ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic B.A.P] Le Ciel Bleu (The Blue Sky) - BangChan

    ลำดับตอนที่ #5 : Leather Jacket & Black Suit

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 59


    Le Ciel Bleu 5 
                              Leather Jacket & Black Suit                                                                                                                   CR.SQW



     

    Wear it Feel it Love it 
     

                 

                    หนุ่มน้อยรูปร่างผอมเพรียวกำลังวิ่งไปทางท่าเรือที่เต็มไปด้วยเรือสำราญสีขาวลำใหญ่ไปจนถึงลำเล็กจอดเทียบท่าเรียงรายอยู่เต็มอ่าวแห่งนี้ เสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนของเขาดูเข้ากับเหล่าอาคารด้านหลังในโทนสีพาสเทลที่สร้างอยู่บนริมฝั่งทะเล ผมสีดำสนิทพริ้วไสวไปตามแรงลมที่พัดมาเบาๆ ต้อนรับรุ่งอรุณของวันใหม่ เขายกมือป้องกันแสงแดดอ่อนๆ หยีตามองไปทางสะพานไม้ยาว รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากได้รูป เมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นตากำลังยืนชมวิวอยู่ตรงเกือบสุดสะพานไม้ยาว จึงรีบเดินแกมวิ่งพลางร้องเรียกอีกฝ่าย

     

    พี่ยงกุกครับเสียงใสๆ ร้องขึ้นพร้อมโบกมือทักทายไปมา ร่างสูงที่ดูโดดเด่นด้วยชุดยีนส์สีเข้ากับท้องฟ้า ก็ค่อยๆหันมา และเดินอมยิ้มเบาๆ ให้กับน้องชายคนสนิท

    นอนไม่พอรึยองแจ ทำไมตาแดงๆเสียงแหบต่ำถามอีกฝ่ายขึ้นด้วยความห่วงใย

    ก็.... เปลี่ยนที่นอน เลยนอนไม่ค่อยหลับครับคนตัวเล็กกว่าพูดตอบในขณะที่หันหลังเดินนำพี่ชายกลับไปยังบนถนน

    เมื่อคืนนี้พี่ฮิมชาน โอเคไหมครับ ผมกังวลมาก รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องรบกวนพี่ยงกุกเขามองเห็นถึงความรู้สึกวิตกกังวลที่ปรากฏอยู่ในแววตาของน้องชาย

     ก็...เหมือนอย่างที่ยองแจบอกพี่น่ะแหล่ะ

    ฝันร้ายใช่ไหมครับ แต่ไม่ได้มีอาการอย่างอื่น และไม่ตื่นขึ้นมาใช่ไหมครับ

    คนเป็นพี่ไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงพยักหน้าตอบ

    เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และเหตุการณ์เมื่อคืนมันช่วยไม่ได้จริงๆ ผมดีใจที่พี่ยงกุกอยู่ที่นั่นนะครับ และเพราะเป็นพี่ด้วยผมถึงไม่ต้องกลัวในเรื่องที่เป็นความลับเหล่านี้จะแพร่งพราย ขอโทษที่ต้องรบกวนพี่นะครับ...น้องชายพูดแสดงความรู้สึกเชื่อใจและซาบซึ้งที่มีต่อพี่ชาย


    คนเป็นพี่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มน้อยๆพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะก้าวยาวๆ จนมาทันคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า แล้วใช้นิ้วเรียวสวยขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าอย่างเอ็นดูและโอบไหล่น้องชายเดินอย่างช้าๆ เพื่อไปยังรถตู้สีขาวที่จอดรออยู่ตรงท่าเรือ

    _____________________________________________________________________________________

     

                      บรรยากาศในรถเงียบสนิท เพราะนอกจากระบบขับเคลื่อนที่แทบจะไม่ได้เสียงเครื่องยนต์อยู่แล้ว คนร่วมทางของเขาทั้งสองคนกลับหลับสนิทตลอดการเดินทางเช่นกัน เขาได้ยินเสียงพ่นลมหายใจเบาๆของน้องชายที่นั่งทางขวามือเขาที่หลับสนิทบนเบาะนุ่มที่ปรับเอนลง ส่วนนายจ้างที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก็นั่งพิงเบาะหลับตาพริ้มนิ่ง นั่งนิ่งวางประสานมือหลวมๆวางไว้บนตัก ไหล่กว้างตั้งตรงพิงกับเบาะ

                     ตัวเขาเองถึงแทบจะไม่ได้นอนเพราะไปนั่งเฝ้าเจ้าของปราสาท กว่าจะกลับมานอนที่ห้องตัวเองได้ก็ดึกมากเมื่อฝนเริ่มซาและแน่ใจว่าไม่มีฟ้าผ่าลงมาแล้ว แต่ด้วยความสงสัยอย่างหนักก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่รุ่งเช้า เพื่อค้นหาเกี่ยวกับความเป็นมาของตระกูล เดอ ฟลอเร่ ที่ได้ยินจากคำบอกเล่าของลุงโจ เขาเข้าไปค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงข่าวธุรกิจมากมาย  ก่อนที่จะลงมารับประทานอาหารเช้าในระหว่างที่รอนายจ้างตระเตรียมทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยเพื่อออกเดินทาง และแม้ในระหว่างที่นั่งอยู่นี้นิ้วเรียวสวยของเขาก็ไม่หยุดที่จะคลิกลงบนแท็ปเล็ตเพื่ออ่านข้อมูลและตอบข้อสงสยในใจเขา

     

                     เขาคิดทบทวนอย่างคร่าวๆ จากที่พอจะรู้มาบ้างและจากที่ค้นหาเพิ่มเติม โดยตระกูลเดอ ฟลอเร่ หนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นสูงของฝรั่งเศส เป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อเรือและการเดินเรือตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ยุคแห่งการสำรวจ รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการค้าขายกับหมู่เกาะต่างๆ ระหว่างทาง รวมไปจนถึงดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยความที่เป็นกลุ่มการค้าสำคัญที่นำของมาจากทั่วทุกมุมโลก และมีผู้นำตระกูลที่ชาญฉลาดในแต่ละรุ่น ดำเนินนโยบายของบริษัทที่เป็นกลางสนับสนุนทุกฝ่ายเพื่อการค้าขายอย่างแท้จริง ทำให้สามารถเป็นหลักในการทำการค้ากับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นในช่วงเศรษฐกิจที่แทบจะล้มละลายของฝรั่งเศสหลังสงครามนโปเลียน บริษัทก็สามารถหยัดยืนอยู่ได้ จนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จำเป็นต้องจำใจยอมโดนเอาเปรียบเพื่อให้ความสนับสนุนกับฝ่ายเยอรมัน ที่มายึดครองแถบชายฝั่งของฝรั่งเศสเป็นที่มั่น พอช่วงจบสงครามก็ได้รวบรวมบริษัทในเครือข่ายที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั้งหมด เพื่อจดทะเบียนและก่อตั้งบริษัทในนาม Royal Line International ในช่วงปี 1974 บริษัทพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเครือกิจการยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับเรือเดินสมุทรประเภทต่างๆ มีบริษัทลูกยิบย่อยมากมายในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือเพื่อดูแลและบริหารกิจการควบคุมตั้งแต่เรือขนส่งสินค้าในทั่วทุกภูมิภาคของโลก รวมไปถึงเรือสำราญหรูล่องทะเล และในตอนนี้ทางบริษัทแม่ก็ได้เข้าซื้อกิจการของผู้ประกอบการต่อเรือในหลายภาคส่วนเข้าไว้ด้วยกันเพื่อขยายบริษัทให้เข้าไปเป็นฐานผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการต่อเรือในทุกประเภทโดยเฉพาะ และยังไม่รวมกิจการที่เข้าไปถือหุ้นในบริษัทต่างชาติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการคมนาคมต่างๆ หรือจะเป็นร่วมลงทุนในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาที่ดินทำสิ่งปลูกสร้างในย่านธุรกิจและเขตต่างอากาศเพื่อทำกำไรแถบทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ

     

                            แต่ข้อมูลทั้งหมดที่เขาพยายามค้นหากลับไม่แสดงว่าตระกูลมีความเชื่อมโยงทางธุรกิจใดๆกับ ตระกูลคิม เจ้าของกิจการในเครือ คิม คอร์ปอเรชั่น ผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนประกอบหลัก ๆ ที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์ดิจิตอลที่เป็นนวัตกรรมล่าสุดของโลกในศตวรรษที่ 21  รวมไปถึงการส่งออกสินค้าแบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร

     

              รู้สึกว่าจ้องจอแท็บเล็ตจนรู้สึกปวดตา เขาจึงต้องการหยุดพักความคิดไว้ชั่วครู่ โดยสลับพักสายตามองคนตรงข้ามอยู่เป็นระยะ แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านหมู่แมกไม้ระหว่างทาง ตกลงมาเป็นเงาสะท้อนดูเปนสีทองระยิบระยับลงบนผมสีน้ำตาลและผิวหน้าขาวเกลี้ยงเกลาที่งามดั่งรูปปั้น

     

                            ไม่แปลกถ้าลูกจ้างอย่างเขาต้องการสืบประวัติความเป็นมาของนายจ้างบ้าง แล้วยิ่งนายจ้างของเขายิ่งค้นไปก็ยิ่งดูลึกลับ ความอยากรู้จึงเพิ่มเป็นทวีคูณ เขาสงสัยตั้งแต่ที่ทำไมคุณอาซึ่งเป็นทนายความและที่ปรึกษาอาวุโสประจำตระกูลคิมต้องส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่มีอนาคตไกลมาเป็นคนติดตามศิลปินนักเปียโนร่วมสมัยอย่างคิมฮิมชาน ยองแจเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลที่เพียบพร้อมทั้งคุณวุฒิที่จบการศึกษาเกียรตินิยมทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ พ่วงด้วยประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณมากมายทั้งทางด้านการเรียน การแข่งขันกีฬาและกิจกรรมต่างๆ ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าไปฝึกและเรียนรู้งานในบริษัทกฎหมายชื่อดัง และได้รับการทาบทามเข้าทำงานในตำแหน่งของทีมที่ปรึกษาผู้บริหารระดับสูงทั้นทีที่เรียนจบ แต่คุณอากลับส่งยองแจผู้ฉลาดเฉลียวมาคอยติดตามศิลปินคนนึง แล้วคิมฮิมชานมีความสำคัญอยู่ในระดับไหนของตระกูลคิม จริงๆ หากเขาอยากรู้อะไรเพิ่มเกี่ยวกับ คิม ฮิมชาน เขาแค่เอ่ยปากถามยองแจก็คงจะได้ แต่คนที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวใส่ใจกับเรื่องส่วนตัวของใครอย่างเขา หากถามซอกแซกมากเกินไป คงโดนน้องชายสุดซี้มองเขาแบบพิลึกๆ

     

                    สายตาคมมองรูปปั้นที่ชีวิตที่หลับตานิ่งตรงหน้าเต็มไปด้วยความสนใจ ทำไมพอยิ่งค้นก็ยิ่งสงสัยแล้วก็ยิ่งอยากรู้ นึกแปลกใจกับตัวเองอยู่เหมือนกันเขาไม่เคยรู้สึกอยากจะรู้เรื่องของใครแบบนี้

     

                    จู่ๆ คำบอกเล่าของน้องชายก็ดังขึ้นมาในหัว ก่อนที่จะขึ้นรถเมื่อช่วงเช้า

     

    .... อีกอย่างพี่ฮิมชานไม่ชอบการนั่งรถไกลๆครับ จริงๆแล้ว ค่อนข้างลำบากนิดนึงเวลาต้องเดินทาง พี่เขา.เอ่อ.พยายามหลีกเลี่ยงอยู่ในที่แคปหรือปิดทึบ.. แต่ตอนนี้ก็พยายามมากขึ้นเยอะเลยน่ะครับ” 

     

                          เขาแค่รับฟังการบอกเล่าจากน้องชายเฉยๆ ได้แต่คิดเสมอว่าทุกคนบนโลกนี้ไม่มีใครที่จะไม่มีปัญหา บางทีคนเราที่ภายนอกดูสมบูรณ์แบบในทุกด้าน แต่ภายในกลับดูเปราะบางจนน่าเห็นใจ

     

    _____________________________________________________________________________________

                      
                        ในเวลาเกือบจะเที่ยง รถตู้ได้พาผู้ร่วมเดินทางมาถึงละแวกตึกแถวเก่าๆที่สร้างเรียงขึ้นมาในแบบเดียวกัน สีน้ำตาลอ่อนของตัวตึกผสมกับแบบของอาคารบ้านเรือนที่ยังคงความคลาสสิคเอาไว้ในยุค 6
    os ดอกไม้ที่ปลูกเรียงรายตามรายทางเริ่มผลิดอกเพิ่มสีสันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาถึง

     

                       สถาปนิกหนุ่มหลังจากก้าวลงมาจากรถ ก็ยืนชมอาคารในแถบละแวกนั้น กวาดสายตาไปรอบด้าน จนท้ายสุดมาหยุดอยู่ที่ลำคอขาวๆของคนที่อยู่ด้านหน้า ผมที่ตัดแต่งเป็นระเบียบ เส้นผมด้านหน้าที่ระบนใบหน้า ปลิวไปมายามเมื่อลมพัด ไหล่กว้างตั้งตรง และการเคลื่อนไหวที่ดูสง่างามไปทุกอิริยาบถ ร่างสูงโปร่งค่อยๆก้าวเดินขึ้นบันไดที่ไม่สูงมาก เพื่อกดกริ่งที่ประตูสีแดง

     

                         พอประตูเปิดออกชายหนุ่มผู้ดูเงียบขรึมอยู่ตลอด กลับคลี่ยิ้มกว้างก่อนโน้มตัวลงกอดสตรีรูปร่างท้วมที่มาเปิดรับอย่างดูออดอ้อนเหมือนเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ

                         ซาลู ป้ามาทิลดา คิดถึงจังเลยครับเสียงทุ้มโทนต่ำในแบบที่พูดยามปกติ กลับฟังดูเป็นโทนสูงขึ้น เริ่มออกแรงแกล้งรัดคนในอ้อมกอดไว้แน่น โอ๊ยหายใจไม่ออกแล้วคุณฮิมชาน ปล่อยป้าค่ะเสียงแหลมตะโกนลั่นฟังดูอ่อนโยน บงชูว์ อา ตุส เข้ามาก่อนค่ะ ทุกคน ป้าเตรียมอาหารไว้ใกล้จะเสร็จแล้ว มาๆ หนูยองแจลงมาจากรถไวๆ เมล่อนหวานๆ ของโปรดหนูมีเพียบ

     

                           ผมจะได้ชิมเมล่อนอร่อยๆ ใช่ไหมครับ ป้ามาทิลดา สวัสดีครับ มากาไวยยงต้องเมล่อนนะครับเสียงทักทายฟังดูวกวนไปมา คนพูดดูงัวเงีย ขยี้หัวตัวเองตอนเดินลงมาจากรถ เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งตื่น

     

                              ยงกุกหันไปดูน้องชายและยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาสังเกตเห็นว่าวันนี้น้องชายเขาดูไม่สดชื่นเหมือนทุกวัน เพราะนอนหลับมาตลอดทาง แต่ก็อาจเป็นเพราะเมื่อคืนต้องยุ่งวุ่นวายลงมาส่งแดฮยอนที่อ่าวและก็นอนที่ั่นั่น เขาค่อยๆเดินตามร่างสูงเพรียวเข้าไปในตัวอาคาร เสี้ยวหนึ่งของใบหน้าขาวนวลที่ปกติจะนิ่งเหมือนรูปสลัก กลับแสดงสีหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสดวงตาเป็นประกาย ลมพัดผ่านทำให้ผมเส้นเล็กสีน้ำตาลเข้มปลิวพริ้วไหว ยงกุกสูดอากาศตรงหน้าเข้าเต็มปอด พลางคิดอากาศของฤดูใบไม้ผลิช่างสดชื่นและหอมหวลอะไรเช่นนี้

     

    _____________________________________________________________________________________

                           ในระหว่างที่รออาหารมาเสิรฟ์หนุ่มน้อยตัวบางเดินหลบผู้คนมาบริเวณสวนหลังบ้านที่ต้นไม้ขนาดใหญ่กำลังค่อยๆ งอกกิ้งก้านสาขาและเปลี่ยนสี เรือนกระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ถัดออกไป ด้านหน้ามีทางที่เดินลัดไปยังพื้นที่กว้างขนาดใหญ่หลังบ้าน ได้  เห็นลูกเมล่อนเขียวๆ อยู่ในกระถางตั้งเรียงกันเป็นระเบียบในเรือนเพาะชำ

     

              เดินอยู่สักพัก ก็จำไม่ได้ว่ามานั่งอยู่ม้านั่งสีขาวภายในเรือนเพาะชำได้อย่างไร เขารู้สึกเหนื่อยและอยากจะทิ้งตัวลงให้หลับไหลโดยไม่ต้องรับรู้กับทุกสิ่ง ได้แต่นึกถึงมือที่ยึดจับรั้งตัวเขาไม่ให้ไปไหน นึกถึงอ้อมแขนที่รัดแน่นยากที่จะผละออก

    ยองแจ ทำไมนายถึงอ่อนแอแบบนี้นะเขาได้แต่พูดกับตัวเอง

     

                        ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง จนเห็นขนตายาวทาบลงมาบนผิวหน้าขาวนวล ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ช่างน่าทะนุถนอม  แต่ในความเป็นจริงความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับมันช่างยิ่งใหญ่มากนัก ความคิดในหัวดูสับสนอลหม่าน เรื่องเก่าๆ ที่น่าเจ็บปวดหวนมาให้นึกถึง

     

    คุณพ่อครับ ผมไม่อยากเรียนกฎหมาย

     

                    เด็กผู้ชายตัวเล็กรวบรวมความกล้าที่สุดในชีวิตเพื่อบอกกับคุณพ่อของเขา แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือแววตาวิงวอนของคุณพ่อที่พยายามสื่อให้เขาเข้าใจในหน้าที่และสิ่งที่เขาต้องดูแลและปกป้อง

     

     

    พ่อว่า ลูกเข้าใจนะกับหน้าที่และความรับผิดชอบว่าลูกต้องทำอะไร

     

                  เขาพยายามเตือนตัวเองมาโดยตลอดเพื่อทำ หน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด นี่คือชีวิตของเขาที่ถูกกำหนดตีกรอบขีดเส้นไว้ให้เดิน เขายอมรับมันแต่โดยดีตั้งแต่เริ่มก้าวที่หนึ่งด้วยซ้ำ  หากแต่มีบางครั้งที่เขาก็รู้สึกท้อและเหนื่อยเช่นกัน

     

                  จนมาวันหนึ่งเหมือนมีคนมาทำให้เขาเข้มแข็งมากขึ้น ได้มีคนมาช่วยถ่ายทอดและเป็นแรงกำลังใจต่อสู้กับความเหนื่อยล้า ความอ่อนแอกลับถูกแทนที่ด้วยพลังใจแข็งแกร่งที่ใครคนนั้นมอบให้มา ความรู้จักเมื่อตอนแรกเริ่มเป็นความคุ้นเคยและสุดท้ายกลายเป็นสายใยของความผูกพัน คนคนเดียวเท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อตัวเขามากขนาดนี้ หลายครั้งที่เขาไม่พยายามคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองควรจะหยุดตรงแค่คำว่าเพื่อน ถึงตัวเขาเองจะรู้สึกมากกว่านั้น เรื่องผิดพลาดที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจที่ไม่ควรเกิดขึ้น เขาพยายามไม่นึกถึงมันและจะไม่เคยมีใครล่วงรู้ถึงความลับนี้  

     

                  รู้สึกเหมือนมีน้ำอุ่นๆเริ่มซึมออกมาทางขอบตาที่เริ่มจะแดงช้ำมากกว่าเดิม อาจเป็นเพราะเจ้าตัวแทบไม่ได้นอนเลย

    เมื่อคืนนี้ นั่งชันเข่าค่อยๆเอาใบหน้าซบลงอย่างช้าๆ น้ำตาค่อยๆไหลซึมไปบนกางเกงผ้าฝ้ายจนผิวรู้สึกถึงความชื้น

     

    อย่าเพิ่งไป…”

     

    เสียงทุ้มร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่รู้สึกตัว พร้อมกับยื้อยุดฉุดฉุดข้อมือไม่ให้อีกคนไปไหน

    จนคนที่ตัวเล็กกว่าล้มลงไปบนผ้าสีขาวบนเตียงขนาดใหญ่

     

    อือ.. อยู่กับเราดิ เอิ้ก อือ…”

     

                    ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนแรงจากร่างของ คนที่นอนแทบจะไร้สติ ตากลมหวานที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าหมองมองใบหน้าคมเข้มที่นอนหลับตาอยู่ตรงข้าม พยายามดึงแขนตัวเองออกมา แต่อีกฝ่ายก็ดึงกลับไป มือที่แข็งแรงกว่าก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นมา เพื่อจับมือเล็กๆของอีกฝ่าย ก่อนสอดประสานนิ้วมือเรียวของตัวเองเข้าไว้ด้วย และออกแรงดึงเหมือนอยากให้อีกฝ่ายให้เข้ามานอนใกล้ๆ กันมากขึ้น

                 

       ร่างทั้งสองนอนขนานกันไปบนเตียง มีมือที่จับสอดประสานกันไว้แน่น วางแนบอยู่บนอกของคนที่ตัวใหญ่กว่าราวกับจะเป็นสิ่งที่เชื่อมร่างที่นอนขนานเข้าไว้ด้วยกัน 

     

     

                     ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนถูกซ้อนด้วยภาพความทรงจำเมื่อวันวาน ภาพที่เขาคิดว่าได้ซ่อนมันไว้ในเบื้องลึกของจิตใจจนค่อยๆลางเลือนไปแล้ว หากแต่การสัมผัสแบบนี้จากคนที่เรียกว่าเพื่อนสนิทกับปลดล็อคกล่องแห่งความทรงจำได้อย่างง่ายดาย

     



     

    ภาพเก่าๆเหมือนฉายทับขึ้นมา

     




     

                      ในค่ำคืนแห่งความบ้าคลั่ง ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงหลังจากสอบเสร็จในภาคฤดูร้อน เขายังจำห้องที่มืดสนิท กับร่างของอีกฝ่ายที่ถาโถมใส่เพราะความไร้สติจากแอลกฮอล์ ลมหายใจร้อนที่ลดต้นคอ ไรหนวดสากๆที่ทิ่มลงไปบนผิวหน้าของเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่ริมฝีปากไล้ไปทั่วแก้ม และพยายามที่จะฝังรอยจูบช้ำไว้ที่ลำคอของเขา เขาพยายามปัดป้อง และยกมือขึ้นดันร่างนั้นออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จด้วยความที่มึนหัวและอ่อนแรงเพราะร่างกายที่เต็มไปด้วยปริมาณแอลกฮอล์ไม่แพ้กัน

                                       ไม่นะ แดฮยอนจำเสียงร้องลั่นห้ามของตัวเองได้ หากแต่เพื่อนสนิทของเขาไม่หยุดกระทำสิ่งนั้น กลับรุกล้ำมากยิ่งกว่าเดิม มือสองข้างหนึ่งยึดจับข้อแขนเล็กๆแต่ละข้างของเขาเอาไว้แน่น เหมือนถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับนี้ ริมฝีปากที่จูบระไปทั่วอย่างโหยหา มาจบลงที่ริมฝีปากของเขา เขาพยายามเม้มปากไว้แน่น และสะบัดหน้าหนี หากแต่ริมฝีปากหนาของอีกฝ่ายกลับทาบรอยจูบลงมาไว้อย่างแน่นหนาไม่ให้เขยื้อนหลบ เขารู้สึกถึงลิ้นร้อนๆ ที่เลื่อนเข้ามาเหมือนจะขโมยลิ้มรสความหวานในโพรงปากของเขาอย่างไม่รู้จักอิ่ม ริมฝีปากหนาที่บดเข้ากับปากบางๆของเขาดูรุนแรงแต่ก็แอบแฝงไปด้วยความนิ่มนวล เขารู้สึกถึงความหวานชุ่มฉ่ำที่อีกฝ่ายนำมาหยอดป้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน แขนขาที่พยาพยามแข็งขืนปัดป้อง กลับกลายเป็นอ่อนเปลี้ยไร้แรงต้านทาน ยิ่งได้ลิ้มรสแลกความหวานหอมกับอีกฝ่ายเท่าไร ยิ่งเหมือนถูกให้จมลงไปหลงใหลในรส ยากที่จะถอน

                     อารมณ์ของทั้งเขาและเพื่อนสนิทเริ่มคุกรุ่น ความรู้สึกร้อนรุ่มที่คืบคลานเข้ามา ความขัดขืนกลายเป็นโอนอ่อนตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ฝ่ามือหยาบเริ่มล้วงเข้าไปใต้เสื้อยืดนิ่มและถกมันขึ้นไปจนเผยให้เห็นช่วงบนที่เปลือยเปล่าของเขา แจ้คเก็ตหนังสีดำถูกกระชากออกตั้งแต่ตอนไหนเขาจำไม่ได้ ริมฝีปากหนาเริ่มพรมจูบไล่ลิ้นไปทั่วช่วงบนของร่างกาย มือทั้งสองของเขาจากคอยผลักไสกลับจับไหล่หนาไว้แน่น จุดศูนย์กลางแห่งอารมณ์ของทั้งสองแสดงถึงความต้องการตามธรรมชาติ ไม่สามารถฉุดรั้งอารมณ์ใดๆของตัวเองไว้ได้อีก จนเสื้อผ้าของเขาทั้งสองถูกปลดจนหมด เหลือแต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกจากเนื้อตัวเปล่าเปลือยของทั้งสองที่กอดรัด ดั่งเพลิงที่โหมไหม้ยากนักที่จะดับลง การถาโถมที่เต็มไปด้วยอารมณ์แห่งความต้องการอย่างรุนแรงของเพื่อนสนิท ถึงจะทำให้เขาเจ็บปวดจนน้ำตาไหลซึม หากแต่ความเจ็บปวดนั้นก็ค่อยๆ ทุเลากลับกลายเป็นความสุขอย่างที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นจังหวะอย่างท่วงทำนองที่สอดประสานกันเป็นอย่างดี ราวกับเขาตอบรับเข้ากับทุกจังหวะอย่างตั้งใจและเต็มใจ รับรู้และจดจำได้ทุกท่อนแห่งความสุขสม พร้อมกับดูดดื่มกับการชิมรสจูบแสนหวานอย่างไม่มีวันอิ่ม

     

                 ในช่วงจังหวะที่เร่งเร้าเพื่อเขาทั้งสองจะได้เติมเต็มถึงความสุขสันต์  เขายังจำอ้อมกอดที่ร้อนรุ่มแต่ก็เหมือนพร้อมจะปกป้องดูแล เสียงทุ้มต่ำเปร่งอยู่ข้างๆหู ลมหายใจอุ่นๆที่รดข้างแก้ม กลิ่นไอความเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งจากเนื้อตัวที่เขาสัมผัสได้จริง ในเวลานั้นเขายังไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำ ราวกับตกอยู่ในความฝันที่เขาพร้อมจะเผชิญหน้าไม่ว่าคนคนนี้จะพาเขาไปสู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือสวรรค์ หากแต่สุดท้ายเหมือนภาพความฝันที่แสนหวานกลับแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคนที่โอบกอดเขาไว้ กลับเรียกขานเพียงชื่อเดียว ออกมาเบาๆข้างๆ หูของเขา คนเดียวที่คงอยู่ในใจของอีกคนมาตลอด

     

     

     

     

     

     

    พี่ฮิมชาน...







     

     

    ก่อนที่คนพูดจะทิ้งน้ำหนักตัวลงมา หลับไหลไม่ได้สติ

     

     

                        เสียงทุ้มต่ำที่กระซิบข้างหูของเขาในคืนวันนั้น กลับก้องดังอยู่ในใจตลอดมา ยังจำความรู้สึกปวดร้าวกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด  กัดริมฝีปากจนเจ็บเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา เขาใช้เวลาทั้งหมดของปิดภาคเรียนในช่วงฤดูร้อนคราวนั้น  กับการตอบรับการเสนอฝึกงานในบริษัทกฎหมายชื่อดัง การทำงานหนักเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับการงดพบปะเพื่อนฝูง จริงๆแล้วเขาต้องการหนีหน้าไม่เจอคนสนิทใกล้ตัวต่างหาก สามเดือนที่น่าเศร้านั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะต้องทุ่มให้กับการทำงานที่ต้องใช้ทั้งสมาธิและไหวพริบเพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นถึงศักยภาพของเขา หน้าที่และภาระความรับผิดชอบคือสิ่งสำคัญที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็น

     

                          เขาเคยหวังว่าหากเวลาผ่านไปนานเท่าไรเขาจะลืมทุกอย่างได้ หากแต่กลับกลายเป็นความทรงจำของคนหนึ่งยากที่จะเลือนหาย  ส่วนในขณะของอีกคนกลับไม่เคยจำได้ว่ามีมัน.

     

                         ยองแจเสียงแหลมๆจากป้ามาทิลดาตะโกนเรียกชื่อของเขาดังมาจากปลุกให้เขา ตื่นขึ้นจากฝันในวันวาน ค่อยๆลุกจากม้านั่ง และออกเดิน พยายามเงยหน้ามองท้องฟ้า เพื่อพยายามให้น้ำตาไหลกลับ ท้องฟ้าสีฟ้าสวยที่ดูสดใสตรงข้ามกับความเศร้าหมองในใจเขา

     

    _____________________________________________________________________________________

     

                       โต๊ะอาหารและชุดเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลออกแดงๆ ขนาดใหญ่ตรงมุมสุดทางเดินของห้องกว้าง ที่มีโต๊ะและเก้าอี้ในแบบเดียวกันแต่ขนาดที่นั่งในแต่ละที่มีแค่สี่ถึงหกคนจัดเรียงเป็นแถว เว้นที่ว่างไว้เพื่อเป็นช่องทางเดิน แจกันขนาดเล็กสีเขียวสดและมีดอกลาเวนเดอร์สีม่วงปักอยู่สร้างความสดใสให้กับห้องขนาดย่อม และโคมไฟบนเพดานที่เป็นพัดลมไม้ประดับไฟสีเหลืองนวลสร้างบรรยากาศของสถานที่ให้ดูอบอุ่นมากยิ่งขึ้น

                      บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่นั้นสามารถมองเห็นสวนสีเขียวด้านนอกได้อย่างถนัด ตอนนี้ทั้งเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือนนั่งประจำที่เพื่อเตรียมรับประทานอาหารร่วมกัน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มทำให้รู้สึกถึงความสุขของการได้พบกันของทั้งสองฝ่าย อาหารทะเลหลากหลายชนิด ถูกวางเสริฟ์ไว้ในภาชนะขนาดใหญ่ ซอสในถ้วยเล็กๆ ถูกวางไว้ข้างๆ ผู้เตรียมรับประทาน ทุกคนสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้สีสดใส

                          ผมคิดถึง เด ฟรุย เดอ แมร์ ของคุณป้ามากครับ คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงผมจะเลือกกินไม่ชอบซีฟู้ดเท่าไร แต่ซอสเมล่อนนี่เจ๋งสุดๆ จะจัดปูให้เต็มที่เลยเสียงเจื้อยแจ้วของคนที่เด็กสุด พูดพลางเอื้อมมือหยิบปูตัวโตสดๆ มาใส่ในจานตัวเอง ยิ้มจนแก้มเป็นก้อนใส่คุณป้าที่ตอนนี้ยิ้มแก้มปริด้วยความเอ็นดูเหมือนหนูน้อยตรงหน้า แกะยากจังแอบบ่นเบาๆกับตัวเอง ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ก็เห็นนิ้วเรียวๆค่อยๆเลื่อนจานเงินขนาดใหญ่ที่มีอาหารทะเลที่ถูกแกะวางเรียงอย่างสวยงามมาวางตรงหน้า  โอ้โหเสียงร้องอย่างตกใจ ทำตาโตตามคำอุทาน พี่ยงกุกแกะตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย สุดยอดๆกลืนน้ำลาย แล้วหยิบกล้ามปูที่ถูกกะเทาะเปลือกเหลือแต่ส่วนเนื้อทำให้คนทานแค่หยิบกล้ามขึ้นมากัดกินได้ง่ายๆ โอ๊ย สดมากๆ อร่อยมากๆครับ กินคู่กับน้ำราดเมล่อนนี่เข้ากันสุดๆ ไม่ได้กินมานาน จัดเต็มแน่ๆ


                       คนที่เป็นมือแกะมองน้องชายยิ้มๆ ไม่พูดอะไร พลางเลื่อนจานเงินขนาดย่อมอีกจานให้คนตรงข้าม ที่ตอนนี้เขี่ยปลาหมึกสองสามชิ้นที่ดูเหมือนจะกินได้ง่ายสุดไปมาบนจาน เขาแค่รู้สึกไม่อยากให้นายจ้างต้องลำบาก พอขึ้นรถก็หลับตาพริ้มมาตลอดทาง ไม่เห็นว่าจะได้ทานอะไรมาเลย เพราะกว่าจะถึงปารีสก็คงช่วงหัวค่ำแล้ว

                                    เชิญครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมชอบแกะคนพูดมองสบตาคนตรงข้ามส่งสายตาจริงจังแต่ดูพราวแพรวแกมหยอกล้อไปให้ ทานเลยครับ พี่ฮิมชาน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแกะเสียงพูดสดใสดังจากคนข้างๆตอบขึ้นมาแทน ตากลมเรียวมองคนพูดด้วยความเอ็นดูแกมดุที่เด็กคนนี้ดูเจ้ากี้เจ้าการไปซะทุกอย่าง ขอบใจเขาจึงจำเป็นต้องเอ่ยคำขอบคุณ อาจเพื่อตามมารยาท ก่อนหลบตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองตรงๆ อย่างไม่ยอมหยุด แต่ก็เอื้อมไปตักเนื้อกุ้งสีใสมาวางในจานพอประมาณ

                     

          ด้วยบรรยากาศที่สดใสขึ้นหลังจากที่นายจ้างของเขาได้กับพบกับเจ้าบ้านผู้เป็นมิตร ในช่วงเวลาที่ช่วยกันจัดโต๊ะอาหารเขาจึงได้ยินแต่เสียงหัวเราะพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆของทั้งสองในภาษาฝรั่งเศส ถึงเขาจะฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและเป็นกันเองขึ้นมาก ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้านั้นราวกลับเพิ่มเติมความมีชีวิตชีวาให้กับรูปปั้นสวยๆ คนชอบแกะปูเลยถือโอกาสเผื่อจะได้รอยยิ้มสวยๆกลับมาให้เขาบ้าง จึงคว้าก้ามปูอีกสองก้าน ก่อนยื่นปูไปจนสุดปลายแขนเพื่อไปวางไว้บนจานคนตรงข้าม ทานปูด้วยสิครับก่อนจะพยายามมองสบตาและเพื่อจะหาทางได้พูดคุยมากขึ้น หากแต่เจ้าของจานที่เหมือนอาจจะคิดอะไรเรื่องอื่นอยู่ เลยคล้ายๆกับสะดุ้งเงยหน้ามองเขาและเบิกตาโตใส่ จึงค่อยๆอมยิ้มนิดๆให้ แม้เป็นเพียงแค่ชั่วขณะ หากแต่การได้สบดวงตาที่เหมือนดวงดาวสุกสกาวนั่น ยิ่งรู้สึกเหมือนเข้ามาส่องประกายชัดขึ้นในหัวใจเขายังไงยังงั้น

     

    _____________________________________________________________________________________

     

                    หลังรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนมารวมตัวนั่งพูดคุยกันต่อที่นอกชานด้านนอก เก้าอี้ไม้ที่พนักพิงถูกทำให้ปรับเอนรับกับสรีระของคนนั่ง พร้อมกับเบาะเข้าชุดสีเขียวนวล ทำให้ผู้นั่งสามารถนั่งเอนหลังได้อย่างสบาย ชุดน้ำชากระเบื้องหลากสีวางอยู่บนโต๊ะไม้ดูเพิ่มสีสันสดใส ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสี่คนมีจานขนมหวาน เสริฟ์ด้วยไอศกรีมเมล่อน และเมล่อนสดที่ถูกตักเป็นก้อนกลมวางเคียงทำให้ทานได้ง่ายขึ้น ร้านอาหารตกแต่งสวยและมีสไตล์มากๆครับ และอาหารก็อร่อยมากครับเสียงต่ำๆ แสดงความเห็นอย่างจริงใจพร้อมมองไปที่ผู้อาวุโสเจ้าของสถานที่ ขอบใจจ้ะ เสียงตอบรับอย่างอ่อนโยน คุณยงกุกจะมาช่วยคุณฮิมชานเรื่องบ้านสีขาวใช่ไหม” “ใช่ครับแขกผู้มาเยือนตอบอย่างสุภาพ

     

                     คุณหนูฮิมชานคะ เรื่องบ้านสีขาว คุณจะไม่ลองคิดทบทวนอีกสักครั้งเหรอคะคุณป้ามาทิลดาลากเสียงเรียกชื่อคุณหนูของเธออย่างเอ็นดูแต่น้ำเสียงแสดงออกถึงความเป็นกังวล และแววตาที่ดูอาวรณ์กับบางสิ่งบางอย่าง

     

                    ผมอยากสร้างสิ่งใหม่ๆ กับความทรงจำใหม่ๆ ดีกว่าไปยึดติดกับสิ่งเก่าๆครับคนพูดตอบอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ในขณะที่มองไปที่สวนสีเขียวด้านนอกด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนหันมาเอื้อมจับมือผู้อาวุโสที่นั่งข้างกันไว้เพื่อปลอบโยนให้อีกฝ่ายวางใจ

     

                     ผมจะเก็บรักษาของทุกชิ้นในบ้านหลังนั้นไว้เป็นอย่างดีครับและค่อยๆ คลี่ยิ้มละมุนให้กับบุคคลที่เขาเคารพดั่งญาติสนิท ต่างคนต่างมองหน้ากันรับรู้และเชื่อใจ คุณควรไปอยู่ที่ปราสาทนะคะชายหนุ่มมองผู้พูดด้วยความอ่อนโยน

                    

     ผมจะดูแลที่นั่นให้และพอถึงเวลา...ปราสาทก็จะกลับไปเป็นของเดอ ฟลอเร่เช่นเดิม รวมทั้งทุกๆอย่างด้วย

     

                ทุกๆคำพูดเน้นย้ำและมาจากความตั้งใจจริงของผู้พูด คุณป้ามาทิลดายกนิ้วเกลี่ยน้ำใสๆที่จะไหลออกมาจากตา

    แต่ทุกอย่างก็เป็นของคุณฮิมชานนะคะ คุณมีสิทธิทุกอย่าง

     

                หากแต่สุดท้ายคุณป้ามาทิลดาก็เปลี่ยนเรื่องและทำเสียงร่าเริงขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเศร้า  อร่อยไหมจ๊ะ ของหวาน เพิ่งลองทำไอศกรีมสูตรนี้ คล้ายๆเจลาโต้ของอิตาลี่ไหมหนุ่มน้อยที่ตอนนี้ตักทานของหวานจวนจะหมดจานพยักหน้า ผมว่าก็อร่อยๆมากครับ แต่เจลาโต้กับไอศกรีมต่างกันยังไงล่ะฮะพี่ชายที่นั่งข้างๆ จึงจับหัวเล็กๆของอีกฝ่ายเขย่าไปมาอย่างเอ็นดู เราเอาแต่กินนะ เจลาโต้ก็ไขมันเนยน้อยกว่า ไม่อัดอากาศ เนื้อจะเป็นครีมๆ มากกว่า ไอศกรีมรสชาติอร่อยมากครับคุณป้า แต่เนื้ออาจแข็งแน่นเป็นแบบไอศกรีมปกติมากกว่าครับผู้ที่เป็นคนทำไอศกรีมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ คุณยงกุกชอบทำอาหารด้วยเหรอคะคนให้ความเห็นรสชาติไอศกรีมจึงยิ้มเขินๆให้กับผู้ที่อาวุโสกว่า “ผมแค่เป็นลูกมือพี่สาวครับ แต่ส่วนใหญ่จะชอบทานมากกว่า”             
                                           

                       คนอายุน้อยสุดในที่นั้นพยายามปิดปากตัวเองเต็มที่เพราะเริ่มหาวออกอาการเมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อย   “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยเหรอยองแจ แล้วแดฮยอนล่ะ”  คนเป็นพี่ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ตาคมประกายวาวมองลอดแก้วกาแฟในขณะที่เขายกขึ้นดื่ม “ผมไปโยนเจ้านั่นใส่ห้อง และผมก็กลับมานอนห้องตัวเอง ตื่นมาพี่คังก็คงมารับไปแล้ว” คนพูดตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจคนที่ตัวเองจำเป็นต้องไปส่งเมื่อคืนนี้เท่าไรนัก โดยที่ก้มหน้าดูมือถือในมือตัวเองไปด้วย “จะบ่ายสองแล้วครับ          พี่ฮิมชาน ผมว่าเราควรต้องไปแล้ว เผื่อเวลาไว้ด้วยครับ พี่มีนัดตอนสองทุ่ม” น้องชายพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เมื่อเวลาที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของพี่ชาย “จ้ะ ป้าเห็นด้วยนะ รีบออกเดินทางกันต่อเถอะ เดี๋ยวคุณฮิมชานจะไม่ทันนัด”

     

                       “ไปก่อนนะครับ คุณป้ามาทิลดา” ร่างเพรียวก้มลงสวมกอดผู้อาวุโสที่ตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่ และแนบแก้มสลับกันทั้งสองข้าง ก่อนที่คุณป้ามาทิลดาจะหันมากอดหนุ่มน้อยอีกคน “เวลาไปสู้กับใคร หนูยองแจต้องใจเย็นๆนะคะ ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง และก็อย่าใจร้อน” ผู้สูงวัยลูบหัวคนตรงหน้าราวกับเป็นเด็กตัวน้อยๆอย่าเอ็นดู ก่อนเธอจะยื่นมือมาจับกับสถาปนิกหนุ่มที่เพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรกเพื่อบอกลา “ฝากบ้านสีขาวด้วยนะคะ” ผู้อาวุโสมองสบตาและกระซิบเบาๆ พอได้ยินกันแค่สองคนกับเขา

                     

                         หากแต่ในขณะที่ทุกคนขึ้นประจำที่นั่งในรถ ประตูรถโดยสารด้านข้างก็ถูกเลื่อนเปิด “เดี๋ยวจ้ะ ป้าลืมจะเอาของให้” ผู้อาวุโสที่เพิ่งแยกจากกันวิ่งมาเปิดประตูรถด้วยความรีบเร่ง ก่อนยื่นเสื้อหนังสีดำมาให้  “พอดีแดฮยอนมาลืมทิ้งไว้ตั้งนานแล้ว ป้าก็เก็บไว้ให้ ฝากไปคืนแดฮยอนให้หน่อยละกันนะคะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะทุกคน” ก่อนจะยิ้มอย่างใจดีให้กับเด็กๆในรถ “ขอบคุณครับ คุณป้ามาทิลดา” คนอายุน้อยสุดเบิกตาขึ้น และดูชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเอื้อมมือรับเสื้อตัวนั้นมาอย่างช้าๆ นำมาวางไว้บนเบาะที่นั่งข้างตัว สีหน้าที่สดใสตอนขึ้นรถเพื่อเตรียมเดินทางกลับ ในตอนนี้มีแววกังวลใจครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างปรากฎอย่างเห็นได้ชัด

     


    “เสื้อหนังของพี่นี่ ที่พี่เคยให้เราไว้ ทำไมไปอยู่กับแดฮยอน” 



                      คนเป็นพี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากแต่แววตาวาววับเต็มไปด้วยความสงสัย “คือ...ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เจ้านั่นอาจหยิบผิดไป” น้องชายตอบแบบกล้อมแกล้มพลางไม่สบตาและวุ่นวายกับการจัดแจงท่านั่งตัวเองกับการคาดสาดรัดนิรภัยบนเบาะที่นั่งแทน

     

     “ปาร์ตี้ปิดเทอมฤดูร้อนปีนั้นสนุกมากเลยนะ ยองแจ”



    คนเป็นพี่เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนอมยิ้มและนั่งตัวตรงพิงไปกับเบาะที่นั่ง น้องชายค่อยๆมองตามพี่ชายแบบหวั่นๆ เห็นเปลือกตาสีขาวนวลค่อยๆถูกปิดเข้าหากัน ขนตายาวทาบลงบนผิวหน้า


     

                      “คะ..ครับ” น้องชายตอบอย่างตะกุกตะกัก มองพี่ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างระแวงว่าจะต้องตอบคำถามที่ตัวเขาหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด หากแต่ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นคนเป็นพี่หลับตาลงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เหลือบตามองไปที่เสื้อหนังตัวนั้นทำไมพี่ฮิมชานจะจำเสื้อหนังตัวโปรดของเขาไม่ได้ล่ะ  พี่ชายที่แสนดีมอบเสื้อสุดหวงเพื่อนำมาห่มให้เขาเพราะห้องที่เย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศในคืนปาร์ตี้ฤดูร้อนที่ร้อนแรง ใช่สิ เขายิ้มเยาะๆกับตัวเอง เสื้อหนังเจ้าปัญหาที่อาจเป็นต้นเหตุทุกอย่างของความเข้าใจผิดในคืนนั้น เมื่อคนที่ใส่เสื้อของฮิมชานกลายเป็นยองแจ เขาค่อยๆหลับตาลง พยายามไม่คิดอะไรทำสมองให้ว่างเปล่า และหวังไว้เหมือนอย่างทุกครั้งว่าหากเขาลืมตาขึ้นมา เรื่องราวทุกอย่างจะถูกเก็บซ่อนเข้าไปส่วนลึกในใจอีกครั้ง

     

    ________________________________________________________________________________

     

     

      “ถึงแล้วครับ เมอร์ซิเออร์” เสียงเรียกเตือนของคนขับแท็กซี่ที่ชวนเขาพูดคุยมาตลอดทางดังขึ้น ในขณะที่เขากำลังสาละวนในการรีบผูกเนคไทสีดำและเสร็จทันเวลาพอดีเมื่อถึงที่หมาย “อ้อ..ครับ” เขาตอบรับ พร้อมกับยื่นธนบัตรให้คนขับซึ่งมากกว่าค่าโดยสารจำนวนหนึ่ง เพราะอยากขอบคุณในบริการเนื่องจากหาคนขับแท็กซี่ที่มีความเป็นมิตรขนาดนี้ได้ยากในเมืองใหญ่แห่งนี้ จึงได้รับการขอบคุณจากคนขับแท็กซี่วัยกลางคนอย่างยกใหญ่ 

                      ก้าวขายาวๆ ของเขาไปตามบันไดสูงทีละสองขั้นด้วยความเร็ว มือยังคอยจัดเนคไทและนำสูทถือพาดแขนมาสวมใส่ในขณะเดินอย่างรีบเร่ง ก่อนที่จะแตะประตูวนของโรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและรักษาความหรูหราในสมัยเรอเนสซองส์ได้เป็นอย่างดี พอเข้ามาสู่ล็อบบี้เขาก็ได้รับการเคารพอย่างนอบน้อมจากพนักงานเฝ้าประตู ไม่รอช้าเขารีบเดินไปทางด้านขวาของตัวอาคาร เสียงพูดคุยของผู้คนดังมาเป็นระยะเมื่อใกล้ถึงภัตตาคารอาหารที่เป็นจุดหมายในการนัดพบ

                     “บงชูร์ เมอซิเออร์ ขอทราบชื่อที่ใช้จองโต๊ะด้วยค่ะ” พนักงานต้อนรับถามเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสำรวม     “ผมมาพบกับมาดามปอมปิแอร์ครับ” พนักงานต้อนรับสาวจึงผายมือและนำทางเขาเข้าไปภายในภัตตาคาร ที่นั่งทุกที่ต่างถูกจำจองไว้จนเกือบเต็มทุกโต๊ะ ทั้งชั้นล่างและชั้นบนที่มีบันไดหินอ่อนสีขาววนขึ้นไป เสาในแบบคอรินเธียนที่หัวเสามีการประดับประดาเป็นลวดลายเถาวัลย์ที่หรูหราถูกนำมาวางค้ำเข้ากับห้องโถงเพดานสูงซึ่งประดับด้วยภาพจิตรกรรมและโคมไฟแชนเดอเลียร์ช่อใหญ่ เขามองไปยังบรรดาสุภาพบุรุษทั้งหลายที่นั่งอยู่ตามโต๊ะที่ถูกปูด้วยผ้าสีขาวต่างก็สวมใส่ชุดสูทหรือทักซิโด้สุภาพสตรีที่แต่งตัวเรียกได้ว่าแทบจะเอาเสื้อผ้าจากห้องเสื้อชื่อดังคอลเลคชั่นล่าสุดมาประชันกันพร้อมกับเครื่องประดับที่วูบวาบกระทบกับแสงไฟจากแชนเดอเลียร์ อาหารรสเลิศกับไวน์ราคาแพงจัดวางบนโต๊ะอาหาร เขาส่ายหัวและถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ เขารู้สึกอึดอัดกับการนัดพบที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้

                       

                        “ซาลู เมอร์ซิเออร์ปัง” เสียงแหลมตะโกนทัก จนทำให้ผู้คนจากโต๊ะรอบๆ ข้างหันมามองเขาเป็นตาเดียว เขายิ้มรับการทักทายนั้นอย่างอึดอัด และยังไม่ถึงโต๊ะที่นั่งดีฝ่ายที่ตะโกนเรียกก็โผเข้าจูบทักทายที่ข้างแก้มตามธรรมเนียม หากแต่สุภาพสตรีตรงหน้าเอาลำตัวของเธอมาใกล้จนจะแนบชิดไปกับร่างกายเขา ชุดสายเดี่ยวผ้าไหมยาวเป็นสีดำเนื้อละเอียดแนบไปตามรูปร่างอวบอิ่มที่ดูกระชับไปทุกสัดส่วน ใส่เครื่องประดับเป็นสร้อยไข่มุกยาวและสั้นหลากหลายเส้น ได้กลิ่นน้ำหอมฉุนเตะเข้าจมูกเขา ค่อยๆ ดันตัวสุภาพสตรีที่เข้ามาใกล้ออกเบาๆ อย่างสุภาพ เขยิบตัวไปนั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่าย

                       “แหม เมอร์ซิเออร์ปัง มานั่งใกล้ฉันตรงนี้ก็ได้นะ” เสียงแหลมพูดตัดพ้อ เธอชอบเรียกชื่อเขาแบบนี้เสมอ เพราะชื่อยงกุกของเขาออกเสียงยาก และนามสกุลของเขาก็ออกเสียงใกล้เคียงกับคำที่ใช้เรียกขนมปังแบบภาษาฝรั่งเศส นิ้วเรียวงามที่แต้มด้วยสีแดงบริเวณเล็บมือที่ตกแต่งเป็นอย่างดีตบที่เบาะเก้าอี้ข้างๆตัว เขามองใบหน้าที่ของสุภาพสตรีผมดำขลับตรงหน้าที่เรียกได้ว่ายังสวยคมและดูอ่อนกว่าอายุจริงที่แตะเข้าสามสิบปลายๆ ได้แต่ยิ้มให้น้อยๆ เพื่อไม่ให้เสียมารยาท เพราะมาดามปอมปิแอร์เศรษฐินีม่ายชื่อดังก็เป็นนายจ้างที่เกิดถูกอกถูกใจอะไรเขามากมายไม่รู้หลังจากเข้าไปเสนองานออกแบบปรับสภาพโกดังและตึกร้างเพื่อทำเป็นโรงแรมในย่านธุรกิจลา เดฟ็องซ์ ซึ่งมาดามถูกใจในงานออกแบบของเขามาก และมีอีกหลายโอกาสที่เธอแสดงความสนใจในตัวเขามากเกินกว่างานออกแบบของเขาซะอีก พองานในส่วนความรับผิดชอบของเขาเสร็จสิ้นลง เขาจึงพยายามเลี่ยงการพบปะที่เป็นส่วนตัวมากเกินไปอย่างไม่ให้เสียมารยาท โดนอ้างเรื่องที่เขาติดงานอื่นๆเป็นส่วนใหญ่ 

                   “ต้องขอโทษที่มาช้าครับ ที่โทรมาบอกว่ามีเรื่องด่วนกับผมนี่เกี่ยวกับอะไรเหรอครับ” เขากล่าวอย่างสุภาพ มองสบสายตาคมหวานสีน้ำตาลเข้มล้อมกรอบด้วยขนตายาวเป็นแผงของอีกฝ่ายที่ทอดมองมาที่เขาอย่างไม่ลดละ “ได้ยินว่าเธอจะเข้าปารีสวันนี้ ฉันก็เลยอยากเจอเฉยๆไม่ได้เลยงั้นเหรอ” พูดทิ้งหางเสียงสูงเป็นเชิงประโยคคำถาม พร้อมกับหยิบก้านแก้วไวน์ขึ้นจรดริมฝีปากที่เหมือนถูกเคลือบไว้ด้วยด้วยลิปสติกสีแดงจัดมันวามอันอวบอิ่ม “ฉันมีงาน....” ก่อนที่มาดอมปอมปิแอร์จะกล่าวจบ บริกรหนุ่มในชุดทักซิโด้ก็นำอาหารมาเสริฟ์และจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยตรงหน้าคนทั้งสอง เขามองอาหารในจานที่เป็นเนื้อสเต็กปรุงแบบไม่สุกมาก มีส่วนที่ยังแดงดูสวยงามน่าลิ้มลอง “ฉันจำได้ว่าเธอชอบแบบดิบๆ” เขาสบตาคนพูดเห็นแววตาของมาดามคนสวยเป็นประกายวาวราวกับต้องการจะสื่อความหมายบางอย่าง “ฉันหมายถึงเนื้อ เห็นไหมอะไรที่เกี่ยวกับเธอฉันจำได้ดีเชียวล่ะ มีแต่เธอเหมือนจะคอยหนีหน้ากันอยู่เรื่อย” ทิ้งท้ายประโยคด้วยการพูดช้าๆ และค่อยๆเขยิบหน้ามาให้ใกล้ขึ้นเหมือนต้องการจะเน้นสิ่งที่ต้องการจะบอกเขา “เธอมันใจร้าย”  น้ำเสียงฟังดูเย็นชาและต้องการจะตัดพ้อ ประกายวาวในตาเริ่มดูแข็งขึ้นเหมือนมีเรื่องไม่สบอารมณ์

                “แต่ก็เอาเถอะ...” คนพูดถอนหายใจ “ที่นัดมาวันนี้ ฉันจะมาเสนองาน ไม่ใช่สิฉันจะมาบอกข่าวเพื่อนฉันกำลังจะประมูลได้งานแนวคอมมิวนิตี้ คอมเพล็กซ์ ที่เซี่ยงไฮ้ น่าจะเป็นงานสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่ย่อมๆใจกลางเมืองเลยทีเดียว ที่สำคัญรัฐและบริษัทอีกหลายชาติจะเข้ามาร่วมลงทุน ฉันได้ข่าวมาเลยคิดว่าเธอน่าจะสนใจ”

                  “เพื่อนของมาดามเหรอครับ” เขาถามอย่างต้องการรู้ข้อมูลมากขึ้น 


                 “ใช่ เพื่อนฉัน เบอร์ตัน แอนด์ เมอร์เล่ย์”




                  เขาหยุดคิดในทันทีเมื่อได้ยินชื่อบริษัทออกแบบชื่อดัง หากได้มีโอกาสทำโครงการและมีผลงานร่วมกับ เบอร์ตัน แอนด์ เมอร์เล่ย์ อยู่ในพอร์ตโฟลิโอของเขาต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว “กำหนดการเมื่อไรเหรอครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความสนใจ หากแต่คนตรงข้ามใช้นิ้วเรียวสวยของเธอคีบนามบัตรสีขาวและยื่นให้แก่เขา “นามบัตรของเพื่อนฉัน ลองติดต่อเขาดู เสียดายฉันช่วยเธอได้แค่นี้ พอฉันรู้มาว่าเขากำลังหาคนออกแบบรุ่นใหม่เจ๋งๆ ฉันก็นึกถึงเธอเลย แถมเธอเป็นคนเอเชีย น่าจะสื่อวัฒนธรรมเอเชียออกมาได้ดีนะ” เขายื่นมือไปหยิบนามบัตร “ขอบคุณมากนะครับ” คำขอบคุณที่ออกมาอย่างจริงใจต่ออีกฝ่าย



                     หากแต่ในชั่วขณะที่เขามองเลยสุภาพสตรีที่นั่งตรงข้ามเขาไปนั้น กลับสะดุดเข้ากับคนที่นั่งตรงโต๊ะมุมในสุด ใบหน้าขาวเนียนที่คุ้นเคยซึ่งเขาเพิ่งแยกจากมาไม่นานลอยเด่น แต่ใบหน้าที่ปกติจะเฉยนิ่งตอนนี้กลับดูมีชีวิตชีวา ปากสีแดงระเรื่อดูเป็นธรรมชาตินั้นคลี่ยิ้มเห็นฟันเรียงขาว บวกกับผิวที่ขาวกระจ่าง ทำให้ความสลัวตรงมุมห้องดูสว่างขึ้นในทันใด ยิ่งอยู่ในชุดสูทที่ดูเป็นทางการกลับยิ่งส่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูสง่างาม

     

                    เหมือนทุกอย่างรอบตัวเขาหยุดเคลื่อนไหว หูแทบไม่ได้ยินบทสนทนาใดๆจากสตรีที่นั่งร่วมโต๊ะ เขาทำได้แค่พยักหน้าและยิ้มน้อยๆไปตามมารยาท เพราะเหมือนความสนใจของเขามุ่งไปที่จุดเดียว พยายามมองไปยังคนที่นั่งร่วมโต๊ะ แต่ก็เห็นแต่ข้างหลังของผู้ชายผมดำที่มีแผ่นหลังและช่วงไหล่ที่กว้าง การสนทนาของทั้งคู่ดูผ่อนคลายและสนิทสนม มือของเขาที่หั่นเนื้อสเต็ก และซ่อมที่ใช้จิ้มชิ้นเนื้อเข้าปากเป็นจังหวะแข็งๆอย่างหุ่นยนต์ เพราะตอนนี้เหมือนเขาสั่งให้สมองเปิดรับแค่การมองคนที่อยู่ไกลตรงมุมห้อง เฝ้าดูอิริยาบถของอีกฝ่ายอย่างไม่สนใจอย่างอื่นรอบตัว ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด คนทั้งสองจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ เห็นคนที่สูงและตัวใหญ่หนากว่าอีกคนยื่นมือออกมาจับมือของอีกฝ่าย เขย่าเบาๆ ก่อนแนบแก้มเข้าหากันสลับทั้งสองข้าง ถึงจะนั่งอยู่ห่างไกลแต่ก็เห็นแววตาที่ส่องประกายสดใสคู่นั้น และสุดท้ายชายหนุ่มตัวใหญ่ก็ค่อยๆแตะหลังของผู้ร่วมโต๊ะรูปงามอย่างสุภาพเพื่อให้ออกเดินนำไปก่อน และค่อยเดินตามเคียงข้างพูดคุยกันไปตลอดทาง

     

                     สักพักเขาจึงหันมาพูดกับสุภาพสตรีร่วมโต๊ะและขอตัวกลับอย่างสุภาพ โดนใช้เหตุผลเรื่องการนัดหมายงานในช่วงเช้า แน่นอนที่มาดามปอมปิแอร์จะทำสีหน้าไม่พอใจและพูดจาตัดพ้อ เหมือนทุกๆครั้ง ที่เขาไม่เคยสนองตอบตามความต้องการของสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า แต่เขาให้เกียรติและคงความเป็นมิตรไว้ในสถานเจ้านายกับลูกน้องเสมอ

                     หลังจากที่เขาเดินมาส่งมาดามปอมปิแอร์ที่รถลีมูซีนสีดำคันยาวที่จอดรอหน้าโรงแรม เขาอยากที่จะแวะไปยังบาร์ประจำที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ หากแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายร่างสูงเพรียวกำลังรีบเดินอยู่ที่อีกฝั่งถนนตรงข้าม ไฟสลัวบนทางเท้าทำให้เขาต้องหรี่ตามองเพ่งไปยังร่างที่คุ้นตา จนแน่ใจว่าเป็นนายจ้างรูปงามที่เพิ่งออกจากโรงแรมก่อนเขาได้สักพัก สูทสีดำที่ตอนนี้ถอดและนำมาพาดไว้ที่แขน และโบว์ไทด์สีดำถูกเก็บ เหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาว เขารู้สึกแปลกใจที่ทำไมอีกคนไม่นั่งรถกลับไปเลย หรืออาจจะอยากเดินชมเมือง พอคิดว่ายังไงก็ต้องกลับไปที่พักเดียวกัน เขาจึงรีบข้ามถนนไปทักทาย ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินหายไปตรงมุมตึก หัวเราะกับตัวเองเบาๆ รู้สึกเหมือนเป็นคนบ้าดาราที่แอบติดตามคนดัง พยายามก้าวเท้ายาวๆแกมวิ่งเพื่อไปให้ทัน แต่ร่างสูงเพรียวนั่นเลี้ยวหายไปทางมุมถนน พอเขาเดินเลี้ยวมาทางเดียวกัน กลับเจอแต่ถนนแคบๆที่ว่างเปล่า และค่อนข้างมืด มีเพียงเสาไฟริมถนนที่ตั้งเป็นระยะๆพอเป็นแสงสว่างนำทาง

                     เขามองไปรอบๆบริเวณเพื่อจะมองหาคนที่เพิ่งเดินนำมาทางนี้ เดินตรงไปเรื่อยๆ สังเกตเห็นไฟสว่างจากร้านขายกะบับเล็กๆ ข้างทาง และได้กลิ่นหอมของเนื้ออบลอยมาแตะจมูก เดินผ่านร้านนี้ไปจนมาถึงหน้าซอยแคบที่ดูแล้วรถขนาดเล็กถึงจะขับเข้ามาได้ ในขณะที่เขากำลังจะก้าวลงจากฟุตบาทเพื่อเดินผ่านซอยนั้นไป เสียงดังจากเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ก็ดังเข้ามาใกล้ ทำให้เขาชะงักฝีเท้า ก่อนที่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่สีดำจะขับแล่นผ่านหน้าเขาไป คนขับที่สวมเสื้อหนังสีดำสนิทดูจะรีบเพราะบังคับรถด้วยมือเดียวอย่างชำนาญในขณะที่ยกหมวกกันน็อคสีดำขึ้นสวมก่อนที่จะขับออกสู่ถนนแคบๆ และเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ

                      เขามองตามร่างของคนขับและมอเตอร์ไซค์คันนั้นไป ถ้าไม่มีแสงไฟของรถก็ดูเหมือนทั้งคนและรถแทบจะกลืนหายไปในความมืดยังไงยังงั้น นึกถึงเสี้ยวหน้าขาวนิ่งผู้ที่บังคับมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล้ว ทำให้เขารู้ตัวว่าไม่ต้องเดินตามหาใครอีกและควรจะเรียกแท็กซี่กลับไปที่พักซะที เพราะคุณชายนายจ้างของเขาขับซิ่งขนาดนี้คงถึงที่พักได้ไวก่อนเขาแน่ๆ แต่ดูจากการเร่งความเร็วของรถที่ขับออกไปนั้นทำให้ลึกๆแล้วเขาอดห่วงไม่ได้ เห็นแท็กซี่ที่ผ่านมาส่งผู้โดยสารพอดีจึงโบกมือเรียก ก่อนบอกจุดหมายของเขาและขึ้นไปนั่งบนรถ



    _____________________________________________________________________________________

     

     ขอบคุณทุกคนที่ยังรอและติดตามอ่านนะคะ จะแต่งให้จบค่ะ สู้ๆ  

     

     

     

     

     

     


     

     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×