบไปแล้วก็ตาม
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้แซนด์ต้องไปงานกับที่บ้านแล้วฝ้ายก็กลับบ้านไปแล้วด้วย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงแซนด์ต้องมาตามแน่เลยค่ะ”
“โธ่ หนูไวน์ครับ พี่ไปส่งก็ได้นะครับ ให้แซนด์กลับไปก่อนก็ได้” เขาต่อรองเผื่อว่าสาวน้อยของเขาจะหลงกล
“พี่เบสท์คะ ตกลงกับฝ้ายไว้ว่ายังไงคะ หรือว่าพี่เบสท์ไม่อยากคบกับไวน์แล้ว” ไวน์ทำเสียงตัดพ้อเหมือนน้อยใจ ทำให้เบสท์ต้องรีบง้อ
“หนูไวน์อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ พี่แค่อยากมีเวลาอยู่กับหนูไวน์มากกว่านี้ก็เท่านั้นเอง”
“แต่เราตกลงกันแล้วนี่คะ พี่เบสท์ก็รู้ว่าทำไมเราต้องทำอย่างนี้นี่คะ”
“หนูไวน์ครับ พี่พร้อมที่จะเข้าไปแนะนำตัวกับที่บ้านหนูไวน์ทุกเมื่อ เราคบกันมาเดือนกว่าแล้วนะครับ พี่อยากแสดงความจริงใจเข้าไปขอคบกับหนูไวน์อย่างเป็นทางการกับคุณลุงคุณป้า พี่ไม่เคยคิดจะทำอย่างนี้กับใครมาก่อน แต่ดูเหมือนใคร ๆ ก็ไม่อยากให้พี่ทำอย่างนั้นแหละ” เบสท์พูดอย่างเหนื่อยใจ เขาไม่เคยคิดจริงจังกับใครมาก่อน มีเพียงสาวน้อยตรงหน้าเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนี้ เขายอมเป็นเพลย์บอยถอดเขี้ยวเล็บไม่ไปเจ้าชู้กับใครอีกและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดตัวแฟนเขาให้คนอื่นได้รับรู้ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอเป็นฝ่ายปฏิเสธเสียเอง
“ขอบคุณนะคะที่ให้ความสำคัญกับไวน์ แต่ไวน์อยากให้โอกาสเราทั้งคู่ได้สำรวจใจตัวเองให้ดี ๆ อย่าเพิ่งผูกมัดกันจะดีกว่าค่ะ ถ้าเรื่องถึงผู้ใหญ่มันจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ของเราสองคนอีกแล้วนะคะ พี่เบสท์คงไม่ทราบว่าที่บ้านไวน์เข้มงวดขนาดไหน ไวน์อยากให้พี่แน่ใจในตัวไวน์มากกว่านี้แล้วค่อยไปคุยกับที่บ้าน” ไวน์อธิบายอย่างใจเย็น เธอปลื้มกับความรู้สึกและการคิดให้เกียรติเธอของเขา แต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกทุกคนในครอบครัวอยู่ดี เธอกลัวว่าเมื่อเขาเข้าไปพบกับทุกคนแล้ว เขาจะเปลี่ยนใจไปจากเธอ ก็ครอบครัวเธอน่ะธรรมดาซะที่ไหน แค่พี่เบียร์คนเดียวก็อ่วมแล้ว เธอขอเวลาอีกซักนิดให้มั่นใจในความรักของทั้งคู่ก่อนว่ามันไม่เปราะบางอย่างที่เธอคิด แล้ววันนั้นเธอจะพาเขาไปแนะนำกับครอบครัวอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาคือคนพิเศษของเธอ
“แต่พี่มั่นใจนะครับว่าหนูไวน์คือคนคนนั้นของพี่ เป็นคนพิเศษที่พี่หามาตลอด” เบสท์ยังคงดื้อดึง
“ไวน์ดีใจค่ะที่พี่เบสท์มั่นใจในตัวไวน์ แต่ไวน์ขอเวลาหน่อยได้ไหมคะ อีกแค่ไม่กี่เดือนไวน์ก็จะเรียนจบแล้ว หลังจากนั้นเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที นะคะ ไวน์ขอแค่นี้เอง พี่เบสท์คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ” ไวน์เปลี่ยนมาเป็นอ้อนแทนเมื่อเห็นว่าอธิบายด้วยเหตุผลแล้วชายหนุ่มไม่อ่อนให้
“ครับ ได้ก็ได้ สำหรับหนูไวน์น่ะ ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” ชายหนุ่มโอนอ่อนผ่อนตามด้วยท่าทางที่ไม่เต็มใจซักนิด เขาทำเป็นงอนซึ่งดูน่าขำมากกว่าน่ารักอย่างเวลาที่หนูไวน์ทำ สาวน้อยจึงต้องปลอบใจด้วยเสียงหวานที่ทำให้ชายหนุ่มหน้าบานและยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อสาวน้อยเอามือนุ่ม ๆ มาจับมือเขาไว้
“อย่างอนสิคะ ไวน์ชอบเวลาพี่เบสท์ยิ้มมากกว่านะคะ” เธอง้อด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำเอาคนได้รับใจละลาย ชายหนุ่มเปลี่ยนจากที่เธอจับมือเป็นเขาจับมือเธอแทนพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์ฉายแวบขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์นี้ไปดูหนังกันนะครับ พี่รู้ว่าเรื่องนี้หนูไวน์อยากดู เราไปดูด้วยกันนะครับ” เขาได้ทีรีบชวนสาวน้อยให้ไปดูหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่งที่หนูไวน์ของเขาต้องไม่ปฏิเสธแน่ ๆ เพราะได้ยินสองสาวเทียมของไวน์เปรยให้ฟังตั้งแต่หนังยังไม่เข้า
“ไวน์ขอถามเพื่อนก่อนได้ไหมคะว่ามีใครว่างไปดูด้วยหรือเปล่า” เธอรู้ว่าเขาอยากให้เธอไปด้วยจริง ๆ แต่ยังไงเธอก็ไม่กล้าโกหกที่บ้านหรอกว่าจะไปดูหนังกับเพื่อนแต่ไปกับเขาแค่สองคน รวมทั้งเธอไม่อยากผิดคำสัญญากับเพื่อน ๆ ที่ว่าจะคบกับเขาในสายตาของเหล่าเพื่อนรัก ดังนั้นหนังเรื่องนี้จะได้ไปดูหรือเปล่าก็ต้องขึ้นกับโชคว่ามีเพื่อนคนไหนว่างไปกับเธอซักคนไหม
“ได้ครับ ถ้าถามแล้วก็โทร.มาบอกพี่นะครับ อย่าลืมบอกทุกคนด้วยว่าพี่เลี้ยงเองรับรองที่นั่งชั้นเฟิร์ตสคลาสแน่นอน” เขาก็ล่อไปอย่างนั้นเองเพราะรู้ดีว่าเพื่อน ๆ ของเธอไม่เห็นกับของแค่นี้หรอก แต่ยังไงถ้ามีสินบนนิดหน่อย ฮันนี่กับแชมเปญก็น่าจะช่วยเขาได้บ้าง
“ค่ะ แล้วไวน์จะโทร.บอกนะคะ พี่เบสท์จะทานเค้กหน่อยไหมคะ ร้านนี้เขาทำอร่อยนะ”
“ถ้าสั่งแล้วไวน์ต้องช่วยพี่ทานนะครับ พี่ทานไม่หมดหรอก”
“ก็ได้ค่ะ แล้วพี่เบสท์จะทานเค้กอะไรดีคะ” เธอเอาใจเขาอีกนิดเพราะเห็นว่าเขายอมอ่อนข้อให้เธอเยอะแล้วในวันนี้ แต่ปกติเขาก็ยอมเธอตลอดแหละ ทำให้เธอรู้สึกตัวลอยเพราะได้เป็นคนพิเศษที่เขาให้ความสำคัญเสมอ ช่วงเวลาก่อนที่จะได้คบกันเธอก็พอรู้มาบ้างตามหน้าข่าวซุบซิบเรื่องของเขาที่เป็นคนเจ้าชู้และเพื่อนของเธอเองก็คอยกันเขาไว้ตลอด แต่ในตอนนี้เมื่อเพื่อนเธอยอมให้โอกาสเขาแล้วแสดงว่าเธอก็น่าจะวางใจเขาได้ในระดับหนึ่ง ว่าเขาจริงใจกับเธอเพราะไม่อย่างนั้นเพื่อนรักทั้งหลายคงไม่ยอมให้เธอคบกับเขาหรอก
“อะไรก็ได้ครับ หนูไวน์สั่งได้เลย” เขาให้เธอเป็นคนเลือกเพราะเขาเองก็ไม่คิดจะทานมันเท่าไหร่ แต่ที่สั่งเพราะอยากจะตามใจเธอก็เท่านั้น
หนูไวน์ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบทานเค้กหรอกแต่อยากจะตามใจเธอเท่านั้น สาวน้อยเลยสั่งเค้กมอคคาที่รสชาติไม่หวานเหมือนรสอื่นให้เขา นั่นช่วยให้เบสท์สามารถทานได้มากกว่าที่คิดไว้ แต่เธอก็ยังต้องช่วยเขาทานอยู่ดี ทั้งคู่ได้มีเวลาคุยกันเพียงลำพังอีกเล็กน้อยเท่านั้น เพราะแซนด์เข้ามารับสาวน้อยกลับบ้านเสียแล้ว เฮ้ออออ ชีวิต มีเวลาอยู่กับแฟนทั้งที ทำไมมันช่างน้อยอย่างนี้นะ
วันอาทิตย์ที่เขารอคอยมาถึงจนได้ ในที่สุดหนูไวน์ก็ตกลงมาดูหนังกับเขา เพราะเพื่อนรักทั้งหลายพร้อมใจว่างตรงกันยกกลุ่ม ฉะนั้นเขาเลยได้อานิสงส์พาเธอมาดูหนังแสนหวานนี้ได้ การแยกพวกเพื่อนเธอไม่ใช่เรื่องยากเลยซักนิดในเมื่อเขาเป็นคนซื้อตั๋วให้กับสาว ๆ เขาเลือกโรงที่เป็นฮันนีมูนซีท และเลือกที่นั่งให้เพื่อน ๆ ของสาวน้อยห่างจากพวกเขาซักเล็กน้อยเพื่อความเป็นส่วนตัวของเขา ตอนแรกที่รับตั๋วไปสาวฝ้ายตัวแสบเกือบจะออกโรงเฉ่งเขาอยู่เหมือนกัน ดีที่เพื่อนคนอื่นห้ามไว้ก่อน ขอหวานกับแฟนแค่เนี้ยเกือบเป็นเรื่องแล้วไหมล่ะ แต่เอาเถอะเขาก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่า กิตติศัพท์ที่ผ่านมาของเขาไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้ายัยแฝดมีคนอย่างเขามาจีบเขาเองก็คงระแวงอยู่บ้าง เลยได้แต่ทำใจว่าซักวันพวกผู้พิทักษ์ทั้งหลายคงวางใจให้เขาดูแลสาวน้อยได้เต็มที่กว่านี้
โรงหนังที่นี่หนาวกว่าที่สาวน้อยคิดไว้เยอะ เธอนั่งชิดเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นนับเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ยิ่งดูไปก็ยิ่งหนาวจนเธอตัวสั่นนิด ๆ เขาเลยถือโอกาสจับมือเธอไว้โดยใช้ข้ออ้างว่าจะได้อุ่นขึ้น ถึงเขาจะไม่เห็นหน้าเธอแต่เขาก็รู้ได้ว่าเธอคงหน้าแดงจัด ไม่รู้ทำไมแฟนเขาถึงได้ขี้อายขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละสิ่งที่ทำให้เขาสนใจในตัวเธอก็คือความไร้เดียงสาที่น่ารักเหลือเกินสำหรับเขา
โอ๊ะโอ เบสท์อยากจะให้รางวัลผู้กำกับหนังเรื่องนี้ซะจริง ๆ ที่สร้างฉากเศร้าได้จับใจขนาดนี้ หนูไวน์เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว พอถึงฉากสะเทือนใจเธอถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้แถมยังสะอื้นเบา ๆ ซะด้วยสิ แล้วสุภาพบุรุษอย่างเขาจะทนเห็นน้ำตาเธอได้อย่างไร เขาค่อย ๆ เลื่อนแขนขึ้นไปโอบไหล่เธอเบา ๆ เพื่อดูท่าที แต่ท่าทางหนูไวน์จะอินจัดจนลืมบรรยากาศรอบตัวไปหมด ฉะนั้นเขาจึงค่อย ๆ กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จนตัวของเธอมาพิงอยู่กับเขา ซึ่งสาวน้อยไม่ได้ต่อต้านอะไรหรือแม้กระทั่งความเขินอายที่เกิดเป็นประจำก็ไม่แสดงออกให้เห็น อาจเป็นเพราะเธอลืมตัวหรืออาจจะคิดว่านี่เป็นอ้อมแขนของพี่ชายเธอก็ได้ เขาไม่สนหรอกว่าเธอคิดว่าอะไรแค่ตอนนี้เธอยอมอยู่ในอ้อมกอดของเขาก็พอ
ยิ่งมาถึงฉากสุดท้ายที่พระเอกตามหานางเอกจนพบและกอดไว้แน่นเหมือนจะไม่ยอมแยกจากกันไปไหนอีกแล้ว เขาก็คิดถึงตัวเองถ้าเขาต้องถูกแยกออกจากหนูไวน์ของเขา เขาจะรู้สึกอย่างไร และถ้าวันหนึ่งได้มาพบกันอีกครั้ง เขาก็คงเป็นเหมือนพระเอกในเรื่องที่จะไม่ยอมให้เธอจากไปไหนอีก แต่แค่คิดว่าจะถูกแยกจากหนูไวน์เขาก็เริ่มทนไม่ได้ ความกลัวที่ไม่เคยเกิดกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ทำให้เขาลืมตัวกอดหนูไวน์แน่นขึ้นจนสาวน้อยรู้สึกตัว และเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองอิงอยู่กับอกกว้างของเขามาตั้งนานแล้ว เธอหันไปมองหน้าชายหนุ่มอย่างตกใจและสิ่งที่ไม่คิดมาก่อนก็คือ เขาค่อย ๆ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจเป่ารดแก้มของเธอ สาวน้อยหัวใจเต้นระรัวหลับตาแน่นเพราะไม่รู้ว่าแฟนหนุ่มคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะไม่รู้ว่าสถานการณ์อย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และเพียงไม่นานริมฝีปากอุ่น ๆ ของเขาก็ประทับที่แก้มนวลใสที่ตอนนี้ขึ้นเป็นสีเรื่อแต่ไม่มีใครมองเห็นเพราะในโรงหนังนั้นมืดสนิท แต่ความร้อนผ่าวที่แก้มนั้นไม่สามารถห้ามได้
เบสท์เลื่อนใบหน้าออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เขาเสียดายที่ทำได้เพียงแค่หอมแก้มเธอเท่านั้น ในวูบแรกของความรู้สึกเขาอยากจะจูบเธอด้วยซ้ำแต่ด้วยจิตสำนึกที่ดีย้ำให้เขานึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนของเธอ เขาเลยห้ามใจตัวเองไว้ทัน แต่อย่างไรก็ไม่สามารถอดใจตัวเองได้ ขอแค่หอมแก้มใสของสาวน้อยตรงหน้าก็ยังดี สำหรับเขาแล้วการแสดงออกถึงความรักจะกอดกันบ้างจูบกันบ้างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในเมื่อมากกว่านั้นเขาก็ยังทำได้แม้กระทั่งกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับหนูไวน์คนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เขารู้สึกว่าต้องถนอมและให้เกียรติเธอ เพียงแต่ว่าเขาขอชื่นใจบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นกำลังใจในความอดทนของเขาบ้างก็เท่านั้น นี่ละมั้งความรู้สึกอย่างที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาเคยบอก
“ถ้านายเจอคนที่ใช่ของนายเมื่อไหร่ นายก็จะเข้าใจว่าทำไมเมื่อคืนถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรากับน้องจ๋า”
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร ก็เพราะเธอเป็นคนพิเศษที่ต้องถนอมไว้ เธอมีค่ามากกว่าความต้องการเพียงชั่ววูบของผู้ชายเท่านั้น อย่างนี้หรือเปล่าที่แปลว่า รัก อย่างที่เพื่อนเขาเคยบอกและเขาก็หัวเราะเห็นเป็นเรื่องขำ
“พี่เบสท์” สาวน้อยเรียกชื่อเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ก้มหน้างุดด้วยความอาย ตอนนี้หนังฉายไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ยิ่งเป็นตอนจบด้วยน่าเสียดายที่ตอนนี้เธอไม่มีสมองพอจะจำได้ แค่ขณะนี้เกิดอะไรขึ้นเธอยังงง ๆ อยู่เลย แม้ว่าแฟนเธอจะชอบหยอดคำหวานกับเธอบ่อยครั้ง จับมือถือแขนหรือกอดเบา ๆ แล้วรีบปล่อยบ้างก็ตาม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาหอมแก้มเธอเลยซักครั้ง มีนี่แหละครั้งแรกเลยทำเธอถึงกับอึ้งจนคิดอะไรไม่ออก
ไฟสว่างขึ้นทั้งโรงแสดงว่าหนังจบไปแล้วและคนดูก็ทยอยกันออกจากโรง ไวน์ได้แต่แอบโทษแฟนอยู่ในใจที่ทำให้พลาดดูฉากจบที่ใคร ๆ ก็บอกว่าหวานที่สุดในเรื่องไป เธอต้องรีบลุกขึ้นก่อนที่เพื่อนรักทั้งหลายจะมาเห็นว่าพี่เบสท์กอดเธอเอาไว้ไม่อย่างนั้นฝ้ายคงเอาเรื่องแฟนตัวเองแน่นอน ถึงแม้จะเขินอยู่บ้างกับการกระทำของเขาแต่ไวน์ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกกับการที่ถูกเขาแอบชื่นใจเมื่อสักครู่
หลังจากออกจากโรงหนังยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลาของมื้อเย็น ทั้งหมดจึงตกลงที่จะเดินช็อปปิ้งแก้เซ็งกันไปก่อนโดยเต็มใจที่จะให้คู่หวานไปด้วยกันตามลำพังและนัดแนะเวลาเพื่อจะไปพบกันที่ร้านอาหารเลย เมื่อเพื่อนของเธอเดินแยกออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเลื่อนมือไปกุมมือสาวน้อยเอาไว้เพราะเธอไม่ยอมให้เขาจับมือต่อหน้าเพื่อน ๆ เพราะยังอายพวกเพื่อนอยู่ซึ่งเขาก็ยอมแต่โดยดีไม่มีการขัดใจให้สาวน้อยต้องเคือง
หนูไวน์เป็นสาวนักช็อปของแท้นายเบสท์ก็เพิ่งรู้วันนี้เอง เพราะปกติแล้วทั้งคู่ไม่ค่อยมีเวลามากเหมือนกับวันนี้จึงไม่เคยได้มาซื้อของด้วยกัน สาวน้อยเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ตลอดเวลาแค่ช่วงไม่กี่นาทีเธอก็ลองเสื้อผ้าไปเกือบ 10 ชุดแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าหนูไวน์จะลองชุดไหนก็ดูสวยน่ารักไปหมด จนเขาอยากจะเหมาทุกชุดที่เธอลองให้แต่สาวน้อยกลับไม่ยอม เธอเลือกร้านละชุดเท่านั้นแต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้มือของชายหนุ่มว่างได้เลย เพราะตอนนี้เขาถือถุงเสื้อของเธอปาเข้าไปก็ 5 ชุดแล้ว และตอนนี้หนูไวน์ก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นแผนกเครื่องสำอางซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าสาวน้อยจะซื้ออีกเท่าไหร่ ดีหน่อยที่แผนกนี้เธอแวะอยู่ที่ยีห้อเดียวไม่เดินเข้า ๆ ออก ๆ เหมือนซักครู่ สาวน้อยเลือกน้ำหอมกลิ่นใหม่ที่เขาบอกว่าชอบด้วยอย่างหนึ่ง แล้วก็ลิปสติกสีชมพูหวานอีกแท่ง มาสคาร่าอีกหนึ่ง ยังไม่นับพวกเครื่องบำรุงผิวอีกหลายชนิดที่เขาก็ไม่เข้าใจว่าสาวน้อยจะจำวิธีใช้ได้หมดได้อย่างไร แต่ที่ร้านนี้หนูไวน์ไม่ยอมให้เขาจ่ายเงินให้ไม่ว่าเขาจะพยายามชักแม่น้ำกี่สิบสายเธอก็ไม่ยอมท่าเดียวจนเขารู้สึกขัดใจ
“หนูไวน์ครับ ใช้บัตรพี่ดีกว่านะ”
“ไม่ดีค่ะ วันนี้พี่เบสท์ซื้อของให้ไวน์ไปตั้งเยอะแล้วนะคะ ของพวกนี้ให้ไวน์จ่ายเองดีกว่า” เธอรีบดึงบัตรเขาออกมาแล้ววางบัตรเธอไปแทนแล้วรีบกำชับให้นำบัตรไปรูดเดี๋ยวนั้น จนพนักงานต้องรีบไปพร้อมกับอิจฉาในความโชคดีของเธอที่มีแฟนที่ทั้งหล่อแล้วก็เอาใจเธออย่างกับอะไรดี
“หนูไวน์ พี่ไม่ชอบเลยนะที่หนูไวน์ไม่ยอมให้พี่จ่ายให้อย่างนี้ ของแค่นี้เองพี่ซื้อให้แฟนได้หรอกน่า หนูไวน์ทำให้พี่รู้สึกบกพร่องต่อหน้าที่นะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนงอนจนคนฟังต้องอมยิ้มกับความน่ารักของเขา แต่ก็อ้อนเสียงหวานเอาใจ
“โธ่ พี่เบสท์คะ อย่าคิดมากสิ ของใช้ของไวน์ก็ให้ไวน์ซื้อเองบ้างสิคะ ไม่อย่างนั้นไวน์ก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ละกันค่ะ ถ้าวันนี้ไวน์อยากได้อะไรอีกพี่เบสท์ค่อยซื้อให้แล้วกันนะคะ”
เบสท์ยิ้มให้กับความน่ารักของเธอ เขารู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาต้องออกเงินเพียงฝ่ายเดียว ไม่เคยมีใครเหมือนสาวน้อยคนนี้ไม่ว่าผู้หญิงกี่คนต่อกี่คนที่เขาควง พวกหล่อนจะต้องอยากได้โน่นได้นี่ตลอดเวลาและคอยออดอ้อนให้เขาซื้อให้อยู่เสมอ แล้วนี่เขาก็รู้ทันหรอกว่าที่เธอจะยอมให้เขาซื้อของให้อีกเพราะว่าตอนนี้ก็ใกล้เวลานัดที่ร้านอาหารแล้ว โอกาสที่จะได้ซื้ออะไรอีกก็แทบไม่มีเลย แต่ยิ่งเธอน่ารักอย่างนี้เขายิ่งอยากมีของขวัญให้เธอ
หลังจากออกจากแผนกเครื่องสำอางเพื่อไปร้านที่นัดกับเพื่อน ๆ ของเธอกันไว้ ทั้งคู่เดินผ่านร้านคริสตัลชื่อดังที่หน้าร้านโชว์หุ่นสวมสร้อยคอรูปเกล็ดหิมะขนาดน่ารัก ที่สาวช่างแต่งตัวอย่างหนูไวน์ต้องหยุดเดินดูอย่างสนใจแต่พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่บอกกับชายหนุ่มคนข้าง ๆ ว่าอะไรทำให้เธอทำท่าจะเดินต่อโดยหมายตาว่าวันหลังจะต้องมาดูสร้อยเส้นนี้ให้ได้ แต่ประกายความพอใจวูบแรกที่ได้เห็นสร้อยเส้นนี้สำหรับคนที่คอยมองเธอตลอดเวลาอย่างนายเบสท์จึงไม่หลุดรอดสายตาของชายหนุ่มไปได้ เขาจูงมือเธอเข้าไปในร้านทันทีเมื่อสาวน้อยทำท่าเหมือนไม่สนใจและไม่ว่าเธอจะเดินออกนอกร้านอย่างไรเขาก็จูงเธอเข้าไปในนั้นจนได้
“พี่เบสท์จะซื้อให้ใครเหรอคะ” สาวน้อยถามขึ้นหลังจากที่เข้ามาในร้านแล้วแฟนของตัวก็สั่งพนักงานว่าจะเอาสร้อยเส้นนั้นที่เธอเล็งไว้ทันทีโดยไม่ถามความคิดเห็นและเธอยังไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าอยากได้ ไม่พอแค่นั้นเมื่อพนักงานเสนอต่ออีกว่ามีสร้อยข้อมือและต่างหูที่ครบชุดกันน่าจะรับไปทั้งเซ็ต เขาก็สั่งซื้อโดยไม่ลังเลพร้อมส่งบัตรให้โดยที่เธอยังไม่พูดอะไรซักคำ
“ของหนูไวน์สิครับ จะให้พี่ซื้อให้ใครได้ล่ะ”
“แต่ไวน์ยังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าอยากได้ แล้วนี่พี่เบสท์ซื้อให้ไวน์อีกแล้ว วันนี้หมดไปตั้งเยอะแล้วนะคะ ไหนจะเลี้ยงหนังเพื่อนไวน์ตั้งหลายคน ไหนจะเลี้ยงข้าวอีกล่ะ แล้วเสื้อผ้าไวน์อีกตั้งหลายชุด พี่เบสท์สั่งยกเลิกเถอะค่ะ หรือไม่ก็เอาเฉพาะสร้อยคอก็ได้ ไม่ต้องสั่งทั้งเซ็ตหรอกค่ะ ไวน์เกรงใจ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับหนูไวน์ เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าวันนี้หนูไวน์จะซื้ออะไรอีกต้องให้พี่เป็นคนซื้อให้”
“แต่ไวน์ยังไม่ได้บอกเลยนี่คะว่าจะซื้อ”
“ก็หน้าหนูไวน์มันฟ้องว่าอยากได้นี่ครับ พี่รู้นะว่าถ้าหนูไวน์ไม่ซื้อวันนี้วันหลังก็ต้องมาซื้ออยู่ดี แล้วทำไมไม่ซื้อมันตั้งแต่วันนี้เลยล่ะ จริงไหม” เบสท์ดักคออย่างรู้ทัน
“แต่ไวน์เกรงใจนี่คะ พี่เบสท์ซื้อของให้ไวน์ตั้งเยอะ” เธอตอบเสียงอ่อยเพราะโดนเขาจับได้
“ไม่เอานะครับ ทีหลังอย่าบอกว่าเกรงใจพี่อีก เราเป็นแฟนกันนะ พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่จะดูแลหนูไวน์ ถ้าแค่ซื้อของที่หนูไวน์อยากได้ยังไม่ได้ พี่จะรู้สึกแย่ที่ดูแลหนูไวน์ไม่ดีนะครับ”
“แต่ว่า ...” หนูไวน์ยังพูดไม่จบคำพนักงานก็ถือถุงมาส่งให้กับชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว
“ไม่มีแต่ครับหนูไวน์ ถือซะว่าเป็นของที่ระลึกที่เรามาเดตกันก็ได้ นะครับ” ชายหนุ่มยื่นถุงให้หญิงสาวที่ตอนนี้ได้แต่ยิ้มเขินที่เขาพูดเต็มปากเต็มคำว่าทั้งคู่มาเดตกัน เพราะตั้งแต่คบกันมาเพิ่งมีวันนี้วันแรกที่ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน เธอไหว้ขอบคุณเขาอย่างสวยงามก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับ
“ต๊ายยยย ยัยไวน์ถือว่ามีคนถือของให้หรือไงจ๊ะ ถึงขนซื้อมาขนาดนี้” ฮันนี่เอ่ยแซวทันทีที่สองคนมาถึงที่โต๊ะเป็นคู่สุดท้าย
“อย่าอิจฉาเขาเลยฮันนี่ พวกเรามันไม่มีวาสนามีคนมาช่วยขน แค่มีปัญญาซื้อซะถุงสองถุงได้ก็บุญแล้ว” แชมเปญช่วยต่อมุกให้ เพื่อนที่เหลือได้แต่ส่ายหน้ากับสองสาวเทียมที่ช่างหยอกซะเหลือเกิน
“อยากได้อะไรกันล่ะครับ เดี๋ยวคราวหน้าพี่มาช่วยขนให้” ชายหนุ่มเพียงคนเดียวรับมุกอย่างครื้นเครงเพราะตอนนี้สาวน้อยแก้มกลายเป็นสีชมพูไปซะแล้วเมื่อโดนเพื่อนแซวแค่นิดหน่อยเอง
“ใจดีจังนะคะ แต่ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่ช่วยขนให้ไวน์คนเดียวก็พอแล้วค่ะ ยัยนี่น่ะมาช็อปทีไรลำบากเพื่อนต้องช่วยหิ้วทุกที” แซนด์เอ่ยแซวขึ้นบ้าง
“ไม่เป็นไรครับ ต่อไปหนูไวน์จะมาช็อปเมื่อไหร่โทร.มาบอกพี่ เดี๋ยวพี่มาเป็นพนักงานขนของให้เอง น้อง ๆ จะได้ไม่ลำบากไงครับ” ชายหนุ่มยิ้มระรื่นโต้ตอบ
“เป็นให้ได้ตลอดละกัน” ฝ้ายพึมพำเบา ๆ แต่เสียงก็ไม่ได้ค่อยจนคนอื่นไม่ได้ยิน ทำให้บรรยากาศที่คึกครื้นเมื่อครู่เริ่มจะกร่อย ดีว่าสองสาวหวานรีบช่วยกู้สถานการณ์โดยส่งเมนูให้ผู้มาใหม่ทั้งคู่
“อ้อว่าไวน์กับพี่เบสท์สั่งอาหารดีกว่านะคะ คนอื่นสั่งหมดแล้วค่ะ”
เมื่อคู่หวานเริ่มสั่งอาหารแซนด์ที่นั่งติดกับฝ้ายก็เอี้ยวตัวไปกระซิบกับเพื่อนให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เมื่อไหร่แกจะเลิกขัดพี่เขาซะที ดูซิเกือบทำไวน์จ๋อยแล้วเห็นไหม”
“ก็หมั่นไส้นี่หว่า แต่เอาเถอะ จะระวังมากขึ้นละกัน” ฝ้ายตอบไปอย่างนั้นแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้รึเปล่า เธอไม่ได้จะกีดกันแฟนเพื่อนแต่อย่างใด แต่อาการของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้แล้วก็อยากแกล้งก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรในกอไผ่จริง ๆ
ทั้งแปดคนร่วมกันทานอาหารที่เต็มโต๊ะกันอย่างมีความสุข บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหวานของคู่รัก และความเป็นกันเองของเพื่อนสนิทที่คบกันมานาน โดยที่ทุกคนไม่รู้ตัวเลยว่าจะต้องเจอกับพายุอารมณ์ลูกย่อม ๆ ที่จะพัดมาลงที่โต๊ะในไม่ช้านี้
ความคิดเห็น