ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Winter & Spring

    ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 49


    1. ชีวิตใหม่

     

                วันที่ 29 มกราคม 2549 ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา

    คุณค่ะ.......คุณค่ะ........คุณ...... เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกผม

    ผมลืมตาขึ้นมาและยังไม่ได้ลุกขึ้นมาจากที่นอน แต่ยังมีอาการงัวเงียอยู่ตามประสาคนเพิ่งตื่นนอน สิ่งแรกที่ผมมองเห็นคือ หลอดไฟสีขาว ในห้องเปิดไฟสว่างมากทำให้ผมไม่ทราบว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

    คุณค่ะ.......ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ เสียงผู้หญิงคนเดิมร้องบอก

    ผมเริ่มสงสัยว่าเค้าเป็นใคร เพราะเป็นเสียงที่ผมไม่คุ้นหูเลยสักนิด และที่แน่ๆ แม่ผมคงไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาที่ห้องนอนของผมเด็ดขาด และที่สำคัญที่บ้านผมก็ไม่มีใครลงทุนมาเรียกผมให้ลุกจากที่นอนเพื่อไปทานข้าวหรอก มันไร้สาระสิ้นดี ความงุนงงสงสัยเริ่มประดังเข้ามาในหัวผมเรื่อยๆ ผมจึงค่อยๆ หันไปตามเสียงที่เรียก ทันใดนั้น ผมตกใจมาก เพราะภาพที่ผมเห็นคือ นางพยาบาลในชุดสีขาวดูสะอาดสะอ้านยืนหันหลังอยู่ ด้วยเพราะผมกำลังตกใจจึงไม่ทันสังเกตถึงสภาพของห้องจนต้องรีบหันหน้ากลับมาพร้อมกับความงุนงงสงสัยมากกว่าเดิมนับสิบเท่า จนทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า นางพยาบาลจะมาทำอะไรที่บ้านผม? หรือว่านี่ไม่ใช่บ้านของผมหรือ? สมองผมเริ่มสับสนจนแทบจะสติแตก แล้วเธอก็พูดกับผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน นุ่มนวล

    ตื่นแล้วเหรอค่ะ........อย่าเพิ่งขยับขามากนะค่ะ มันยังไม่หายดีเท่าไร

                แน่นอนว่าผมไม่ได้หันไปมองหน้าเธอหรอก ทำไมนะเหรอ? เพราะผมกำลังตกใจอยู่นะสิ! แล้วที่เธอบอกว่าอย่าขยับขา มันหมายถึงอะไรละ? แต่จะว่าไปแล้วผมก็เริ่มรู้สึกเจ็บขาขึ้นมานิดๆ เหมือนกัน ในที่สุด ด้วยความที่อยากรู้มากๆ ว่าขาผมมันเป็นอะไรกันแน่ ผมยกหัวหัวขึ้นจากหมอนที่ผมหนุนแล้วก้มมองที่ขาของตัวเอง

    ขาหัก! ขาหักทั้งสองข้างเลย!” ผมร้องลั่นห้องด้วยความตกใจสุดขีด

    ใจเย็นๆ นะค่ะ อย่าเพิ่งขยับขานะเธอบอกผม

    นี่..........ผมอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอครับ?” ผมหันหน้าไปถามเธอ

    ใช่แล้วค่ะ......คุณถูกส่งมาที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้เอง แต่ไม่ต้องกังวลนะ แค่ขาหักเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็หาย เธอบอกผมด้วยรอยยิ้ม

    แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอครับ?” ผมถามเธออีกครั้ง

    เธอก้มดูนาฬิกาแล้วตอบผม หกโมงเย็นแล้วค่ะ

                แต่ตอนนี้คุณต้องทานข้าวก่อนนะค่ะ......ขืนไม่ยอมทานอะไรเข้าไป ขาจะไม่หายนะ และอาจจะได้ออกจากโรงพยาบาลช้ากว่ากำหนดด้วย

                เธอพยุงร่างผมขึ้นมานั่ง และจัดแจงเตรียมโต๊ะเพื่อที่จะวางอาหารให้ผมรับประทาน

    ครับ........ขอบคุณมากนะครับ

                ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ แล้วเธอก็เดินออกไปจากห้อง

                ตอนนี้ผมได้แต่ตั้งสติรับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ตรงหน้าผมมีข้าวสวยที่กำลังร้อนได้ที่จนเห็นไอลอยขึ้นมา และแกงจืดเต้าหู้ที่นางพยาบาลนำมาให้ พร้อมกับกล้วยบวชชีเป็นของหวานตบท้าย ผมเริ่มกวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่ผมอยู่ มันเป็นห้องคนไข้ที่มีอยู่สองเตียง เตียงที่ผมนั่งอยู่นั้นอยู่ติดริมหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองเห็นวิวภายนอกได้ ส่วนอีกเตียงหนึ่งเป็นของผู้ชายวัยกลางคน อายุประมาณ 40 50 ปี นอนหลับอยู่ ผมนั่งทานอาหารพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อคืนนี้ ซึ่งภาพต่างๆที่ผมนึกถึงนั้นปรากฏออกมาอย่างชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบนาทีที่แล้ว ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมากับตัวของผมเอง ผมจับช้อนด้วยมือที่สั่นรัว น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ใช่แล้ว! มันเป็นความรู้สึกเสียใจที่ยากจะอดกลั้นอยู่ได้ ผมปล่อยช้อนให้ตกลงถาดที่ใส่อาหาร แล้วยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเอง แต่ไม่ว่าผมจะเช็ดไปกี่ครั้งๆ น้ำตาของผมก็ยังไหลไม่ยอมหยุด จนทันใดนั้นเอง ก็มีคนเปิดประตูเข้ามาในห้องขณะที่ผมกำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่ ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองไม่ได้สนใจแล้วว่าคนที่เข้ามานั้นจะเป็นใคร และผมก็ไม่อายด้วย เพราะว่าความรู้สึกเสียใจของผมนั้น มันต้องการที่จะระบายออกมาในเวลานี้ และตอนนี้ด้วย

                เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ.......มีอะไรพอที่ฉันจะช่วยได้มั้ย........จะให้เรียกพยาบาลให้มั้ยค่ะ เสียงของหญิงคนหนึ่งถามผม และเสียงนั้นก็ดังมาจากข้างๆ เตียงที่ผมนั่งอยู่ด้วย

                อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ตอนนี้ผมรู้สึกอายขึ้นมานิดๆ แล้ว เพราะเธอเริ่มเข้ามาจับที่ตัวผม เพื่อดูว่าผมเป็นอะไรรึเปล่า จนผมต้องรีบเช็ดน้ำตาและหันกลับไปตอบคำถามเธอ ก่อนที่เธอจะตกใจจนต้องเรียกพยาบาลเข้ามาดูผม

                ผมไม่เป็นไรหรอกครับ.........แค่นึกอะไรเพลินๆ จนน้ำตามันไหลออกมาเท่านั้นเอง

                ผมต้องตลึงเมื่อเห็นเธอคนนั้น เธอเป็นผู้หญิงผิวขาว มีตาชั้นเดียว น่าตาน่ารักมาก สูงประมาณ 160 ซ.ม. รูปร่างสมส่วน ผมจ้องเธอตาแทบค้างจนน้ำตามันหยุดไหลไปเองโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว เธอยิ้มให้ผมและตอบผมกลับมาว่า

                ค่ะ......ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เรานึกว่านายเจ็บขามากจนร้องไห้ เกือบวิ่งไปเรียกพยาบาลแล้วมั้ยละ

            ขอบคุณมากครับ.......ขอโทษนะครับที่ทำให้ตกใจ ผมตอบเธอด้วยเสียงอายๆ

                ไม่เป็นไรหรอก.......แล้วนายไม่มีใครมาเฝ้าไข้เหรอ ขาหักอย่างนี้คงทำอะไรไม่ค่อยสะดวกนะ เธอถามผม

                ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ.......พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นใครเลย ทั้งคุณพ่อคุณแม่แล้วก็น้องด้วย สงสัยจะมาเยี่ยมแล้วละครับ แต่เป็นตอนที่ผมหลับอยู่มั้ง อีกอย่างตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้วด้วย คงกลับบ้านกันหมดแล้วละครับ

                อย่างนั้นเองเหรอ ถ้ามีอะไรอยากให้เราช่วยก็บอกเราได้นะ พอดีเรามาเฝ้าไข้พ่อที่นอนอยู่เตียงข้างๆ นาย เรามาทุกวันเลยนะ เออ! ลืมถามไป นายชื่ออะไรเหรอ? เราชื่อหมวยนะ เนี่ยเป็นเพื่อนกันไว้นะ เพราะเรามาเฝ้าไข้พ่อทุกวันไม่มีเพื่อนคุยเลย เหงามากเลย เธอทำท่าตื่นเต้น พร้อมกับยิ้มไม่ยอมหยุด

                เราชื่อมิ้นท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะหมวย

                เธอหัวเราะเบาๆ ชื่อนายเหมือนชื่อของผู้หญิงเลย ชื่อน่ารักดีนะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน......งั้นเดี๋ยวเราขอตัวไปดูพ่อก่อนนะ นายก็ทานข้าวให้หมดละ จะได้หายไวๆ

            ครับ แล้วมาคุยกะเราบ้างก็ได้นะ

                จ้า เดี๋ยวจะมาชวนคุยจนนายเบื่อเราไปเลยเธอตอบผมและเดินกลับไปทางเตียงที่พ่อของเธอนอนอยู่

                อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้วหลังจากที่ได้คุยกับหมวย มันทำให้ผมลืมเรื่องที่ผมกำลังนึกอยู่ เธอทำตัวเป็นกันเองกับผมมาก น่าแปลกนะ สำหรับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก เธอไม่มีอาการเกร็งเลย แต่กลับเป็นผมมากกว่าที่ไม่ค่อยจะกล้าสบตากับเธอ แต่ที่น่าแปลกกว่าก็คือ เธอมีอะไรพิเศษๆ ต่างจากคนทั่วๆ ไป

                นี่ก็สามวันแล้วที่ผมได้รู้จักกับหมวย เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ผมสนิทกับหมวยมากขึ้นภายในเวลาแค่สามวัน จะว่าไปแล้วก็เพราะว่าหมวยเข้ามาชวนผมคุยจนเราทั้งคู่สนิทกันมากกว่า พักหลังมาหมวยเริ่มมาที่โรงพยาบาลเร็วขึ้น ผมก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะว่าหมวยอยากจะมาหาผมหรือเปล่า หรืออาจเป็นเพราะว่าหมวยเป็นคนขี้เหงาเหมือนกับผม หมวยเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในตัวเมืองโคราช หมวยเรียนอยู่ปี 2 คณะบริหารธุรกิจ การโรงแรม หมวยเป็นคนพูดจาไม่ค่อยหวานเท่าไร นานๆ ครั้งจะได้ยินคำว่า ค่ะ ออกจากปากของหมวย แม้แต่เวลาหมวยพูดคุยกับพ่อ เท่าที่ผมสังเกตแล้ว หมวยคงจะรักพ่อของหมวยมาก และพ่อของหมวยก็คงจะรักหมวยมากเช่นกัน ทั้งคู่เข้ากันได้ดีเหมือนกับเพื่อนที่รู้ใจกัน หมวยแนะนำผมให้รู้จักกับพ่อของหมวย และผมก็แนะนำหมวยให้รู้จักกับทางพ่อแม่และน้องของผมเช่นกัน หมวยชอบเดินลงไปซื้อขนมที่ร้านขายขนมในโรงพยาบาล แน่นอนว่าหมวยไม่เคยลืมที่จะแบ่งขนมให้ผมทาน หมวยเป็นคนทานเก่งมากแต่ผมสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่อ้วนเลย ผมเคยล้อเธอเรื่องทานขนมหลายครั้ง และทุกครั้งเธอก็ทำหน้าตาไม่ค่อยพอใจ และคิดหาเรื่องมาล้อผมคืนเช่นกัน ผมรู้ว่าเธอไม่ถือหรอก เรื่องล้อกันมันเป็นเรื่องธรรมดา จนมันทำให้ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากออกจากโรงพยาบาลซะแล้วสิ (หัวเราะ)

                วันนี้ก็เช่นกัน หมวยเข้ามาที่โรงพยาบาลตอนบ่ายสี่โมงเย็น พร้อมหอบถุงขนมมา 2 3 ถุง หมวยเข้ามานั่งทานขนมอยู่ข้างๆ เตียงของผม เนื่องจากพ่อของหมวยเพิ่งทานยาแล้วนอนหลับพักผ่อนอยู่

                นี่มิ้นท์.........ทำไมนายถึงขาหักหล่ะ? เล่าให้เราฟังหน่อยดิ

                ผมแทบจะทำถุงขนมหลุดมือ มันเหมือนมีใครเอาเข็มมาแทงที่สมองของผม ภาพเก่าๆ ที่ผมพยายามลืมมันไป ย้อนกลับมาที่หัวของผมอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เคร่งเครียดได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้หมวยตกใจ

                มิ้นท์.......นายเป็นอะไรรึเปล่า ถามแค่นี้ทำหน้าเครียดเชียวนะ หมวยรีบถามผมแกมหยอกเล่นให้ผมหายเครียด

                หมวยอยากรู้จริงเหรอ?” ผมมองหน้าหมวยแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เศร้า

                เราก็อยากรู้นะ.........แต่ท่าทางนายจะไม่สบายใจ ถ้านายไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้นะ..........เราขอโทษนะที่ถามนาย

                หมวยลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ และกำลังจะเดินกลับไปที่เตียงของพ่อเธอ ผมรีบคว้าแขนของหมวยไว้ ทำให้เธอหันหน้ากลับมาที่ผม

                เราจะเล่าให้หมวยฟัง............แต่เรื่องมันยาวมากเลยนะ ผมรีบบอกเธอ

                ไม่เป็นไร ยาวแค่ไหนเราก็ฟังได้........แต่มันเป็นเรื่องอะไรเหรอถึงทำให้นายไม่สบายใจขนาดนี้ หมวยซักไซ้ด้วยความอยากรู้ปนวิตก

                คือว่า...................

     

    จบตอนที่ 1. ชีวิตใหม่

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×